Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา

6.5

เขียนโดย Huzure

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  40 Time
  12 วิจารณ์
  39.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) รอยยิ้ม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

(หน้าห้าง SJ Center 14.48)

…………

*วืบ*

พวกเราสองคนข้ามเวลามาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน วอร์เรนยืนรอฉันอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ก่อนที่ฉันจะโผล่ตามเขามาติดๆ

คนเดินผ่านไปผ่านมาข้างนอกห้างตอนนี้ค่อนข้างเยอะ ฉันพยายามมองหามีนรอบๆ แต่ก็ไร้วี่แวว

“มีน!!  มีน!!”

ฉันพยายามตะโกนเรียกโดยหวังว่าเธอจะยังรอความช่วยเหลือของเราอยู่แถวนี้ คนที่อยู่แถวๆนั้นงงกันหมดว่าเสียงตะโกนเรียกนี่ดังมาจากไหน

“มีน!!”

“รินทร์...”

ดูเหมือนวอร์เรนจะเจออะไรบางอย่างที่ร่วงอยู่บนพื้น เขาเก็บขึ้นมาก่อนจะส่งให้ฉัน

“นี่ของมีนสินะ”

“เอ๋?”

พอฉันมองให้ละเอียดๆแล้ว นี่เป็นแบบชุดที่เธอค่อนข้างจะชอบซื้อมาใส่ และถุงพวกนี้ก็มาจากร้านที่ฉันกับเธอเข้าไปเดินเล่นมาเมื่อกี๊

“ใ-ใช่แล้วล่ะ นายรู้ได้ไงน่ะ?”

ฉันประหลาดใจว่าทำไมวอร์เรนถึงรู้ว่าเป็นของๆเธอ

ขนาดฉันยังต้องใช้เวลาพิจารณาสักพักหนึ่งเลย

“เราเห็นภาพเพื่อนของเธอจากการอ่านเวลาน่ะ ปกติการอ่านเวลาจะแทรกแซงวงจรเวลาผู้อื่นได้เล็กน้อยเพื่อรับรู้เหตุการณ์บางส่วนทั้งในอดีตและของอนาคตที่เป็นไปได้”

“อ่านเวลา...”

วอร์เรนพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะจริงจัง เขาตั้งใจส่งถุงเสื้อผ้าใบนี้ให้ฉันหยิบไปอ่านเวลาเอง

แบบนี้เล่นเอาฉันกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกเลย มันต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่

ฉันหยิบกระเป๋ามาจากวอร์เรน ก่อนจะหลับตาแล้วนึกถึงเรื่องของถุงใบนี้ในหัวฉัน

*ภาพในอดีตไม่นานมานี้*

“ปล่อยนะคะ! ฉ-ฉันจะแจ้งตำรวจ”

เจ้านั่นกำลังฉุดแขนของมีนไว้ เพื่อจะลากขึ้นไปบนรถที่เพื่อนจอดรออยู่

“พี่เต้!”

“โธ่เว้ย น่ารำคาญ!!”

ไอ้หมอนั่นสะบัดแขนของเธอทีหนึ่งจนถุงใส่เสื้อผ้าของเธอที่ถืออยู่ตกลงพื้น ผู้คนแถวนั้นก็เริ่มจะมีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ตรงนั้นแล้ว

“อะไรน่ะ? แฟนทะเลาะกันหรอ”

“เอ่... ทำไมผู้ชายถึงทำร้ายผู้หญิงแบบนั้นกันล่ะ”

“พวกเขาทำอะไรกัน”

เจ้านั่นชักสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ไปได้แล้ว อยากตายรึไง!”

มีนที่ตัวสั่นด้วยความกลัว ได้แต่จำใจยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี

*ตัดกลับมาปัจจุบัน*

“อึ้ก!”

จู่ๆก็ปวดหัวขึ้นหนักมากขึ้นมา หรือเพราะภาพอะไรต่างๆมันไหลเข้าสู่สมองโดยตรงผ่านจากการรับรู้เวลาของวัตถุชิ้นนี้

“เวลามีอยู่ในทุกอย่าง แม้จะเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็เถอะ”

“เธอเองก็เห็นภาพพวกนั้นแล้วสินะ”

ฉันยังปวดหัวแปล๊บๆจนถึงกับกุมขมับ ตอนนี้พยายามนึกเรื่องต่างๆที่ต้องทำต่อไป

“หมอนั่น......ไอ้หมอนั่นทำร้ายเพื่อนของฉัน”

“ฉันไม่มีทางปล่อยไว้แน่!”

(แต่ว่า จะทำยังไงดี)

(เราไม่รู้อะไรมากกว่านี้เลย ภาพทั้งหมดมีแค่นั้น รถคันนั้นจะขับไปไหนก็ไม่รู้)

(โธ่เอ๊ย! แย่ที่สุดเลย!)

บนพื้นมีของอะไรอีกอย่างตกอยู่ ซึ่งฉันเห็นตอนที่กำลังลืมตาขึ้นมาพอดี

(ของชิ้นนั้น... นาฬิกาข้อมือของเจ้าหมอนั่นหนิ)

มานึกดูแล้ว ตอนที่มีนโดนฉุดแขนไว้ก่อนจะสะบัด เหมือนเธอจะเกี่ยวนาฬิกาเรือนนั้นร่วงออกมาพร้อมกัน

“รินทร์...”

วอร์เรนเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน ฉันเลยหยิบนาฬิกาที่หน้าจอกับหน้าปัดไม่เดินต่อแล้วขึ้นมา

ก่อนที่ฉันจะหลับตา จู่ๆอาการปวดหัวก็กำเริบอีกครั้ง

“อึ้ก!”

วอร์เรนเห็นฉันปวดหัวอีกรอบไม่ได้ทำท่าทางตกใจมากเท่าไร แต่เหมือนเขาเองก็จะกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายเราตอนนี้เหมือนกัน

“รินทร์... เธออ่านเวลามากเกินไป สมองของมนุษย์แบกรับวงจรเวลาอื่นนอกเหนือจากตัวเองไม่ไหวหรอกนะ”

“ส่งนาฬิกานั่นมาให้เรามา”

“ไม่เป็นไร...”

นี่เป็นเรื่องที่ฉันต้องทำ เพราะมีนคือเพื่อนของฉัน แม้ว่าฉันจะเป็นอะไรไปอย่างน้อยก็ต้องขอช่วยเธอให้ได้

เราค่อยๆหลับตาอีกรอบ ส่วนมือขวาที่ปล่อยทิ้งไว้ข้างตัวก็กำนาฬิกาของเจ้านั่นไว้แน่น

หากอ่านเวลาแบบผ่านๆ จะทำให้เกิดอาการต่อต้านน้อยกว่าอ่านแบบละเอียด ฉันจึงค่อยๆเรียบเรียงภาพเหล่านั้นที่เข้ามาในหัวด้วยสมาธิ

*ภาพที่เห็นนั้นเลือนราง*

*มีอะไรหลายอย่างไหลผ่านเข้ามาในหัว*

*สำนักงานร้าง / รถตู้ / ช่วงเช้า / ผู้ชาย 9 คน / นั่งรถออกมา / ป้ายซอยนั่น?*

“อึ้ก!”

“เห้ ยังไหวอยู่ใช่ไหม?”

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

สีหน้าเราซีดจนเหงื่อตกไปเลย การใช้พลังอ่านเวลาของภายนอกนี่มันเหนื่อยและยุ่งยากขนาดนี้เชียว

“ฉัน...... พอรู้แล้วว่าที่นั่นอยู่ตรงไหน”

............

(ณ สำนักงานร้างแห่งหนึ่ง  14.58)

ที่นี่เป็นสำนักงานที่อยู่ในซอยๆหนึ่ง ซึ่งไม่ห่างจากห้างที่พวกเขานัดเดทเท่าไร

เพราะที่นี่เป็นสำนักงานที่เปิดให้เช่า แต่ไม่มีใครมาเช่าต่อมาหลายปี จึงทำให้ไม่มีใครดูแลแม้กระทั่งเจ้าของอาคารหลังนี้เองก็ด้วย

สถานที่นี้จึงกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของนักเลงหัวไม้ และอันธพาลบางกลุ่มที่ใช้เป็นแหล่งรวมปาร์ตี้สังสรรค์กันอย่างลับๆ

ในขณะนั้น มีรถ SUV คันหนึ่งมาจอดที่หน้าสำนักงาน

............

(ไม่กี่นาทีต่อมา)

“อั้ก!”

ฉันถูกจับมัดแขนมัดขาไว้แบบนี้เลยขยับหนีไปไหนไม่ได้ ไหนจะถูกเหวี่ยงแขนผลักให้ล้มไปติดกำแพงอีก

ที่นี่มีผู้ชายอยู่หลายคน ทุกคนล้วนแต่ดูหน้าตาไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย พวกเขาพยายามดูลาดเลาว่ามีคนนอกเข้ามาบริเวณนี้ไหม

และที่สำคัญ หนึ่งในคนพวกนี้... พี่เต้... คนที่ฉันเคยเชื่อว่าเขาจะเป็นคนดี

แต่ทว่า...

“อย่าทำตาน่าสมเพชนักสิ ช่วงเวลาสนุกๆ มันต้องต่อจากนี้ต่างหาก”

เขาเอามือมาจับคางของฉัน จ้องมองด้วยสายตาลามก

และก็พยายามเลียหน้าของฉัน... ถึงแม้ว่าฉันจะหันหลบให้โดนแค่แก้ม...

แต่ความรู้สึกน่าขยะแขยงแบบนี้มัน...

“ชิ!”

*ฟึ่บ*

“โอ๊ย!”

ตัวเขาที่อารมณ์บูดบึ้ง จิกหัวฉันผลักลงไปนอนอยู่ที่พื้น

“เล่นตัวให้มันน้อยๆหน่อย!”

“ไม่งั้นฉันจะไม่ปล่อยเธอกลับไปแน่ ยัยคุณหนูไร้เดียงสา!”

เขาตวาดเพื่อให้ฉันรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แต่สิ่งที่เขาพูดออกมา ทำให้ฉันนึกอะไรได้บางอย่าง

เพื่อนสองคนของพี่เต้-เพื่อนของผู้ชายคนนี้ ก็เดินเข้ามาพอดี

“ใจเย็นก่อน เดี๋ยวเธอก็หมดสวยกันพอดี” (ช1)

“อุตส่าห์ได้สาวสวยๆแบบนี้มาทั้งที มันต้องจัดให้เต็มที่สิวะ ฮ่าฮ่าฮ่า” (ช1)

“แต่นายที่เจ๋งดีนะ ทั้งน่ารัก ทั้งสวย และไหนจะนมใหญ่” (ช2)

“ไปได้สาวสวยแบบนี้มาจากไหนกันล่ะ?” (ช2)

“หึ ความลับน่ะ”

คนๆนั้นยืนขึ้น ก่อนจะหันหน้าไปคุยกับผู้ชายสองคนนั่น

“พวกนายสองคนไปตามทุกคนมา วันนี้เรามีเรื่องสนุกๆต้องทำกัน”

ผู้ชายสองคนนั่นเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี

ตรงจุดที่ฉันอยู่ตอนนี้ เลยเหลือแค่ฉันกับคนๆนี้เท่านั้น

“...กฤษณะ......”

“...หือ...?”

เขาหันหลังมามองฉันที่กำลังพิงกำแพงด้วยใบหน้าที่พกช้ำเพราะกระแทกพื้น

“......คุณคือ... พี่กฤษณะจริงๆด้วย...”

รอยยิ้มนั่นคือคำตอบว่าสิ่งที่ฉันคิดมันถูกต้อง เขาหันหน้ามาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าพวกเราจะต้องมาพบเจอกันอีก ทั้งๆที่ไม่อยากเจอกันเลยแม้แต่น้อย

............

*ในขณะเดียวกัน*

อีก ณ จุดหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้คนที่เดินเพ่นพ่านไปมาเหมือนปกติ

มีคนเดินกินไอศกรีม อ่านหนังสือพิมพ์ และนั่งกินอะไรอยู่ตามร้านข้างทาง

*ตุ้บ*

คนสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังกินน้ำปั่นอยู่ถึงกับตกใจที่จู่ๆก็มีเสียงโต๊ะโดนกระแทกดังขึ้นมาโดยไม่เห็นใครเลย

ผู้คนแถวนั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรที่เร็วมากผ่านไป แต่ก็มองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย

... สิ่งที่ผ่านหน้าพวกเขาไป ไม่ใช่วิญญาณหรือสิ่งประหลาดที่ไหน ...

แต่เป็นนรินทร์กับวอร์เรนวิ่งผ่านด้วยความสามารถในการเร่งเวลาอย่างเต็มที่ต่างหาก

และเส้นทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไป...

คือที่นั่น!

............

*ตัดกลับมาทางมีน*

.........

*แปะ แปะ แปะ*

เขาตบมือชมเชยฉันด้วยใบหน้าเยาะเย้ยดูถูก

“ถูกต้องแล้วล่ะ คุณหนูพรรณธิชา”

“เก่งมากที่จำเพื่อนบ้านคนนี้ได้อยู่”

“...จริงๆก็ไม่อยากนึกถึงหรอกค่ะ...”

“แต่การที่คุณจำชื่อของรินทร์เพื่อนฉันได้ มีแค่คุณคนเดียวที่ฉันรู้จัก”

“ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยบุกรุกมาที่บ้านฉัน...”

“หึ...หึหึ...”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! แหม่แหม่ จำกันแม่นขนาดนี้เชียว!”

“แบบนี้หลงเสน่ห์แย่เลยล่ะ”

“ฉันไม่มีทางหลงเสน่ห์... คนที่จ้องจะข่มขืนฉันวันนั้นได้หรอกค่ะ...”

สุดท้ายฉันก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมพี่คนนี้ถึงรู้จักชื่อรินทร์

นี่เป็นเรื่องก่อนที่ฉันจะย้ายบ้าน ตอนนั้นฉันกับรินทร์ก็อยู่ใกล้ๆกันเหมือนปกติ

แต่ตั้งแต่คืนนั้น... ที่พี่กฤษณ์ที่เป็นเพื่อนข้างบ้างย่องเข้ามาในห้องนอนฉัน

ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำอะไร ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเอาโคมไฟที่วางข้างโต๊ะตีเข้าไปที่ขมับซ้ายของเขาทันที

เหตุการณ์วันนั้น ทำให้ครอบครัวของพี่กฤษณ์รู้สึกอับอายที่ลูกชายของเขาทำเรื่องแบบนี้

แม้ว่าทางพ่อแม่ของฉันจะไม่อยากเอาเรื่องถึงคุกถึงตารางเพราะพี่เขายังเด็กอยู่ แต่ก็เลือกที่จะย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นที่ไกลกว่านั้น

ตั้งแต่นั้นมาฉันกับรินทร์ก็ไม่ได้เจอพี่เขาอีกเลย ข่าวคราวที่ทราบคร่าวๆ ก็แค่เรื่องที่เขาไม่ได้เรียนต่อและทำตัวเป็นอันธพาลไปวันๆ

“คุณแค้นฉัน...มากขนาดนี้เลยหรอคะ?”

“หึ! ถ้าเธอยอมฉันตั้งแต่วันนั้นเรื่องมันก็จบแล้ว”

“โชคยังดีนะ ที่พรหมลิขิตชักนำให้พวกเรากลับมาเจอกันอีกทีที่ร้านนั้น หลอกให้เธอตกหลุมพรางนี่มันง่ายชะมัด แค่ชวนคุยเรื่องเกี่ยวกับทำอาหารเธอก็หลงกลเข้าแล้ว”

(เป็นแบบนี้นี่เองสินะ ผู้ชายคนนี้วางแผนมาตั้งแต่ตอนนั้นที่เจอเรา เพื่อที่จะแก้แค้นมาตลอดเลยสินะ)

(ฉันมันโง่จริงๆ ที่มัวแต่หลงเชื่อในพรหมลิขิตบ้าบอพวกนั้น)

ไม่นานนักก็มีผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาในห้องนี้ ทุกคนล้วนแต่หน้าตาน่ากลัวเหมือนกันหมด

“นี่...”

“โอ๊ย!”

เขาดึงผมของฉัน บังคับให้มองหน้าเขา

“ถ้าเธอยอมแต่โดยดีซะตั้งแต่ตอนนี้... พวกเราอาจไม่ทำรุนแรงกับเธอเกินไปก็ได้...”

“ว่างาย... จะยอมเปล่าล่ะ... บีบน้ำตาออกมา! ทำตัวน่าสมเพชเวทนาหน่อยเซ่”

............

เสียงหัวเราะของคนๆนี้ดังกึกก้องอยู่ทั่วห้องที่เพียบพร้อมไปด้วยผู้ชายมากหน้าหลายตายืนยิ้มด้วยความสะใจ

นี่คือด้านมืดของสังคมสินะ กลุ่มคนที่ไร้ซึ่งเป้าหมายในชีวิต ได้แต่ทำตัวเป็นเหมือนเศษเดนสังคมไปในแต่ละวัน

ในหัวของฉันตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก ความรู้สึกทุกอย่างมันพังทลายไปแล้ว ถ้าเขาพูดอะไรมาก็คงได้แต่ทำตาม

(รินทร์............)

*ไม่รู้ทำไม ฉันนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนขึ้นมา*

ในวันปฐมนิเทศ

“รินทร์จ๋า!!”

ฉันพุ่งเข้าไปกอดเธอเต็มที่หลังจากไม่ได้เจอกันมานาน

“อ๊ะ มีน! มีนเองหรอเนี่ย!?”

“อื้อ! เธอก็มาเรียน ม.ปลาย ที่นี่งั้นหรอ?”

“บังเอิญจังเลยเนอะ?”

“ฮะฮะ ลุงบอกว่าให้สอบเข้าโรงเรียนดีๆไปเลย จะได้มีอนาคตน่ะล่ะ”

“ลุงทวีก็สบายดีสินะ?”

ตอนนั้นฉันเหมือนจะถามเรื่องอะไรไปอีกเรื่องหนึ่ง

และสิ่งที่เธอตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใส

ทำให้เราได้แต่ยืนอึ้งอยู่

*ตัดกลับมาปัจจุบัน*

............

“นิ่งแบบนี้คงได้คำตอบแล้วสินะ? งั้นก็รีบๆขอโทษและก้มหัวอ้อนวอนฉันซะสิ”

เขาคงอยากให้ฉันอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาที่สุดสินะ

ถ้างั้น...

......

“ฮิ......ฮิฮิ...”

“หือ? มีอะไรน่าขำรึไง?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...”

“ฉันแค่...นึกอะไรบางอย่างออกมาน่ะ”

“เห้ เห้ เป็นบ้าอะไรของเธอเนี่ย”

(...ฉันรู้แล้วว่า...)

(ชีวิตของฉันควรจะเป็นยังไง)

(ความทุกข์ใจ ความโศกเศร้า ความอ่อนแอ... ฉันจะสู้กับความรู้สึกเหล่านั้น)

(เหมือนกับเธอ... ฉันก็จะสู้กับความอ่อนแอที่อยู่ภายในจิตใจตัวเอง)

(แม้ว่าวันนี้จะต้องทรมานมากแค่ไหน ต้องเศร้าเพียงใด)

(ฉัน......)

(ก็จะยิ้มออกมาเสมอ)

“ฉันชอบคุณนะคะ... พี่เต้”

อารมณ์ของคนๆนั้นเดือดพล่านทันทีหลังจากได้ยินฉันพูดแบบนี้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาตบหน้าฉันจนตัวของเราลงไปกองอยู่ที่พื้นอีกรอบ

“โอ๊ย!”

“สภาพแบบนี้ยังกล้าลองดีอีกงั้นเหรอ!?”

“เสียสติไปหมดแล้วสินะ”

“แฮ่ก... แฮ่ก...”

“ไม่ได้เสียสติหรอกค่ะ... ฉันแค่คิดว่า จะต้องมากลัวพวกคุณทำไม”

“พวกคุณที่ใช้วิธีหมาหมู่กับผู้หญิงเพียงคนเดียวน่ะ... มันน่าสมเพชมากกว่าอีก”

ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้เริ่มจะโกรธกันแล้วล่ะสิ ก็ดีแล้วล่ะนะ

(ต่อให้นี่จะต้องเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิตของฉันก็ตาม)

(ฉันจะยิ้ม... แม้ว่าจะต้องเจ็บปวด...)

“งั้นอย่าได้มาอ้อนวอนขอชีวิตล่ะ ยัยบ้าเสียสติ!?”

บรรยากาศทุกอย่างมันดูสิ้นหวังมาก แสงแห่งความหวังแทบจะไม่ฉายส่องมาที่ฉันเลย

......แต่ว่า......

(เอ๊ะ...?)

แสงแห่งความหวังเพียงหนึ่งเดียว... หรืออาจจะสอง... ส่องผ่านมาหาฉันที่อยู่ในมุมมืดของห้องสี่เหลี่ยม

นรินทร์... กับผู้ชายอีกคนที่ฉันไม่รู้จัก... โผล่มาข้างหลังผู้ชายพวกนี้ต่อหน้าต่อตาฉัน

ราวกับเธอกำลังยื่นมือมาช่วยคว้าฉันไว้เลย...

“......รินทร์......” (เสียงเบา)

ไม่นานนักกฤษณะก็หันไปดูข้างหลัง

“...ย-ยัยรินทร์!?...”

เธอมองมาที่ฉัน ก่อนจะจ้องไปที่พี่กฤษณะ

“เป็นคุณจริงๆด้วย...พี่กฤษณะ”

“หึหึหึ!”

............

............

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา