Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา

6.5

เขียนโดย Huzure

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  40 Time
  12 วิจารณ์
  40.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) ภาพแห่งวันวาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

............

“ว้าาา ทำเสร็จสักที”

“สเต็กซอสพริกไทยดำ!!”

“แบบนี้ต้องเอาไปอวดรินทร์สักหน่อยแล้ว อ๊ะ ถ่ายรูปแชรเข้า talkbook หน่อยดีกว่า”

อ๊ะ ฉันคือใครงั้นหรอคะ? ฉันชื่อ มีน ค่ะ หรือชื่อจริงว่า พรรณธิชา

(เป็นเพื่อนสมัยเด็กของนรินทร์ตั้งแต่ ป.4 แล้วล่ะ เพราะเราเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ช่วงนั้น บ้านก็อยู่ใกล้กันอีก)

(จนฉันขึ้น ม.1 พวกเราก็ไม่ได้เจอกันเท่าไร พ่อแม่ของฉันย้ายบ้านมาอยู่ในอีกโซนหนึ่ง ตอนนั้นฉันคิดถึงรินทร์มากเลย)

(รินทร์น่ะ เป็นคนที่ถึงจะชอบทำตัวเงียบๆบ่อย แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่เข้าสังคมเก่งมาก เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนมักไม่รู้เรื่องนี้เลยไม่ค่อยเข้าหาเธอกันเท่าไร)

(ความฝันของฉันตอนนี้ คือการฝึกทำอาหารให้ได้หลากหลายที่สุด เป็นเชฟที่ใครๆก็ต้องรู้จักชื่อ มีร้านเป็นของตัวเอง ฉันจึงฝึกทำอาหารในหลายๆแบบให้เพื่อนแต่ละคนกินให้ได้ โดยเฉพาะรินทร์เพื่อนซี้ของเรา <3 )

“ฮิฮิ ไว้วันจันทร์ต้องทำเมนูนี้ไปฝากรินทร์ให้ได้ หรือเอาเต้าหู้เสฉวนดีนะ”

“มีน... ถ้าลูกใช้ครัวเสร็จแล้วอย่าลืมปิดแก๊สทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”

“ค่า แม่!!”

(แต่ก่อนแม่ฉันก็ไม่ค่อยสนับสนุนที่จะให้เป็นเชฟเท่าไร เพราะความจริงแล้วบ้านของเราก็ทำธุรกิจขายเฟอร์นิเจอร์มาทุกรุ่น จะว่าบ้านนี้ใหญ่โตนิดหน่อยก็คงจะได้มั้ง)

“มอมแมมหมดเลย พรุ่งนี้มีนัดซะด้วยสิ”

ชุดกันเปื้อนสีชมพูเป็นลายที่ฉันชอบใส่ที่สุด จริงๆฉันควรจะเปลี่ยนจากชุดนักเรียนไปใส่ชุดอื่นนะเนี่ย เปรอะคราบน้ำมันกระเด็นหมดเลย

“แต่ว่าพรุ่งนี้จะใส่อะไรดีน้า ไว้ค่อยคิดก่อนจะนอนละกัน”

“เดทแรกชองเรา...”

*กิ๊ง ก่อง*

“เห? ใครมากดกริ่งเอาเวลาป่านนี้เนี่ย”

ฉันถอดผ้ากันเปื้อนกับผ้าพันหัวที่มักจะพันตอนฝึกทำอาหารไว้ในครัว

พอปิดแก๊สเสร็จ ฉันก็วิ่งออกไปดูว่าใครมากดกริ่งเอาตอน 4 ทุ่มแบบนี้

*แกร๊ก*

“ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ?”

หลังจากฉันเปิดประตูเพื่อดูว่าใครมากดกริ่งเอาเวลาป่านนี้ คนที่ยืนอยู่หน้าประตูสองคนเป็นผู้หญิงที่กำลังพยุงร่างของผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าบ้าน ผู้หญิงคนนี้...

“รินทร์!!”

“ม-ม-ม-ม-ม-มีน”

“ช-ช-ช-ช่วยพาผู้ชายคนนี้เข้าไปปฐมพยาบาลที”

“ฉันไ-ไ-ไ-ไม่ไหวแล้ว”

หน้าของรินทร์ที่ฉันเห็นตอนนี้แดงกร่ำไปทั้งหน้า พอเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าร่างของเธอแดงไปทั้งตัวเลยมากกว่า เธอคงจะเขินแบบสุดๆที่ต้องจับเนื้อต้องตัวผู้ชายแบบนี้

พวกเธอไปทำอะไรกันมานะ ถึงได้มีแผลเต็มตัวและสภาพบอบช้ำแบบนั้น และผู้ชายคนนี้คือใครกัน...

............ *ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที* ............

“นี่บ้านของหนูใช่ไหม?”

“ใช่ฮะ...”

หลังจากการต่อสู้นั่นจบลง พวกเรารีบออกมาจากตรงจุดนั้นพร้อมอุ้มเด็กคนนี้มาด้วย ระหว่างทางเด็กคนนี้ก็ฟื้นขึ้นมาพอดี

“นี่พี่สาว ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะฮะ?”

“สงสัยหนูคงจะหลับลึกน่ะจ้ะ เลยลืมเรื่องอื่นๆไปหมดเลย”

“หรอฮะ? ผมนึกว่าผู้หญิงที่ยิ้มน่ากลัวคนนั้นจะเป็นปีศาจจริงๆซะอีก”

(ยัยนั่นยิ้มน่ากลัวขนาดไหนกันนะ  ถึงขนาดทำให้โดนมองเป็นปีศาจได้)

ตอนที่เด็กคนนั้นกำลังล่ำลาฉันด้วยรอยยิ้ม ฉันไม่ได้สังเกตอาการของวอร์เรนที่เดินตามฉันมาตลอดทางเลย ตาของเขาเริ่มพร่ามัวและเริ่มจะประคองสติไม่ไหว ถึงแม้ว่าจะพยายามฝืนอยู่ก็ตาม...

“พี่สาวฮะ”

“ว่าไงจ๊ะ?”

ฉันก้มหน้าลงมาคุยกับเด็กคนนั้น เด็กผู้ชายนี่น่ารักจังเลยเนอะ

*จุ๊บ*

“............เอ๊ะ?”

เจ้าหนูนี่... หอมแก้มซ้ายของฉัน...

“ขอบคุณพี่สาวมากนะฮะ”

“ผมหวังว่าอนาคตจะเจอพี่สาวแสนดีอย่างพี่อีกให้ได้เลยล่ะครับ”

เด็กน้อยคนนั้นวิ่งเข้าไปในบริเวณบ้าน โบกมือล่ำลาฉันตลอดทางที่วิ่งเข้าไปจนเขาเดินไปถึงประตูบ้าน แม่ของเขาเปิดประตูโผเข้ามากอดลูกชายที่หายไปของเธอทั้งน้ำตา

บางทีเด็กนี่ก็โตไวจังนะ เล่นทำคนที่อายุมากกว่าอย่างฉันยืนนิ่งปากค้างได้เลย มีแต่มือขวาที่โบกมือลาเด็กคนนั้นขยับอยู่อย่างเดียว

“เ-เด็กนี่น่ากลัวดีนะ แต่ว่า เด็กก็คือเด็กแหละเนอะ? จะไปอะไรมากคงไม่ได้หรอกม-มั้ง”

“นี่นาย... เงียบมาตั้งแต่เมื่อ-”

วอร์เรนที่ยืนอยู่ข้างหลังฉันลงไปฟุบลงกับพื้นแล้ว ร่างกายของเขาถึงขีดจำกัดเพราะอาการบาดเจ็บ และยังฝืนใช้พลังตอนที่สู้กับผู้ชายคนนั้นอีก

“วอร์เรน!!”

ทำไมฉันถึงไม่สังเกตเลยนะ ว่าเขาพยายามฝืนตัวเองมากแค่ไหน ฉันในตอนนี้ได้แต่ลงไปนั่งดูร่างที่ไม่มีสติของเขาอย่างเดียว

“ท-ทำไงดี วอร์เรน ทำใจดีๆไว้!”

แล้วไหงตอนนี้มือของฉันถึงสั่นกันล่ะ แค่จะ-จะ-จับตัวอีตานี่เองไม่ใช่หรอ

ฉันส่ายหัวพยายามคุมความกลัวตัวเอง และกำลังจะสัมผัสร่างของเขาเพื่อพยุงพาไปโรงพยาบาลใกล้ๆ

“เ-เดี๋ยวฉันจะพาไปโรงพยาบาลใกล้ๆ-”

วินาทีนั้นที่ฉันสัมผัส ภาพบางอย่างก็เข้ามาในหัวทันที

(เอ๋ ภาพพวกนี้มันหรือว่า... อนาคตที่เรามองเห็น)

*ภาพในหัวของฉันไหลผ่านเข้ามาเรื่อยๆตามลำดับเวลา แต่ไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรได้เลยนอกจาก

- ภาพโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

- วอร์เรนที่อยู่บนเตียงคนไข้

- คนสองคนที่พูดอะไรกันข้างๆ วอร์เรน

- ผู้หญิงที่เดินเข้ามาในห้อง...

ทุกอย่างที่เห็นมันคลุมเครือและไม่มีความชัดเจนอะไรเลย หรือว่านั่นจะเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าฉันพาเขาไปที่โรงพยาบาล คงจะไม่ปลอดภัยแล้วแน่ๆ...

ถ้างั้นฉันจะพาไปที่ไหนดีล่ะ ต้องหาที่ๆใกล้ที่สุดก่อนอันดับแรก...

เพราะแบบนั้นแล้ว...

*ตัดกลับมาปัจจุบัน*

“อือ... เขาไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วล่ะ หนูรินทร์”

“ค-ค่ะ”

“ไงก็ ให้เขาพักสักหน่อยแล้วกันนะ อีกไม่นานก็น่าจะฟื้นแล้วล่ะ”

“ขอบคุณมากนะคะ”

“งั้นแม่ขอตัวไปดูแลพ่อก่อนนะมีน ลูกอยู่ดูแลเพื่อนของลูกไปละกัน”

“ค่า”

ผู้หญิงใส่แว่นที่พึ่งเช็คอาการของวอร์เรนก่อนจะเดินออกไปเมื่อกี๊ คือแม่ของมีน เธอเคยเป็นนักศึกษาแพทย์มาก่อน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหันมาเอาดีด้านทำธุรกิจกับพ่อของมีนก็เถอะ

พวกเราตอนนี้พักกันอยู่ในห้องนั่งเล่น แผลบนตัวฉันก็ได้มีนกับแม่ของเธอช่วยทายาและเอาผ้ามาพันไว้ ส่วนวอร์เรนที่นอนอยู่บนโซฟา หลังจากตรวจอาการก็ทายาแก้พกช้ำและก็ปล่อยให้นอนพักต่อไป

จะว่าไงดีล่ะ... ถ้าเป็นสมัยอยู่บ้านใกล้ๆกันก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ตั้งแต่ฉันกับมีนอยู่ไกลกัน นานทีปีหนฉันถึงจะแวะมาที่นี่ แถมครั้งนี้ยังพาผู้ชายเข้ามาด้วยอีก ฉันจะเริ่มคุยกับเธอยังไงดี ชักจะประหม่าแล้วสิ

............

รินทร์ในตอนนี้ทำไมถึงดูรุกรี้รุกรนจัง เราก็ยังไม่ทันได้ถามเธอถึงเรื่องผู้ชายคนนี้หรืออาการบาดเจ็บพวกนั้นเลยด้วย

“รินทร์ ผู้ชายคนนี้เป็นแฟ-?”

“ไม่ช่าย!!! ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันและเขาสลบไปเลยพามาแค่นั้นเอง!!”

กระวนกระวายน่าดูเลยแฮะ หน้าแดงกร่ำของเธอเพราะความเขินสังเกตได้ง่ายมาก ก็เอาน่ะ เพราะเป็นรินทร์แหละนะ (อิอิ)

“เอาเป็นว่า... พวกเราเจอกันโดยบังเอิญ เพราะมี...เอ่อ พอดีว่าฉันมาเดินเล่นแถวนี้ด้วย และบังเอิญมีรถจะเฉี่ยวฉันเข้า ตอนนั้น...เอ่อ ผู้ชายคนนั้นก็มาผลักฉันกระเด็นหลบรถไปพอดี แผลพวกนี้เป็นรอยถลอกตอนกระแทกพื้นน่ะ ส่วนผู้ชายคนนั้น...”

“หา!? รถเฉี่ยวงั้นหรอ? จำทะเบียนรถนั่นได้ไหม? จำหน้าคนขับได้ไหม? แจ้งความไว้แล้วรึยัง? ไปทำแผลที่โรงพยาบาลไหม?”

“ไ-ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”

ที่ฉันเอามือทุบฟาดโต๊ะต่อหน้ารินทร์แบบนั้น คือฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมรินทร์ถึงพยายามบอกว่าไม่ต้องห่วง ในเมื่อถ้าเพื่อนคนสำคัญของฉันเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันคง...

“คือ... ผู้ชายคนนั้นดูน่าห่วงมากกว่าฉันอีกนะ มีน”

“ที่พูดมา... มันก็ถูกอยู่น่ะ แต่ว่า...”

มือของรินทร์ค่อยๆแตะหัวฉันอย่างเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอก... ฉันไม่อยากเห็นเธองอแงอีกหรอกนะ”

“...รินทร์...”

“ว่าแต่... ฉันเคยงอแงด้วยหรอ?”

“อ๊ะ... เอ่อ... แค่เดาเผื่อน่ะ ฮะฮะฮะ” (ลืมไปเลยว่าเธอจำเรื่องวันนั้นไม่ได้)

(รินทร์เป็นอะไรของเขากันนะ?)

แต่ถึงรินทร์กับผู้ชายคนนั้นจะเจอเรื่องแย่ๆมา ฉันกลับดีใจมากยังไงก็ไม่รู้สิ คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่รินทร์แวะมาหาเราเวลาแบบนี้ ดีใจจัง

“พวกเราไม่ได้...นั่งคุยกันแบบนี้นานแล้วเนอะ? รินทร์”

“...อ่า ก็นั่นสิ นี่น่าจะเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีได้มั้ง ที่ฉันแวะมาที่บ้านมีน”

“พูดแล้วก็คิดถึงจังเลยเนอะ ตอนที่พวกเราวิ่งเล่นกันแถวบ้านสมัยเด็กๆ”

(มันเป็นความทรงจำที่สนุกมากจริงๆ พวกเราสองคนที่วิ่งเล่นแถวบ้านตอนสมัยเด็กๆ ยิ่งครอบครัวของพวกเราสนิทกันด้วยแล้วก็ยิ่งเฮฮากันแทบจะตลอดเวลา จนกระทั่งเกิดเรื่องนั้นขึ้น... เรื่องที่ทำให้รินทร์เปลี่ยนไปตลอดกาลจนถึงวันนี้......)

(บางที ฉันก็ยังอยากถามเรื่องนั้น แต่ว่า...)

“มีน... มีน?”

“อ๊ะ มีไรหรอรินทร์”

“เห็นเหม่อมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว เป็นอะไรรึเปล่า?”

“อ่า คือ ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่กำลังคิดถึงเรื่องเก่าๆสมัยพวกเรายังเป็นเด็กแค่นั้นเอง”

“จริงสิ จำตอนนั้นได้ไหม ที่รินทร์โดนแก๊งเด็กผู้ชายขังไว้ในห้องน้ำของโรงเรียนน่ะ”

“อ่า จำได้สิ... วันนั้นเป็นวันที่แย่มากเลยล่ะ”

“ฉันได้แต่นั่งร้องห่มร้องไห้ พยายามตะโกนให้มีคนมาช่วยแต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงเลยสักคน ถึงอย่างนั้น”

“มีนก็ช่วยฉันได้ทันเวลาพอดี ส่วนผู้ชายพวกนั้นก็โดนเธอเขกหัวซะปูดไป 3 วัน 4 วันเลยล่ะ”

“มันต้องสั่งสอนกันซะบ้าง จะได้หลาบจำ”

“แต่เพราะฉันเจอแต่เรื่องแบบนั้นแหละ... ไหนจะโดนแกล้ง ไหนจะโดนมองว่าเป็นสาวหน้านิ่งไม่สนใจใคร เลยมักตกเป็นเป้าหมายของพวกเพื่อนผู้ชาย”

“ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ที่ฉันเริ่มจะไม่ชอบผู้ชายขึ้นมาลึกๆในใจ เกลียดผู้ชายที่ชอบคุยแต่เรื่องลามก ไม่อยากแตะต้องตัวผู้ชาย ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย”

“แต่ว่า... เธอตอนที่ขึ้นม.ปลายก็เปลี่ยนไปเยอะนะ เหมือนเธอเริ่มเปิดใจกับผู้ชายมากขึ้นแล้วยังไงอย่างนั้น”

“ก็มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนี่นา... แต่สำหรับตอนนี้ก็ยังมีฝังใจอยู่นิดหน่อยนะ”

“ฮะฮะ จริงที่สุดเลย ขนาดตอนเธอแบกผู้ชายคนนี้มาก็ยังเขินจนสติแทบจะหลุดไปไหนต่อไหนแล้วไม่รู้ ฮะฮะ”

“อ-อย่าพูดสิมีน! มันน่าอายนะ” (เขินควันออกหัว)

“เอาเป็นว่า... ถ้าผู้ชายคนนี้ฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ฉันก็จะให้เขากลับไปทันที”

“ยังไงก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้วแหละ”

“หรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย-”

(เอ๋?)

“มีน?”

............

เมื่อกี๊ฉันมัวแต่ก้มหน้าบ่นพึมพำไปมา พอฉันเงยหน้าหลังจากได้ยินเสียงประหลาดนั่น ก็เห็นมีนหยุดอยู่กับที่ไม่ขยับตัวไปแล้ว

(นี่มัน หยุดเวลา)

เสียงเมื่อกี๊นี้ไม่ใช่เสียงมีน ถ้างั้นคงจะเป็น...

“นี่ เอาน้ำมาให้หน่อย คอแห้งจะแย่แล้ว”

“แว๊ก วอร์เรน! นายฟื้นมาตั้งแต่เมื่อไร”

ฉันตกใจลั่นห้องทันที ไม่คิดว่าจู่ๆ วอร์เรนที่ตอนแรกน่วมเละขนาดนั้นจะลุกขึ้นมานั่งคุยอยู่บนโซฟานั่นได้ไวขนาดนี้

“ตั้งแต่เมื่อไรหรอ... ก็สักพักแล้วล่ะ”

“สักพัก? นายหายไวขนาดนั้นเลยงั้นหรอ?”

“ก็ไม่แปลกหรอก สำหรับคนที่เชื่อมต่อกับนาฬิกานานๆ จะสามารถปรับเวลาในร่างกายให้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น ทั้งแผลกับอาการบอบช้ำพวกนี้เลยจะหายไวกว่าปกติ”

“แ-แล้วทำไมฉันตอนนั้นถึงหายช้านักล่ะ?”

“ก็เพราะเธอยังควบคุมพลังไม่ได้ไงล่ะ เธอพึ่งจะทำได้จริงๆก็วันนี้เอง”

วอร์เรนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ร่างกายของเขาเกือบจะเหมือนปกติแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่บาดเจ็บอยู่เหมือนกัน น่าแปลกที่ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเหมือนจะรู้สึกว่าเจ้านั่นใช้พลังอะไรไปสักอย่าง สงสัยเราจะคิดมากไปเองล่ะมั้ง

“อ๊ะ... ผู้หญิง?”

“นี่เพื่อนฉัน ชื่อมีน นายหยุดเวลาเธอไปอีกแล้วล่ะสิ”

“ก็แน่นอน... เราคงไม่ให้เธอรู้จักเรื่องของพวกเราไปมากกว่านี้หรอก”

“...หมายความว่า นายจะลบความทรงจำทิ้งอีกแล้วงั้นหรอ?”

“ใช่ ลบช่วงเวลาที่เกิดขึ้นประมาณนี้ออกไป แค่นั้นก็จบแล้ว แต่เอ... เพื่อนเธอน่ารักจังเลยนะ มีแฟนยังอะ?”

“จะไปรู้ได้ไงยะ? แล้วก็ช่วยเลิกเล่นผมเพื่อนฉันได้แล้ว”

อีตานั่นกำลังจัดทรงมีนให้เปลี่ยนไปตามใจชอบอย่างอิสระมากๆ ทำไมเจ้านี่ถึงได้เก่งในเรื่องที่ไม่ควรเก่งได้กันนะ

“นี่ วอร์เรน”

“หืม” (หยุดเล่นผมชั่วขณะ)

“Silver Lotus… มันเกี่ยวข้องอะไรกับนายงั้นหรอ?”

วอร์เรนปล่อยมือจากผมของเธอโดยยังคาอยู่ในสภาพนั้นเพราะอำนาจหยุดเวลา ส่วนเขาก็เดินไปทั่วห้องเพื่อดูรูปภาพที่แขวนไว้ในห้องนั่งเล่น

“Silver Lotus… พวกนั้นต้องการดึงให้เราไปเป็นพวกน่ะ”

“ไปเป็นพวก? ทำไมถึงทำแบบนั้น”

“ก็เหมือนกับที่เราตกลงช่วยเอาความทรงจำของเธอกลับมาไงล่ะ ไหนจะความปรารถนานั่นอีก”

“คนพวกนั้นก็คงมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างเหมือนกัน คงจะเป็นครองโลกล่ะมั้ง”

“ครองโลก... พวกนั้นคิดไว้แบบนั้นหรอ?”

“ก็ไม่รู้สิ... นี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้จักชื่อนี้” (เปิดอัลบั้มรูปของมีนสมัยเด็กๆ)

“ตอนที่เราสลบไป... ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกใช่ไหม?”

การที่เขาถามแบบนี้ หรือเขาจะนึกถึงภาพอะไรที่เราเห็นออกกันนะ ไม่สิ ไม่น่าใช่ น่าจะหมายถึงเรื่องคนพวกนั้นมากกว่า

“ไม่มีหรอก... ฉันปล่อยคนพวกนั้นทิ้งไว้อย่างนั้นน่ะ”

“เพราะฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับพวกเขาดี”

อัลบั้มรูปที่วอร์เรนถือเป็นอัลบั้มที่รวมภาพฉันกับมีนสมัยเด็กเยอะมาก วอร์เรนฟังเรื่องที่ฉันพูดไปก็เปิดอัลบั้มไปพลาง

“ดีแล้วล่ะ”

“ดี?”

“ถ้าเป็นเราก็คงจะทำแบบเดียวกัน เพราะถ้าไปทำลายนาฬิกาสองคนนั่นทิ้งเพื่อกำจัดการเชื่อมต่อเวลาของพวกมันล่ะก็ คนที่ซวยจะเป็นเธอเอง”

ทำลายนาฬิกา เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันนะ วอร์เรนเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างในอัลบั้มรูปภาพแต่ก็ไม่ได้บอกอะไรฉัน ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สังเกตสีหน้าของวอร์เรนเลยด้วย

“การทำลายนาฬิกา จะทำให้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับตัวนาฬิกาได้งั้นหรอ?”

“ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกัน กระแสเวลาของผู้ใช้ที่ไหลกลับเข้านาฬิกาก็จะกระจายออกมาสู่โลกภายนอก เพราะมันไม่มีนาฬิกาที่เป็นเหมือนดั่งภาชนะรองรับอีกแล้ว กระแสเวลาส่วนนั้นก็จะไปขยายเวลาในนาฬิกาเรือนอื่นๆอีกทีหลัง”

“หมายความว่า คนที่มีนาฬิกาคนอื่นก็จะเก่งขึ้นงั้นหรอ?”

“ใช่ แต่การทำลายนาฬิกาจำเป็นต้องมีร่างกายที่พร้อมแบกรับการเปลี่ยนแปลงของเวลาได้ ถ้าเธอเลือกที่จะพังนาฬิกาตอนนั้น คนที่ยังควบคุมได้ไม่เก่งพอแบบเธอคงจะรับพลังไม่ไหวและก็หายไปจากมิตินี้ก็ได้”

“เอ๋?”

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องน่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วย ดีแล้วล่ะที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยหลังจากนั้น เพราะฉันไม่อยากทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้อีก ถึงเขาจ้องจะเอาชีวิตฉันก็เถอะ...

“เอาเถอะ... ค่อยๆรู้ไปทีละอย่างน่ะดีแล้ว จะได้จดจำได้ง่ายขึ้น ต่อให้ใช้นาฬิกาเป็น ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้สมองหายช้าได้หรอกนะ”

“นี่นายว่าฉันหรอ!?”

“ป๊าว เธอทำธุระของเธอให้เสร็จไปก่อนดีกว่า”

“ถ้าเสร็จธุระเมื่อไรล่ะก็ ไว้ค่อยคุยกันต่อก็ได้”

เขาเดินมายืนอยู่หลังเก้าอี้ของพิม ก่อนที่จะทำมือกวนๆอย่างกับกำลังลูบหัวของเธออยู่

(กรอด!)

(อีตานี่หนิ ถึงจะพอรู้ว่ามีนมองไม่เห็นเขาก็เถอะ แต่ว่าเห็นแบบนี้แล้วมัน...)

“รินทร์จ๋า”

ห๊ะ เสียงนี้ มีนขยับตัวตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย

“เห็นมองอะไรมาตั้งแต่มะกี๊ละ มีอะไรอยู่บนหัวฉันงั้นหรอ?”

“เอ่... เอ่อ... ไม่มีหรอกจ้ะ ไม่มีอะไรเลยจ้ะ” (ซะเมื่อไรล่ะ)

อีตาวอร์เรนนี่! ยังจะไปหยิบปากกากับกระดาษแถวนั้นมาเขียนตัวหนังสือชมความสวยงามของเพื่อนฉันอีกนะยะ อยากซัดสักทีจริงๆ

“คือว่า... มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกรินทร์น่ะ”

“เรื่องที่จะบอก? เรื่องอะไรงั้นหรอ”

“มันเป็น......เรื่องที่ฉันไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย เรื่องนั้นน่ะคือ...”

......

(หน้าแดงแบบนี้ เรื่องแบบนี้ หรือว่านี่จะเป็นการบอกรักของสาว Yuri แบบในตำนานทุ่งรักดงดอกเหมย สาวๆที่แก้มแดง กำลังทำท่าทีเขินอายที่จะสารภาพรัก นี่มันใช่เลย บรรยากาศแบบนี้แหละ พอเธอคนนี้หายตื่นเต้นก็จะสารภาพความในใจออกไปว่า)

รินทร์กับวอร์เรนกำลังลุ้นถึงสิ่งที่มีนกำลังจะพูด หน้าวอร์เรนดูตื่นเต้นกว่ารินทร์อีก

“คือว่า...... พรุ่งนี้ฉันนัดแฟน... ไม่สิไม่สิ แค่ผู้ชายที่กำลังลองคุยกันอยู่น่ะ”

“ถ้ารินทร์ว่าง...... ช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม?”

............

(เอ๋) <<< รินทร์/วอร์เรน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา