Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
6.5
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
40 Time
12 วิจารณ์
40.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) สถานการณ์เลวร้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(บริเวณนอกห้างใจกลางเมืองกรุงเทพ 14.05)
............
เวลาบ่ายมักจะเป็นช่วงที่ร้อนมากที่สุดในประเทศนี้ ผู้คนเลยมักจะเดินเล่นในห้างมากกว่าที่จะยืนหรือนั่งภายนอกห้างที่ร้อนระอุ
ทั้งๆที่นี่เป็นช่วงหน้าฝน แต่วันนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะฟ้าครึ้มเลยสักนิด แถมร้อนซะจนไม่มีใครอยากจะออกมาเดินข้างนอกเลย
ในขณะนั้นเองก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินใส่แว่นกันแดด ท้าทายความร้อนด้วยร่างกายที่เหงื่อท่วมหัว
(2 นาทีต่อมา // ไม่ไกลจากร้านเสื้อผ้านัก)
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้าง ก่อนจะเจอคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนั้นมีท่าทีแปลกๆ
นั่นยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าก็ไม่อาจคิดได้
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่รอช้า เดินเข้าไปดูทันทีว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้นั้นคือใครกันแน่
ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นเดินไปดูหน้าของผู้หญิงคนนั้น เขาก็ต้องตะลึงเมื่อได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้
“นรินทร์!”
เธอคนนั้นได้แต่นั่งกอดเข่าตัวซีดเป็นร่างไร้วิญญาณ แววตาไร้ชีวิตชีวาไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวอะไรภายนอกเลย
............
“รินทร์?”
“ไหงถึงได้มานั่งตัวซีดเป็นสัมภเวสีอยู่ตรงนี้ะเนี่ย?”
“เห้ เห้!”
*ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ*
ขนาดโบกมือผ่านตาก็ยังค้างไม่กระพริบตอบอีกแฮะ เหมือนเธอจะเจอเหตุการณ์ชวนช็อคบางอย่างมา
“เห้! ตื่นสักทีสิคุณเธอ ยัยแมวน้อย ยัยบ้า!”
“......ไม่ตอบอีกแฮะ ขนาดเรียกแบบนี้ก็ยังจะนิ่งอีก”
ความคิดชั่วๆของผมเริ่มไหลเข้ามาในหัวอีกแล้ว
“เฮะเฮ่... ถ้าเธอไม่ขยับล่ะก็... อย่าได้มาว่ากันล่ะ”
มือของผมค่อยๆขยับไปตรงหน้าอกของรินทร์อย่างช้าๆ ไม่รู้ทำไมความคิดแบบนี้ถึงได้เข้ามาอยู่ในหัวทุกที คงเพราะอยากจะแกล้งยัยนี่ล่ะมั้ง
จนมือของผมเกือบจะถึงหน้าอกของรินทร์อยู่แล้ว......
*เพี้ยะ!*
แก้มซีกซ้ายของเราถูกประทับด้วยฝ่ามือขวาของรินทร์เข้าอย่างจัง
เธอตบเราเต็มแรงมากจนตัวเราเซล้มไปด้านข้าง พร้อมแว่นตาที่ติดไว้บนหน้าผากกระเด็นปลิวหายวับไปเลย
เสียงตบที่ดังกระหึ่มทำให้คนสงสัยว่าเสียงมันมาจากตรงไหน เพราะพวกเราทั้งสองคนอยู่ในเวลาที่คลาดเคลื่อนจากพวกเขา จึงไม่มีใครมองเห็นเลยสักคน
ซึ่งมันต่างกับตอนที่คนในห้องของเธอมองเห็นวันนั้น ที่เราอยู่คนละมิติเวลาเพียงคนเดียว ขณะที่เธอยังอยู่เวลาเดิม
ตอนที่ถูกสัมผัสตัวเลยทำให้ความคลาดเคลื่อนในเวลาของเรากลับไปเป็นเหมือนเดิม
อะ ช่างเรื่องคำอธิบายพวกนี้ไปละกัน...
หลังจากเมื่อกี๊ สิ่งที่คืนกลับมามีแต่แววตาของเธอที่ดูมีชีวิตอีกครั้ง เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยน
“เห้! ตบให้มันเบาๆกว่านี้ไม่ได้รึไง?”
“นี่......”
เธอกลับไปกอดเข่าทำหน้าเศร้าอีกครั้ง ดูเหมือนตอนนี้เธอจะยังไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเราล่ะมั้ง
“โทษทีที่แหย่แรงเกินไป สรุปแล้วเกิดเรื่องขึ้นกับเธอกันแน่?”
เธอค่อยๆหันมามองหน้าเราอย่างช้าๆ แววตาของเธอยังดูเศร้าสร้อยอยู่
“วอร์เรน...”
............
“แบบนี้นี่เอง เธอกลัวที่เพื่อนของเธอจะพูดคำว่าเกลียดเลยลบเวลาไปสินะ?”
“อื้อ...”
“ฉันทำเรื่องที่แย่มากลงไปแล้วใช่ไหม วอร์เรน?”
“การที่ฉันเลือกหนีมาแบบนี้น่ะ... มันน่าสมเพชมากสินะ”
“......น่าสมเพชหรือไม่ มันเป็นความคิดของตัวเธอเอง”
“ยังไงเธอก็รู้อยู่แล้ว ว่ามีนคงไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดหรอก”
“พูดได้เลยว่าไม่มีใครในโลกมาเชื่อเรื่องที่ไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลแบบนั้นหรอก”
“โดยเฉพาะคนที่ยังอยู่ในวังพะวนแห่งความรักแบบนั้นน่ะ”
ดูเหมือนคำพูดของเราจะแทงใจดำทำให้เธอหน้าซีดอีกแล้ว
ให้ตายสิ ยัยนี่มันนิสัยจริงจังชะมัดยากเลยแฮะ
“นี่... ถ้าเกิดฉันไม่ได้ลบเวลาช่วงนั้น...”
“แปลว่าเธอจะเกลียดฉันมากเลยใช่ไหม?”
“......เกลียดงั้นหรอ......”
เหมือนจะเป็นคำถามที่เธออยากจะให้เราตอบเพื่อให้กำลังใจสินะ ถ้างั้นล่ะก็
“อืม... เกลียดแน่นอน”
“เอ๊ะ? นายพูดอะไรน่ะ”
“ก็เธอถามเองใช่ไหมล่ะ ว่าถ้าเธอไม่ลบความทรงจำช่วงนั้นไป มีนจะยังโกรธเกลียดเธออยู่รึเปล่า”
“เราก็ตอบให้ไงว่าเกลียดแน่นอน”
“น...นี่! ทำไมถึงมาซ้ำเติมกันอย่างนี้ล่ะ”
“นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ต่อจากเกลียดก็คงจะโกรธไปจนวันตาย ตัดขาดเพื่อน อาฆาตแค้น และจองล้างลองผลาญตลอดชีวิต”
ทุกคำที่เราพูดทำให้รินทร์เลือดขึ้นหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ต่อไปพวกเธออาจจะเป็นศัตรูกันไปเลยก็ได้-”
*ฟึ่บ*
เธอกระชากคอเสื้อของเราด้วยใบหน้าที่โกรธมาก
“พอได้แล้ว ถ้านายพูดอีก ฉันจะต่อยหน้านายจริงๆนะ!”
“ทำไมล่ะ หรือว่ามันไม่จริง? แค่นี้ก็-”
“ฉันบอกให้พอไง!!”
เธอตะโกนเสียงดังออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงไป...
หยดน้ำตาของเธอค่อยๆไหลออกมากระทบกับม้านั่งตรงนั้น
“ฉันขอร้องล่ะ...... หยุดพูดที!!”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของเธอชัดๆแบบนี้ เธอคงจะแครเพื่อนรักของเธอคนนี้มาก จนไม่อยากที่จะต้องสูญเสียความสัมพันธ์แบบที่เป็นอยู่
“...การที่เธอร้องไห้ออกมาแบบนั้น......”
“เธอนี่มันอ่อนแอจริงๆ”
“หา? นี่นายยังจะไม่หยุดอีกหรอ?”
“ก็จริงปะล่ะ? ความสัมพันธ์ของเธอมันพังง่ายขนาดนั้นเลยงั้นหรอ?”
คำพูดเมื่อกี๊ของเราทำให้เธอตาค้างไปชั่วขณะ
“จริงอยู่... ที่มีนอาจจะเกลียดเธอ... แต่ถ้าเธอเชื่อสิ่งที่เราบอกไปทั้งหมด”
“นั่นหมายความว่าเธอไม่เชื่อใจในสายสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนเลย”
“......วอร์เรน......”
“ฟังนะ นรินทร์”
*ตุ้บ*
เธอปล่อยคอเสื้อผมมาสักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้ผมเลยจับแขนทั้งสองข้างของเธอเพื่อปลอบใจบ้าง เอาเข้าจริงเราก็ไม่ใช่คนที่ปลอบใจผู้หญิงเก่งหรอก ครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ
“เชื่อในสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอสองคนที่รู้จักกันมาตลอดสิ”
“ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้น รินทร์คิดว่ามีนจะเกลียดเธอตลอดไปจริงๆแน่หรอ?”
“คนที่เป็นเพื่อนกันน่ะ ไม่ว่าจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ยังไงความเป็นเพื่อนก็ไม่มีทางตัดขาดกันหรอก!”
............
*ในขณะเดียวกัน*
มีนซื้อเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและออกมาหาพี่เต้ที่รออยู่ข้างนอก
พี่เต้พูดชมเสื้อผ้าน่ารักๆ ที่มีนซื้อมา ก่อนจะอาสาแบกกระเป๋าโดยให้เธอเก็บกระเป๋าสตางค์ให้เรียบร้อย
ระหว่างที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป่าสะพาย
ข้างในกระเป๋าใบนั้นมีใบเสร็จตั๋วหนังสามที่นั่งที่พวกเธอไปดูมาเมื่อตอนเที่ยง
มีนหยิบตั๋วใบนั้นขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามพี่คนนั้นเพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกคาใจ
............
*ตัดกลับมาอีกทาง*
“ไม่ต้องเชื่อที่เราพูดก็ได้... แต่เชื่อในความรู้สึกที่พวกเธอสองคนมี”
“แค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว...”
นานๆผมจะพูดอะไรแบบนี้สักที เป็นครั้งแรกที่ได้พูดอะไรที่ดูหล่อๆแบบนี้ให้ผู้หญิงฟังเลยนะเนี่ย
*เก๊กแปป หึหึ*
แต่เอ๊ะ ทำไมเธอถึงได้ตัวแข็งทื่ออยู่แบบนี้ล่ะ
“ปล่อย...”
“เอ๊ะ?”
สายตาของเธอดูเหมือนจะจ้องกินเลือดกินเนื้อผมอย่างมาก... หรือว่าเพราะมือของเรากำลังจับแขนเธออยู่แบบนี้......
ความรู้สึกเสียวสันหลังแบบนี้ทำให้ผมรีบปล่อยมือของตัวเองออกมาทันที
“ข-ขอโทษคร้าบ อ-อย่าทำอะไรเราเลยนะ”
“เ-เราเผลอแต๊ะอั๋งเธอแบบนี้ ขอโทษๆๆๆๆๆ”
เราได้แต่คำนับเธอเพื่อขอโทษไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ รังสีอำมหิตนั่นแผ่ออกมา
(เธอขยับตัวแล้ว โดนแน่เรา โดนแน่เรา โดนแน่เรา!!)
............
“ขอบคุณนะ”
“......เอ๊ะ?”
ผมเงยหน้าขึ้นมา เธอนั่งคุกเข่าโค้งหัวมาให้เรา
“ขอบคุณ......ที่เตือนสติฉัน”
“ฉันเกือบจะรู้สึกว่ามีตราบาปไปตลอดชีวิตซะแล้ว ที่ทำให้เพื่อนคนสำคัญต้องเกลียด”
“ขอบคุณมาก วอร์เรน”
เหมือนตอนนี้เธอจะกลับมาเป็นปกติแล้วสินะ แบบนี้ก็ค่อยโล่งอกหน่อย
“อื้อ... งั้นก็”
“แต่เรื่องที่นายแต๊ะอั๋งฉันเมื่อกี๊”
“ถ้าไม่ติดว่านายเตือนสติฉันไว้ล่ะก็ นายคงได้โดนตบซ้ำสองอีกแน่ วอร์เรน”
“ค-ครับผม...”
รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยรังสีอาฆาตแบบนี้มันโคตรน่ากลัวเลย
............
(ผ่านไป 2 นาที // ภายในห้าง)
พวกเราสองคนยังเดินตามมีนและพี่คนนั้นอยู่ห่างๆ และพยายามเลี่ยงการปะทะกับผู้คน เพราะไม่งั้นการคลาดเคลื่อนเวลาของเราก็จะสูญเปล่า
“นายสะกดรอยตามฉันมางั้นหรอ?”
“อื้อ... ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ แต่ก็พลัดหลงกับเธอในฝูงคนตอนออกจากสถานี”
“ก่อนจะรู้ว่าเธออยู่ในห้างนั้นเพราะพลังที่เธอใช้ออกมารุนแรงขนาดนั้นนั่นล่ะ”
เพราะอีตานี่รับรู้การบิดเบือนเวลาของฉัน ทำให้เขาตามหาฉันถูกนี่เอง ดูเหมือนการใช้เวลายิ่งมีการบิดเบือนเยอะหรือเป็นวงกว้างเท่าไร จะยิ่งทำให้คนอื่นรู้ตำแหน่งง่ายขึ้นเท่านั้น
“ร...ร่างกายของนายไม่เป็นไรแล้วแน่นะ?”
“ช่างเรื่องร่างกายเถอะน่า ตอนนี้เรื่องเพื่อนของเธอน่าเป็นห่วงมากกว่าอีก”
ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับสองคนนั่น พวกเราเดินแอบตามมุมเสาไปเรื่อยๆ (ซึ่งจริงๆก็ไม่จำเป็นหรอก)
ระหว่างที่พวกเรากำลังสะกดรอยตามอยู่ ตอนนั้นมีใครบางคนที่เดินผ่านระหว่างกลางของพวกเราไป...
ฉันกับวอร์เรนหันหน้าไปมองคนๆนั้น...
ไม่รู้ว่าพวกเราตาฝาดไปเองรึเปล่า เพราะเหมือนจะเห็นผู้ชายคนนั้น
ส่งเสียงในคอ (หึ) ตอนที่เดินผ่านระหว่างกลางพวกเรา
(เมื่อกี๊นี้มัน...) *นรินทร์คิด*
(หรือว่า คนๆนั้นจะ...) *วอร์เรนคิด*
แต่ในจังหวะนั้นเอง...
เพียงแว๊บเดียวที่พวกเราเผลอให้ความสนใจผู้ชายคนนั้นมากไป พอวอร์เรนหันกลับมาก็เห็นมีนกับพี่คนนั้นอยู่ในลิฟท์แล้ว
“แย่แล้ว รินทร์!”
“พวกเขาสองคนกำลังลงลิฟท์ไปแล้ว!”
“เอ๋?”
ฉันรีบหันกลับมาด้วยความตกใจ แล้วพยายามที่จะวิ่งตามไปให้ทัน
“เ-เดี๋ยวก่อน มีน!”
แต่ประตูลิฟท์ก็ปิดซะแล้ว ถึงตอนนั้นมีนจะสะดุ้งราวกับได้ยินเสียงใครเรียกอยู่ก็ตาม
ส่วนฉันที่รีบวิ่งตามไป ก็เผลอชนคนที่เดินออกมาจากลิฟท์ข้างๆไปหลายคน จนร่างของฉันปรากฏกายมาในเวลาปัจจุบันทันที
“วะ วะ เหวอ! มาจากไหนเนี่ย!?”
“แว๊ก!”
คนที่ชนฉันตกใจมากที่เห็นพวกเราโผล่มาต่อหน้าต่อตา
“รินทร์! รีบหนีจากที่นี่ก่อน!”
“ละ-แล้วมีนล่ะ?”
“ถ้าขืนยังอยู่ที่นี่ จะตกเป็นเป้าสงสัยนะ!”
เพราะคนรอบข้างก็เริ่มมองฉันด้วยความรู้สึกแปลกๆ
มีเสียงซุบซิบมาตลอด
*เกิดอะไรขึ้นน่ะ?*
*เธอโผล่มาได้ไงกัน?*
*มายากลอะไรรึเปล่า?*
ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ขณะที่ในใจของฉันก็ยังคงห่วงมีนที่ลงลิฟท์ไปแล้วมาก
............
*แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก*
พวกเราวิ่งหนีมาจากฝูงคนได้แล้วก็จริง แต่ว่า...
“จะทำไงดี วอร์เรน!?”
“พวกเราคลาดสายตาจากสองคนนั่นแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมีนล่ะก็...”
“สงบสติไว้รินทร์ เราก็กำลังหาทางแก้สถานการณ์ตอนนี้อยู่เหมือนกัน”
วอร์เรนยังคุมสติได้อยู่ตลอด ต่างกับฉันที่เริ่มร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“โทรหา... โทรหาเธอเลย”
“ตอนนี้ต้องรู้ตำแหน่งที่เธออยู่ให้ได้ก่อน”
“ดะ- ได้!”
............
ตอนนี้มีนกับพี่เต้กำลังยืนอยู่ข้างนอกห้างเพื่อเตรียมจะกลับบ้าน
“วันนี้ฉันสนุกมากเลยนะคะ พี่เต้”
“พี่เองก็ดีใจที่มีนสนุกนะ”
เธอได้รับของขวัญเป็นตุ๊กตาลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองที่เหมือนจะเป็นตัวกาลกิณีประจำโลกออนไลน์ของที่นี่
มันอาจจะดูทุเรศลูกตาไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นของขวัญที่พี่เขาอุตส่าห์ให้มาแหละนะ
“พวกเราขึ้นรถไฟฟ้ากลับกันเลยไหมคะ?”
“เอ่อ... พี่ยังอยากใช้เวลาอยู่กับมีนนานๆอยู่เลยน่ะ?”
“ลองเปลี่ยนเป็นนั่งรถแท็กซี่แทนไหม?”
“เอ๊ะ? แท็กซี่หรอคะ?”
*ตู๊ด ตู๊ด*
มือถือที่เธอใส่ไว้ในกระเป๋าถือดังขึ้น คนที่โทรมาก็คือนรินทร์เอง
(รินทร์......)
ระหว่างที่มีนมองดูจอโทรศัพท์ เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าพี่เต้คนนั้นมีแววตาแปลกๆที่เห็นเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
มีนกดรับสายคุยกับรินทร์
[ฮัลโหล มีอะไรหรอรินทร์]
[เอ่อ... คือ... มีน!]
[ตอนนี้อยู่ที่ไหนน่ะ?]
[วันนี้ฉันมาเที่ยวที่ห้าง SJ Center น่ะ]
[ว่าแต่รินทร์มีธุระอะไรงั้นหรอ]
(เสียงรถแล่นผ่านนั่น... เธอกำลังจะกลับแล้วงั้นสินะ)
[ฟังนะ! มีน! เธอนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านให้เร็วที่สุดเลย!]
[อย่าให้ใครไปส่งเด็ดขาดนะ]
[เอ๋?]
ไม่นานนักผู้ชายคนนั้นก็ฉกโทรศัพท์ของมีนไปทันที
“จะคุยอีกนานไหม พี่อยากกลับจะแย่แล้วนะ”
“พ-พี่เต้... ทำอะไรน่ะคะ? คืนโทรศัพท์มานะ!!”
ขณะที่เธอพยายามจะชิงโทรศัพท์คืน ผู้ชายคนนั้นก็โชว์ให้เห็นมีดที่เหน็บไว้ใต้แจ็คเก็ตมาตลอดให้ดู
“ชู่ววว อย่าเสียงดังไปสิ”
“ไม่เช่นนั้นแล้ว ผิวของเธออาจมีรูอยู่ก็ได้”
“พ-พี่เต้—”
จิตใจของมีนได้ก่อความกลัวขึ้นมาในใจแล้ว เธอไม่คิดว่าคนที่เป็นรักแรกในชีวิตของเธอ จะมีของพวกนี้พกติดตัวไว้ด้วย
[ฮัลโหล!]
[อะ...เสียงนี้......]
[เสียงนี้? โหะโหะ หมายความว่าไงกันล่ะ]
[รินทร์]
(รินทร์? เจ้านั่นน่าจะถูกลบเวลาไปแล้วไม่ใช่หรอ?)
[ไม่ต้องห่วงหรอก เพื่อนของเธอยังปลอดภัยดี และจะปลอดภัยในอ้อมแขนของพวกเราแน่นอน]
มีรถ SUV คันหนึ่งมาจอดตรงจุดรับผู้โดยสาร ข้างในนั้นมีผู้ชายประมาณ 5 คนนั่งรออยู่ในรถ
มีนที่เห็นภาพแบบนั้นยิ่งตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่ก้าวขายังไงก็ก้าวไม่ออก เพราะหากเธอก้าวแม้แต่นิดเดียว ผู้ชายคนนี้อาจเล่นงานเธอทันที
[แกคิดจะทำอะไรเพื่อนของฉัน!? แล้วแกรู้จักชื่อฉันได้ไง?]
[โฮ่ว... ลืมพี่ที่แสนดีที่เคยอยู่ข้างบ้านไปแล้วงั้นหรอ...]
[พี่เสียใจมากเลยนะ ที่เธอลืมเรื่องของพี่ได้เนี่ย]
[แต่ช่างเถอะ... ไว้พี่จะส่งรูปภาพเพื่อนที่แสนจะน่ารักของเธอให้ดูนะ]
[คงต้องเป็นภาพที่......น่ารักน่าเอ็นดูมากเลย!]
รอยยิ้มกับแววตาของคนที่ชื่อเต้คนนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิตที่ในหัวคิดแต่เรื่องหื่นกามอยู่ตลอดเวลา
ตาของมีนจับจ้องไปที่รอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น พร้อมเอามือป้องปากไว้ด้วยความรู้สึกช็อคที่เกิดขึ้นในใจ
*ตัดสาย*
“ถ้าเพื่อนของเธอไม่โทรมาล่ะก็ คงไม่ต้องเล่นด้วยวิธีรุนแรงแบบนี้หรอก”
“ว่าไงล่ะมีน...... จะไปกันรึยัง”
สายตาที่จ้องจะกลืนกินเรือนร่างของมีน ทำให้มีนไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจตามไปด้วยเท่านั้น
(รินทร์........ช่วยฉันด้วย)
.........
*อีกด้านหนึ่ง*
*ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด*
[เดี๋ยวก่อนสิ ฮัลโหล! ฮัลโหล!!]
“แย่แล้ว เจ้าบ้านั่นวางสายไปแล้ว!”
ฉันรีบเก็บโทรศัพท์ทันที สีหน้าฉันตอนนี้เริ่มจะกังวลจนถึงขีดสุดแล้ว มีนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆแล้ว
“รินทร์ พวกเขาสองคนอยู่ไหน?”
“ฉันได้ยินเสียงรถ! พวกเขาคงจะอยู่หน้าห้างแล้ว!!”
“งั้นรีบไปกันเถอะ...”
“ไปตอนนี้น่ะหรอ...? จะตามพวกเขายังไงให้ทันล่ะ?”
“อย่าลืมสิ......”
“พวกเราสองคนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันอยู่นะ...”
คำพูดของวอร์เรนทำให้ฉันใจเย็นลง ก่อนที่ฉันจะเอามือแตะไปที่กระเป๋ากางเกงด้านซ้ายที่ไม่ใช่แค่ใส่มือถือ
*แต่ข้างในยังมีนาฬิกาพกอยู่ด้วย*
“ตั้งสมาธิเชื่อมั่นในพลังของตัวเองและวงจรเวลาที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง”
“กะเวลาที่จะเคลื่อนย้ายให้แม่นยำที่สุด นั่นเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการข้ามเวลา”
*ฮูม*
เข็มนาฬิกาเลือนรางโผล่มาด้านหน้าของวอร์เรน ไม่มีใครเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงตรงนี้เพราะความคลาดเคลื่อนของเวลา เขากำลังรอให้เราใช้พลังในแบบเดียวกันอยู่
ฉันหยิบนาฬิกาออกมา หลับตาตั้งสมาธิ ไม่นานนักก็มีเข็มนาฬิกาโผล่ขึ้นมาด้านหน้าฉันเหมือนกัน
“พร้อมแล้วใช่ไหม...?”
“.........ไปกันเถอะ.........”
ฉันลืมตาและก็พูดคำนั้นออกมา...
(รอก่อนนะมีน... ฉันจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้แหละ...)
............
............
............
เวลาบ่ายมักจะเป็นช่วงที่ร้อนมากที่สุดในประเทศนี้ ผู้คนเลยมักจะเดินเล่นในห้างมากกว่าที่จะยืนหรือนั่งภายนอกห้างที่ร้อนระอุ
ทั้งๆที่นี่เป็นช่วงหน้าฝน แต่วันนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะฟ้าครึ้มเลยสักนิด แถมร้อนซะจนไม่มีใครอยากจะออกมาเดินข้างนอกเลย
ในขณะนั้นเองก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินใส่แว่นกันแดด ท้าทายความร้อนด้วยร่างกายที่เหงื่อท่วมหัว
(2 นาทีต่อมา // ไม่ไกลจากร้านเสื้อผ้านัก)
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาในห้าง ก่อนจะเจอคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนั้นมีท่าทีแปลกๆ
นั่นยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าก็ไม่อาจคิดได้
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่รอช้า เดินเข้าไปดูทันทีว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้นั้นคือใครกันแน่
ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นเดินไปดูหน้าของผู้หญิงคนนั้น เขาก็ต้องตะลึงเมื่อได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้
“นรินทร์!”
เธอคนนั้นได้แต่นั่งกอดเข่าตัวซีดเป็นร่างไร้วิญญาณ แววตาไร้ชีวิตชีวาไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวอะไรภายนอกเลย
............
“รินทร์?”
“ไหงถึงได้มานั่งตัวซีดเป็นสัมภเวสีอยู่ตรงนี้ะเนี่ย?”
“เห้ เห้!”
*ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ*
ขนาดโบกมือผ่านตาก็ยังค้างไม่กระพริบตอบอีกแฮะ เหมือนเธอจะเจอเหตุการณ์ชวนช็อคบางอย่างมา
“เห้! ตื่นสักทีสิคุณเธอ ยัยแมวน้อย ยัยบ้า!”
“......ไม่ตอบอีกแฮะ ขนาดเรียกแบบนี้ก็ยังจะนิ่งอีก”
ความคิดชั่วๆของผมเริ่มไหลเข้ามาในหัวอีกแล้ว
“เฮะเฮ่... ถ้าเธอไม่ขยับล่ะก็... อย่าได้มาว่ากันล่ะ”
มือของผมค่อยๆขยับไปตรงหน้าอกของรินทร์อย่างช้าๆ ไม่รู้ทำไมความคิดแบบนี้ถึงได้เข้ามาอยู่ในหัวทุกที คงเพราะอยากจะแกล้งยัยนี่ล่ะมั้ง
จนมือของผมเกือบจะถึงหน้าอกของรินทร์อยู่แล้ว......
*เพี้ยะ!*
แก้มซีกซ้ายของเราถูกประทับด้วยฝ่ามือขวาของรินทร์เข้าอย่างจัง
เธอตบเราเต็มแรงมากจนตัวเราเซล้มไปด้านข้าง พร้อมแว่นตาที่ติดไว้บนหน้าผากกระเด็นปลิวหายวับไปเลย
เสียงตบที่ดังกระหึ่มทำให้คนสงสัยว่าเสียงมันมาจากตรงไหน เพราะพวกเราทั้งสองคนอยู่ในเวลาที่คลาดเคลื่อนจากพวกเขา จึงไม่มีใครมองเห็นเลยสักคน
ซึ่งมันต่างกับตอนที่คนในห้องของเธอมองเห็นวันนั้น ที่เราอยู่คนละมิติเวลาเพียงคนเดียว ขณะที่เธอยังอยู่เวลาเดิม
ตอนที่ถูกสัมผัสตัวเลยทำให้ความคลาดเคลื่อนในเวลาของเรากลับไปเป็นเหมือนเดิม
อะ ช่างเรื่องคำอธิบายพวกนี้ไปละกัน...
หลังจากเมื่อกี๊ สิ่งที่คืนกลับมามีแต่แววตาของเธอที่ดูมีชีวิตอีกครั้ง เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยน
“เห้! ตบให้มันเบาๆกว่านี้ไม่ได้รึไง?”
“นี่......”
เธอกลับไปกอดเข่าทำหน้าเศร้าอีกครั้ง ดูเหมือนตอนนี้เธอจะยังไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเราล่ะมั้ง
“โทษทีที่แหย่แรงเกินไป สรุปแล้วเกิดเรื่องขึ้นกับเธอกันแน่?”
เธอค่อยๆหันมามองหน้าเราอย่างช้าๆ แววตาของเธอยังดูเศร้าสร้อยอยู่
“วอร์เรน...”
............
“แบบนี้นี่เอง เธอกลัวที่เพื่อนของเธอจะพูดคำว่าเกลียดเลยลบเวลาไปสินะ?”
“อื้อ...”
“ฉันทำเรื่องที่แย่มากลงไปแล้วใช่ไหม วอร์เรน?”
“การที่ฉันเลือกหนีมาแบบนี้น่ะ... มันน่าสมเพชมากสินะ”
“......น่าสมเพชหรือไม่ มันเป็นความคิดของตัวเธอเอง”
“ยังไงเธอก็รู้อยู่แล้ว ว่ามีนคงไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูดหรอก”
“พูดได้เลยว่าไม่มีใครในโลกมาเชื่อเรื่องที่ไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลแบบนั้นหรอก”
“โดยเฉพาะคนที่ยังอยู่ในวังพะวนแห่งความรักแบบนั้นน่ะ”
ดูเหมือนคำพูดของเราจะแทงใจดำทำให้เธอหน้าซีดอีกแล้ว
ให้ตายสิ ยัยนี่มันนิสัยจริงจังชะมัดยากเลยแฮะ
“นี่... ถ้าเกิดฉันไม่ได้ลบเวลาช่วงนั้น...”
“แปลว่าเธอจะเกลียดฉันมากเลยใช่ไหม?”
“......เกลียดงั้นหรอ......”
เหมือนจะเป็นคำถามที่เธออยากจะให้เราตอบเพื่อให้กำลังใจสินะ ถ้างั้นล่ะก็
“อืม... เกลียดแน่นอน”
“เอ๊ะ? นายพูดอะไรน่ะ”
“ก็เธอถามเองใช่ไหมล่ะ ว่าถ้าเธอไม่ลบความทรงจำช่วงนั้นไป มีนจะยังโกรธเกลียดเธออยู่รึเปล่า”
“เราก็ตอบให้ไงว่าเกลียดแน่นอน”
“น...นี่! ทำไมถึงมาซ้ำเติมกันอย่างนี้ล่ะ”
“นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ต่อจากเกลียดก็คงจะโกรธไปจนวันตาย ตัดขาดเพื่อน อาฆาตแค้น และจองล้างลองผลาญตลอดชีวิต”
ทุกคำที่เราพูดทำให้รินทร์เลือดขึ้นหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“ต่อไปพวกเธออาจจะเป็นศัตรูกันไปเลยก็ได้-”
*ฟึ่บ*
เธอกระชากคอเสื้อของเราด้วยใบหน้าที่โกรธมาก
“พอได้แล้ว ถ้านายพูดอีก ฉันจะต่อยหน้านายจริงๆนะ!”
“ทำไมล่ะ หรือว่ามันไม่จริง? แค่นี้ก็-”
“ฉันบอกให้พอไง!!”
เธอตะโกนเสียงดังออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงไป...
หยดน้ำตาของเธอค่อยๆไหลออกมากระทบกับม้านั่งตรงนั้น
“ฉันขอร้องล่ะ...... หยุดพูดที!!”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของเธอชัดๆแบบนี้ เธอคงจะแครเพื่อนรักของเธอคนนี้มาก จนไม่อยากที่จะต้องสูญเสียความสัมพันธ์แบบที่เป็นอยู่
“...การที่เธอร้องไห้ออกมาแบบนั้น......”
“เธอนี่มันอ่อนแอจริงๆ”
“หา? นี่นายยังจะไม่หยุดอีกหรอ?”
“ก็จริงปะล่ะ? ความสัมพันธ์ของเธอมันพังง่ายขนาดนั้นเลยงั้นหรอ?”
คำพูดเมื่อกี๊ของเราทำให้เธอตาค้างไปชั่วขณะ
“จริงอยู่... ที่มีนอาจจะเกลียดเธอ... แต่ถ้าเธอเชื่อสิ่งที่เราบอกไปทั้งหมด”
“นั่นหมายความว่าเธอไม่เชื่อใจในสายสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนเลย”
“......วอร์เรน......”
“ฟังนะ นรินทร์”
*ตุ้บ*
เธอปล่อยคอเสื้อผมมาสักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้ผมเลยจับแขนทั้งสองข้างของเธอเพื่อปลอบใจบ้าง เอาเข้าจริงเราก็ไม่ใช่คนที่ปลอบใจผู้หญิงเก่งหรอก ครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ
“เชื่อในสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอสองคนที่รู้จักกันมาตลอดสิ”
“ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้น รินทร์คิดว่ามีนจะเกลียดเธอตลอดไปจริงๆแน่หรอ?”
“คนที่เป็นเพื่อนกันน่ะ ไม่ว่าจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ยังไงความเป็นเพื่อนก็ไม่มีทางตัดขาดกันหรอก!”
............
*ในขณะเดียวกัน*
มีนซื้อเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและออกมาหาพี่เต้ที่รออยู่ข้างนอก
พี่เต้พูดชมเสื้อผ้าน่ารักๆ ที่มีนซื้อมา ก่อนจะอาสาแบกกระเป๋าโดยให้เธอเก็บกระเป๋าสตางค์ให้เรียบร้อย
ระหว่างที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป่าสะพาย
ข้างในกระเป๋าใบนั้นมีใบเสร็จตั๋วหนังสามที่นั่งที่พวกเธอไปดูมาเมื่อตอนเที่ยง
มีนหยิบตั๋วใบนั้นขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามพี่คนนั้นเพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกคาใจ
............
*ตัดกลับมาอีกทาง*
“ไม่ต้องเชื่อที่เราพูดก็ได้... แต่เชื่อในความรู้สึกที่พวกเธอสองคนมี”
“แค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว...”
นานๆผมจะพูดอะไรแบบนี้สักที เป็นครั้งแรกที่ได้พูดอะไรที่ดูหล่อๆแบบนี้ให้ผู้หญิงฟังเลยนะเนี่ย
*เก๊กแปป หึหึ*
แต่เอ๊ะ ทำไมเธอถึงได้ตัวแข็งทื่ออยู่แบบนี้ล่ะ
“ปล่อย...”
“เอ๊ะ?”
สายตาของเธอดูเหมือนจะจ้องกินเลือดกินเนื้อผมอย่างมาก... หรือว่าเพราะมือของเรากำลังจับแขนเธออยู่แบบนี้......
ความรู้สึกเสียวสันหลังแบบนี้ทำให้ผมรีบปล่อยมือของตัวเองออกมาทันที
“ข-ขอโทษคร้าบ อ-อย่าทำอะไรเราเลยนะ”
“เ-เราเผลอแต๊ะอั๋งเธอแบบนี้ ขอโทษๆๆๆๆๆ”
เราได้แต่คำนับเธอเพื่อขอโทษไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ รังสีอำมหิตนั่นแผ่ออกมา
(เธอขยับตัวแล้ว โดนแน่เรา โดนแน่เรา โดนแน่เรา!!)
............
“ขอบคุณนะ”
“......เอ๊ะ?”
ผมเงยหน้าขึ้นมา เธอนั่งคุกเข่าโค้งหัวมาให้เรา
“ขอบคุณ......ที่เตือนสติฉัน”
“ฉันเกือบจะรู้สึกว่ามีตราบาปไปตลอดชีวิตซะแล้ว ที่ทำให้เพื่อนคนสำคัญต้องเกลียด”
“ขอบคุณมาก วอร์เรน”
เหมือนตอนนี้เธอจะกลับมาเป็นปกติแล้วสินะ แบบนี้ก็ค่อยโล่งอกหน่อย
“อื้อ... งั้นก็”
“แต่เรื่องที่นายแต๊ะอั๋งฉันเมื่อกี๊”
“ถ้าไม่ติดว่านายเตือนสติฉันไว้ล่ะก็ นายคงได้โดนตบซ้ำสองอีกแน่ วอร์เรน”
“ค-ครับผม...”
รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยรังสีอาฆาตแบบนี้มันโคตรน่ากลัวเลย
............
(ผ่านไป 2 นาที // ภายในห้าง)
พวกเราสองคนยังเดินตามมีนและพี่คนนั้นอยู่ห่างๆ และพยายามเลี่ยงการปะทะกับผู้คน เพราะไม่งั้นการคลาดเคลื่อนเวลาของเราก็จะสูญเปล่า
“นายสะกดรอยตามฉันมางั้นหรอ?”
“อื้อ... ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ แต่ก็พลัดหลงกับเธอในฝูงคนตอนออกจากสถานี”
“ก่อนจะรู้ว่าเธออยู่ในห้างนั้นเพราะพลังที่เธอใช้ออกมารุนแรงขนาดนั้นนั่นล่ะ”
เพราะอีตานี่รับรู้การบิดเบือนเวลาของฉัน ทำให้เขาตามหาฉันถูกนี่เอง ดูเหมือนการใช้เวลายิ่งมีการบิดเบือนเยอะหรือเป็นวงกว้างเท่าไร จะยิ่งทำให้คนอื่นรู้ตำแหน่งง่ายขึ้นเท่านั้น
“ร...ร่างกายของนายไม่เป็นไรแล้วแน่นะ?”
“ช่างเรื่องร่างกายเถอะน่า ตอนนี้เรื่องเพื่อนของเธอน่าเป็นห่วงมากกว่าอีก”
ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับสองคนนั่น พวกเราเดินแอบตามมุมเสาไปเรื่อยๆ (ซึ่งจริงๆก็ไม่จำเป็นหรอก)
ระหว่างที่พวกเรากำลังสะกดรอยตามอยู่ ตอนนั้นมีใครบางคนที่เดินผ่านระหว่างกลางของพวกเราไป...
ฉันกับวอร์เรนหันหน้าไปมองคนๆนั้น...
ไม่รู้ว่าพวกเราตาฝาดไปเองรึเปล่า เพราะเหมือนจะเห็นผู้ชายคนนั้น
ส่งเสียงในคอ (หึ) ตอนที่เดินผ่านระหว่างกลางพวกเรา
(เมื่อกี๊นี้มัน...) *นรินทร์คิด*
(หรือว่า คนๆนั้นจะ...) *วอร์เรนคิด*
แต่ในจังหวะนั้นเอง...
เพียงแว๊บเดียวที่พวกเราเผลอให้ความสนใจผู้ชายคนนั้นมากไป พอวอร์เรนหันกลับมาก็เห็นมีนกับพี่คนนั้นอยู่ในลิฟท์แล้ว
“แย่แล้ว รินทร์!”
“พวกเขาสองคนกำลังลงลิฟท์ไปแล้ว!”
“เอ๋?”
ฉันรีบหันกลับมาด้วยความตกใจ แล้วพยายามที่จะวิ่งตามไปให้ทัน
“เ-เดี๋ยวก่อน มีน!”
แต่ประตูลิฟท์ก็ปิดซะแล้ว ถึงตอนนั้นมีนจะสะดุ้งราวกับได้ยินเสียงใครเรียกอยู่ก็ตาม
ส่วนฉันที่รีบวิ่งตามไป ก็เผลอชนคนที่เดินออกมาจากลิฟท์ข้างๆไปหลายคน จนร่างของฉันปรากฏกายมาในเวลาปัจจุบันทันที
“วะ วะ เหวอ! มาจากไหนเนี่ย!?”
“แว๊ก!”
คนที่ชนฉันตกใจมากที่เห็นพวกเราโผล่มาต่อหน้าต่อตา
“รินทร์! รีบหนีจากที่นี่ก่อน!”
“ละ-แล้วมีนล่ะ?”
“ถ้าขืนยังอยู่ที่นี่ จะตกเป็นเป้าสงสัยนะ!”
เพราะคนรอบข้างก็เริ่มมองฉันด้วยความรู้สึกแปลกๆ
มีเสียงซุบซิบมาตลอด
*เกิดอะไรขึ้นน่ะ?*
*เธอโผล่มาได้ไงกัน?*
*มายากลอะไรรึเปล่า?*
ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ขณะที่ในใจของฉันก็ยังคงห่วงมีนที่ลงลิฟท์ไปแล้วมาก
............
*แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก*
พวกเราวิ่งหนีมาจากฝูงคนได้แล้วก็จริง แต่ว่า...
“จะทำไงดี วอร์เรน!?”
“พวกเราคลาดสายตาจากสองคนนั่นแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมีนล่ะก็...”
“สงบสติไว้รินทร์ เราก็กำลังหาทางแก้สถานการณ์ตอนนี้อยู่เหมือนกัน”
วอร์เรนยังคุมสติได้อยู่ตลอด ต่างกับฉันที่เริ่มร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“โทรหา... โทรหาเธอเลย”
“ตอนนี้ต้องรู้ตำแหน่งที่เธออยู่ให้ได้ก่อน”
“ดะ- ได้!”
............
ตอนนี้มีนกับพี่เต้กำลังยืนอยู่ข้างนอกห้างเพื่อเตรียมจะกลับบ้าน
“วันนี้ฉันสนุกมากเลยนะคะ พี่เต้”
“พี่เองก็ดีใจที่มีนสนุกนะ”
เธอได้รับของขวัญเป็นตุ๊กตาลูกเจี๊ยบตัวสีเหลืองที่เหมือนจะเป็นตัวกาลกิณีประจำโลกออนไลน์ของที่นี่
มันอาจจะดูทุเรศลูกตาไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นของขวัญที่พี่เขาอุตส่าห์ให้มาแหละนะ
“พวกเราขึ้นรถไฟฟ้ากลับกันเลยไหมคะ?”
“เอ่อ... พี่ยังอยากใช้เวลาอยู่กับมีนนานๆอยู่เลยน่ะ?”
“ลองเปลี่ยนเป็นนั่งรถแท็กซี่แทนไหม?”
“เอ๊ะ? แท็กซี่หรอคะ?”
*ตู๊ด ตู๊ด*
มือถือที่เธอใส่ไว้ในกระเป๋าถือดังขึ้น คนที่โทรมาก็คือนรินทร์เอง
(รินทร์......)
ระหว่างที่มีนมองดูจอโทรศัพท์ เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าพี่เต้คนนั้นมีแววตาแปลกๆที่เห็นเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
มีนกดรับสายคุยกับรินทร์
[ฮัลโหล มีอะไรหรอรินทร์]
[เอ่อ... คือ... มีน!]
[ตอนนี้อยู่ที่ไหนน่ะ?]
[วันนี้ฉันมาเที่ยวที่ห้าง SJ Center น่ะ]
[ว่าแต่รินทร์มีธุระอะไรงั้นหรอ]
(เสียงรถแล่นผ่านนั่น... เธอกำลังจะกลับแล้วงั้นสินะ)
[ฟังนะ! มีน! เธอนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านให้เร็วที่สุดเลย!]
[อย่าให้ใครไปส่งเด็ดขาดนะ]
[เอ๋?]
ไม่นานนักผู้ชายคนนั้นก็ฉกโทรศัพท์ของมีนไปทันที
“จะคุยอีกนานไหม พี่อยากกลับจะแย่แล้วนะ”
“พ-พี่เต้... ทำอะไรน่ะคะ? คืนโทรศัพท์มานะ!!”
ขณะที่เธอพยายามจะชิงโทรศัพท์คืน ผู้ชายคนนั้นก็โชว์ให้เห็นมีดที่เหน็บไว้ใต้แจ็คเก็ตมาตลอดให้ดู
“ชู่ววว อย่าเสียงดังไปสิ”
“ไม่เช่นนั้นแล้ว ผิวของเธออาจมีรูอยู่ก็ได้”
“พ-พี่เต้—”
จิตใจของมีนได้ก่อความกลัวขึ้นมาในใจแล้ว เธอไม่คิดว่าคนที่เป็นรักแรกในชีวิตของเธอ จะมีของพวกนี้พกติดตัวไว้ด้วย
[ฮัลโหล!]
[อะ...เสียงนี้......]
[เสียงนี้? โหะโหะ หมายความว่าไงกันล่ะ]
[รินทร์]
(รินทร์? เจ้านั่นน่าจะถูกลบเวลาไปแล้วไม่ใช่หรอ?)
[ไม่ต้องห่วงหรอก เพื่อนของเธอยังปลอดภัยดี และจะปลอดภัยในอ้อมแขนของพวกเราแน่นอน]
มีรถ SUV คันหนึ่งมาจอดตรงจุดรับผู้โดยสาร ข้างในนั้นมีผู้ชายประมาณ 5 คนนั่งรออยู่ในรถ
มีนที่เห็นภาพแบบนั้นยิ่งตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่ก้าวขายังไงก็ก้าวไม่ออก เพราะหากเธอก้าวแม้แต่นิดเดียว ผู้ชายคนนี้อาจเล่นงานเธอทันที
[แกคิดจะทำอะไรเพื่อนของฉัน!? แล้วแกรู้จักชื่อฉันได้ไง?]
[โฮ่ว... ลืมพี่ที่แสนดีที่เคยอยู่ข้างบ้านไปแล้วงั้นหรอ...]
[พี่เสียใจมากเลยนะ ที่เธอลืมเรื่องของพี่ได้เนี่ย]
[แต่ช่างเถอะ... ไว้พี่จะส่งรูปภาพเพื่อนที่แสนจะน่ารักของเธอให้ดูนะ]
[คงต้องเป็นภาพที่......น่ารักน่าเอ็นดูมากเลย!]
รอยยิ้มกับแววตาของคนที่ชื่อเต้คนนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนโรคจิตที่ในหัวคิดแต่เรื่องหื่นกามอยู่ตลอดเวลา
ตาของมีนจับจ้องไปที่รอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น พร้อมเอามือป้องปากไว้ด้วยความรู้สึกช็อคที่เกิดขึ้นในใจ
*ตัดสาย*
“ถ้าเพื่อนของเธอไม่โทรมาล่ะก็ คงไม่ต้องเล่นด้วยวิธีรุนแรงแบบนี้หรอก”
“ว่าไงล่ะมีน...... จะไปกันรึยัง”
สายตาที่จ้องจะกลืนกินเรือนร่างของมีน ทำให้มีนไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจตามไปด้วยเท่านั้น
(รินทร์........ช่วยฉันด้วย)
.........
*อีกด้านหนึ่ง*
*ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด*
[เดี๋ยวก่อนสิ ฮัลโหล! ฮัลโหล!!]
“แย่แล้ว เจ้าบ้านั่นวางสายไปแล้ว!”
ฉันรีบเก็บโทรศัพท์ทันที สีหน้าฉันตอนนี้เริ่มจะกังวลจนถึงขีดสุดแล้ว มีนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆแล้ว
“รินทร์ พวกเขาสองคนอยู่ไหน?”
“ฉันได้ยินเสียงรถ! พวกเขาคงจะอยู่หน้าห้างแล้ว!!”
“งั้นรีบไปกันเถอะ...”
“ไปตอนนี้น่ะหรอ...? จะตามพวกเขายังไงให้ทันล่ะ?”
“อย่าลืมสิ......”
“พวกเราสองคนมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันอยู่นะ...”
คำพูดของวอร์เรนทำให้ฉันใจเย็นลง ก่อนที่ฉันจะเอามือแตะไปที่กระเป๋ากางเกงด้านซ้ายที่ไม่ใช่แค่ใส่มือถือ
*แต่ข้างในยังมีนาฬิกาพกอยู่ด้วย*
“ตั้งสมาธิเชื่อมั่นในพลังของตัวเองและวงจรเวลาที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง”
“กะเวลาที่จะเคลื่อนย้ายให้แม่นยำที่สุด นั่นเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นในการข้ามเวลา”
*ฮูม*
เข็มนาฬิกาเลือนรางโผล่มาด้านหน้าของวอร์เรน ไม่มีใครเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงตรงนี้เพราะความคลาดเคลื่อนของเวลา เขากำลังรอให้เราใช้พลังในแบบเดียวกันอยู่
ฉันหยิบนาฬิกาออกมา หลับตาตั้งสมาธิ ไม่นานนักก็มีเข็มนาฬิกาโผล่ขึ้นมาด้านหน้าฉันเหมือนกัน
“พร้อมแล้วใช่ไหม...?”
“.........ไปกันเถอะ.........”
ฉันลืมตาและก็พูดคำนั้นออกมา...
(รอก่อนนะมีน... ฉันจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้แหละ...)
............
............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ