Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
6.5
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
40 Time
12 วิจารณ์
40.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) เผชิญหน้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(สะพานข้ามคลองเล็กๆ 12.53)
............
วอร์เรนบอกว่าจะเอาความทรงจำที่ยังขาดไปพวกนั้นกลับมา ท่าทีที่มั่นอกมั่นใจขนาดนั้นมันอะไรกันล่ะนั่น
“นายบอกจะเอาความทรงจำที่เหลือกลับมา?”
“จะเอากลับมายังไงล่ะ?”
จนถึงตอนนี้ฉันได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ถึงจะยังเป็นบางส่วนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้นก็เถอะ
“ความทรงจำที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อญาดาถูกลบออกไปใช่ไหมล่ะ ทั้งในส่วนของเธอ”
“และเพื่อนๆคนอื่นที่รู้จักญาดาด้วย”
“เอ๋?”
ฉันก้มหน้าทบทวนสิ่งที่วอร์เรนพูดมาเมื่อกี๊
(เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ)
(เหตุผลที่เราหรือคนอื่นๆนึกถึงเรื่องญาดาไม่ออกเป็นเพราะ...)
“ยังไงก็เถอะ ถ้าเป็นตอนนี้อาจจะยังทันอยู่นะ”
ตานั่นเดินสวนฉันไปอีกทาง ก่อนจะหันหน้ามาหาเรา
“มากับเรา... ไปหาญาดาเพื่อกู้คืนเวลาที่ลบไปกลับมา”
ให้เราไปหาญาดา... คนที่เราผลักจนเธอล้มหัวกระแทกคนนั้น......
พอคิดแค่นี้ตัวเราก็เริ่มสั่นขึ้นมาอีกแล้ว การที่ต้องไปเจอหน้าคนที่เราเป็นต้นเหตุของการบาดเจ็บนั่นแบบนี้แล้ว... จู่ๆความกลัวก็เพิ่มพูนขึ้นมาทันที
“ต-ต้องไปหา... ญาดา...”
“ท-ทำไมถึงต้องไปหาเขาด้วยล่ะ”
วอร์เรนทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เรายังลังเล
"เธอเองก็คงจะรู้อยู่แล้วหนิ การกู้คืนเวลาก็คือการอ่านเวลาที่ลึกลงไปยังอดีตของเป้าหมาย ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการรับรู้มากเท่าไรก็ยิ่งได้ความทรงจำที่แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น"
"หากเธอตีกรอบให้ความทรงจำทั้งหมดที่เห็นมีแต่ความสัมพันธ์และเรื่องราวระหว่างพวกเธอสองคน ก็จะเลี่ยงการใช้พลังเวลาอย่างสิ้นเปลืองได้""
"ก็อย่างที่เธอเห็นความทรงจำบางส่วนตรงทางแยกนั่นแหละ แต่เธอยังไกลจากเป้าหมายในการดึงความทรงจำกลับมาอย่างญาดาอยู่โข"
"รินทร์ ถ้าเธอมัวแต่ยืนแข็งทื่ออยู่แบบนี้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ"
“มั่นใจในตัวเองหน่อย!”
คำพูดของเขาทำให้ฉันสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา
“......”
“ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึก... ก็จริงอยู่ที่การเผชิญหน้ากับความจริงบางครั้งมันก็อาจต้องใช้เวลาเพื่อเยียวยาบ้าง”
“แต่ในอีกมุมหนึ่ง...”
“จากที่เห็นเธอยอมรับความจริงเรื่องที่หนักหนาแบบนั้นได้ เราเชื่อว่าอุปสรรคต่อไปเธอก็ผ่านพ้นได้แน่นอน”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเลือกอะไร......”
“จะรับรู้เรื่องทุกอย่างวันนี้ด้วยตัวเอง... หรือจะเลือกตอนไหน-”
“ฉันจะไป...”
วอร์เรนหันหน้ามาหาฉันหลังจากที่ตอบคำถามของเขาไป
“ฉันเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริงตั้งแต่ฉันรับรู้ความทรงจำพวกนั้นแล้ว...”
“เพราะงั้น... ฉันจะสู้กับความจริงตรงหน้าอีกสักครั้ง......”
ยืนยันคำตอบเรียบร้อยแล้ว ทั้งต่อตัวเอง และอีตานี่
“เข้าท่าดีนี่”
“งั้นก็ไปกัน-”
ฉันคว้าเสื้ออีตานี่ไว้ก่อน
“แล้ว...... จะไปที่ไหน?”
............
[. . .]
“ก็......โรงพยาบาลสักแห่งแหละ หรืออาจจะตามคลินิกก็ได้-”
*จึ้ก*
“จ๊าก!! ตา! ตาช้านนนน!!”
หมั่นไส้อีตานี่ชะมัด จิ้มตาเบาๆแค่นี้แล้วยังจะลงไปเกลือกกลิ้งอีกนะ
“นายจะงี่เง่าไปถึงไหนกันยะ!?”
“ทำอะไรหัดเตรียมการณ์ให้มันดีกว่านี้หน่อยเซ่!”
“ก็เราไม่ได้จำนี่หว่าว่ายัยนั่นพักอยู่ที่โรงพยาบาลไหน!? เธอเองก็เถอะ! ไม่คิดจะหาข้อมูลอย่างอื่นตอนเข้าไปในห้องนั้นเลยรุไง!?”
“อย่าพูดบ้าๆนะ! นายคิดว่าฉันในสภาพจิตใจแบบนั้นจะมีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นอีกหรอ!? แค่... แค่ตอนที่รู้อาการของเธอ... ฉันก็... คิดอะไรไม่ออกแล้ว”
เราพยายามข่มความกังวลใจไว้ระหว่างที่เถียงกับอีตานี่ ต่อจากนั้น...
*กริ๊ง กริ๊ง*
เสียงมือถือฉันดังอีกแล้ว คราวนี้พอฉันหยิบมือถือมาดู คนที่โทรมารอบนี้เป็นมีน
“มีน?”
*ปุ๊ป* (กดรับ)
[ฮัลโหลรินทร์]
[ฉันรู้โรงพยาบาลที่ญาดาอยู่แล้ว]
[เอ๋? ทำไมมีนถึง...]
[ฉัน...... เข้าไปคุยกับผอ. มาน่ะ]
*ย้อนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน*
(ณ ห้องผู้อำนวยการ)
ผอ. ดูรูปภาพญาดาขี่คอตัวเองด้วยความอาลัยอาวรณ์
หมอเคยบอกว่าโอกาสรอดของญาดานั้นต่ำ หากจะรอดกลับมาเป็นปกติคงต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้น
*ก๊อกๆ* (เสียงเคาะประตู)
“...... เชิญ ......”
มีนแง้มประตูเข้ามาอย่างช้าๆ
............
“คุณมานพ... เอ่อ... ท่านผู้อำนวยการคะ”
“เรียกแค่ชื่อเฉยๆก็ได้ ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกซะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
ฉันเห็นเขาวางกรอบรูปภาพตั้งโต๊ะไว้ เหมือนภาพนั้นจะเป็นภาพที่สำคัญสำหรับเขามากเลย
(ในรูปภาพนั่น... คงจะเป็น...)
“ว่าแต่มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“หรือจะเกี่ยวกับการเรียน?”
(วิธีการพูดของเขาต่างจากเมื่อวานมาก คงเพราะเมื่อวานเขาอยู่ในอารมณ์ที่โกรธมากจนพูดอะไรไม่ดีออกมา)
(แปลว่าตอนนี้... ถ้าเราพยายามพูดกับเขาดีๆ......)
“ไม่ใช่เรื่องเรียนหรอกค่ะ...”
“ฉันมาคุยเรื่องของญาดาน่ะ-”
*ปั้ง*
ทันใดนั้นเอง ผอ. ที่มีท่าทีสงบนิ่งมาตลอด พอได้ยินฉันพูดชื่อญาดาออกไปก็ถึงกับเอามือทุบโต๊ะ พร้อมกับส่งสายตาด้วยความตื่นตะลึงออกมา
“เธอ......รู้จักญาดา?”
“ค่ะ...... ฉันรู้จักญาดาค่ะ”
(จะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด ว่าฉันจริงๆแล้วไม่มีความทรงจำเรื่องเธอเลย ที่รู้มาจากรินทร์นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่)
“ไ-ไม่น่าเชื่อ...... เกือบสองสัปดาห์กว่าๆมานี่... ไม่มีใครที่มาถามหาเธอเลย”
“เธอเป็น... เด็กคนแรกที่พูดถึงญาดา”
ผอ. เหมือนจะดีใจมากที่ฉันจำลูกสาวของเขาได้ คงต้องพยายามเนียนต่อไป
“แล้วเธอมาถามถึงญาดา เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”
“คือ... ฉันอยากรู้ว่าเธอพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลไหนน่ะค่ะ”
“ฉันอยากจะไปเยี่ยมเขา ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“จะไปเยี่ยมใช่ไหม? ตอนเย็นนี้ผมก็กำลังจะแวะไปเยี่ยมลูกสาวผมพอดี เธอจะมาด้วยกันก็ได้นะ”
“ตอนเย็นวันนี้ฉันมีธุระน่ะค่ะ พอดีชมรมหัตถกรรมที่ฉันอยู่เขานัดประชุมสมาชิกชมรมทุกคน”
“เพราะงั้นฉันเลยอยากรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน... เผื่อว่าจะพาเพื่อนๆทุกคนแวะไปเยี่ยมด้วยค่ะ”
(ยิ้มไว้มีน ยิ้มไว้นะมีน! อย่าให้เขารู้เด็ดขาดว่าเราแถน่ะ!)
“เพื่อนๆที่ว่า...... หมายถึงนรินทร์ด้วยรึเปล่า?”
“เอ่อ... นรินทร์ไหนหรอคะ...?”
“......ไม่มีอะไร... ผมคงคิดมากไปเอง”
เขาเก็บเอกสารบนโต๊ะเตรียมที่จะไปสอนวิชาภาษาอังกฤษในช่วงบ่าย
ก่อนที่เขาออกห้องไป เขาก็บอกที่อยู่ให้ฉันรู้
............
............
*ตัดกลับมาปัจจุบัน*
หลังจากที่ฉัน... คุยกับมีนเสร็จไปสักพัก
พวกเราสองคน ฉันกับวอร์เรนก็มาถึงโรงพยาบาลที่ญาดาอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 13.20 ทางมีนเองก็คงไม่สะดวกที่จะคุยอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แค่นี้ก็ถือว่าเธอช่วยพวกเราได้มากแล้ว
บรรยากาศแบบนี้บางทีก็รู้สึกคุ้นเคยดีเหมือนกัน ฉันเคยเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิตก็เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
ตอนนี้พวกเราเดินไปจนใกล้จะถึงหน้าห้องผู้ป่วยที่ญาดาพักอยู่
แม่ของเธอนั่งอยู่ข้างนอกด้วยแววตาที่ห่วงใยลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา
“นี่ เราจะเข้าไปข้างในยังไงอะ?”
“เข้าไปข้างในหรอ?”
“ถ้าเปิดประตูในเวลาปัจจุบันไม่ได้ ก็เปิดประตูในเวลาอีกมิติหนึ่งสิ”
ฉันแทบจะลืมเรื่องมิติว่างเปล่านั่นไปเลยถ้าเขาไม่พูดขึ้นมา
พวกเราเลยเข้าไปยังมิติว่างเปล่าพร้อมกัน โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยแตกของมิติตรงนั้นพอดี
ในโลกที่ฉันไม่ได้เข้ามาสักพักแบบนี้... ความรู้สึกสะอิดสะเอียน ความวังเวง ความเงียบงันแบบนี้มัน...
พอฉันยืนอยู่หน้าห้องเพื่อจะเปิดประตูเข้าไป มือก็กลับสั่นไม่หยุด วอร์เรนเองก็สังเกตมือเราที่สั่นอยู่ตลอด
(...... จะยังสั่นทำไมอีกล่ะนรินทร์ ......)
(ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว...)
*แกร๊ก*
ในที่สุด... ฉันก็เปิดประตูเข้าไปหาญาดา...
ไม่สิ......
ฉันเปิดประตูเพื่อสู้กับอดีตของฉัน!
*เอี๊ยด*
............
พวกเราสองคนเดินเข้าไปข้างในห้องนั้น ซึ่งขณะนี้ยังเป็นมิติว่างเปล่าอยู่
สิ่งที่พวกเราทำต่อมาคือกลับมายังมิติแห่งเวลาที่แท้จริงอีกครั้ง โดยมันจะทำรอยแยกของมิติเอาไว้ในตำแหน่งที่พวกเราอยู่
ภาพที่ฉันค่อยๆเห็นหลังจากที่กลับเข้ามายังโลกใบนี้
ญาดา......
ผ้าพันแผลรอบหัว สายน้ำเกลือ เครื่องช่วยหายใจ
เธอนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย ไม่สามารถขยับเขยื้อนแบบนี้ได้มาตลอดสองสัปดาห์
ทรมาน...... ความรู้สึกที่สุมอกเราอยู่ตอนนี้มัน......
เจ็บปวด
“ญา......ดา”
ฉันไม่ทันคาดคิด...... ว่าอาการของเธอจะหนักขนาดนี้...
มือของเราค่อยๆเอื้อมไปแตะตัวเธอทั้งที่ยังสั่นอยู่
“ญาดา......”
เราจับมือของเธอไว้ มือของเธอนั้นยังอุ่น ยังมีความอบอุ่นส่งผ่านมาหาเรา
อดีตบางอย่างระหว่างพวกเราสองคนโผล่ขึ้นมาในหัวของฉัน แต่มันคลุมเครือมากๆ
“ญาดา...... ฉันขอโทษ”
“ฉันขอโทษ!”
น้ำตาฉันค่อยๆไหลออกมา ความเสียใจยังคงอัดแน่นอยู่ในใจฉันอยู่ตลอด นั่นคือความเป็นจริงที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
“ต่างกับคนทั่วไป ความทรงจำของผู้ใช้เวลาไม่สามารถลบได้ มันแค่ถูกลบออกจากความนึกคิดของเธอ แต่ความทรงจำนั่นยังคงถูกล็อคอยู่ภายในสมอง”
“ในกรณีของเธอ การลบเกิดขึ้นพร้อมกับตอนที่เธอใช้พลังในฐานะตัวแทนผู้เชื่อมต่อเวลา”
“เคยพูดไว้สินะ ที่มีอาการแปลกๆเกิดขึ้นตลอดช่วงสองสัปดาห์โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว”
“นั่นเกิดจากการที่จิตใจของเธอครึ่งหนึ่งถูกกักอยู่ในมิติว่างเปล่า รวมถึงการใช้พลังลบความทรงจำของคนรอบข้างเกี่ยวกับญาดาโดยไม่รู้ตัวด้วย”
“คงเรียกว่าพลังทะลักออกมามั้ง การบิดเบือนเวลาเพราะความช็อคจากสภาพจิตใจก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ในขณะที่ฉันยังคงเสียใจและอึ้งสิ่งที่วอร์เรนพูด ฉันเห็นเขาเดินมาตรงหัวเตียงที่ญาดานอนอยู่
“รินทร์...... ถ้าเธออยากสู้กับความเป็นจริงล่ะก็”
วอร์เรนกางมือซ้ายที่มีนาฬิกาข้อมือเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง
“จงเอาความทรงจำทั้งหมดกลับมา!”
*ครืน*
จู่ๆ... มือที่ฉันจับมือของญาดาไว้ มีหน้าปัดนาฬิกาเรืองแสงปรากฏขึ้นมา
“นี่มัน...!”
“เราแชรเวลาให้เธอ...... พลังนั่นเป็นหนึ่งในรูปแบบพิเศษ มันจะทำให้เวลาของผู้แชรถูกส่งต่อไปยังผู้รับ”
“เธอจะมีความสามารถในการบิดเบือนเวลา หรือก็คือเธอจะมีพลังในการกู้คืนเวลาได้มากขึ้น”
“เ-เดี๋ยวสิ! ถ้าแชรแบบนั้นแปลว่านาย”
“ช่างเราเถอะ... แค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“เอาล่ะ... ขั้นต่อไป... เธอพร้อมที่จะกู้คืนความทรงจำที่เสียไปไหม”
ฉันครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก
“แม้ว่าจะได้ความทรงจำกลับมา แต่ความรู้สึกผิดที่มีของฉันต่อญาดาก็ยังเหมือนเดิม”
“และถ้านายต้องมาเป็นอะไรเพราะฉันอีกแบบนี้มัน......”
“ไม่ต่างอะไรกับการที่ฉันทำร้ายนายอีกคนเลยนะ”
คำพูดของเราเหมือนจะทำให้วอร์เรนตกใจอยู่ เขาคงไม่คิดว่าเราจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“............”
“ขอโทษนะ...... ญาดา...”
“ฉันรู้ดี... ว่าฉันสู้หน้าเธอไม่ได้หลังจากเห็นความทรงจำแบบนั้น”
“แต่ฉัน...... ก็ไม่อยากจะหนีอีกแล้ว”
“ขอร้องนะญาดา......”
“ช่วยบอกเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพวกเราสองคนที!!”
*ครืน*
............
ทุกสิ่งนั้นขาวโพลน รอบตัวฉันนั้นไม่มีอะไรเลย
ร่างของฉันที่ร่องรอยอยู่แบบนั้น ราวกับว่าจิตใจกำลังมาเยือนในที่ๆหนึ่งที่เราไม่รู้จัก
“นรินทร์!”
ฉันหันกลับไปข้างหลัง มองเห็นตัวเองในชุดนักเรียนชั้น ม.ปลาย กำลังหันหน้าไปหาคนที่เรียกชื่อฉัน
“ไปอ่านหนังสือกัน รินนี่!”
รินนี่...... ผู้หญิงที่เรียกเราว่ารินนี่...
คือญาดา
นี่คือความทรงจำของพวกเราสองคนสินะ เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมอันเลวร้าย
............
............
............
วอร์เรนบอกว่าจะเอาความทรงจำที่ยังขาดไปพวกนั้นกลับมา ท่าทีที่มั่นอกมั่นใจขนาดนั้นมันอะไรกันล่ะนั่น
“นายบอกจะเอาความทรงจำที่เหลือกลับมา?”
“จะเอากลับมายังไงล่ะ?”
จนถึงตอนนี้ฉันได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ถึงจะยังเป็นบางส่วนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์วันนั้นก็เถอะ
“ความทรงจำที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อญาดาถูกลบออกไปใช่ไหมล่ะ ทั้งในส่วนของเธอ”
“และเพื่อนๆคนอื่นที่รู้จักญาดาด้วย”
“เอ๋?”
ฉันก้มหน้าทบทวนสิ่งที่วอร์เรนพูดมาเมื่อกี๊
(เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ)
(เหตุผลที่เราหรือคนอื่นๆนึกถึงเรื่องญาดาไม่ออกเป็นเพราะ...)
“ยังไงก็เถอะ ถ้าเป็นตอนนี้อาจจะยังทันอยู่นะ”
ตานั่นเดินสวนฉันไปอีกทาง ก่อนจะหันหน้ามาหาเรา
“มากับเรา... ไปหาญาดาเพื่อกู้คืนเวลาที่ลบไปกลับมา”
ให้เราไปหาญาดา... คนที่เราผลักจนเธอล้มหัวกระแทกคนนั้น......
พอคิดแค่นี้ตัวเราก็เริ่มสั่นขึ้นมาอีกแล้ว การที่ต้องไปเจอหน้าคนที่เราเป็นต้นเหตุของการบาดเจ็บนั่นแบบนี้แล้ว... จู่ๆความกลัวก็เพิ่มพูนขึ้นมาทันที
“ต-ต้องไปหา... ญาดา...”
“ท-ทำไมถึงต้องไปหาเขาด้วยล่ะ”
วอร์เรนทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เรายังลังเล
"เธอเองก็คงจะรู้อยู่แล้วหนิ การกู้คืนเวลาก็คือการอ่านเวลาที่ลึกลงไปยังอดีตของเป้าหมาย ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการรับรู้มากเท่าไรก็ยิ่งได้ความทรงจำที่แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น"
"หากเธอตีกรอบให้ความทรงจำทั้งหมดที่เห็นมีแต่ความสัมพันธ์และเรื่องราวระหว่างพวกเธอสองคน ก็จะเลี่ยงการใช้พลังเวลาอย่างสิ้นเปลืองได้""
"ก็อย่างที่เธอเห็นความทรงจำบางส่วนตรงทางแยกนั่นแหละ แต่เธอยังไกลจากเป้าหมายในการดึงความทรงจำกลับมาอย่างญาดาอยู่โข"
"รินทร์ ถ้าเธอมัวแต่ยืนแข็งทื่ออยู่แบบนี้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ"
“มั่นใจในตัวเองหน่อย!”
คำพูดของเขาทำให้ฉันสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา
“......”
“ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความรู้สึก... ก็จริงอยู่ที่การเผชิญหน้ากับความจริงบางครั้งมันก็อาจต้องใช้เวลาเพื่อเยียวยาบ้าง”
“แต่ในอีกมุมหนึ่ง...”
“จากที่เห็นเธอยอมรับความจริงเรื่องที่หนักหนาแบบนั้นได้ เราเชื่อว่าอุปสรรคต่อไปเธอก็ผ่านพ้นได้แน่นอน”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเลือกอะไร......”
“จะรับรู้เรื่องทุกอย่างวันนี้ด้วยตัวเอง... หรือจะเลือกตอนไหน-”
“ฉันจะไป...”
วอร์เรนหันหน้ามาหาฉันหลังจากที่ตอบคำถามของเขาไป
“ฉันเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริงตั้งแต่ฉันรับรู้ความทรงจำพวกนั้นแล้ว...”
“เพราะงั้น... ฉันจะสู้กับความจริงตรงหน้าอีกสักครั้ง......”
ยืนยันคำตอบเรียบร้อยแล้ว ทั้งต่อตัวเอง และอีตานี่
“เข้าท่าดีนี่”
“งั้นก็ไปกัน-”
ฉันคว้าเสื้ออีตานี่ไว้ก่อน
“แล้ว...... จะไปที่ไหน?”
............
[. . .]
“ก็......โรงพยาบาลสักแห่งแหละ หรืออาจจะตามคลินิกก็ได้-”
*จึ้ก*
“จ๊าก!! ตา! ตาช้านนนน!!”
หมั่นไส้อีตานี่ชะมัด จิ้มตาเบาๆแค่นี้แล้วยังจะลงไปเกลือกกลิ้งอีกนะ
“นายจะงี่เง่าไปถึงไหนกันยะ!?”
“ทำอะไรหัดเตรียมการณ์ให้มันดีกว่านี้หน่อยเซ่!”
“ก็เราไม่ได้จำนี่หว่าว่ายัยนั่นพักอยู่ที่โรงพยาบาลไหน!? เธอเองก็เถอะ! ไม่คิดจะหาข้อมูลอย่างอื่นตอนเข้าไปในห้องนั้นเลยรุไง!?”
“อย่าพูดบ้าๆนะ! นายคิดว่าฉันในสภาพจิตใจแบบนั้นจะมีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นอีกหรอ!? แค่... แค่ตอนที่รู้อาการของเธอ... ฉันก็... คิดอะไรไม่ออกแล้ว”
เราพยายามข่มความกังวลใจไว้ระหว่างที่เถียงกับอีตานี่ ต่อจากนั้น...
*กริ๊ง กริ๊ง*
เสียงมือถือฉันดังอีกแล้ว คราวนี้พอฉันหยิบมือถือมาดู คนที่โทรมารอบนี้เป็นมีน
“มีน?”
*ปุ๊ป* (กดรับ)
[ฮัลโหลรินทร์]
[ฉันรู้โรงพยาบาลที่ญาดาอยู่แล้ว]
[เอ๋? ทำไมมีนถึง...]
[ฉัน...... เข้าไปคุยกับผอ. มาน่ะ]
*ย้อนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน*
(ณ ห้องผู้อำนวยการ)
ผอ. ดูรูปภาพญาดาขี่คอตัวเองด้วยความอาลัยอาวรณ์
หมอเคยบอกว่าโอกาสรอดของญาดานั้นต่ำ หากจะรอดกลับมาเป็นปกติคงต้องหวังพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้น
*ก๊อกๆ* (เสียงเคาะประตู)
“...... เชิญ ......”
มีนแง้มประตูเข้ามาอย่างช้าๆ
............
“คุณมานพ... เอ่อ... ท่านผู้อำนวยการคะ”
“เรียกแค่ชื่อเฉยๆก็ได้ ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกซะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น”
ฉันเห็นเขาวางกรอบรูปภาพตั้งโต๊ะไว้ เหมือนภาพนั้นจะเป็นภาพที่สำคัญสำหรับเขามากเลย
(ในรูปภาพนั่น... คงจะเป็น...)
“ว่าแต่มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“หรือจะเกี่ยวกับการเรียน?”
(วิธีการพูดของเขาต่างจากเมื่อวานมาก คงเพราะเมื่อวานเขาอยู่ในอารมณ์ที่โกรธมากจนพูดอะไรไม่ดีออกมา)
(แปลว่าตอนนี้... ถ้าเราพยายามพูดกับเขาดีๆ......)
“ไม่ใช่เรื่องเรียนหรอกค่ะ...”
“ฉันมาคุยเรื่องของญาดาน่ะ-”
*ปั้ง*
ทันใดนั้นเอง ผอ. ที่มีท่าทีสงบนิ่งมาตลอด พอได้ยินฉันพูดชื่อญาดาออกไปก็ถึงกับเอามือทุบโต๊ะ พร้อมกับส่งสายตาด้วยความตื่นตะลึงออกมา
“เธอ......รู้จักญาดา?”
“ค่ะ...... ฉันรู้จักญาดาค่ะ”
(จะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด ว่าฉันจริงๆแล้วไม่มีความทรงจำเรื่องเธอเลย ที่รู้มาจากรินทร์นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่)
“ไ-ไม่น่าเชื่อ...... เกือบสองสัปดาห์กว่าๆมานี่... ไม่มีใครที่มาถามหาเธอเลย”
“เธอเป็น... เด็กคนแรกที่พูดถึงญาดา”
ผอ. เหมือนจะดีใจมากที่ฉันจำลูกสาวของเขาได้ คงต้องพยายามเนียนต่อไป
“แล้วเธอมาถามถึงญาดา เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”
“คือ... ฉันอยากรู้ว่าเธอพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลไหนน่ะค่ะ”
“ฉันอยากจะไปเยี่ยมเขา ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
“จะไปเยี่ยมใช่ไหม? ตอนเย็นนี้ผมก็กำลังจะแวะไปเยี่ยมลูกสาวผมพอดี เธอจะมาด้วยกันก็ได้นะ”
“ตอนเย็นวันนี้ฉันมีธุระน่ะค่ะ พอดีชมรมหัตถกรรมที่ฉันอยู่เขานัดประชุมสมาชิกชมรมทุกคน”
“เพราะงั้นฉันเลยอยากรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน... เผื่อว่าจะพาเพื่อนๆทุกคนแวะไปเยี่ยมด้วยค่ะ”
(ยิ้มไว้มีน ยิ้มไว้นะมีน! อย่าให้เขารู้เด็ดขาดว่าเราแถน่ะ!)
“เพื่อนๆที่ว่า...... หมายถึงนรินทร์ด้วยรึเปล่า?”
“เอ่อ... นรินทร์ไหนหรอคะ...?”
“......ไม่มีอะไร... ผมคงคิดมากไปเอง”
เขาเก็บเอกสารบนโต๊ะเตรียมที่จะไปสอนวิชาภาษาอังกฤษในช่วงบ่าย
ก่อนที่เขาออกห้องไป เขาก็บอกที่อยู่ให้ฉันรู้
............
............
*ตัดกลับมาปัจจุบัน*
หลังจากที่ฉัน... คุยกับมีนเสร็จไปสักพัก
พวกเราสองคน ฉันกับวอร์เรนก็มาถึงโรงพยาบาลที่ญาดาอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 13.20 ทางมีนเองก็คงไม่สะดวกที่จะคุยอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แค่นี้ก็ถือว่าเธอช่วยพวกเราได้มากแล้ว
บรรยากาศแบบนี้บางทีก็รู้สึกคุ้นเคยดีเหมือนกัน ฉันเคยเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิตก็เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
ตอนนี้พวกเราเดินไปจนใกล้จะถึงหน้าห้องผู้ป่วยที่ญาดาพักอยู่
แม่ของเธอนั่งอยู่ข้างนอกด้วยแววตาที่ห่วงใยลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา
“นี่ เราจะเข้าไปข้างในยังไงอะ?”
“เข้าไปข้างในหรอ?”
“ถ้าเปิดประตูในเวลาปัจจุบันไม่ได้ ก็เปิดประตูในเวลาอีกมิติหนึ่งสิ”
ฉันแทบจะลืมเรื่องมิติว่างเปล่านั่นไปเลยถ้าเขาไม่พูดขึ้นมา
พวกเราเลยเข้าไปยังมิติว่างเปล่าพร้อมกัน โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยแตกของมิติตรงนั้นพอดี
ในโลกที่ฉันไม่ได้เข้ามาสักพักแบบนี้... ความรู้สึกสะอิดสะเอียน ความวังเวง ความเงียบงันแบบนี้มัน...
พอฉันยืนอยู่หน้าห้องเพื่อจะเปิดประตูเข้าไป มือก็กลับสั่นไม่หยุด วอร์เรนเองก็สังเกตมือเราที่สั่นอยู่ตลอด
(...... จะยังสั่นทำไมอีกล่ะนรินทร์ ......)
(ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว...)
*แกร๊ก*
ในที่สุด... ฉันก็เปิดประตูเข้าไปหาญาดา...
ไม่สิ......
ฉันเปิดประตูเพื่อสู้กับอดีตของฉัน!
*เอี๊ยด*
............
พวกเราสองคนเดินเข้าไปข้างในห้องนั้น ซึ่งขณะนี้ยังเป็นมิติว่างเปล่าอยู่
สิ่งที่พวกเราทำต่อมาคือกลับมายังมิติแห่งเวลาที่แท้จริงอีกครั้ง โดยมันจะทำรอยแยกของมิติเอาไว้ในตำแหน่งที่พวกเราอยู่
ภาพที่ฉันค่อยๆเห็นหลังจากที่กลับเข้ามายังโลกใบนี้
ญาดา......
ผ้าพันแผลรอบหัว สายน้ำเกลือ เครื่องช่วยหายใจ
เธอนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย ไม่สามารถขยับเขยื้อนแบบนี้ได้มาตลอดสองสัปดาห์
ทรมาน...... ความรู้สึกที่สุมอกเราอยู่ตอนนี้มัน......
เจ็บปวด
“ญา......ดา”
ฉันไม่ทันคาดคิด...... ว่าอาการของเธอจะหนักขนาดนี้...
มือของเราค่อยๆเอื้อมไปแตะตัวเธอทั้งที่ยังสั่นอยู่
“ญาดา......”
เราจับมือของเธอไว้ มือของเธอนั้นยังอุ่น ยังมีความอบอุ่นส่งผ่านมาหาเรา
อดีตบางอย่างระหว่างพวกเราสองคนโผล่ขึ้นมาในหัวของฉัน แต่มันคลุมเครือมากๆ
“ญาดา...... ฉันขอโทษ”
“ฉันขอโทษ!”
น้ำตาฉันค่อยๆไหลออกมา ความเสียใจยังคงอัดแน่นอยู่ในใจฉันอยู่ตลอด นั่นคือความเป็นจริงที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
“ต่างกับคนทั่วไป ความทรงจำของผู้ใช้เวลาไม่สามารถลบได้ มันแค่ถูกลบออกจากความนึกคิดของเธอ แต่ความทรงจำนั่นยังคงถูกล็อคอยู่ภายในสมอง”
“ในกรณีของเธอ การลบเกิดขึ้นพร้อมกับตอนที่เธอใช้พลังในฐานะตัวแทนผู้เชื่อมต่อเวลา”
“เคยพูดไว้สินะ ที่มีอาการแปลกๆเกิดขึ้นตลอดช่วงสองสัปดาห์โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว”
“นั่นเกิดจากการที่จิตใจของเธอครึ่งหนึ่งถูกกักอยู่ในมิติว่างเปล่า รวมถึงการใช้พลังลบความทรงจำของคนรอบข้างเกี่ยวกับญาดาโดยไม่รู้ตัวด้วย”
“คงเรียกว่าพลังทะลักออกมามั้ง การบิดเบือนเวลาเพราะความช็อคจากสภาพจิตใจก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ในขณะที่ฉันยังคงเสียใจและอึ้งสิ่งที่วอร์เรนพูด ฉันเห็นเขาเดินมาตรงหัวเตียงที่ญาดานอนอยู่
“รินทร์...... ถ้าเธออยากสู้กับความเป็นจริงล่ะก็”
วอร์เรนกางมือซ้ายที่มีนาฬิกาข้อมือเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง
“จงเอาความทรงจำทั้งหมดกลับมา!”
*ครืน*
จู่ๆ... มือที่ฉันจับมือของญาดาไว้ มีหน้าปัดนาฬิกาเรืองแสงปรากฏขึ้นมา
“นี่มัน...!”
“เราแชรเวลาให้เธอ...... พลังนั่นเป็นหนึ่งในรูปแบบพิเศษ มันจะทำให้เวลาของผู้แชรถูกส่งต่อไปยังผู้รับ”
“เธอจะมีความสามารถในการบิดเบือนเวลา หรือก็คือเธอจะมีพลังในการกู้คืนเวลาได้มากขึ้น”
“เ-เดี๋ยวสิ! ถ้าแชรแบบนั้นแปลว่านาย”
“ช่างเราเถอะ... แค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“เอาล่ะ... ขั้นต่อไป... เธอพร้อมที่จะกู้คืนความทรงจำที่เสียไปไหม”
ฉันครุ่นคิดแล้วครุ่นคิดอีก
“แม้ว่าจะได้ความทรงจำกลับมา แต่ความรู้สึกผิดที่มีของฉันต่อญาดาก็ยังเหมือนเดิม”
“และถ้านายต้องมาเป็นอะไรเพราะฉันอีกแบบนี้มัน......”
“ไม่ต่างอะไรกับการที่ฉันทำร้ายนายอีกคนเลยนะ”
คำพูดของเราเหมือนจะทำให้วอร์เรนตกใจอยู่ เขาคงไม่คิดว่าเราจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“............”
“ขอโทษนะ...... ญาดา...”
“ฉันรู้ดี... ว่าฉันสู้หน้าเธอไม่ได้หลังจากเห็นความทรงจำแบบนั้น”
“แต่ฉัน...... ก็ไม่อยากจะหนีอีกแล้ว”
“ขอร้องนะญาดา......”
“ช่วยบอกเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพวกเราสองคนที!!”
*ครืน*
............
ทุกสิ่งนั้นขาวโพลน รอบตัวฉันนั้นไม่มีอะไรเลย
ร่างของฉันที่ร่องรอยอยู่แบบนั้น ราวกับว่าจิตใจกำลังมาเยือนในที่ๆหนึ่งที่เราไม่รู้จัก
“นรินทร์!”
ฉันหันกลับไปข้างหลัง มองเห็นตัวเองในชุดนักเรียนชั้น ม.ปลาย กำลังหันหน้าไปหาคนที่เรียกชื่อฉัน
“ไปอ่านหนังสือกัน รินนี่!”
รินนี่...... ผู้หญิงที่เรียกเราว่ารินนี่...
คือญาดา
นี่คือความทรงจำของพวกเราสองคนสินะ เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมอันเลวร้าย
............
............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ