Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) จงเข้มแข็งไว้เสมอแม้จะเศร้าเพียงใด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(สำนักงานร้าง 15.12)
…………
“พี่กฤษณะ...”
“หึหึ... ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ น้องรัก”
นึกไว้ไม่มีผิดจริงๆด้วย การที่จะมีคนรู้ชื่อเราได้ ต้องเป็นใครสักคนที่เราเคยเจอมาก่อน ถึงจะไม่อยากให้เป็นไอ้หมอนี่ก็เถอะ
คนพวกนั้นหันมามองฉัน หลายคนแปลกใจว่าทำไมพวกเราสองคนถึงโผล่มาที่นี่ได้
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ารังของพวกเราจะถูกพบเข้าแบบนี้ เธอรู้ได้ยังไงว่าพวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
“อ๋อ ก็กลิ่นตัวแกมันฉุนซะขนาดนั้น”
วอร์เรนแย่งฉันตอบเฉยเลย
“หืม? แกเป็นใคร”
คนพวกนั้นเมินฉันไปสนใจสิ่งที่วอร์เรนกำลังจะพูดแล้ว
“เราไม่มีความจำเป็นต้องบอกชื่อให้กับหมาข้างถนนแถวนี้หรอก”
“อ๊ะ โทษที หลุดปากไปจนได้”
คำพูดของเจ้านี่บวกกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมแววตาเยาะเย้ย คนพวกนั้นเลยโมโหสุดๆ
“แก...!! มันจะมากไปแล้ว!”
“แหม่ แหม่ ไม่มากไปหรอกน่า หรือจะให้บอกว่าเป็นพวกนักเลงกระจอกดีล่ะ”
แก๊งนักเลงพวกนั้นจ้องวอร์เรนด้วยอารมณ์โมโหทุกคน เหมือนเขาตั้งใจจะยั่วโมโหคนพวกนี้
มีนในตอนนี้ก็กำลังนั่งพิงกำแพง และยังมีรอยยิ้มบางๆอยู่บ้างเล็กน้อย
(ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน? เพื่อนของรินทร์หรอ?)
(ทำไมถึงไปยั่วโมโหคนพวกนั้นล่ะ แบบนี้ยิ่งมีแต่จะทำให้แย่กว่าเดิมนะ)
“หึหึ...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไอ้พวกเก่งแต่ปากอย่างแกน่ะ ฉันเจอมาเยอะแล้ว”
“อยากยั่วโมโหก็ยั่วไป แต่ช่วยมองจุดยืนของพวกแกหน่อย”
“ว่าตอนนี้สถานการณ์มันเป็นยังไง!”
มันอาจจะจริงอย่างที่เจ้านั่นบอก พวกเราสองคนถูกล้อมโดยคนเก้าคน และสภาพแวดล้อมที่นี่ก็คงไม่คุ้นชินสำหรับพวกเรามากด้วย
“ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าพี่กฤษณะจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้”
“แล้วมันเพราะใครกันล่ะ ที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้!?”
“เธอกีดกันไม่ให้ฉันเข้าหามีนตั้งแต่แรก ไหนจะบอกว่าเกลียดฉันให้มีนฟังอีก”
“คนอย่างเธอนี่ล่ะ ที่ฉันอภัยให้ไม่ได้มากที่สุด”
“ฉันจะฉีกเสื้อผ้าพวกนั้นให้ขาด จะทำให้ทั้งเธอและมีนตกเป็นของฉันตลอดไป”
“ให้สาสมกับที่ทำให้ชีวิตฉันเป็นแบบนี้”
ชีวิต... อ่า... แววตาอันโรคจิตและจิตใต้สำนึกอันสกปรกนั่นคงจะเยียวยาไม่ได้แล้วล่ะ เพื่อนของพวกเขาแต่ละคนเองก็คงจะไม่ต่างกัน ใช้ชีวิตตกต่ำเป็นได้แค่หมาข้างถนนอย่างที่วอร์เรนพูดจริงๆ
“...หัดโทษตัวเองซะบ้างนะคะ...”
“เรื่องง่ายๆแค่นี้... ทำไม”
*ปั้ก*
“ถึงคิดไม่ได้ล่ะคะ!!”
ฉันเตะไปข้างหลังตรงประตูที่ฉันข้ามเวลาเข้ามา มีพวกมันคนหนึ่งถือเก้าอี้เตรียมจะฟาดหัวฉันจากด้านหลัง
เพราะฉันรู้ตัวตั้งแต่แรก เลยเตะเข้าไปที่อกอย่างเต็มแรงจนเก้าอี้หลุดมือ และตัวกระเด็นล้มไปหน่อยหนึ่งเลย
“ร-รู้ตัวได้ไง!?”
วอร์เรนมองไปที่ผู้ชายที่นอนชักอยู่ตรงนั้น
“ใช้ได้นี่นา เริ่มสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงรอบข้างได้แบบนี้”
“แต่ถ้าถีบให้สูงกว่านี้จะดีกว่านะ”
“หยุดพูดไปเลยย่ะ!”
อีตานี่ไม่ซีเรียสในสถานการณ์แบบนี้เลยแม้แต่น้อย มันต่างกับตอนที่เจ้านี่สู้กับสองคนนั่นเมื่อวานลิบลับ ยิ่งมาเหน็บแนมฉันเรื่องลูกเตะนั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกรำคาญแทนซะแล้ว
ส่วนทางฝั่งพี่กฤษณะทุกคนยังตะลึงที่ฉันรู้ตัวว่ามีคนรอเล่นงานข้างหลัง แม้แต่มีนเองก็ยังทำหน้างงอยู่นิดหนึ่งไปกับเขาด้วย
“พี่กฤษณะ...”
“ฉันไม่ได้สนว่าชีวิตของพี่จะตกต่ำมากแค่ไหนหรอกนะ”
“วันนี้ฉันแค่มาช่วยมีน เพื่อนคนสำคัญในชีวิตของฉันเท่านั้น!”
มีนมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มของความดีใจ แม้แววตาคู่นั้นจะรู้สึกใสๆราวกับมีน้ำตาคลออยู่ในนั้น
“รินทร์...”
ตาของฉันจับจ้องไปที่ท่าทีของพวกพี่กฤษณะ ไม่ได้เห็นว่ามีนเป็นยังไง หรือกำลังจะพูดอะไร แต่ยังไงเราก็ต้องช่วยเธอออกมาให้ได้แน่
“ให้มันน้อยๆหน่อยนะแก!!”
เมื่อจุดเดือดถึงขีดสุด พวกเขาที่เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่ทำตัวตกต่ำในสังคม ก็พุ่งเข้ามาเพียงเพื่อจะอัดพวกเรา
............
(การโจมตี การเคลื่อนไหว... ช้าจริงๆ)
นรินทร์กับวอร์เรนแยกออกไปสู้กันคนละทาง
การเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ ถ้าให้เทียบกับรินทร์และวอร์เรน ที่ไม่ได้บิดเบือนเวลาของตัวเองก็ยังต่างกัน
เพราะร่างกายของพวกเขาทั้งคู่สามารถใช้ประสิทธิภาพจากวงจรเวลาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเองได้เต็มที่กว่าคนธรรมดา การดึงพลังกาย และการอ่านสถานการณ์ต่างๆจึงทำได้ง่ายขึ้นอย่างมาก
รินทร์วิ่งออกมาทางซ้ายเจอผู้ชายคนหนึ่งดักไว้อยู่
คนๆนั้นพยายามต่อยรินทร์ด้วยหมัดซ้าย แต่รินทร์ก็สามารถหลบออกด้านข้างได้อย่างง่ายดาย
ก่อนที่จะใช้มือซ้ายสับเป็นคาราเต้ลงไปที่ท้ายทอยของคนๆนั้นเข้าอย่างจัง
ในระหว่างนั้นมีอีกคนหนึ่งที่ถือขวดเหล้าเปล่าเพื่อที่จะฟาดรินทร์จากข้างขวา
แม้ว่าจะเข้ามาจากด้านไหน รินทร์ก็สามารถตอบสนองได้หมด เธอหลบและล็อคแขนของผู้ชายคนนั้น จับเหวี่ยงหลังกระแทกพื้นเข้าเต็มแรง
ขวดเหล้าที่ถือคาอยู่ในมือก็แตกทันทีที่ร่างของเขากระแทกพื้น มีบางส่วนบาดแขนอยู่
ส่วนทางด้านวอร์เรน
มีคนสองคนไล่ต่อยวอร์เรนอยู่พร้อมๆกัน เขาหลบได้อย่างเฉียดฉิวตลอดเวลา
“เก่งแค่ปากนี่หว่า”
“ตายซะ!!”
หมัดขวากำลังตรงพุ่งเข้ามาที่หน้าวอร์เรน
*ปึ้ง*
“เห้ย!?”
เขากางมือรับหมัดที่รุนแรงนั่นได้อย่างง่ายดาย จนคนที่ยังอยู่นอกวงการต่อสู้คนหนึ่งถึงกับตะโกนลั่นออกมา
“บ้าน่า! เจ้านั่นหมัดหนักมากเลยนะ”
“แล้วไหงไอ้หน้าปลาตายนั่นถึงได้รับการโจมตีได้ง่ายขนาดนั้น!”
ขนาดมีนเองก็ยังอึ้งในความสามารถของคนแปลกหน้าคนนี้เช่นกัน
“ชิ... มันเจ็บนะว้อย!”
ถึงวอร์เรนจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ใบหน้าเขากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าที่พูดมาเลย
ผู้ชายที่ต่อยเข้ามาที่ฝ่ามือวอร์เรนรีบถอยห่างออกมาด้วยความกลัวทันที
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่วอร์เรนพุ่งตามเข้ามาอย่างเร็ว ก่อนที่จะต่อยหน้าของผู้ชายคนนั้นเข้าอย่างจังจนเสียหลักไปเล็กน้อย
อีกคนหนึ่งที่ล้อมวอร์เรนอยู่ก็พุ่งเข้ามาล็อคตัววอร์เรนไว้จากข้างหลัง
“เสร็จข้าล่ะ!”
วอร์เรนจู่ๆก็แสดงรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา
เขาวิ่งถอยหลังดันคนที่กำลังจับตัวเขาไว้อยู่
“เห้!?”
แรงของวอร์เรนสูงกว่าคนๆนั้น เลยดันตัวของเขาไปกระแทกกำแพงด้านหลังเข้าอย่างจัง
“อั้ก!”
มือของคนๆนั้นสลัดหลุดจากตัวของวอร์เรนทันทีหลังกระแทกกับกำแพง
จนวอร์เรนสามารถออกมาจากตัวของเขาได้ และใช้ขาขวายันไปที่หัวเข่าขวาของคนๆนั้นจนทำให้ขากระตุกทันที ก่อนจะโดนหมัดซ้ายสวนเข้าที่หน้าสลบเหมือดไป
การต่อสู้ของทั้งสองคนดำเนินไปเรื่อยๆ และคนที่มีท่าทีจะได้เปรียบคือพวกวอร์เรนกับนรินทร์ ที่ไม่โดนการโจมตีอะไรเลย
การเป็นตัวแทนเชื่อมต่อเวลาของพวกเขา ทำให้ร่างกายได้รับผลประโยชน์จากตรงส่วนนี้ด้วยเช่นกัน
ในมุมมองของมีน
เธอกังวลรินทร์และผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นอย่างมาก เพราะยังไงจำนวนคนก็น้อยกว่า ไม่ว่าจะเก่งยังไงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะคนพวกนั้น
แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้นเลย รินทร์กับวอร์เรนเคลื่อนที่อย่างมีจุดหมาย มีทิศทางที่ชัดเจน
ในขณะที่นักเลงพวกนี้ก็แค่เหวี่ยงหมัดไปมั่วซั่ว ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เป็นภาพที่มีนไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
(ไม่อยากเชื่อเลย)
(ว่ารินทร์... จะเก่งขนาดนี้...)
............
พอผ่านไปไม่นาน ทั้งฉันกับวอร์เรนที่มีกันเพียงแค่สองคน
ก็ล้มพวกเขาทั้งเก้าคนลงได้ ส่วนใหญ่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อไม่ได้ซะมากกว่า พวกเราไม่ได้กะเล่นงานให้คนพวกนี้สลบไปเลย
จุดสำคัญที่ทำให้พวกเราชนะได้ ไม่ใช่เพราะร่างกายที่รู้สึกมีพละกำลังมากกว่าเดิมหรอก
แต่เพราะพวกเราสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของคนอื่นได้ง่ายขึ้นมากกว่า
...ฉันรีบหันไปตรงมีนทันที
“มีน!!”
“อย่าขยับนะ!”
ฉันชะงักทันทีที่เห็นพี่กฤษณะคนนั้นเอามีดจ่อที่คอของมีน ส่วนวอร์เรนยังมองด้วยสายตานิ่งๆไร้อารมณ์อยู่
“มีน!”
“อย่าขยับเด็ดขาด! ยัยสารเลว!!”
“ถ้าขยับมาแม้แต่ก้าวเดียวล่ะก็ คออีนี่ได้เป็นรูแน่!”
“แก... ปล่อยตัวเธอซะ แกจนมุมแล้วนะ”
“จนมุม? พวกแกต่างหากที่จนมุม”
“ตราบใดที่ฉันจับตัวยัยนี่ไว้ พวกแกก็ทำอะไรฉันไม่ได้อยู่ดี”
“เป็นไงล่ะ! แกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
(กรอด!)
ไอ้หมอนี่ทำไมถึงไม่ยอมแพ้กันนะ มันจะโรคจิตมากเกินไปแล้ว มีนเองก็ยังนิ่งในสภาพที่ถูกล็อคอยู่อย่างนั้น
“รินทร์......”
มีนเรียกชื่อฉันออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา อ่อนหวาน
“รินทร์มาที่นี่เพื่อจะช่วยฉันใช่ไหม?”
“ฉันหาเรื่องมาให้เธอจนได้สินะ?”
ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แต่มีนกลับพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแบบนั้น...
“ไ-ไม่ใช่นะ นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ”
(มันเป็นความผิดของฉันที่ปกป้องเธอไว้ไม่ได้เอง)
“เห้ จะคุยกันไปถึงเมื่อไร รีบบอกให้ยัยนั่นหนีไปซะสิ!”
“เธอจะได้มีชีวิตรอดไงล่ะ”
............
“ฉันยังอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับรินทร์อย่างมีความสุข...”
“อยากเดินกลับบ้านพร้อมรินทร์”
“อยากให้รินทร์กินข้าวฝีมือฉัน...”
“ฮึฮึ... หนังวันนี้สนุกมากเลยเนอะ รินทร์”
(เอ๋?)
สีหน้าของผู้ชายคนนั้นเริ่มจะไม่สบอารมณ์เข้าแล้ว
“......รินทร์... วันนี้ช่วยพาฉันไปส่งที่บ้านทีนะ......”
เสียงอันแผ่วเบาและอ่อนโยน ใบหน้าอันสดใสปนรอยยิ้มของเธอ
มีนอยากให้เราเข้าไปช่วยเธอออกมาจากผู้ชายคนนั้น แม้ว่าคนๆนั้นจะขู่ไว้แล้วว่าจะแทงเธอถ้าเธอเลือกคำตอบนี้
“กรอด!”
“อยากตายนักนะใช่ไหม อีนี่!!!”
“...หยุดนะ!!!”
*วืด*
............
(ฉึ่ก!)
เสียงมีดที่แทงเข้าเนื้อ มีเลือดไหลหยดลงพื้นหลายหยด
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
“โทษฐานที่อีนี่ไม่ฟังที่ฉันบอกไงล่-”
พอหมอนั่นสังเกตมาที่ฉันดีๆ ก็เห็นว่ามีนกำลังยืนอยู่ข้างๆฉันอยู่แล้ว
“อะแฮ่ม... พี่... เลือดไหลท่วมแล้วน่ะ”
เหมือนเจ้าหมอนั่นจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ามันแทงเข้าที่แขนซ้ายตัวเอง
“ว๊ากกกกก!!”
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? เมื่อกี๊ยัยมีนก็ยังอยู่ตรงนี้นี่นา!? แล้วทำไม แล้วทำไม!?”
......
ในมุมมองของมีน... เธอเห็นเรื่องที่เหลือเชื่อเข้าให้แล้ว
(เป็นไปได้ไงกัน)
(เพียงแค่เสี้ยววิก่อนที่เราจะโดนแทง)
(จู่ๆ...พี่กฤษณะก็หยุดอยู่กับที่)
(ก่อนที่รินทร์จะดึงตัวฉันออกมา)
(นี่มันพลังอะไรกันแน่)
......
“แก... นังปีศาจ!! แกใช้เวทย์มนต์อะไร!?”
“ไม่ใช่เวทย์มนต์อะไรหรอกคร้าบ”
วอร์เรนที่ยืนอยู่ข้างหลังหมอนั่นตั้งนานแล้วก็พูดออกมา จนเขารู้สึกจะเสียวสันหลังวาบเลย
“ก็แค่... หมาบางตัวมันไม่มีบุญได้เห็นแค่นั้นเอง”
และทันทีที่เจ้าหมอนั่นหันหน้าไปมองข้างหลัง วอร์เรนก็เอามือจับหน้าของเขาเอาไว้
พร้อมกับกดหัวลงโต๊ะไม้ที่อยู่ใกล้ๆจนหักกลางกระแทกพื้น
“โทษฐานที่ทำให้สาวน่ารักอกใหญ่คนนั้นต้องบาดเจ็บ”
“นี่เป็น... ผลตอบแทนไงล่ะ”
...... เขาสลบไปแล้ว ......
......
“ให้ได้งี้สิ นึกว่าจะอึดกว่านี้สักหน่อย เจ้านี่มันกากสุดๆไปเลยนี่หว่า...”
“เอ้า จบเรื่องสักที เห้...”
วอร์เรนกลับมายืนเกาหัวทำท่าเซ็งเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางพวกเรา
*ซุบซิบๆ*
“ผู้ชายคนนั้นพูดว่าฉันหน้าอกใหญ่อะ”
“น่าขยะแขยงจัง!”
“อืม อีตานั่นก็โรคจิตแบบนั้นแหละ”
วอร์เรนที่ได้ยินผู้หญิงซุบซิบนินทาก็ฉุนขึ้นมาเลย
“เห้ย ได้ยินนะเฟ้ย!”
... ไม่นานนัก มีนก็ทรุดลงตรงนั้นด้วยความอ่อนล้า ...
“มีน... เป็นอะไรรึเปล่า?”
“แหะแหะ สงสัยขาฉันจะไม่มีแรงน่ะจ่ะ”
“อ๊ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันยืนเอง-”
............
รินทร์พุ่งเข้ามากอดฉันทันที เธอตัวสั่นตลอดที่กอดฉันไว้
“รินทร์...”
“ไม่ต้องยิ้มแล้วล่ะ...”
“ที่นี่...มีแต่พวกเรา......”
“ไม่ต้องยิ้ม... เพื่อปกปิดความอ่อนแอแล้วล่ะ......”
“รินทร์...... รินทร์.........!”
“ฮือออออออออ”
อยู่ๆน้ำตาของฉันก็ไหลออกมา ความกลัว ความสิ้นหลัง ความเสียใจ ทุกอย่างมันไหลออกมาจากน้ำตา ฉันกลัว... กลัวมาก... เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกกลัวจนน้ำตาเอ่อไหลออกมาไม่หยุดมากขนาดนี้
รินทร์เองก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจไม่ต่างกับเรา เธอร้องไห้ตามฉันทันที...
ผู้ชายคนนั้นที่ยืนดูพวกเราอยู่ จึงได้แต่หันหน้าหลบไปทางอื่น ปล่อยให้พวกเราร้องไห้กันอยู่แค่สองคนต่อไป...
............
สี่โมงเย็น คุณเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายรายก็มาจับพวกของพี่กฤษณะไปจนหมด
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอเชิญให้ฉัน รินทร์ และผู้ชายอีกคนหนึ่งไปให้การที่โรงพักหลังจากนี้ด้วย
สำหรับตอนนี้ รินทร์นั่งม้านั่งข้างฉันซึ่งห่างจากจุดที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ส่วนผู้ชายคนนั้นก็ยืนอยู่ใกล้ๆกัน
“นี่รินทร์......”
“หือ?”
“เธออยู่ที่ห้าง SJ Center เหมือนกันใช่ไหม?”
“เอ๊ะ? เอ๊ะ??”
“ฉันรู้น่ะ... ตั๋วหนัง 3 ที่นั่งที่ฉันไปดูหนังกับพี่กฤษณะคนนั้น”
“และจากที่เห็นความสามารถประหลาดของรินทร์แล้ว ฉันเลยยิ่งมั่นใจ ว่าจริงๆแล้วรินทร์มาดูหนังเป็นเพื่อนฉันกับพี่กฤษณะแน่นอน”
“ถึงแม้ว่าฉันจะจำไม่ได้ก็เถอะ”
เดาได้ถูกหมดเลยสินะ ฉันเนี่ย...
อาการรนรานของเธอแสดงออกมาชัดเจนเลย ส่วนผู้ชายที่ยืนอยู่นี่ถึงจะไม่รนราน แต่ก็ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไร
“เ-เห้ วอร์เรน... นี่มันอะไรกัน?”
“อะ ก็ต้องมีสิ ความทรงจำก็ส่วนความทรงจำ มันไม่ได้แก้ไขโลกภายนอกไปด้วยหรอกนะ”
“มีเงื่อนไขแบบนั้นด้วย?”
รินทร์ทำเสียงจ๋อยหลังจากที่ผู้ชายคนนั้น...เอ่อ... วอร์เรนอธิบายให้ฟัง
“เอาเป็นว่า ตอนนี้ลบความทรงจำเพื่อนของเธอดีกว่า”
“เอ๋? ลบความทรงจำของฉัน?”
“ใช่... เพราะเธอรู้ความลับของพวกเราแล้ว คงให้รู้ไปมากกว่านี้ไม่ได้”
“เดี๋ยวสินาย! นี่จะให้ลบอีกกี่ครั้งกัน?”
“กี่ครั้ง? นี่แปลว่าความทรงจำฉันถูกลบมานับไม่ถ้วนแล้วงั้นหรอ?”
“เอ๊ะ ไม่ใช่แบบนั้นๆ จะเป็นแบบนั้นได้ไงกันล่ะ”
น้ำเสียงรินทร์ที่กำลังรู้สึกร้อนตัวนั่นโกหกไม่เนียนเลย
“ถ้างั้นจะให้ทำไง... เพื่อนของเธอรู้มากเกินไปแล้วนะ”
“แต่ว่า... เพื่อนของฉันไม่คิดจะบอกใครอยู่แล้ว เธอเชื่อใจได้นะ!”
“มันไม่เกี่ยวว่าเชื่อใจไม่เชื่อใจ แต่การดึงคนธรรมดาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องมิติเวลามันอันตราย”
“ฉันรู้! แต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้วหรอนอกจากลบความทรงจำ?”
คู่กัดกันจริงๆแฮะ สองคนนี้... ฉันได้แต่หันหน้ามองสลับไปสลับมา ฟังเด็กเถียงกันไม่จบสักที
แต่ว่า... ถ้าเรื่องที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นี่... เรื่องพวกนี้...
“อย่าลบความทรงจำฉันได้ไหมคะ...”
“หา?”
เหมือนผู้ชายคนนั้นจะประหลาดใจมากเลย
“คุณบอกว่า ที่ไม่อยากให้ดิฉันรู้เรื่องพวกนี้เพราะมันอันตรายใช่ไหมคะ...”
“แปลว่ารินทร์เองก็กำลังอยู่ในอันตรายเช่นกัน”
“......ดิฉันขอร้องล่ะค่ะ...”
“ได้โปรด อย่าลบความทรงจำของดิฉันเลย ดิฉันไม่อยากใช้ชีวิต โดยที่ไม่รับรู้ว่าเพื่อนคนสำคัญของฉันต้องไปเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง”
“...ฉันขอเถอะค่ะ!”
“......แต่ว่า......”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ! ดิฉันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด และดิฉันจะไม่ทำตัวอ่อนแอพ่ายแพ้ต่อความกลัวอีกแล้ว”
“ดิฉันจะไม่ทำให้ทั้งคุณและรินทร์ต้องเข้ามาซวยเพราะตัวฉันอีกแล้วค่ะ!!”
ออกมาเป็นชุดเลย วอร์เรนเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงต่อ เพราะเหมือนยังไงฉันก็ยังยืนกรานที่จะอยู่ในสภาพแบบนี้ให้ได้
“...มีน... เธอ... เอาจริงหรอ?”
“...จ้ะ... ฉันอยากอยู่ข้างๆเธอ บางทีฉันอาจจะเป็นกำลังได้บ้างก็ได้”
เรื่องวันนี้ทำให้ฉันให้คำสัญญากับตัวเอง
(เราต้องเข้มแข็งขึ้นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อะไร เราต้องไม่โดนหลอกโดยใครอีกแล้ว แม้ว่าเจ็บปวดก็ต้องยิ้มออกมาเสมอ)
(และ...) มองไปที่รินทร์
“ให้ฉัน... ได้เป็นกำลังสำคัญให้เธอนะ...รินทร์”
ฉันยิ้มตอบพวกเขาอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นถึงกับกุมขมับในคำขอของฉัน ส่วนรินทร์ก็นิ่งทำหน้าเหมือนไม่อยากให้ฉันเข้ามาพัวพันกับเรื่องของเธอ
“ตามใจเธอเลยละกัน”
ผู้ชายคนนั้นถึงกับบ่นออกมาก่อนจะถอนหายใจเลย
ส่วนรินทร์ก็หันมาสบตาฉัน ก่อนที่พวกเราจะยิ้มให้กันและกัน
......
จะว่าไป... เหตุผลที่ฉันยิ้มงั้นหรอ
เพราะภาพของรินทร์ที่ฉันคิดขึ้นมาพอดี ทำให้ฉันยิ้มขึ้นมา
**เรื่องวันนั้นน่ะ**
“รินทร์ตอนนี้ยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมสินะ?”
“อื้อ ไว้ว่างๆเธอก็แวะมาที่บ้านฉันได้นะ”
“ให้ไปได้จริงหรอ? ดีเลย ฉันจะได้แวะไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของเธอบ้าง...”
“หือ?”
......
“พ่อกับแม่ของฉันหรอ? ฉันจำไม่ได้แล้วล่ะ!”
“เอ๋?”
“ไม่ว่าใครจะถามฉันเกี่ยวกับเรื่องของพ่อกับแม่... ฉันก็ไม่เคยจำได้เลยว่าเรื่องของพวกเขาเป็นยังไง”
“หมอบอกว่า......”
“ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขา หายไปทั้งหมด”
นั่นคือเรื่องที่ทำให้ฉันช็อคที่สุดในชีวิต ที่เพื่อนคนสำคัญของฉันเป็นแบบนั้น
แต่รินทร์ก็ยังคงยิ้มสู้... แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดที่จำเรื่องพวกเขาไม่ได้เลยก็ตาม
............
*คืนเมื่อวานก่อนที่เธอจะออกมาช่วยวอร์เรน*
รินทร์หยิบรูปภาพใบนั้นที่อยู่ตรงห้องนั่งเล่นขึ้นมา ในใจเธอพยายามคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างเกี่ยวกับรูปภาพนั้น และชีวิตของเธอ
(ความปรารถนาของฉัน......)
(คือการตามหาชิ้นส่วนเวลาที่หายไปกลับมา......)
............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ