Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา

6.5

เขียนโดย Huzure

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  40 Time
  12 วิจารณ์
  40.17K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตื่นตัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงยังมีตัวตนอยู่ได้ล่ะ? จุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกๆอย่างนี่คือ... แค่ความตายงั้นหรอ? ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าถ้าตายแล้วไปไหน เราเกิดมาได้ยังไง แต่มีบางอย่างที่เราทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่จำความได้

“เวลา”

ติดตัวมากับทุกคนตั้งแต่เกิด อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของโลกทั้งใบหรือจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุดนี่ มีทฤษฎีมากมายที่พยายามหาคำตอบของจุดเริ่มต้นของมนุษย์ ไม่ว่าจะทฤษฎีหลุมดำ บิ๊กแบงค์ การแตกตัวของจักรวาลต่างๆ จนทำให้เกิดโลกที่พวกเราอยู่ขึ้นมา...

แต่ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นได้ล่ะ...?

พระผู้เป็นเจ้า? ผู้สร้างโลก?

ในสิ่งที่พวกเราไม่มีทางรับรู้ได้ว่ามันมีอยู่จริงไหม คงจะไม่สามารถสรุปได้แน่ว่าเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่พยายามหาคำตอบอยู่เป็นระยะเวลานาน ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้จนถึงทุกวันนี้

แต่ “เวลา”

มีมาก่อนทุกสรรพสิ่ง หากไม่มีเวลา คงไม่มีทางที่อะไรต่างๆจะเกิดขึ้นได้แน่นอน เวลานั้นไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะย้อนกลับ ซึ่งจุดตรงนั้นคงเป็นเรื่องของวงจรชีวิต วงจรของเวลาที่มีการขับเคลื่อนตัวเองตามกลไกธรรมชาติ หรืออาจจะเป็นกลไกอันเหนือธรรมชาติที่แม้แต่มนุษย์ก็อาจจะยังไม่เข้าใจล่ะมั้ง

เวลาที่พวกเราใช้กันอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ วัน เดือน ปี วินาที นาที ชั่วโมง หรือจะกี่ชั่วยาม...

ทั้งหมดนั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้อยู่ในวงจรเวลาสร้างขึ้นมาและกำหนดให้มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ให้พวกเราใช้กันมาถึงทุกวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามีมนุษย์จำนวนมากที่พยายามจะเรียนรู้เรื่องราวมหัศจรรย์นี้ หรืออาจ...จะพยายามควบคุมสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” นี้อยู่ก็ได้

แม้จะเป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งที่อยู่ภายใต้วงจรเหล่นั้นก็ใช้ชีวิตเรื่อยมาโดยที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะไม่สนใจจุดเริ่มต้นของ “เวลา” และ “จุดจบ” เลยก็ได้

เพราะทุกคนต่างมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือควบคุมได้

“แต่ถ้ามีคนที่เข้าใจแก่นแท้ของมันและได้รับสิทธิ์ในการควบคุมเวลาล่ะ?”

เรื่องเพ้อฝันแบบนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาล่ะก็...

เราคงจะใช้พลังในการควบคุมเวลาเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เราเคยทำไว้ในอดีตทุกอย่างแน่นอน...

เราอยากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อที่จะกินไอศกรีมที่ไม่ได้กิน

หรือย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพื่อที่จะขอโท---

          หนังสืออิงวิทยาศาสตร์ที่เขียนโดยนักเขียนมือสมัครเล่นชื่อว่า “ถ้าหากมีวันนั้น”...

          ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนแรกแสดงท่าทีอย่างกับว่าโดนตบหน้าจากเนื้อหาที่อ่านในหนังสือก็ไม่ปาน

          “ฉันเสียเวลาอ่านทำไมตั้งนานเนี่ย”

          ฉันไม่เห็นจะต้องมานั่งอ่านหนังสือบ้าบออะไรนี่เลย

“ทำไมอาจารย์อนงค์ถึงสั่งให้หาตัวอย่างทำรายงานหนังสือนอกเวลาจากพวกผู้แต่งหน้าใหม่กันนะ?”

ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งเลยเอาหนังสือนี่เก็บเข้าที่ชั้นคืนหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนที่ฉันอยู่

“โรงเรียนมัธยมมาเจสติกวิทยา”

          ถึงจะไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ว่าทำไมแม้แต่โรงเรียนเอกชนชื่อดังยังต้องมีการทำรายงานหนังสือนอกเวลาเหมือนโรงเรียนทั่วๆไปด้วย

ถึงทำไปก็เอาไปให้คะแนนเล่นๆ และก็ดองเก็บไว้ไม่สนใจอยู่ดี

แต่เหมือนอาจารย์จะอยากให้พวกเราศึกษาเรื่องราวของนักเขียนหน้าใหม่มั้ง ถึงได้ให้เลือกเรื่องของนักเขียนหน้าใหม่ขึ้นมาทำ

แต่ถึงอย่างนั้น...

มันก็น่าเบื่ออยู่ดี...

“ฆ่าเวลาอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเวลาประมาณกี่โมงแล้ว เพราะคาบเรียนต่อไปจะเริ่มประมาณสิบโมงครึ่ง ฉันใช้เวลาพักระหว่างคาบเรียน 10 นาทีมาหาหนังสือที่จะใช้ทำรายงานในห้องสมุด ตอนนี้รู้สึกใกล้จะหมดเวลาแล้วสินะ

ฉันเลยหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ซึ่งมันไม่ใช่นาฬิกาทั่วไปอย่างนาฬิกาข้อมือ หรือนาฬิกาในโทรศัพท์

แต่เป็นนาฬิกาพก

“สิบโมงยี่สิบหกนาที...”

ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 4 นาที ฉันเลยรีบตรงกลับไปที่ห้องเรียนทันที ไม่อย่างนั้นแล้วฉันคงไปไม่ทันคาบต่อไปแน่

หนังสือเล่มนั้นคงจะอยู่ที่ชั้นคืนหนังสือเหมือนเดิมแน่ ไม่มีใครที่สนใจเรื่องเพ้อฝันอย่างการแก้ไขเวลาอยู่แล้วล่ะ เป็นเนื้อหาที่ไร้รสนิยมจริงๆ

          ในหน้าหนึ่งของหนังสือเล่มนั้นมีบทๆหนึ่งที่คนส่วนมากก็ไม่เคยอ่านถึงหน้านี้มาก่อนเลย ซึ่งข้อความเหล่านั้นก็คือ

“แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าจะมีสิทธิ์แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในอดีตได้ไหม เวลาย่อมเดินต่อไปข้างหน้า หากแต่ว่า...”

“ในบางที ถ้ามีใครสักคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของเวลาที่แท้จริง แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็อาจได้พลังที่สามารถบงการวงจรเวลาเอาไว้ในมือก็ได้ เราเชื่อว่าพลังเหล่านั้นมีอยู่จริง”

“อาจจะมีใครสักคนเป็นตัวแทนผู้แบกรับวงจรแห่งกาลเวลาไว้ก็ได้”

เธอคนนั้น...นรินทร์...เดินออกจากห้องสมุดไปทันที เธอเก็บนาฬิกาพกเข้าที่กระเป๋าเสื้อแล้วเดินจากไปโดยไม่คิดเลยว่า “เธอกำลังจะต้องแบกรับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน”

............

(ห้อง ม.5/2 10.40)

“ความรู้สึกนี้...มันอะไรกันนะ...”

“ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว...”

“อย่างกับว่า เรากำลังถูกอะไรบางอย่างเรียกอยู่...”

“มันคืออะไ-“

“นรินทร์...นรินทร์...คุณนรินทร์!!”

เอ๊ะ...เสียงอะไรดังเข้ามาในหัวกันนะเมื่อกี๊

พอฉันลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองอยู่ในท่าที่พึ่งฟุบหลับลงบนโต๊ะเรียนระหว่างคาบสอนของวิชา “ประวัติศาสตร์”

ผู้หญิงที่เดินมาปลุกฉัน อาจารย์คานิลีโอ ลอร่า พอลเซอร์... อาจารย์สาวสวยจบใหม่ลูกครึ่งสเปน ชอบถือหนังสือเล่มหนาๆเล่มหนึ่งเดินไปเดินมาตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งระหว่างสอนก็จะมีกองหนังสือวางอยู่บนโต๊ะตลอด และเหมือนจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับสังคมศาสตร์กับประวัติศาสตร์เป็นกองพะเนินทั้งนั้นเลย

ถึงหน้าตาจะดูเป็นอาจารย์ที่ใจดี ผมสีเหลืองปนส้มยาวมาถึงกลางหลัง ดูเผินๆเหมือนจะแสดงออกถึงความเป็นมิตร แต่สำหรับนักเรียนที่เรียนด้วยแล้ว... ไม่ค่อยต่างอะไรกับนรกในห้องเรียนเลย ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ เพราะนี่เป็นปีแรกที่ฉันได้มาเรียนกับอาจารย์คานิลีโอ

อาจารย์ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ มองลงมาด้วยสายตาไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ฉันค่อยๆเอนหน้าขึ้นมามองทั้งๆที่ยังอยู่ในท่าฟุบหลับตาโต๊ะ

“จะหลับอีกกี่รอบหรอคะนักเรียน?”

เอะ...

ประโยคที่อาจารย์พูด ถึงจะพูดทั้งๆที่ยังยิ้มอยู่ แต่น้ำเสียงกลับแสดงออกมาชัดเจนเลยว่าหงุดหงิดแค่ไหน แต่เดี๋ยวก่อนนะ

“ฉัน...หลับไปหลายรอบเลยหรอคะ?”

อาจารย์ไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากเสียง “ค่า—” ซึ่งน้ำเสียงชวนขนลุกมากจนฉันยังผวาเลย ทั้งๆที่ยิ้มอยู่ แต่สายตากลับดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ยิ่งรวมกับตาสีดำมืดมนนั่นแล้วก็สมกับเป็นอาจารย์ผู้มีฉายาว่า “อาจารย์จอมเหี๊ยบ” เลยจริงๆ

“อาจารย์ไม่อยากย้ำนะคะ สัปดาห์ก่อนก็หลับแบบนี้มารอบหนึ่งแล้ว ไม่สิ...ตั้งแต่เปิดเทอมได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เธอก็เริ่มมีอาการเหมือนคนนอนไม่พอ งีบหลับในทุกวิชาที่เข้าเรียนเลย”

2 สัปดาห์... มันนานขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย ทำไมเหมือนรู้สึกเวลามันผ่านไปเร็วจริง

“ดูท่าอาจารย์คงต้องส่งเรื่องให้ทางฝ่ายปกครองมาเคลียร์กับเธอสักหน่อยแล้วล่ะ”

“เอ๊ะ?”

“เห—”

วินาทีนั้น นักเรียนทั้งห้องที่มองอยู่ตั้งแต่แรกก็ร้องดังขึ้นมาพร้อมกัน รู้สึกจะตอบสนองด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกับสิ่งที่อาจารย์พูดขึ้นมา

เพราะทุกคนรู้ดีว่าที่โรงเรียนนี้ การเข้าห้องปกครองนั้นมีเพียงไม่กี่เรื่องและมักเป็นเรื่องร้ายแรงอยู่เสมอ เช่น ทะเลาะวิวาท การกลั่นแกล้ง

บทลงโทษที่ตามมาก็ย่อมรุนแรงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพักการเรียน การตัดสิทธิ์สอบ ร้ายแรงที่สุดคือไล่ออก ทุกคนจึงกลัวที่จะกระทำผิดในโรงเรียนนี้มาก

ฉันที่อยู่มาจนถึงชั้น ม.5/2 ในตอนนี้เองก็ตกใจมากอยู่เหมือนกัน

“คือ...ต้องห้องปกครองเลยหรอคะอาจารย์?”

“รินทร์ไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเลยนะคะ แค่เรื่องแบบนี้-”

“แค่ 2 สัปดาห์ก็มีคนกล้าหลับในห้องเรียน มันแสดงให้เห็นถึงความไม่กระตือรือร้นและความไม่เอาใจใส่ต่อหน้าที่ในฐานะนักเรียนของเธอ”

ถึงฉันจะรู้สึกว่านั่นเป็นคำพูดที่ถูกต้องอยู่แล้วก็เถอะ เพียงแค่รู้สึกกลัวเฉยๆถ้าต้องเข้าไปอยู่ในห้องปกครองที่มักจะจบเรื่องราวต่างๆด้วยการทำโทษทางวินัย

อาจารย์คานิรีโอเอาหนังสือชี้หน้าฉัน

“เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ายังปล่อยให้มีนักเรียนทำได้สักคนแล้วล่ะก็ ก็จะมีนักเรียนคนอื่นลอกเลียนเป็นแบบอย่างตามมาอีกเรื่อยๆ เธอคงต้องไปหาข้อแก้ตัวกับฝ่ายปกครองเองเร็วๆนี้ล่ะ”

“รู้ใช่ไหม?”

คราวนี้อาจารย์ไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย... รู้สึกขนลุกซู่เลย

ไม่นานนักอาจารย์ก็เดินกลับไปที่หน้าห้องเรียนและพยายามวกกลับมาสอนเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปกครองของออสเตรเลียที่พูดค้างอยู่ตอนเดินมาหาฉัน

“เห้อ เหนื่อยใจจริง”

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องกลายเป็นนักเรียนอีกคนที่ต้องถูกเชิญเข้าห้องปกครองเพื่อสอบทางวินัย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำมันผิดก็เถอะ

ฉันเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมนักเรียนบางคนถึงกลัวอาจารย์สาวไฟแรงคนนี้กัน ทั้งๆที่พึ่งทำงานมาได้แค่ 3 ปีเองแท้ๆ แต่กลับเป็นคนที่อาจารย์ในโรงเรียนหลายคนไว้ใจมอบหมายงานให้ตลอดเวลา

แต่รู้สึกว่าอาจารย์แกจะ...

“อาจารย์คานครับ”

วินาทีนั้นฉันก็เห็นอาจารย์สะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที

“คือ...อาจารย์คานครับ...”

“ทำไมอังกฤษต้องหาที่ระบายนักโทษด้วยล่ะครับ คือนักโทษในสมัยนั้นมันเยอะมากขนาดทำให้ประเทศล้นเลยหรอครับ อาจารย์คาน”

“อย่าเรียกห้วนๆอย่างนั้นสิยะพวกเธอ!!”

อาจารย์วีนแตกขนาดหยุดสอนกะทันหันเพื่อมาว่านักเรียนคนเมื่อกี๊เลยแฮะ...

จุดอ่อนอาจารย์คงจะเป็นเรื่องที่โดนล้อชื่อนี่สินะ เหมือนจะมีฉายาว่าอาจารย์อกแบนผู้โสดสนิทมาตั้งแต่เกิด ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง...

(ยังเหวี่ยงไม่เลิกเลยแฮะ)

ผ่านไป 40 นาที... 11.25

“ออสเตรเลีย...นโยบายเหยียดเชื้อชาติ...”

จะว่าไป ฉันเองก็ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวต่างๆบนโลกนี่ มีการกำหนดวันเวลากันชัดเจนได้ยังไง

เท่าที่หนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ช่วงต้น เหมือนระบบเวลาจะถูกสร้างมาตั้งแต่ยุคบาบิโลเนีย ซึ่งเป็นยุคที่เหล่านักปราชญ์เริ่มทำการสังเกตดวงดาว บันทึกสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว เพื่อรู้จักจัดสรรเวลาที่ไม่สามารถระบุอะไรตายตัวได้

จนถึงทุกวันนี้ก็ยังใช้ระบบจัดสรรเวลามาตั้งแต่ยุคโบราณมาโดยตลอด

ช่างเหอะ ฉันไม่สนใจอะไรเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว... ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วนะ

ตอนนั้นฉันเลยหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเพื่อจะได้รู้ว่าใกล้พักเที่ยงแล้วหรือยัง

“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว (11.30 น.)”

ฉันขี้เกียจฟังประวัติศาสตร์น่าเบื่อพวกนี้ซะแล้วสิ พอยิ่งฟังนานๆเข้ามันก็...

“ง่วง”

............

ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันถูกอาจารย์ลอร่าเตือนว่าจะเรียกไปห้องปกครองอยู่แล้ว ต้องห้ามหลับเด็ดขาดเลยนะยัยรินทร์

แต่พอมาคิดถึงสิ่งที่อาจารย์คา-อาจารย์ลอร่าพูดแล้ว ทำไมฉันถึงไม่ค่อยรู้สึกตัวในระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเลยนะ

ถึงจะเคยสังเกตอยู่บ้างว่ามีคนถามว่าทำไมถึงหลับในห้องเรียนบ่อยๆก็เถอะ แต่เรากลับไม่รู้สึกง่วง หรือรู้สึกว่าหลับในห้องเรียนไปแล้วเลยสักครั้ง

มันเหมือนกับอย่างอื่นที่...อธิบายด้วยหลักการที่มีอยู่ตอนนี้ไม่ได้เลย

ถ้าฉันรู้ว่าสิ่งที่รู้สึกในระยะนี้คืออะไรล่ะก็... คงจะหาทางแก้อาการหลับไม่รู้ตัวนี่ได้แน่ ไม่งั้นแล้วต้องโดนเรียกเข้าห้องปกครองเร็วๆนี้แน่ แค่คิดก็จิตตกซะแล้วเรา

ป ฉันเองก็ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวต่างๆบนโลกนี่ มีการกำหนดวันเวลากันชัดเจนได้ยังไง

เท่าที่หนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ช่วงต้น เหมือนระบบเวลาจะถูกสร้างมาตั้งแต่ยุคบาบิโลเนีย ซึ่งเป็นยุคที่เหล่านักปราชญ์เริ่มทำการสังเกตดวงดาว บันทึกสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว เพื่อรู้จักจัดสรรเวลาที่ไม่สามารถระบุอะไรตายตัวได้

จนถึงทุกวันนี้ก็ยังใช้ระบบจัดสรรเวลามาตั้งแต่ยุคโบราณมาโดยตลอด

ช่างเหอะ ฉันไม่สนใจอะไรเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว... ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วนะ

ตอนนั้นฉันเลยหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเพื่อจะได้รู้ว่าใกล้พักเที่ยงแล้วหรือยัง

“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว (11.30 น.)”

ฉันขี้เกียจฟังประวัติศาสตร์น่าเบื่อพวกนี้ซะแล้วสิ พอยิ่งฟังนานๆเข้ามันก็...

“ง่วง”

............

ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันถูกอาจารย์ลอร่าเตือนว่าจะเรียกไปห้องปกครองอยู่แล้ว ต้องห้ามหลับเด็ดขาดเลยนะยัยรินทร์

แต่พอมาคิดถึงสิ่งที่อาจารย์คา-อาจารย์ลอร่าพูดแล้ว ทำไมฉันถึงไม่ค่อยรู้สึกตัวในระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเลยนะ

ถึงจะเคยสังเกตอยู่บ้างว่ามีคนถามว่าทำไมถึงหลับในห้องเรียนบ่อยๆก็เถอะ แต่เรากลับไม่รู้สึกง่วง หรือรู้สึกว่าหลับในห้องเรียนไปแล้วเลยสักครั้ง

มันเหมือนกับอย่างอื่นที่...อธิบายด้วยหลักการที่มีอยู่ตอนนี้ไม่ได้เลย

ถ้าฉันรู้ว่าสิ่งที่รู้สึกในระยะนี้คืออะไรล่ะก็... คงจะหาทางแก้อาการหลับไม่รู้ตัวนี่ได้แน่ ไม่งั้นแล้วต้องโดนเรียกเข้าห้องปกครองเร็วๆนี้แน่ แค่คิดก็จิตตกซะแล้วเรา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา