Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
6.5
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
40 Time
12 วิจารณ์
40.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ขาว ดำ น้ำเงิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(ห้อง ม. 5/2 12.00)
“รินทร์ ไปกินข้าวกันได้แล้ว”
“ไม่รีบลงไปกินเดี๋ยวจะหาที่นั่งไม่ได้ซะก่อนนะ”
ฉันเห็นเนลกับอั้มเดินเข้ามาทักฉันในช่วงพักเที่ยงที่ใครต่อใครก็จะเดินไปหาอะไรทานที่โรงอาหารกัน พวกเขาทั้งสองคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉัน
เนลตัวสูงประมาณ 160 รู้สึกว่าจะเท่ากับอาจารย์ลอร่าเลย ต่างกับที่ผมเป็นสีน้ำตาลและไว้ทรงผมม้า พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ขึ้นชั้น ม.ปลาย แล้ว เธอเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลยล่ะ ถึงจะขี้อายไปบ้างก็เถอะ
ส่วนอั้มตัวสูงกว่าเนลนิดหน่อย ผมสีดำออกน้ำเงินยาว แถมยังถักเปียด้วย ดูเธอเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ตลอดเวลาเลยแฮะ ฉันคงทำไม่ได้แบบเธอแน่
“เอ๋... จะลงไปกินข้าวกันเลยหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ได้ฟังที่พูดบ้างมั้ยเนี่ยเธอ?”
“หรือว่ารินทร์จะ...มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับสุขภาพอยู่หรือเปล่า”
“สุขภาพ?”
“ก็อย่าง...ที่อาจารย์ลอร่าเขาพูดเรื่องที่รินงีบหลับหลายคาบมากน่ะสิ พวกเราเองก็เคยถามรินทร์เรื่องนี้นะ พอจำได้บ้างไหม?”
ฉันนั่งมึนไปสักครู่หนึ่ง เพราะเหมือนตอนนี้ในหัวของฉันนึกเรื่องอะไรบางอย่างไม่ค่อยออกเท่าไร ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างในหัวมันพุ่งออกมาหลายอย่าง พอฉันพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงสองสัปดาห์นี่ จู่ๆฉันก็รู้สึกปวดหัวจนต้องเอามือซ้ายมากุมขมับไว้ด้วยความเจ็บปวด
“รินทร์! เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เนล!! พารินทร์ไปห้องพยาบาลที”
“ไม่ต้อง”
“เห”
“ฉ-ฉันไม่เป็นไร ค-แค่นี้สบายมาก”
“จะไม่เป็นไรได้ไงล่ะ เธอต้องป่วยอะไรสักอย่างอยู่จริงๆด้วย”
“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้ป่วยเป็นอะไร”
“เธอได้ไปหาหมอบ้างรึเปล่า”
คนที่ยังอยู่ในห้องก็มองมาที่ฉันหลังจากมีท่าทีเหมือนกำลังเจ็บปวดกับอะไรบางอย่าง
ฉันมาย้อนคิดถึงสิ่งที่เนลพูดเมื่อกี๊ ฉันไม่รู้สึกว่าฉันป่วย แต่เหมือนกับมีเรื่องบางอย่างในช่วงสองสัปดาห์ที่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ถ้างั้นคงต้อง...
“เรื่องหมอน่ะช่างไว้ก่อนเถอะ”
“เนล อั้ม... พวกเธอจำเรื่องอะไรเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วได้เปล่า”
“สองสัปดาห์ รินทร์ถามทำไมน่ะ มันมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
“ฉัน...ก็ไม่รู้”
“ฉันแค่พยายามนึกเรื่องอะไรบางอย่างอยู่”
สองสัปดาห์... คงมีเรื่องอะไรสักอย่างทำให้เรามีปัญหาแบบนี้แน่ แต่สองคนนี้ก็ดูจะไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
สภาพเราตอนนี้ไม่มีอารมณ์ลงไปกินข้าวกับพวกเธอทั้งสองคนเลย ฉันควรจะยิ้มตอบพวกเขาทั้งสองคนและไปตั้งสติให้ดีไว้ก่อน
คิดแล้วก็ไปล้างหน้าสักหน่อยดีกว่า
“นี่ รินทร์จะไปไหนน่ะ”
“รินทร์---!!!”
ฉันเดินออกจากห้องไปตามทางเดินเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปล้างหน้าที่ห้องน้ำในอาคาร เผื่ออย่างน้อยจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นจากสภาพที่เป็นตอนนี้-
“โอ๊ย!”
ปวดหัวเหลือเกิน... ฉันปวดหัวจนแทบจะไม่อยากทำอะไรเลย ไม่ได้สิ...บนทางเดินมีคนเดินไปเดินมาตั้งเยอะตั้งแยะ
ฉันจะมาแสดงอาการเจ็บปวดจนน่าสมเพชที่นี่ไม่ได้
ฉันที่กำลังกุมขมับด้วยความเจ็บปวด และพอฉันลืมตาขึ้นมา
“เอ๋?”
ตอนแรกยังมีคนเดินไปเดินมาตั้งเยอะนี่นา แล้วทำไม...ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้
ถึงได้ไม่มีใครอยู่เลย...
และบรรยากาศที่ฉันเห็นนี่มันอะไรกัน ไอ้ความรู้สึกชวนคลื่นไส้จากสภาพแวดล้อมรอบข้างที่ไร้ชีวิตชีวานี่มันยังไงกันแน่
ทุกๆอย่างรอบข้างฉันตอนนี้ ล้วนแต่ไม่มีสีสัน... เหมือนที่นี่ไม่ใช่โลกที่ปกติที่ฉันพึ่งเดินออกมาจากห้องเลย
ขาว...น้ำเงิน... ไม่สิ... อาจจะเป็นขาวดำมากกว่า
โลกที่ดูไร้ชีวิตและมืดมนนี่มัน—
“นรินทร์จ๋าาาาา”
ฉันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“เอ๊ะ?”
“รินทร์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อะ”
ฉันรู้สึกตัวอีกที คนที่อยู่ข้างหน้าฉันตอนนี้คือผู้หญิงที่ฉันรู้จักคนหนึ่ง และบรรยากาศรอบๆตัวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว มีคนเดินผ่านไปมา และไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยกับโลกที่ไร้สีสันเมื่อสักครู่นี่เลย
ฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาการปวดหัวก็บรรเทาลงไปแล้วด้วย
“มีน...มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ก็พึ่งมาน่ะจ้ะ พอดีฉันพึ่งไปทานข้าวกล่องมาน่ะ”
“ข-ข้าวกล่อง?”
“ช่าย! และฉันก็กะว่าจะเอาข้าวกล่องอีกกล่องให้รินทร์กินอยู่พอดีเลย”
“เธอทำมาให้ฉันอีกแล้วหรอ?”
“อื้ม! ฉันทำมาให้รินทร์โดยเฉพาะเลยล่ะ”
“เอ้านี่”
ฉันที่ยังตั้งสติกับสิ่งที่เห็นก่อนหน้านั้นไม่ยังไม่ได้ แถมยังต้องมาเจอมีนเอาตอนนี้อีก บอกเลยว่าการที่ต้องมาเจอเธอคนนี้ตอนเที่ยงเป็นอะไรที่แอบลำบากใจอยู่เหมือนกัน เอะอะก็มีแต่ชวนให้ทานข้าวกล่องฝีมือของเธอตลอด ถึงมันจะอร่อยมากก็เถอะ
“เอ่อ...ฉันยังไม่หิวน่ะ”
“หืม? รินทร์ทานมาแล้วหรอ?”
“ก็...ประมาณนั้น(แหละมั้ง)”
ฉันพยายามเบี่ยงประเด็นที่จะตอบให้มากที่สุด ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกหิวข้าวเลยแม้แต่น้อย และยังจะมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจนั่นอีก ส่วนมีนจากตอนแรกที่ยิ้มเริงร่าชวนให้กินข้าวกล่อง ตอนนี้กลับทำหน้าจ๋อยคอตกไปซะแล้ว
“ถ้ารินทร์อยากกินเมื่อไรก็บอกได้ทุกเมื่อนะ”
ดูเหมือนเธอจะน้อยใจอยู่นิดหน่อย แต่ตอนนี้ฉันมีอย่างอื่นที่ต้องทำก่อน
“ไว้โอกาสหน้า...ฉันจะทานข้าวกล่องของเธอนะมีน”
“...อื้ม!”
จากที่มีนคอตกทำหน้าซึมๆตอนแรก กลายเป็นมายิ้มตอบดีใจซะแล้ว
“ถ้างั้น ฉันกลับไปที่ห้องเรียนก่อนนะ อย่าลืมสัญญาที่จะกินข้าวกล่องให้ได้ด้วยล่ะ!!”
“จ้า”
เธอวิ่งสวนไปทางที่ฉันเดินผ่านมา ดูเหมือนจะดีใจน่าดูเลย
ก็นะ... เธออยู่ห้อง ม.5/4 นี่นา... ถึงจะคนละห้องแต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมากเท่าไร
อ๊ะ ฉันกำลังจะไปเข้าห้องน้ำนี่นา ตอนนี้คงต้องรีบล้างหน้าหน่อยแล้ว รู้สึกว่าร้อนเหงื่อจริงๆ
............ ผ่านไป 2 นาที, ห้องน้ำหญิงชั้น 3 โซน A 12.13
ฉันที่พึ่งล้างหน้าเสร็จก็กำลังพยายามคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
บรรยากาศที่เห็นนั่น... คงไม่ใช่ว่าละเมอไปเองแน่ ถ้าฉันละเมอไปเองก็ต้องมีคนเห็นฉันตั้งแต่แรกแล้วสิ แต่...
“รินทร์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อะ”
“มีน...มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ก็พึ่งมาน่ะจ้ะ พอดีฉันพึ่งไปทานข้าวกล่องมาน่ะ”
สิ่งที่มีนพูดตอนที่เจอกัน เธอบอกว่าพึ่งมา แต่บรรยากาศที่ฉันเจอมันนานกว่านั้นมาก ถ้าเธอพึ่งมาแล้วเห็นฉันละเมอหรือยืนนิ่งอยู่แบบนั้นคงต้องตกใจใหญ่แน่ ยิ่งเป็นคนขี้เป็นห่วงอยู่ซะด้วย
จู่ๆฉันก็นึกเรื่องสมัยที่พวกเราสองคนยังเด็กขึ้นมา
อย่างตอนพวกเราไปว่ายน้ำ
“อย่าลืมห่วงยาง(2อัน)นะ”
ตอนที่เราล้มระหว่างไปเล่นสวนข้างบ้าน
“แง้—! รินทร์ต้องไม่เป็นอะไรนะ ต้องเรียกรถ-รถพยาบาล!!”
แต่ตอนนั้นก็แค่แผลถลอกเองหนินะ...
สำหรับตอนนี้คงต้องหาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ ไม่สิ ตลอดสองสัปดาห์นี่ให้ได้
ฉันมองไปที่กระจกตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ฉันเห็นคนกำลังเดินอยู่ในห้องน้ำเป็นปกติ จนจู่ๆภาพนั้นก็เปลี่ยนไป...
ภาพห้องน้ำที่สะท้อนในกระจกไม่เหมือนเดิม...
ห้องน้ำที่ฉันเห็นคนเดินไปมาเมื่อกี๊นี้ กลายเป็นห้องน้ำที่ไร้ผู้คน โลกที่ไร้สีสัน... อย่างกับว่ามันอยู่คนละโลกจริงๆ ภาพนี้มันกลับมาอีกแล้ว
“นี่มันอะไรกันแน่ อย่างกับว่าตอนนี้ฉันกำลังเห็นอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นอยู่คนเดียว”
“ภาพหลอน? ภาพลวงตา? หรือว่า... ของจริง?”
“น...น่ากลัว... ฉัน... ไม่อยาก...อยู่ที่นี่...”
ฉันที่พูดกับตัวเองด้วยเสียงสั่นคลอน จึงรีบหันหน้ากลับไปทางห้องน้ำด้านหลังด้วยความกลัว กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างยังเป็นปกติจนฉันไม่เข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน
มีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำคนหนึ่ง ก็มองมาที่ฉันด้วยท่าทีแปลกๆ เธอคงคิดว่าฉันเป็นอะไรรึเปล่า ถึงทำหน้าตาอย่างกับเห็นผี
ก่อนที่ฉันจะโดนมองเป็นยัยบ้า ฉันเลยรีบเดินออกจากห้องน้ำโดยที่ผู้หญิงที่เดินเข้าห้องน้ำเมื่อกี๊ยังไม่ทันกวักมือถามฉันว่าเป็นอะไร โดยที่ไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อของฉันเองเลย
พอฉันกำลังจะเดินกลับไปที่ห้อง จู่ๆร่างกายฉันก็รู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาทันที
ฉันได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในลำคอตัวเองโดยไม่มีใครรู้อะไร
“ไม่ไหว...แล้ว...”
ฉันในตอนนั้นได้แต่นั่งพิงผนังตรงทางเดินภายในอาคารโรงเรียน ก่อนที่จะหมดสติไปในสภาพนั้น ก่อนจะหมดสติรู้สึกว่าคนแถวนั้นจะตกใจมาก
“เห้ เธอ! เธอเป็นอะไรรึเปล่า!?”
“พาไปห้องพยาบาลที”
นั่นเป็น...คำพูดสุดท้ายที่ฉันได้ยิน หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และยิ่งไม่มีทางรับรู้เลยว่าอีกไม่นานจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของฉันไปตลอดกาล
และ ณ ตอนนี้... คนผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเรา... ยืนอยู่หน้าโรงเรียนแล้ว
“รินทร์ ไปกินข้าวกันได้แล้ว”
“ไม่รีบลงไปกินเดี๋ยวจะหาที่นั่งไม่ได้ซะก่อนนะ”
ฉันเห็นเนลกับอั้มเดินเข้ามาทักฉันในช่วงพักเที่ยงที่ใครต่อใครก็จะเดินไปหาอะไรทานที่โรงอาหารกัน พวกเขาทั้งสองคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉัน
เนลตัวสูงประมาณ 160 รู้สึกว่าจะเท่ากับอาจารย์ลอร่าเลย ต่างกับที่ผมเป็นสีน้ำตาลและไว้ทรงผมม้า พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ขึ้นชั้น ม.ปลาย แล้ว เธอเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเลยล่ะ ถึงจะขี้อายไปบ้างก็เถอะ
ส่วนอั้มตัวสูงกว่าเนลนิดหน่อย ผมสีดำออกน้ำเงินยาว แถมยังถักเปียด้วย ดูเธอเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ตลอดเวลาเลยแฮะ ฉันคงทำไม่ได้แบบเธอแน่
“เอ๋... จะลงไปกินข้าวกันเลยหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ได้ฟังที่พูดบ้างมั้ยเนี่ยเธอ?”
“หรือว่ารินทร์จะ...มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับสุขภาพอยู่หรือเปล่า”
“สุขภาพ?”
“ก็อย่าง...ที่อาจารย์ลอร่าเขาพูดเรื่องที่รินงีบหลับหลายคาบมากน่ะสิ พวกเราเองก็เคยถามรินทร์เรื่องนี้นะ พอจำได้บ้างไหม?”
ฉันนั่งมึนไปสักครู่หนึ่ง เพราะเหมือนตอนนี้ในหัวของฉันนึกเรื่องอะไรบางอย่างไม่ค่อยออกเท่าไร ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างในหัวมันพุ่งออกมาหลายอย่าง พอฉันพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงสองสัปดาห์นี่ จู่ๆฉันก็รู้สึกปวดหัวจนต้องเอามือซ้ายมากุมขมับไว้ด้วยความเจ็บปวด
“รินทร์! เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เนล!! พารินทร์ไปห้องพยาบาลที”
“ไม่ต้อง”
“เห”
“ฉ-ฉันไม่เป็นไร ค-แค่นี้สบายมาก”
“จะไม่เป็นไรได้ไงล่ะ เธอต้องป่วยอะไรสักอย่างอยู่จริงๆด้วย”
“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้ป่วยเป็นอะไร”
“เธอได้ไปหาหมอบ้างรึเปล่า”
คนที่ยังอยู่ในห้องก็มองมาที่ฉันหลังจากมีท่าทีเหมือนกำลังเจ็บปวดกับอะไรบางอย่าง
ฉันมาย้อนคิดถึงสิ่งที่เนลพูดเมื่อกี๊ ฉันไม่รู้สึกว่าฉันป่วย แต่เหมือนกับมีเรื่องบางอย่างในช่วงสองสัปดาห์ที่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ถ้างั้นคงต้อง...
“เรื่องหมอน่ะช่างไว้ก่อนเถอะ”
“เนล อั้ม... พวกเธอจำเรื่องอะไรเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วได้เปล่า”
“สองสัปดาห์ รินทร์ถามทำไมน่ะ มันมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
“ฉัน...ก็ไม่รู้”
“ฉันแค่พยายามนึกเรื่องอะไรบางอย่างอยู่”
สองสัปดาห์... คงมีเรื่องอะไรสักอย่างทำให้เรามีปัญหาแบบนี้แน่ แต่สองคนนี้ก็ดูจะไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
สภาพเราตอนนี้ไม่มีอารมณ์ลงไปกินข้าวกับพวกเธอทั้งสองคนเลย ฉันควรจะยิ้มตอบพวกเขาทั้งสองคนและไปตั้งสติให้ดีไว้ก่อน
คิดแล้วก็ไปล้างหน้าสักหน่อยดีกว่า
“นี่ รินทร์จะไปไหนน่ะ”
“รินทร์---!!!”
ฉันเดินออกจากห้องไปตามทางเดินเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปล้างหน้าที่ห้องน้ำในอาคาร เผื่ออย่างน้อยจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นจากสภาพที่เป็นตอนนี้-
“โอ๊ย!”
ปวดหัวเหลือเกิน... ฉันปวดหัวจนแทบจะไม่อยากทำอะไรเลย ไม่ได้สิ...บนทางเดินมีคนเดินไปเดินมาตั้งเยอะตั้งแยะ
ฉันจะมาแสดงอาการเจ็บปวดจนน่าสมเพชที่นี่ไม่ได้
ฉันที่กำลังกุมขมับด้วยความเจ็บปวด และพอฉันลืมตาขึ้นมา
“เอ๋?”
ตอนแรกยังมีคนเดินไปเดินมาตั้งเยอะนี่นา แล้วทำไม...ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้
ถึงได้ไม่มีใครอยู่เลย...
และบรรยากาศที่ฉันเห็นนี่มันอะไรกัน ไอ้ความรู้สึกชวนคลื่นไส้จากสภาพแวดล้อมรอบข้างที่ไร้ชีวิตชีวานี่มันยังไงกันแน่
ทุกๆอย่างรอบข้างฉันตอนนี้ ล้วนแต่ไม่มีสีสัน... เหมือนที่นี่ไม่ใช่โลกที่ปกติที่ฉันพึ่งเดินออกมาจากห้องเลย
ขาว...น้ำเงิน... ไม่สิ... อาจจะเป็นขาวดำมากกว่า
โลกที่ดูไร้ชีวิตและมืดมนนี่มัน—
“นรินทร์จ๋าาาาา”
ฉันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“เอ๊ะ?”
“รินทร์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อะ”
ฉันรู้สึกตัวอีกที คนที่อยู่ข้างหน้าฉันตอนนี้คือผู้หญิงที่ฉันรู้จักคนหนึ่ง และบรรยากาศรอบๆตัวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว มีคนเดินผ่านไปมา และไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยกับโลกที่ไร้สีสันเมื่อสักครู่นี่เลย
ฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาการปวดหัวก็บรรเทาลงไปแล้วด้วย
“มีน...มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ก็พึ่งมาน่ะจ้ะ พอดีฉันพึ่งไปทานข้าวกล่องมาน่ะ”
“ข-ข้าวกล่อง?”
“ช่าย! และฉันก็กะว่าจะเอาข้าวกล่องอีกกล่องให้รินทร์กินอยู่พอดีเลย”
“เธอทำมาให้ฉันอีกแล้วหรอ?”
“อื้ม! ฉันทำมาให้รินทร์โดยเฉพาะเลยล่ะ”
“เอ้านี่”
ฉันที่ยังตั้งสติกับสิ่งที่เห็นก่อนหน้านั้นไม่ยังไม่ได้ แถมยังต้องมาเจอมีนเอาตอนนี้อีก บอกเลยว่าการที่ต้องมาเจอเธอคนนี้ตอนเที่ยงเป็นอะไรที่แอบลำบากใจอยู่เหมือนกัน เอะอะก็มีแต่ชวนให้ทานข้าวกล่องฝีมือของเธอตลอด ถึงมันจะอร่อยมากก็เถอะ
“เอ่อ...ฉันยังไม่หิวน่ะ”
“หืม? รินทร์ทานมาแล้วหรอ?”
“ก็...ประมาณนั้น(แหละมั้ง)”
ฉันพยายามเบี่ยงประเด็นที่จะตอบให้มากที่สุด ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกหิวข้าวเลยแม้แต่น้อย และยังจะมีเรื่องที่ยังไม่เข้าใจนั่นอีก ส่วนมีนจากตอนแรกที่ยิ้มเริงร่าชวนให้กินข้าวกล่อง ตอนนี้กลับทำหน้าจ๋อยคอตกไปซะแล้ว
“ถ้ารินทร์อยากกินเมื่อไรก็บอกได้ทุกเมื่อนะ”
ดูเหมือนเธอจะน้อยใจอยู่นิดหน่อย แต่ตอนนี้ฉันมีอย่างอื่นที่ต้องทำก่อน
“ไว้โอกาสหน้า...ฉันจะทานข้าวกล่องของเธอนะมีน”
“...อื้ม!”
จากที่มีนคอตกทำหน้าซึมๆตอนแรก กลายเป็นมายิ้มตอบดีใจซะแล้ว
“ถ้างั้น ฉันกลับไปที่ห้องเรียนก่อนนะ อย่าลืมสัญญาที่จะกินข้าวกล่องให้ได้ด้วยล่ะ!!”
“จ้า”
เธอวิ่งสวนไปทางที่ฉันเดินผ่านมา ดูเหมือนจะดีใจน่าดูเลย
ก็นะ... เธออยู่ห้อง ม.5/4 นี่นา... ถึงจะคนละห้องแต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมากเท่าไร
อ๊ะ ฉันกำลังจะไปเข้าห้องน้ำนี่นา ตอนนี้คงต้องรีบล้างหน้าหน่อยแล้ว รู้สึกว่าร้อนเหงื่อจริงๆ
............ ผ่านไป 2 นาที, ห้องน้ำหญิงชั้น 3 โซน A 12.13
ฉันที่พึ่งล้างหน้าเสร็จก็กำลังพยายามคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
บรรยากาศที่เห็นนั่น... คงไม่ใช่ว่าละเมอไปเองแน่ ถ้าฉันละเมอไปเองก็ต้องมีคนเห็นฉันตั้งแต่แรกแล้วสิ แต่...
“รินทร์มาทำอะไรอยู่ตรงนี้อะ”
“มีน...มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ก็พึ่งมาน่ะจ้ะ พอดีฉันพึ่งไปทานข้าวกล่องมาน่ะ”
สิ่งที่มีนพูดตอนที่เจอกัน เธอบอกว่าพึ่งมา แต่บรรยากาศที่ฉันเจอมันนานกว่านั้นมาก ถ้าเธอพึ่งมาแล้วเห็นฉันละเมอหรือยืนนิ่งอยู่แบบนั้นคงต้องตกใจใหญ่แน่ ยิ่งเป็นคนขี้เป็นห่วงอยู่ซะด้วย
จู่ๆฉันก็นึกเรื่องสมัยที่พวกเราสองคนยังเด็กขึ้นมา
อย่างตอนพวกเราไปว่ายน้ำ
“อย่าลืมห่วงยาง(2อัน)นะ”
ตอนที่เราล้มระหว่างไปเล่นสวนข้างบ้าน
“แง้—! รินทร์ต้องไม่เป็นอะไรนะ ต้องเรียกรถ-รถพยาบาล!!”
แต่ตอนนั้นก็แค่แผลถลอกเองหนินะ...
สำหรับตอนนี้คงต้องหาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ ไม่สิ ตลอดสองสัปดาห์นี่ให้ได้
ฉันมองไปที่กระจกตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ฉันเห็นคนกำลังเดินอยู่ในห้องน้ำเป็นปกติ จนจู่ๆภาพนั้นก็เปลี่ยนไป...
ภาพห้องน้ำที่สะท้อนในกระจกไม่เหมือนเดิม...
ห้องน้ำที่ฉันเห็นคนเดินไปมาเมื่อกี๊นี้ กลายเป็นห้องน้ำที่ไร้ผู้คน โลกที่ไร้สีสัน... อย่างกับว่ามันอยู่คนละโลกจริงๆ ภาพนี้มันกลับมาอีกแล้ว
“นี่มันอะไรกันแน่ อย่างกับว่าตอนนี้ฉันกำลังเห็นอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นอยู่คนเดียว”
“ภาพหลอน? ภาพลวงตา? หรือว่า... ของจริง?”
“น...น่ากลัว... ฉัน... ไม่อยาก...อยู่ที่นี่...”
ฉันที่พูดกับตัวเองด้วยเสียงสั่นคลอน จึงรีบหันหน้ากลับไปทางห้องน้ำด้านหลังด้วยความกลัว กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างยังเป็นปกติจนฉันไม่เข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน
มีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำคนหนึ่ง ก็มองมาที่ฉันด้วยท่าทีแปลกๆ เธอคงคิดว่าฉันเป็นอะไรรึเปล่า ถึงทำหน้าตาอย่างกับเห็นผี
ก่อนที่ฉันจะโดนมองเป็นยัยบ้า ฉันเลยรีบเดินออกจากห้องน้ำโดยที่ผู้หญิงที่เดินเข้าห้องน้ำเมื่อกี๊ยังไม่ทันกวักมือถามฉันว่าเป็นอะไร โดยที่ไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อของฉันเองเลย
พอฉันกำลังจะเดินกลับไปที่ห้อง จู่ๆร่างกายฉันก็รู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมาทันที
ฉันได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในลำคอตัวเองโดยไม่มีใครรู้อะไร
“ไม่ไหว...แล้ว...”
ฉันในตอนนั้นได้แต่นั่งพิงผนังตรงทางเดินภายในอาคารโรงเรียน ก่อนที่จะหมดสติไปในสภาพนั้น ก่อนจะหมดสติรู้สึกว่าคนแถวนั้นจะตกใจมาก
“เห้ เธอ! เธอเป็นอะไรรึเปล่า!?”
“พาไปห้องพยาบาลที”
นั่นเป็น...คำพูดสุดท้ายที่ฉันได้ยิน หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และยิ่งไม่มีทางรับรู้เลยว่าอีกไม่นานจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของฉันไปตลอดกาล
และ ณ ตอนนี้... คนผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเรา... ยืนอยู่หน้าโรงเรียนแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ