Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา

6.5

เขียนโดย Huzure

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  40 Time
  12 วิจารณ์
  39.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

28) อดีตที่ถาโถมเข้ามา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

(โรงพยาบาล/รอยแยกมิติ 13.30)

............

เพื่อจะรู้เรื่องราวของพวกเราสองคน ฉันจึงกู้เวลาตามคำแนะนำของวอร์เรน และในตอนนี้...

ภาพที่ฉันเห็นอยู่ เหมือนตัวเองอยู่ในมิติเวลาแห่งหนึ่ง เห็นตัวเราในอดีตกับญาดา... คนที่มีความทรงจำส่วนนี้เชื่อมถึงกัน

“นี่คือความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราสินะ”

“พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วจริงๆด้วย...”

ฉันค่อยๆเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อจะแตะตัวเองที่ยืนอยู่ข้างหน้าเรา

มือของฉันทะลุผ่านไป...

ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่เป็นเพียงภาพที่อยู่ในความทรงจำของพวกเราสองคนเท่านั้น ไม่สามารถจับต้องได้ ทุกอย่างเป็นเพียงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว

เพราะงั้นฉันจึงไม่แปลกใจมากว่าทำไมมือของฉันจึงทะลุผ่านไปแบบนี้

“พอมาเห็นตัวเองซ้อนกันแบบนี้แล้วอย่างกับภาพโฮโลแกรมเลยแฮะ”

“ถึงตอนนี้ฉันจะผมยาวกว่าก็เถอะ”

ไม่นานนักฉันก็เหมือนจะนึกอะไรออกเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

(นี่เป็น... เหตุการณ์ตอนที่พวกเราใกล้สอบปลายภาคตอนอยู่ ม.4 นี่นา)

ภาพที่เกิดรอบข้างฉันคือเหตุการณ์ของวันนั้นทั้งหมด... และทุกเหตุการณ์พวกนั้นจะมีญาดาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

(นี่คือ... ความทรงจำส่วนหนึ่งเกี่ยวกับญาดาที่หายไปสินะ)

ด้านหลังฉันมีแสงที่เหมือนกับทางเดินส่องประกาย

ฉันเลือกที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้น

ทุกครั้งที่ก้าวเดิน... ภาพความทรงจำต่างๆก็เกิดขึ้นรอบตัวฉัน...

ครั้งนี้เป็นภาพตอนที่ญาดา เนล อั้ม และก็ฉัน กำลังซื้อน้ำปั่นกินกันอยู่ข้างนอกโรงเรียน

“นี่มัน...... วันที่พวกเราจะไปเกมเซนเตอร์”

พอฉันก้าวไปอีกไม่กี่ก้าว ภาพรอบตัวก็เปลี่ยนไปอีกเช่นเดิม

ญาดากับฉันกำลังถ่ายรูปเซลฟี่ ก่อนจะกดอัพโหลดลงใน Talkbook และมีคนมาคอนเมนต์อะไรต่างๆนาๆ

ถึงแม้ว่าญาดาจะทำหน้าทำตาพิลึกพิลั่นเพราะนิสัยของเธอเป็นคนซนๆก็เถอะ

“ฮะฮะฮะ เป็นภาพที่ดูไม่ดีจริงๆนะ วันนั้นเนี่ย”

ยิ่งฉันเดินมากเท่าไร เหตุการณ์รอบข้างของฉันก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น เป็นความทรงจำเกี่ยวกับญาดาที่ขาดหายไปในตัวฉัน

จนฉันหยุดเดินมาถึงจุดๆหนึ่ง ความทรงจำในส่วนนี้ก็เริ่มแสดงภาพออกมาจากด้านหลังของฉัน

...... วันปฐมนิเทศ ม.4 ......

ใบไม้โปรยปรายร่วงหล่นอยู่เต็มทางเข้าโรงเรียน ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่โรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่เปิดภาคเรียนแรก ฉันเองก็มาเรียนที่นี่ด้วย

แต่กลับมาสาย!!

ฉันรีบวิ่งเพื่อมาถึงโรงเรียนให้ทันเวลาวันปฐมนิเทศ

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

“โอ๊ย!”

และก็สะดุดขาตัวเองซะอย่างนั้น...

“โอย เจ็บเจ็บเจ็บ!”

คนรอบๆข้างมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ทำไมเขาถึงมองกันอย่างนั้นนะ

และผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา

“เอ่อ......”

“หวอเธอเปิดน่ะ”

“เอ๋?”

ฉันค่อยๆก้มลงมามองกระโปรง... มันกำลังเปิดหวอ...

“ว้าย!”

“ข-ขอโทษนะคะ ฉันต้องรีบไปให้ทันงานปฐมนิเทศค่ะ!”

“เดี๋ยวก่อนสิ”

*ควับ*

เธอคนนั้นคว้าคอเสื้อฉันไว้ไม่ให้รีบเข้าไปที่โรงเรียน

“เวลาปฐมนิเทศมันแปดโมงครึ่งนะ นี่ยังแค่แปดโมงอยู่เลย”

“เห? จริงดิ?”

อายมาก! อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย!!

“อ่านกำหนดการณ์บ้างเปล่าเนี่ย?”

เธอปล่อยมือจากคอเสื้อฉัน พอฉันมองเธอดีๆแล้ว ผมของเธอซอยสั้นอย่างกับผู้ชาย ไหนจะแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย เธอตัวสูงกว่าฉันเล็กน้อย แถมหุ่นยังดูเพรียวเหมือนนักกีฬาด้วย

“เชื่อเธอเลยแฮะ พึ่งจะเป็นนักเรียนที่นี่วันแรกก็จำเวลาผิดซะแบบนี้”

“เอ่อ... คือฉัน... เรียนมาตั้งแต่ ม.ต้น แล้วน่ะ”

“งั้นก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่! เรียนมาตั้งแต่ ม.ต้น แล้วยังปรับตัวกับโรงเรียนตัวเองไม่ได้อีกรึไง!?”

“เอ่อ... เอ่อ... ขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษฉัน!! เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

ใบหน้าที่ดูห้าวน่ากลัวของเขา ทำให้ฉันที่เป็นเพียงผู้หญิงทั่วๆไปคนหนึ่งรู้สึกถึงความอ่อนแอขึ้นมา

ตัวของฉันเกร็งไปทั่ว นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ ที่มีคนมาต่อว่าความซุ่มซ่ามงุ่มง่ามของฉันแบบนี้

“คือ... ฉันน่ะ......”

เธอเอามือแตะบ่าของฉันไว้

“เราชื่อ ญาดา น้ำมุณี”

“น้ำมุณี...... หรือว่า?”

“ไม่ต้องสนเรื่องนามสกุลหรอกน่า เราก็เป็นนักเรียน ม.ปลายเหมือนกับเธอนั่นล่ะ ต่างแค่ฉันพึ่งเข้ามาเรียนที่นี่”

“แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร?”

“เอ๊ะ... ฉันชื่อ... นรินทร์”

ญาดาคนนั้นยิ้มด้วยความดีใจ...

“ชื่อเพราะดีนี่! ไว้ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันนะ”

เธอเดินผ่านตัวฉันชิงเข้าโรงเรียนก่อน

“เอ้อ แต่ถ้าไงคราวหน้า”

ญาดาหันหน้ากลับมาหาฉัน

“ช่วยเลิกประหม่าด้วยนะ พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันใช่มะ?”

ในวินาทีที่ฉันยังยืนนิ่งอยู่ ฉันยิ้มตอบเธอด้วยความดีใจ

“อื้อ!”

............

จิตฉันในรอยแยกมิติกำลังยืนอยู่ด้านหลังตัวของฉันในอดีต ภาพนั้นคือวันแรกที่พวกเราสองคนเจอกัน

ฉันเดินต่อไปเรื่อยๆ มีเหตุการณ์ต่างๆระหว่างพวกเราสองคนเกิดขึ้นมากมาย ส่วนมากมักจะมาจากความซนของญาดา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอมีเรื่องชกต่อยกับผู้ชายนอกโรงเรียนจนเกือบถูกทำโทษ

(วันนั้นถ้าจำไม่ผิด มีผู้ชายมามองหน้าเราด้วยแววตาน่ากลัว ญาดาก็พุ่งเข้าไปต่อยเพราะคิดว่าเป็นนักเลง ดีที่อาจารย์ที่ปรึกษาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ)

เดินมาถึงอีกจุดหนึ่ง แม้กระทั่งเรื่องที่เธอเอาคืนเพื่อนที่แกล้งเราบางคนก็แสดงมาให้ฉันเห็นรอบตัว

(นั่นสินะ... ถ้าเราไม่ได้ญาดาช่วยไว้ตั้งหลายครั้ง... เราคงจะเป็นเพียงคนขี้กลัว ไม่อยากยุ่งโลกภายนอกอยู่เหมือนเดิม)

และฉันก็มาถึงอีกจุดหนึ่ง...

วันนั้นพวกเราเหมือนจะใช้ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ไปเที่ยวทะเลกันหลายคน

เนลกับอั้มก็นอนหลับสนิทอยู่ในรีสอร์ท มีนวันนั้นเหมือนจะไม่ได้มาด้วยเพราะไปเที่ยวกับที่บ้าน

ฉันกับญาดาจึงไปเดินหาดยามค่ำคืนกันสองคน

ท้องทะเลนั้นสวยงาม มีเสียงคลื่นมาบ้าง แต่เสียงอื่นๆนั้นเงียบสนิทด้วยที่เป็นเวลากลางคืน

“ฮะฮะ ใช้ไม่ได้เลยนะ ยัยสองคนนั่นน่ะ”

“อย่าพูดงั้นสิ วันนี้พวกเราก็เล่นน้ำกันมาทั้งวันแล้วนะ”

“ชิ...... เธอนี่ก็ใจดีตลอดเลยนะ”

“แล้วเป็นไงบ้างล่ะ... ชมรมที่ฉันแนะนำไป”

“อื้อ... มันเป็นเรื่องที่ฉันชอบด้วยแหละ... แต่ไม่รู้จะทำได้ดีรึเปล่า”

*แปะ*

เธอตบหลังฉันซะสะดุ้งเลย

“เอาเถอะน่า! เชื่อใจในตัวเองหน่อยสิ”

“อ่า... จะพยายามนะ”

ระหว่างที่พวกเราเดินอยู่ริมหาด ญาดาก็หยุดเดินและมองออกไปในทะเล

“นี่รินทร์”

“เธอคงรู้ใช่ไหม ว่าเราเป็นลูกของผู้อำนวยการคนปัจจุบันน่ะ”

“อื้ม”

“เพราะแบบนั้น... จึงไม่มีใครในโรงเรียนนี้อยากยุ่งกับเรา”

“ไหนจะบอกว่ากลัวพ่อบ้างล่ะ กลัวโดนทำโทษบ้างล่ะ คิดว่าเราหยิ่งบ้างล่ะ”

“เธอเองก็คงคิดงั้นด้วยใช่มะ?”

“ไ-ไม่ใช่นะญาดา... ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลย!”

“ฮิฮิ ล้อเล่นน่า ล้อเล่น”

แววตาของญาดาตอนนี้ราวกับว่ากำลังย้อนนึกถึงความทรงจำที่ตัวเองไม่ค่อยชอบออกมาอยู่เลย

“พ่อเราบังคับให้เราย้ายมาเรียนที่นี่ ทั้งๆที่เราไม่อยากมาเลยสักนิด เพียงเพราะพ่ออยากให้เราอยู่ในสายตาตลอดก็แค่นั้น”

“การที่เรามาที่นี่... เราต้องห่างเพื่อนๆทุกคนในช่วงชั้น ม.ต้น ไหนจะต้องมาอยู่ในสภาพสังคมที่รู้ว่าคนรอบตัวจะมองเรายังไง”

“ชีวิตที่ถูกบีบบังคับแบบนั้นน่ะ... มันไม่สนุกหรอกนะ”

“ญาดา......”

เธอก้มลงไปเกลี่ยทรายเล่นข้างล่าง ฉันเองก็ก้มตามไปดู

“ชีวิตของผู้คนน่ะคือทะเล กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้ เพราะแบบนั้นแล้วมนุษย์จึงไม่เคยหยุดอยู่กับที่ไงล่ะ”

“ไม่ว่าจะยังไง เราจะไม่ยอมให้ผู้ใหญ่ใช้ความเอาแต่ใจบงการชีวิตเราตามใจชอบได้หรอก เราอยากเลือกทางของเราเอง มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเอง”

“เธอก็คิดแบบนั้นใช่ไหม นรินทร์”

“...... เอ่อ ......”

ฉันไม่รู้จะตอบเธอยังไง เพราะว่าฉันน่ะ...

“อะ... ขอโทษนะ... เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เธอรู้สึกแบบนั้น”

“ไ-ไม่เป็นไร... ฉันไม่ถือสาญาดาหรอก”

“หึหึ... เธอนี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”

“เปลี่ยนไปเยอะยังไงหรอ?”

พวกเราสองคนนั่งคุยกันตรงพื้นทราย โดยเอารองเท้าแตะรองก้นไว้ไม่ให้ทรายเลอะกางเกงของพวกเรา

“ตอนที่เรารู้จักเธอ ในหัวเราคิดอยู่แต่ว่า ยัยนี่ขี้กลัวชะมัดยากเลย ทำตัวให้น่าแกล้งเกินไปแล้ว หรืออะไรทำนองนั้นน่ะ”

“เอ่อ... มันก็จริงนี่นา... ฉันชอบอยู่เงียบๆ อยู่คนเดียว แม้ว่านานๆทีมีนหรือพวกอั้มจะแวะมาคุยด้วยบ่อยๆด้วยก็เถอะ”

“เพราะฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ม.1 แล้ว เพื่อนๆเลยชอบเรียกฉันว่ายัยมืดมน จนฉันรู้ชินไปแล้วล่ะ”

“ชิน...... ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้สึกอะไรสักหน่อย”

“อย่าให้ความชินนั่นมาเป็นเพียงความเจ็บปวดที่เราต้องแบกรับอยู่ทุกวัน”

“เราเอง...... ก็ไม่อยากจะรู้สึกชินกับสายตาของคนรอบข้างแบบนี้เหมือนกัน”

ฉันได้แต่นิ่งเงียบ เพราะอึ้งในคำพูดที่เธอพูดออกมา

............

“ก็ว่าไปนั่น... นี่รินทร์”

เธอเอามือมาขยี้หัวของฉัน

“อ-อูย อย่าขยี้ดิญาดา หัวฉันยุ่งหมดแล้ว!”

“ช่วยเป็นเพื่อนของเราแบบนี้ต่อไปได้ไหม?”

ญาดาหยุดขยี้หัวฉัน พร้อมกับพูดออกมาอย่างจริงจัง

“เราไม่อยากจะ... อยู่คนเดียวอีกแล้ว......”

(นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นญาดาทำท่าทีเหมือนคนอ่อนแอแบบนี้)

(ปกติเธอมักจะเข้มแข็ง คอยปกป้องเราอยู่เสมอ แล้วทำไมครั้งนี้ถึงได้...)

เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามาช่วยทำให้พวกเราตื่นจากความเงียบงันในห้วงเวลานั้นได้ ฉันยืนขึ้นมาเหนือตัวญาดาทันที

“ไม่ใช่แค่ต่อไปหรอก แต่จะเมื่อไรพวกเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว!”

“ญาดา!”

“ร...รินทร์......”

“ฉันเองต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เธอช่วยเป็นเพื่อนฉัน คอยปกป้องฉันมาตลอด”

“แต่ตั้งแต่วันนี้... ฉันไม่อยากให้ญาดาต้องทำสีหน้าอ่อนแอแบบนี้อีกแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องมาปกป้องฉันตลอดเวลา”

“ฉันน่ะอยากจะ... เข้มแข็งขึ้น... อยากจะเป็นเหมือนกับเธอ!”

“เพราะฉะนั้นแล้ว...... เธอต้องอย่าทำตัวอ่อนแออีก! เธอยังมีฉัน และทั้งเนล อั้ม มีน ทุกคนคือเพื่อนของเธอ!”

ในเวลานั้น ทำไมกันนะ... ปกติใบหน้าของญาดาที่ดูห้าวอย่างกับผู้ชาย รวมถึงผมที่สั้นแบบนั้นอีกด้วย

คราบน้ำตาเธอไหลออกมาอย่างช้าๆ ใบหน้าของเธอตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง

“ขอบคุณนะ...... รินทร์”

............

(นั่นเป็นคำสัญญาที่เราให้ไว้กับญาดารวมถึงตัวเอง)

(เพื่อที่จะเข้มแข็งขึ้น เราจึงปรับเปลี่ยนบุคลิกตัวเองมาโดยตลอด ไม่ทำตัวอ่อนแอ ตั้งใจเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวเพื่อไม่ให้เธอต้องปกป้องเราทุกเวลา)

(และเพื่อที่จะเป็นเหมือนกับเธอคนนี้... เราอยากเข้มแข็งให้ได้เหมือนกับเธอ และอยากอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนของเธอต่อไป)

*ติ๊ก...*

(แล้วทำไม......)

(แล้วทำไมฉันถึงทิ้งเธอไว้คนเดียวแบบนี้! ญาดา!!)

ตัวฉันที่ยืนอยู่หลังภาพในอดีตอันนั้น ได้แต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ที่ตัวเองไม่สามารถจำเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นมาได้เลย ทั้งเรื่องเมื่อสองสัปดาห์ก่อน และเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด เราเป็นคนทิ้งเธอให้อยู่อย่างเดียวดายมาโดยตลอด

ขณะที่ตัวเรายังคงเสียใจกับความรู้สึกนั้น... เหตุการณ์รอบข้างก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

และเหตุการณ์ครั้งนี้...

คือเหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ในสถานที่เริ่มต้นคือช่วงเย็นของโรงเรียนมาเจสติกวิทยา

“นี่มัน......?”

......

“โห้ย รินทร์!”

ญาดาวิ่งมาหาฉัน (ในอดีต) ตอนที่ฉันกำลังจะกลับบ้าน

“ญาดา?”

เธอวิ่งมาถึงก็ทำท่าทีเหนื่อยอย่างกับวิ่งมาแต่ไกลงั้นแหละ

“กำลังจะกลับบ้านใช่ไหม?”

“อะ อื้อ”

“ช่วยพาเราไปส่งที่บ้านหน่อยสิ ขอร้องล่ะ”

“เอ๋? ทำไมกันล่ะ?”

“หรือว่า มีปัญหากับพ่ออีกแล้วหรอ?”

เดาถูกสินะ ญาดาหลบสายตาเราทันทีหลังจากพูดเรื่องนี้

“เอาเถอะน่า! พาเราไปส่งหน่อย นะนะนะ”

ฉันยิ้มให้เธอก่อนที่พวกเราจะเดินออกไปนอกโรงเรียนด้วยกัน

ถึงจะเล็กน้อยแต่ก็ดีใจที่เราได้ช่วยเหลือญาดาบ้างสักครั้งแหละนะ

... ระหว่างทางกลับบ้านญาดา ...

“คุณผอ. บอกให้ญาดาเลือกเรียนหมอหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ไอ้เราก็พยายามบอกแล้วว่าอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน พ่อก็ไม่เคยคิดจะฟังกันเลยสักครั้ง”

ญาดาเดินไปคอตกไปเรื่อยๆเลย

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งคุณ ผอ. จะต้องเข้าใจญาดาแน่นอน”

“แต่จะเมื่อไรกันล่ะ?”

“ให้ตายสิ! แค่ทุกวันนี้เข้าชมรมวาดการ์ตูนก็โดนบ่นแย่ละ ยังจะโดนบังคับให้เรียนหมออีก แบบนี้มันยิ่งหน่ายเข้าไปใหญ่”

“ใจเย็นๆ”

ญาดาเกาหัวยิกๆด้วยความหงุดหงิด ฉันได้แต่มองด้วยสายตาอึนๆ

“เอาเถอะ... อย่างน้อยแค่รินทร์เข้าใจเราก็ดีถมไปแล้วล่ะ!”

“ฮะฮะ... เขินแย่สิแบบนี้”

พวกเราเดินมาจนถึงทางแยกหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เป็นคนละทางกับทางกลับบ้านของเรา ถ้าข้ามแยกนี้แล้วเดินไปสักพักก็จะเจอคอนโดที่ญาดาอยู่

“รินทร์...”

“หือ?”

“เรายอมรับนะ ว่าบางทีเราก็อิจฉาชีวิตที่มีอิสระแบบเธอเหมือนกัน”

“มันก็ใช่ว่าดีหรอกนะ แต่อย่างน้อย... เราก็ได้ทำอะไรด้วยตัวเอง มากกว่าที่จะต้องทำอะไรตามความต้องการของคนอื่น”

“เราดีใจนะ... ทั้งได้เรียนรู้ชีวิตในด้านอื่นๆ ได้รู้จักเพื่อนที่สำคัญ”

“เราชอบเธอมากเลยล่ะ!”

“เอ๋?”

เธอบอกว่า... ชอบเรางั้นหรอ... ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มนั่น... แก้มแดงๆนั่นอีก...

“เอ่อ... คือ... ที่เธอบอกว่าชอบนั่นมัน......”

“ฮิฮิ ล้อเล่นน่า ล้อเล่น”

ไฟจราจรขึ้นสีแดง ส่งสัญญาณบอกว่าตอนนี้สามารถข้ามทางม้าลายได้แล้ว ญาดารีบวิ่งแซงหน้าทุกคนที่กำลังข้ามก่อนที่จะหันหน้ามาหาเราด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

“แต่ถ้าจะคิดว่าเราพูดความจริงแทนก็ได้นะ!”

(เอ๊ะ... หรือว่าที่เธอบอกว่าชอบ......)

*เอี๊ยด*

“รถเบรกแตก!!”

“หลบเร็ว!!”

เสียงรถไถล เสียงคนตะโกน!

ฉันเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งขับพุ่งออกมาจากฝั่งตรงข้ามของแยกนั้น ชนเข้ากับเสาสัญญาณจราจรล้ม ก่อนจะพุ่งเข้ามาในฝั่งตรงข้ามทางม้าลายที่เรายืนอยู่

“ญาดา!!!”

ในวินาทีที่ญาดาหันหน้าออกมาทางขวา เธอเห็นรถบรรทุกคันนั้นห่างจากตัวเองไม่ถึง 6 เมตร วินาทีนั้นราวกับว่าในหัวของเธอนั้นขาวโพลน เผลอหยุดนิ่งด้วยความกลัว

จนรถบรรทุกคันนั้นจ่อเข้าใกล้

*ฟึ่บ*

“เอ๊ะ?”

ฉันพุ่งเข้ามาผลักญาดาด้วยความเร็วที่ผิดปกติ จนร่างของเรานั้นยืนอยู่ตรงหน้ารถบรรทุกคันนั้น

ด้วยความกลัวกับความตกใจ เสี้ยววินาทีนั้นฉันคิดอะไรไม่ออกเลย

(หยุด... หยุดสิ)

“หยุด!!!”

ทันใดนั้นเอง รถบรรทุกคันนั้นก็ถูกหยุดอยู่ต่อหน้าต่อตาฉันและคนแถวนั้นทุกคน โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้รถคันนั้นหยุด

ฉันตะเกียดตะกายพุ่งหลบรถบรรทุกมากลางถนนโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่รถคันนั้นจะเฉี่ยวตัวฉันพุ่งเข้าชนพุ่มไม้ตรงเกาะกลางถนน

เพราะรถบรรทุกนั้นไม่ได้มีความเร็วสูงมากตั้งแต่ต้น พอขึ้นบนเกาะกลางทำให้ความเร็วของมันถูกชะลอลงจนหยุด

ความโกลาหลนั้นเกิดไปทั่วทางแยก ฉันพยายามตั้งสติยืนขึ้นมาทั้งๆที่ร่างกายของตัวเองก็กระแทกกับพื้นเจ็บอยู่

“ญาดา... ญาดา!!!”

ฉันรีบวิ่งไปหาญาดาด้วยความตื่นตระหนก... จนฉันได้เห็น...

ได้เห็น......

ญาดา...... นอนสลบหัวกระแทกกับขอบฟุตบาท...

เธอนอนแน่นิ่ง... ไม่มีท่าทีว่าจะตอบสนองอะไรเลย... มีเลือดไหลท่วมออกมาจากหัว

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? รถชนงั้นหรอ?”

“มีใครบาดเจ็บไหม?”

“คนในรถบรรทุกเหมือนจะปลอดภัยดี”

“ตรงนั้นมีเด็กอยู่อีกสองคนด้วย!”

การจราจรหยุดชะงัด ผู้คนเริ่มพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เริ่มเดินเข้ามามุงดูพวกเราสองคนใกล้ๆ

“อุบัติเหตุหรอ?”

“ฉ-ฉันเห็นเด็กคนนั้นผลักเด็กอีกคนหนึ่งมาโดนฟุตบาทด้วย!”

“จะบ้าหรอ เธอพยายามช่วยชีวิตเขานะ!”

“แต่ว่า... สภาพของเธอมัน......”

......

ท่ามกลางเสียงซุบซิบของผู้คน ฉันได้แต่ยืนตาค้างมองญาดาที่ยังแน่นิ่งไม่ได้สติ จิตใจของฉันกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ความผิดพลาดที่ฉันพยายามช่วยชีวิตเพื่อนคนสำคัญของฉัน...

กลายมาเป็นต้นเหตุให้เพื่อนของฉันต้องบาดเจ็บซะเอง...

ในขณะที่ฉันมีชีวิตรอด และเพื่อนของฉันที่มีสภาพเหมือนกำลังจะตาย...

“เราชอบเธอมากเลยล่ะ!”

(ไม่นะ......)

(มันไม่เป็นความจริงใช่ไหม)

(ไม่จริง... มันไม่ใช่เรื่องจริง......)

ฉันหันมองคนที่มุงดูเหตุการณ์รอบข้าง... ทุกคน... ไม่สิ นี่มันไม่ใช่คน!

มันคือปีศาจ! ลูกตาพวกนั้นคือลูกตาของปีศาจที่มองเรากระทำบาปอันชั่วช้า

(ไม่ใช่...... ไม่ใช่นะ)

(ฉันไม่ได้ทำ... ฉันไม่ได้ตั้งใจ!)

(พอ...... พอกันที)

เสียงหัวเราะของปีศาจดังกึกก้องอยู่ในหัว แม้จะปิดหูยังไงก็ยังได้ยินราวกับมันเป็นภาพหลอนติดหูฉัน จิตใจของฉันเริ่มอ่อนแอไม่สามารถแบกรับอะไรต่อไปไม่ไหวแล้ว

(พอสักทีสิ... ฉันไม่อยากได้ยินแล้ว)

(ญาดา... ญาดา!!)

(ขอร้องล่ะ...... ช่วยหยุดหัวเราะสักที!)

“พอได้แล้ว!!!”

*ครืน*

นาฬิกาพกเรือนนั้นที่เราพกติดตัวไว้ในเสื้อมาตลอด......

ส่งปฏิกิริยาบางอย่าง มีออร่าบางอย่างเกิดขึ้นรอบบริเวณนั้นโดยที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน

จุดศูนย์กลางคือตัวฉัน และขอบเขตแปลกๆนั่นก็กระจายปกคลุมทั่วบริเวณแยกนั้น และไกลออกไปอีกบางส่วน

หลังจากเหตุการณ์นั้น...

หลังจากนั้น... งั้นหรอ...

............

............

“เฮือก!!”

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

“รินทร์!”

ผมเรียกรินทร์ที่ทำสีหน้าตกใจแปลกๆหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา

“กลับมาสักที! รู้ไหมว่าเธอเล่นใช้พลังในส่วนของเราไป---”

*ฟึ่บ*

ยัยรินทร์... พุ่งเข้ามากอดผมทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว...

“เ-เห้ย เธอทำอะไ-”

“ช่วยอยู่เฉยๆสักนาทีหนึ่งได้ไหม?”

เสียงที่จริงจังของเธอ... แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร...

“ฉันไม่ได้ชอบหรอกนะ... แต่ขอให้ฉัน”

“ได้อยู่แบบนี้ไปสักพักที!!”

เธอยังคงนิ่งเงียบหลังจากกอดผม ตอนนั้นผมสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเธอนั้นเสียใจมาก แต่ก็พยายามข่มจิตใจไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าผม

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายเข้ามากอดผม แต่ผมก็กลับทำได้เพียงแค่ยืนเฉยๆ ไม่สามารถพูดหรือโอบกอดเธอเพื่อปลอบได้เลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นอีกครั้ง... ที่ผมเห็นด้านอ่อนแอของเธอ... ไม่ว่าจะมนุษย์คนไหน จะผู้ชายหรือผู้หญิง เมื่อได้เผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายแบบนั้น...

... ก็จะรู้เองว่าจิตใจของมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วอ่อนแอมากเพียงใด ...

............

............

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา