Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
6.5
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
40 Time
12 วิจารณ์
40.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(โรงเรียนมาเจสติกวิทยา 14.48)
............
ณ ห้อง ม. 5/4
การเรียนการสอนทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามปกติ หากแต่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตอนนี้จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการเรียนเลยแม้แต่น้อย
มีนที่นั่งจ้องหนังสือกับสมุด แต่ในหัวเธอกำลังคิดถึงเรื่องของนรินทร์อยู่ไม่ห่าง
(รินทร์จะเป็นยังไงบ้างนะ)
(เธอคงใช้โอกาสนี้ไปหาญาดาแล้วแน่เลย)
(เราเองก็อยากรู้ความคืบหน้าเหมือนกัน...)
เธอถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะสะดุ้งขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือที่มีคนโทรเข้า
“อาจารย์คะ... ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำค่ะ”
“อ้อ เชิญเลย”
อาจารย์ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์อนุญาตให้เธอไปเข้าห้องน้ำ แต่หารู้ไม่ว่าเธอนั้นเพียงแค่จะแอบไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเท่านั้น
............
ณ บริเวณบันไดทางขึ้น
(... ถ้าเดาไม่ผิด เบอร์นี้คงจะเป็น...)
ฉันรับสายโทรศัพท์นั้น ซึ่งเสียงที่ออกมานั้นเป็นไปตามที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด เพราะว่าฉันเป็นคนให้เบอร์เขาเองหากมีอะไรคืบหน้า
[ฮัลโหล... นั่นมีนใช่ไหม]
[อะ...ค่ะ! คุณวอร์เรน]
[รินทร์เป็นยังไงบ้างคะ?]
[รินทร์หรอ... ไม่รู้สิ]
[เอ๋?]
[ตอนนี้เราออกมาหาน้ำกินนิดหน่อยน่ะ ส่วนรินทร์ยังนั่งอยู่ในห้องที่ญาดาพักฟื้นอยู่เหมือนเดิม]
วอร์เรนตอนนี้มาซื้อน้ำผลไม้กระป๋องจากเครื่องกดน้ำอัตโนมัติภายในโรงพยาบาล รสที่เขากดมาคือน้ำองุ่นรสโปรดของเขา
เขาแงะฝาปิดของน้ำกระป๋องออกเพื่อดื่มน้ำองุ่น
[ปล่อยให้ยัยนั่นได้พักไปแบบนั้นก่อนดีกว่า เจอเรื่องหนักหนาติดต่อกันทุกวันขนาดนั้น]
ฉันที่คุยสายอยู่ก็เข้าใจดี เพราะงั้นฉันจึงไม่อยากถามอะไรไปมากกว่านั้น
[ฉัน... ไว้ใจคุณได้ใช่ไหม?]
[ถ้าจะฝากให้คุณช่วยดูแลนรินทร์ตอนที่ฉันไม่อยู่]
[พูดแบบนี้อย่างกับไม่เชื่อใจเราเลยนะ เอาน่า เราไม่คิดทำอะไรแปลกๆอยู่แล้ว]
ฉันกังวลใจเรื่องบางเรื่องอยู่ เพราะรินทร์กับวอร์เรนนั้นค่อนข้างจะต่างกันมาก แม้จะเป็นคนที่จริงจังในยามคับขันเหมือนกัน แต่ก็แค่จุดนั้นจุดเดียว
(ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่า...)
[นี่มีน...]
[ว่าไงคะ?]
[รินทร์เนี่ย...... เกลียดผู้ชายมากแค่ไหน?]
[ทำไม... ถึงถามเรื่องนี้หรอคะ?]
ภาพติดตาที่วอร์เรนคิดขึ้นมานั้น คือเหตุการณ์ตอนที่รินทร์เข้ามากอดเขาเพื่อช่วยคลายความเศร้า เรื่องนั้นทำให้วอร์เรนสงสัยทัศนคติบางอย่างที่รินทร์มี
[จะว่าไงดีล่ะ... เรารู้แค่ว่ายัยนั่นไม่ชอบผู้ชายมากๆ]
[แล้วมันเพราะอะไรล่ะ? เราไม่อยากมีปัญหาเพียงเพราะทัศนคติของรินทร์แบบนั้น]
มานึกเรื่องนี้แล้ว ดูท่าคงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจหน่อยหนึ่งล่ะมั้ง
[เรื่องนั้น... ที่ฉันจำได้คือรินทร์เขาไม่ได้เกลียดผู้ชายหรอกค่ะ แต่เขาไม่อยากอยู่ใกล้หรือแตะเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้าม]
[คงเพราะครอบครัวของเขาปลูกฝังความคิดแบบนี้ไว้ ตั้งแต่ฉันรู้จักมา รินทร์ก็เลี่ยงที่จะยุ่งกับผู้ชายมาตลอด เธอมักบอกว่าผู้ชายส่วนใหญ่นิสัยไม่ดี คิดเรื่องลามกบ้างไรบ้าง หรือเป็นเพศที่ชอบใช้แต่กำลังน่ะค่ะ]
[อ๊ะ! แต่เขาไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้หญิงนะคะ]
[หือ... งั้นหรอกเหรอ]
(ถ้าเป็นรินทร์ในสภาพปกติ แค่แตะตัวเราไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ในสภาพจิตใจแบบนั้นคงต้องการใครสักคนที่เข้าใจเขาได้สินะ)
[มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าคะ?]
[เปล่า... ไม่มีอะไร]
[ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเพิ่มไว้ถามจากรินทร์เอาเองละกัน เราโทรมาบอกแค่นี้แหละ]
[เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิคะ-]
เขาตัดสายฉันไปซะแล้ว...
“ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย? คิดจะวางก็วางดื้อๆเลย!”
“ต่างกับรินทร์มากจริงๆ...”
ฉันเก็บโทรศัพท์กลับไปในกระเป๋าเสื้อ แต่ถึงฉันจะคิดแบบนั้นก็เถอะ...
(ถึงอย่างนั้น... ผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ใช่คนไม่ดีอะไร... แต่รินทร์เองก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร มีที่มายังไงกันแน่...)
(เราเอง...... คงต้องคอยจับตาดูผู้ชายคนนี้ไว้บ้างแล้วล่ะ)
............
... ณ ห้องผู้ป่วยที่ญาดานอนพักฟื้นอยู่ ...
......
ฉันกุมมือของญาดาไว้ตลอด ตั้งแต่วอร์เรนออกไปนี่ก็ราวๆเกือบ 10 นาทีแล้ว ฉันยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนนอกจากเฝ้าดูเธอด้วยความเป็นห่วง
“ญาดา......”
ความทรงจำทั้งหมดที่ฉันเห็น เหตุผลทุกอย่างที่ทำให้ฉันมีพลังพิเศษ ตอนนี้ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นแล้ว
เรื่องวันนั้นเป็นตัวแปรที่ทำให้ฉันใช้พลังได้นี่เอง แต่ว่า...
“ถ้าหากฉัน...... ถ้าฉันรู้วิธีใช้พลังตั้งแต่ตอนนั้น...”
“เธอคงไม่ต้องเป็นแบบนี้...”
“ฉันควรจะหยุดรถคันนั้น แทนที่จะเลือกผลักเธอ... ฉันมันโง่จริงๆ!”
“เพราะฉัน...... เป็นความผิดฉันเอง...”
ระหว่างที่ฉันมัวแต่รู้สึกผิด วอร์เรนก็เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
*ฟืบ*
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก...”
ตอนที่ฉันมัวแต่รู้สึกผิด ก็ได้ยินเสียงวอร์เรนพูดขึ้นมา รวมถึงพลังบิดเบือนเวลาบางอย่างที่เขาใช้เพื่อเข้ามาในห้องนี้ด้วย
เขายืนพิงผนังห้องพร้อมถือน้ำผลไม้กระป๋องมาสองขวด ซึ่งขวดหนึ่งเขากำลังกินอยู่ ส่วนอีกขวดที่เป็นรถแอปเปิ้ลยังไม่ได้แงะฝา
“ว...วอร์เรน”
“ลองคิดสิ ว่าถ้าเธอเป็นมนุษย์ธรรมดา เธอจะแก้ไขสถานการณ์ตอนนั้นยังไง?”
วอร์เรนพยายามอธิบายให้ฉันฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้นที่ฉันเล่าให้ฟังก่อนที่เขาจะเดินออกไปข้างนอก
“ฉันรู้...... แต่ว่า...”
“เลิกโทษตัวเองสักทีเถอะน่า ถ้าวันนั้นเธอไม่ผลักเพื่อนของเธอไม่ให้โดนรถชน ป่านนี้เพื่อนเธอคงไม่มีโอกาสจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีกรอบแล้วล่ะ”
“ถึงสภาพที่เป็นอยู่มันจะน่าเวทนา แต่มันก็ดีกว่าการที่จะไม่มีโอกาสแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น”
“รินทร์ควรดีใจไว้เถอะ... อย่างน้อย... เธอได้ช่วยชีวิตเพื่อนคนสำคัญของเธอให้รอดพ้นจากความตาย”
(จริงอย่างที่วอร์เรนพูด... เพราะเราช่วยชีวิตเธอไว้ตอนนั้น เธอจึงยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่จนถึงตอนนี้)
(แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีใจหรือสบายใจเลยสักนิด กลับกันเลย)
(มือทั้งสองข้างของเรากลับรู้สึกเหมือนเป็นผู้เปลี่ยนชะตาของญาดาให้มาอยู่ในจุดที่บางทีอาจทรมานยิ่งกว่า)
(ต่อให้พยายามมองโลกในแง่ดียังไง เราก็......)
“ปล่อยวางเถอะ...”
วอร์เรนพูดออกมาให้ฉันฟัง ซึ่งฉันได้ยินแต่ก็ไม่ได้หันไปมอง
“เธอทำเต็มที่แล้ว... มีนเองก็คงคิดแบบเดียวกัน”
“อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย”
............
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณที่ให้กำลังใจฉัน... และช่วยแบ่งพลังเวลาเพื่อดึงความทรงจำเหล่านั้นกลับมา”
“ขอบคุณมากจริงๆ!”
วอร์เรนยิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ฉันขอบคุณเขาไป แต่เขาก็ยังแปลกใจว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมหันหน้าไปพูดกับเขา
“ช่างมันเถอะ แต่ทำไมต้องหลบหน้าด้วยล่ะ?”
“ไ-ไม่ได้หลบสักหน่อย”
ก็จะให้หันไปได้ยังไงล่ะ
พอเห็นหน้าอีตานี่แล้ว... เราก็คิดเรื่องที่โผเข้ากอดเขาทันทีเลย!
จะให้เขามาเห็นเราหน้าแดงเพราะความอายกับความเขินไม่ได้เด็ดขาด!
... ผ่านไป 10 นาที ...
พวกเราสองคนอยู่ที่นั่นนานไม่ได้ มีหมอเดินเข้าเดินออกตลอดเวลา แม่ของญาดาเองก็เดินเข้ามาในห้องด้วย
เพื่อป้องความเสี่ยงที่พลังคลาดเคลื่อนเวลาจะล้มเหลว พวกเราจึงตัดสินใจแยกย้ายกันกลับ เพราะต่อให้อยู่นานกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ก่อนที่วอร์เรนจะกลับ เขาถามฉันถึงเรื่องบางอย่าง
“เธอตัดสินใจดีแล้วแน่นะ?”
“อื้อ...”
“เห้อ... ก็ตามใจเธอละกัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งตามที่ขอร้องมา”
“อย่าให้เห็นว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาเชียวล่ะ”
“เดี๋ยวเถอะ!”
ฉันถอนหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองไปหัวเสียกับเขา
“ฉันไม่กลัวอีกแล้วล่ะ... มันเป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจไปแล้วด้วย”
“อย่างที่นายบอกน่ะล่ะ จะวันนี้หรือวันไหน ฉันก็ต้องหันหน้าเข้าหาความจริงอยู่วันยันค่ำ”
“เพราะคำพูดของนาย... ทำให้ฉันคิดได้”
“......รินทร์”
พวกเราสองคนมองหน้ากัน ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ วอร์เรนหันหลังกลับทันทีหลังจากนั้น
“ขอตัวก่อนนะ”
ฉันที่เห็นวอร์เรนหันไปแบบนั้น ก็เตรียมตัวที่จะกลับแล้วเช่นกัน
“โชคดีนะ”
......
เส้นทางที่พวกเขากลับนั้นสวนกัน ต่างคนต่างเดินตรงไปอย่างนิ่งๆ ไม่หันกลับมามองหากัน ราวกับโชคชะตาของทั้งคู่ที่แม้จะได้เจอกัน แต่ก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้พวกเขานั้นต้องแยกจากกัน
เรื่องราวของทั้งสองคนในวันนี้ จะเป็นเรื่องราวที่ถูกตรึงอยู่ในความทรงจำตราบนานเท่านาน ไม่ว่าจะกำลังใจที่นรินทร์ได้รับในวันนี้ หรือการที่วอร์เรนได้รู้จักผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม พวกเขายังคงมีโชคชะตาที่เชื่อมถึงกันต่อไป
............
............
แต่ไม่มีใครรู้เลย
มือของญาดาเริ่มกระดิกขึ้นมาแล้ว
............
............
............
ณ ห้อง ม. 5/4
การเรียนการสอนทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามปกติ หากแต่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตอนนี้จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการเรียนเลยแม้แต่น้อย
มีนที่นั่งจ้องหนังสือกับสมุด แต่ในหัวเธอกำลังคิดถึงเรื่องของนรินทร์อยู่ไม่ห่าง
(รินทร์จะเป็นยังไงบ้างนะ)
(เธอคงใช้โอกาสนี้ไปหาญาดาแล้วแน่เลย)
(เราเองก็อยากรู้ความคืบหน้าเหมือนกัน...)
เธอถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะสะดุ้งขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือที่มีคนโทรเข้า
“อาจารย์คะ... ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำค่ะ”
“อ้อ เชิญเลย”
อาจารย์ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์อนุญาตให้เธอไปเข้าห้องน้ำ แต่หารู้ไม่ว่าเธอนั้นเพียงแค่จะแอบไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเท่านั้น
............
ณ บริเวณบันไดทางขึ้น
(... ถ้าเดาไม่ผิด เบอร์นี้คงจะเป็น...)
ฉันรับสายโทรศัพท์นั้น ซึ่งเสียงที่ออกมานั้นเป็นไปตามที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด เพราะว่าฉันเป็นคนให้เบอร์เขาเองหากมีอะไรคืบหน้า
[ฮัลโหล... นั่นมีนใช่ไหม]
[อะ...ค่ะ! คุณวอร์เรน]
[รินทร์เป็นยังไงบ้างคะ?]
[รินทร์หรอ... ไม่รู้สิ]
[เอ๋?]
[ตอนนี้เราออกมาหาน้ำกินนิดหน่อยน่ะ ส่วนรินทร์ยังนั่งอยู่ในห้องที่ญาดาพักฟื้นอยู่เหมือนเดิม]
วอร์เรนตอนนี้มาซื้อน้ำผลไม้กระป๋องจากเครื่องกดน้ำอัตโนมัติภายในโรงพยาบาล รสที่เขากดมาคือน้ำองุ่นรสโปรดของเขา
เขาแงะฝาปิดของน้ำกระป๋องออกเพื่อดื่มน้ำองุ่น
[ปล่อยให้ยัยนั่นได้พักไปแบบนั้นก่อนดีกว่า เจอเรื่องหนักหนาติดต่อกันทุกวันขนาดนั้น]
ฉันที่คุยสายอยู่ก็เข้าใจดี เพราะงั้นฉันจึงไม่อยากถามอะไรไปมากกว่านั้น
[ฉัน... ไว้ใจคุณได้ใช่ไหม?]
[ถ้าจะฝากให้คุณช่วยดูแลนรินทร์ตอนที่ฉันไม่อยู่]
[พูดแบบนี้อย่างกับไม่เชื่อใจเราเลยนะ เอาน่า เราไม่คิดทำอะไรแปลกๆอยู่แล้ว]
ฉันกังวลใจเรื่องบางเรื่องอยู่ เพราะรินทร์กับวอร์เรนนั้นค่อนข้างจะต่างกันมาก แม้จะเป็นคนที่จริงจังในยามคับขันเหมือนกัน แต่ก็แค่จุดนั้นจุดเดียว
(ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่า...)
[นี่มีน...]
[ว่าไงคะ?]
[รินทร์เนี่ย...... เกลียดผู้ชายมากแค่ไหน?]
[ทำไม... ถึงถามเรื่องนี้หรอคะ?]
ภาพติดตาที่วอร์เรนคิดขึ้นมานั้น คือเหตุการณ์ตอนที่รินทร์เข้ามากอดเขาเพื่อช่วยคลายความเศร้า เรื่องนั้นทำให้วอร์เรนสงสัยทัศนคติบางอย่างที่รินทร์มี
[จะว่าไงดีล่ะ... เรารู้แค่ว่ายัยนั่นไม่ชอบผู้ชายมากๆ]
[แล้วมันเพราะอะไรล่ะ? เราไม่อยากมีปัญหาเพียงเพราะทัศนคติของรินทร์แบบนั้น]
มานึกเรื่องนี้แล้ว ดูท่าคงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจหน่อยหนึ่งล่ะมั้ง
[เรื่องนั้น... ที่ฉันจำได้คือรินทร์เขาไม่ได้เกลียดผู้ชายหรอกค่ะ แต่เขาไม่อยากอยู่ใกล้หรือแตะเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้าม]
[คงเพราะครอบครัวของเขาปลูกฝังความคิดแบบนี้ไว้ ตั้งแต่ฉันรู้จักมา รินทร์ก็เลี่ยงที่จะยุ่งกับผู้ชายมาตลอด เธอมักบอกว่าผู้ชายส่วนใหญ่นิสัยไม่ดี คิดเรื่องลามกบ้างไรบ้าง หรือเป็นเพศที่ชอบใช้แต่กำลังน่ะค่ะ]
[อ๊ะ! แต่เขาไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้หญิงนะคะ]
[หือ... งั้นหรอกเหรอ]
(ถ้าเป็นรินทร์ในสภาพปกติ แค่แตะตัวเราไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ในสภาพจิตใจแบบนั้นคงต้องการใครสักคนที่เข้าใจเขาได้สินะ)
[มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าคะ?]
[เปล่า... ไม่มีอะไร]
[ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเพิ่มไว้ถามจากรินทร์เอาเองละกัน เราโทรมาบอกแค่นี้แหละ]
[เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิคะ-]
เขาตัดสายฉันไปซะแล้ว...
“ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย? คิดจะวางก็วางดื้อๆเลย!”
“ต่างกับรินทร์มากจริงๆ...”
ฉันเก็บโทรศัพท์กลับไปในกระเป๋าเสื้อ แต่ถึงฉันจะคิดแบบนั้นก็เถอะ...
(ถึงอย่างนั้น... ผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ใช่คนไม่ดีอะไร... แต่รินทร์เองก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร มีที่มายังไงกันแน่...)
(เราเอง...... คงต้องคอยจับตาดูผู้ชายคนนี้ไว้บ้างแล้วล่ะ)
............
... ณ ห้องผู้ป่วยที่ญาดานอนพักฟื้นอยู่ ...
......
ฉันกุมมือของญาดาไว้ตลอด ตั้งแต่วอร์เรนออกไปนี่ก็ราวๆเกือบ 10 นาทีแล้ว ฉันยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนนอกจากเฝ้าดูเธอด้วยความเป็นห่วง
“ญาดา......”
ความทรงจำทั้งหมดที่ฉันเห็น เหตุผลทุกอย่างที่ทำให้ฉันมีพลังพิเศษ ตอนนี้ฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นแล้ว
เรื่องวันนั้นเป็นตัวแปรที่ทำให้ฉันใช้พลังได้นี่เอง แต่ว่า...
“ถ้าหากฉัน...... ถ้าฉันรู้วิธีใช้พลังตั้งแต่ตอนนั้น...”
“เธอคงไม่ต้องเป็นแบบนี้...”
“ฉันควรจะหยุดรถคันนั้น แทนที่จะเลือกผลักเธอ... ฉันมันโง่จริงๆ!”
“เพราะฉัน...... เป็นความผิดฉันเอง...”
ระหว่างที่ฉันมัวแต่รู้สึกผิด วอร์เรนก็เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
*ฟืบ*
“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก...”
ตอนที่ฉันมัวแต่รู้สึกผิด ก็ได้ยินเสียงวอร์เรนพูดขึ้นมา รวมถึงพลังบิดเบือนเวลาบางอย่างที่เขาใช้เพื่อเข้ามาในห้องนี้ด้วย
เขายืนพิงผนังห้องพร้อมถือน้ำผลไม้กระป๋องมาสองขวด ซึ่งขวดหนึ่งเขากำลังกินอยู่ ส่วนอีกขวดที่เป็นรถแอปเปิ้ลยังไม่ได้แงะฝา
“ว...วอร์เรน”
“ลองคิดสิ ว่าถ้าเธอเป็นมนุษย์ธรรมดา เธอจะแก้ไขสถานการณ์ตอนนั้นยังไง?”
วอร์เรนพยายามอธิบายให้ฉันฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้นที่ฉันเล่าให้ฟังก่อนที่เขาจะเดินออกไปข้างนอก
“ฉันรู้...... แต่ว่า...”
“เลิกโทษตัวเองสักทีเถอะน่า ถ้าวันนั้นเธอไม่ผลักเพื่อนของเธอไม่ให้โดนรถชน ป่านนี้เพื่อนเธอคงไม่มีโอกาสจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีกรอบแล้วล่ะ”
“ถึงสภาพที่เป็นอยู่มันจะน่าเวทนา แต่มันก็ดีกว่าการที่จะไม่มีโอกาสแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น”
“รินทร์ควรดีใจไว้เถอะ... อย่างน้อย... เธอได้ช่วยชีวิตเพื่อนคนสำคัญของเธอให้รอดพ้นจากความตาย”
(จริงอย่างที่วอร์เรนพูด... เพราะเราช่วยชีวิตเธอไว้ตอนนั้น เธอจึงยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่จนถึงตอนนี้)
(แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีใจหรือสบายใจเลยสักนิด กลับกันเลย)
(มือทั้งสองข้างของเรากลับรู้สึกเหมือนเป็นผู้เปลี่ยนชะตาของญาดาให้มาอยู่ในจุดที่บางทีอาจทรมานยิ่งกว่า)
(ต่อให้พยายามมองโลกในแง่ดียังไง เราก็......)
“ปล่อยวางเถอะ...”
วอร์เรนพูดออกมาให้ฉันฟัง ซึ่งฉันได้ยินแต่ก็ไม่ได้หันไปมอง
“เธอทำเต็มที่แล้ว... มีนเองก็คงคิดแบบเดียวกัน”
“อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย”
............
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณที่ให้กำลังใจฉัน... และช่วยแบ่งพลังเวลาเพื่อดึงความทรงจำเหล่านั้นกลับมา”
“ขอบคุณมากจริงๆ!”
วอร์เรนยิ้มเล็กน้อยหลังจากที่ฉันขอบคุณเขาไป แต่เขาก็ยังแปลกใจว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมหันหน้าไปพูดกับเขา
“ช่างมันเถอะ แต่ทำไมต้องหลบหน้าด้วยล่ะ?”
“ไ-ไม่ได้หลบสักหน่อย”
ก็จะให้หันไปได้ยังไงล่ะ
พอเห็นหน้าอีตานี่แล้ว... เราก็คิดเรื่องที่โผเข้ากอดเขาทันทีเลย!
จะให้เขามาเห็นเราหน้าแดงเพราะความอายกับความเขินไม่ได้เด็ดขาด!
... ผ่านไป 10 นาที ...
พวกเราสองคนอยู่ที่นั่นนานไม่ได้ มีหมอเดินเข้าเดินออกตลอดเวลา แม่ของญาดาเองก็เดินเข้ามาในห้องด้วย
เพื่อป้องความเสี่ยงที่พลังคลาดเคลื่อนเวลาจะล้มเหลว พวกเราจึงตัดสินใจแยกย้ายกันกลับ เพราะต่อให้อยู่นานกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ก่อนที่วอร์เรนจะกลับ เขาถามฉันถึงเรื่องบางอย่าง
“เธอตัดสินใจดีแล้วแน่นะ?”
“อื้อ...”
“เห้อ... ก็ตามใจเธอละกัน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งตามที่ขอร้องมา”
“อย่าให้เห็นว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับมาเชียวล่ะ”
“เดี๋ยวเถอะ!”
ฉันถอนหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองไปหัวเสียกับเขา
“ฉันไม่กลัวอีกแล้วล่ะ... มันเป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจไปแล้วด้วย”
“อย่างที่นายบอกน่ะล่ะ จะวันนี้หรือวันไหน ฉันก็ต้องหันหน้าเข้าหาความจริงอยู่วันยันค่ำ”
“เพราะคำพูดของนาย... ทำให้ฉันคิดได้”
“......รินทร์”
พวกเราสองคนมองหน้ากัน ท่ามกลางความเงียบที่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ วอร์เรนหันหลังกลับทันทีหลังจากนั้น
“ขอตัวก่อนนะ”
ฉันที่เห็นวอร์เรนหันไปแบบนั้น ก็เตรียมตัวที่จะกลับแล้วเช่นกัน
“โชคดีนะ”
......
เส้นทางที่พวกเขากลับนั้นสวนกัน ต่างคนต่างเดินตรงไปอย่างนิ่งๆ ไม่หันกลับมามองหากัน ราวกับโชคชะตาของทั้งคู่ที่แม้จะได้เจอกัน แต่ก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้พวกเขานั้นต้องแยกจากกัน
เรื่องราวของทั้งสองคนในวันนี้ จะเป็นเรื่องราวที่ถูกตรึงอยู่ในความทรงจำตราบนานเท่านาน ไม่ว่าจะกำลังใจที่นรินทร์ได้รับในวันนี้ หรือการที่วอร์เรนได้รู้จักผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม พวกเขายังคงมีโชคชะตาที่เชื่อมถึงกันต่อไป
............
............
แต่ไม่มีใครรู้เลย
มือของญาดาเริ่มกระดิกขึ้นมาแล้ว
............
............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ