3Kill ฆ่า ฆ่า ฆ่า
9.8
เขียนโดย ชิโร่
วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.04 น.
26 ตอน
32 วิจารณ์
31.39K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558 22.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) ตอนที่ 22 การกระทำอันบ้าบอที่ไร้เหตุผล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ฮาเดส..
______________________________________________________
นี่... ตอนนี้สู้ไปเพราะเหตุผลอะไรนะ คำถามนี้ยังคอยซ้ำเติมมันเรื่อยไป... ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เราก็ต้องแสวงหาความสุขและของแท้ต่อไป สิ่งจอมปลอมที่เรียกว่าจิตใจ มันได้กัดกินจนจิตใจสร้างกำแพงมาปิดกั้นได้อย่างสมบูรณ์ แต่ว่า.. มันก็ต้องมีใครซักคนที่ทำลายกำแพงเหล่านั้น แล้วจะใครล่ะ คนรัก ครอบครัว หรือคนอื่น ? ไม่ใช่หรอก ตัวเองที่สร้างกำแพงนั่นแหละ ที่ต้องทำลายมันด้วยตัวเอง
ผม.. อยู่หน้าบ้านของตัวเองในราวๆ ตี 3 เวลารี้แสงจันทร์ไม่เต็มดวง เมฆก็น้อย ทำให้เห็นถึงดาวบนฟ้าหลายดวงเลยทีเดียว แต่อีกเดี๋ยว ฝนต้องตกแน่ๆ ถึงจะไม่มีวี่แววเลยก็ตาม แต่ความรู้สึกมันบอกว่าอย่างนั้น
''ท่านมิคาเอล.. รากูเอล รบกวนด้วยนะครับ''
ผมหันหน้าไปคุยกับทั้งสองคน
''แววตาเปลี่ยนไปเยอะเลยนะเจ้าหนุ่ม ท่าทางจากหาสิ่งนั้นเจอแล้วนะ''
มิคาเอลพูดกับผมเหมือนรู้อะไรบางอย่าง.. บางทีก็คิด ว่าตัวเองกำลังถูกคนเหล่านี้ชักจูงหรือเปล่านะ
''ฮ่ะ.. นึกไม่ถึงเลยว่ายัยราฟาเอลจะยอมให้เลือดแก่เจ้าด้วย ยัยนั่นขี้หวงและเจ้าเล่ห์มากนะจะบอกให้ การที่ยัยนั่นให้เลือดมา ถือว่าเป็นหนึ่งในล้านเลยนะ เจ้าหนู''
รากูเอลบ่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด ท่าทางตัวเองก็ไม่ค่อยถูกกับราฟาเอลเหมือนกัน
''งั้นเหรอ... แต่ว่าครั้งนี้ผมไม่ได้มีแผนการอะไรมากหรอกนะ''
''จะไปนรกโดยไม่มีแผนการเนี่ยนะ คิดอะไรของเจ้าอยู่ การประมาทเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะ''
มิคาเอลพร่ำสอนผม
''จะเรียกว่าแผนก็ไม่เชิงหรอกครับ ก็แค่ไปตัดสินกับเซร่าฟิมเท่านั้นเอง ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้ผมจะต่อสู้ไปเพื่ออะไร ชนะได้แล้วได้อะไร แพ้จะโดนอะไรบ้าง แต่ว่า มันต้องไปครับ ในใจผมมันบอกแบบนั้น''
''แอล.. เจ้ากำลังจะบอกว่า จะพาพวกข้าไปตายโดยจิตใจที่ลังเลของเจ้างั้นเหรอ ?''
มิคาเอลจ้องตาผมด้วยความจริงจัง
''ก็ตามนั้นแหละครับ ไม่ได้งั้นเหรอ ?''
ผมทำหน้าเศร้าราวกับขอร้องออกไป...
''อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ... มันก็ต้องได้อยู่แล้ว ใช่หรือเปล่าละ มิคาเอล''
รากูเอลหันไปบอกกับมิคาเอล
''อยากทำอะไรก็ทำ ข้ามาเพื่อถล่มนรก ก็แค่นั้น''
มิคาเอลดูหงุดหงิดหน่อยๆ
''ผมได้ความสามารถของเจ๊มาแล้ว เพราะงั้นจะขออธิบายเลยแล้วกันนะครับ 1 .เลยผมสามารถทำให้พวกคุณกลายเป็นอาวุธสำหรับผมได้ ผมอยากจะให้ท่านมิคาเอลกลายเป็นเกราะสีทองให้ผมใส่ซักหน่อยครับ ส่วนรากูเอลก็ขอให้คุณกลายเป็นดาบสายฟ้าให้ผมหน่อยนะครับ''
''จะให้รวมร่างเรอะ ข้าไม่อยากรวมร่างกับผู้ชายกันเองหรอกนะ''
มิคาเอลพูดออกมา
''อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมหวังคุณไว้สูงนะ''
''เอาน่ามิคาเอล เห็นแบบนี้เจ้าเด็กนี่ฉลาดนะจะบอกให้ เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็น ฮ่ะๆ''
รากูเอลเดินมาใกล้ๆผม พร้อมใช้มือขวาเอื้อมมือมากอดคอผม..
''ที่สำคัญ แทนที่จะรวมร่างกัน 3 คนเป็นหนึ่งเดียว บุกไป 3 คนแยกกันน่าจะได้เปรียบกว่าไม่ใช่รึไง''
มิคาเอลออกความเห็น
''ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมน่ะเป็นอมตะ ถ้าพวกคุณมารวมร่างกับผมแล้วละก็ คงรู้ใช่ไหมครับว่า พวกเราทั้ง 3 หากพลาดท่าก็จะไม่มีใครตาย และจนกว่าผมจะตายพวกคุณจะปลอดภัยมากขึ้น อีกอย่าง อยู่ในนรกผมเองก็แกร่งขึ้นหลายเท่าเลยนะ ส่วนพวกคุณเป็นทวยเทพ หากไปอยู่ในนรกจะไม่ถูกลดพลังลงหรือครับ เพราะงั้นผมเห็นว่าสมควรแล้วล่ะครับ ที่จะใช้พลังของเจ๊ราฟาเอลให้เป็นประโยชน์''
รากูเอลหัวเราะออกมา.. ''ฮ่าๆ ฮ่าๆ ''
''บอกแล้วไงมิคาเอล !! เจ้าหมอนี่หัวแหลมใช่ย่อยเลยนะ นึกถึงยัยนั่นสมัยก่อนเลย ฉลาดจอมวายร้ายและเจ้าเล่ห์ รู้แล้วใช่ไหม ทำไมราฟาเอลถึงให้เลือดเจ้าหนุมนี่''
รากูเอลยังคงโน้มน้าวใจให้มิคาเอลยอมๆบ้าง
''แต่..''
มิคาเอลยังดื้อด้าน... หัวแข็ง
''หัวดื้อจริงๆ ชอบยึดกฏของเหล่าเทพจังนะ พระเจ้าก็ตายไปแล้ว ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องรักษากฏอย่างการไปร่วมมือกับปีศาจหรอกนะ นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ซัดกับเซร่าฟิมแล้ว !''
''ขะ.. ข้ารู้แล้วน่า ไม่ต้องย้ำก็ได้ ไปกันเลยก็แล้วกัน''
ดูเหมือนว่าวิธีการพูดของรากูเอลจะทำให้มิคาเอลยอมได้ซักที
''ถ้างั้น..''
ผมหยิบหลอดเลือดในกระเป๋าออกมา มันคือเลือดของไอร่าที่ผมเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก็เพราะเตรียมไว้นานนั่นแหละ ในหลอดเลือดมันเลยกลายเป็นเลือดแข็งๆไปซะอย่างงั้น
''นั่นมันเลือดนิ.. แถมแข็งจนกินไม่ได้แล้วด้วย คิดจะทำอะไร เจ้าหนุ่ม''
มิคาเอลกล่าวทักผมพร้อมมองหลอดเลือดแข็งๆที่ผมกำลังกิน
''ใช่ครับ ถึงเลือดจะแข็ง แต่ถ้าผมกินไป จะสามารถใช้ดาบของไอร่าได้อีกครั้ง และผมจะใช้ดาบของไอร่าผสมเข้ากับดาบสายฟ้าของรากูเอล จะกลายเป็นดาบสายฟ้าที่ตัดได้ทุกอย่างและทรงพลังไปในตัวด้วยครับ...''
ในตอนที่ผมสู้กับเซร่าฟิม ที่โรงเรียน ตอนนั้นผมถูกดาบของเธอซัดอย่างไม่เกรงใจ จนดาบของไอร่าพังทลายลงภายในดาบเดียวของเธอ เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ผมก็กินเลือดไปทั้งหลอดล่ะนะ
หลังจากที่กินเสร็จ ตอนนี้ผมสามารถใช้ดาบของไอร่าได้อีกเป็นครั้งที่ 4
ครั้งแรกคือตอนดูดเลือดไอร่า
ครั้งที่สองและสามของอินวี่แย่งชิงไป
ส่วนครั้งที่ 4 คือครั้งนี้...
มาลองๆคิดดูแล้วก็ไม่เลวนะ ความสามารถของผม + อินวี่ + ไอร่า สามารถปั้มดาบได้อย่างไม่จำกัด
''ความคิดเจ้าไม่เลว แล้วยังไงต่อล่ะ ข้าคิดว่าเจ้าสู้กับเซร่าฟิมไม่ไหวหรอกนะ พลังแค่นั้นน่ะ''
มิคาเอลออกความเห็นพร้อมกอดอกดูท่าทาง
''เปล่าครับ ยังมีโอกาสที่เซร่าฟิมจะไม่สู้กับผม... แต่ผมจะท้าสู้กับเฮลไซท์ตัวต่อตัวครับ การสู้กับเซร่าฟิมคือโอกาสที่ร้ายแรงของความเป็นไปได้ครับ ถ้าแผนที่ผมวางไว้สำเร็จทุกข้อ ก็อาจจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับเซร่าฟิมได้ ท่านเป็นเทพก็นะจะรู้นะครับ ว่ากลยุทธิ์กับแผนการมันต่างกัน สิ่งที่เรียกว่าแผนการนะคือการทำตามขั้นตอน ส่วนกลยุทธิ์จะเหมือนกับดักที่ใช้ศัตรูเป็นแนวทางในการวางแผน''
จะสรุปง่ายๆว่า แผนการคือการเตรียมทุกอย่างมาเพื่อชนะ
แต่กลยุทธิ์คือการวางกลลวงหรือการปรับเปลี่ยนสถานการณ์ยามจำเป็น ไม่ว่าจะทางตรง หรืออ้อม
''ข้าเข้าใจแล้ว ถ้างั้น... ''
มิคาเอลมองหน้าผมราวกับบอกว่า มันถึงเวลาที่เราจะเปิดประตูสู่นรกแล้วนั่นเอง
ส่วนทางด้านผมก็ไม่ได้พูดอะไร... โดยผมแบมือขวาออกมาแบบธรรมดา เพื่อเปิดม่านเกทประตูสู่นรก มันคือมิติสีดำที่ลักษณะคล้ายกับตอนดาดฟ้าโรงเรียน ต้องขอบคุณเลือดของไอร่าล่ะนะ ที่ทำให้ผมเปิดเกทประตูได้แบบสบายๆ
ปีกของรากูเอลกางขึ้นเพื่อเตรียมการต่อสู้
ทางด้านมิคาเอลก็เช่นกัน
ส่วนผมก็กางปีกแวมไพร์ออกมาทั้งหมด 4 ปีกเช่นกัน และพวกเราทั้งสามคน ก็เดินเข้าไปยังมิติสีดำนั่น
พวกเราทั้งสาม ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่เข้าไปยังมิติสีดำนั่น มาถึงก็ไปโผล่ในนรกทันทีโดยพวกเราทั้งสาม ปรากฏตัวมาพร้อมลอยอยู่เหนือน่านฟ้าหลายเมตร และใช้ปีกของแต่ละคนบินอยู่เหนือน่านฟ้าของแดนนรก การกลับมาในนรกครั้งที่สองยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะดวงจันทร์อาบเลือด ท้องฟ้าแดงฉาน เมฆสีเลือดหมู เศษกระดูกของเหล่าสัตว์นรก พื้นดินอันแห้งแล้งไปโดยลมแสนรุนแรง
ข้างหน้าราวๆ 5 กิโลเมตรจากสายตาของผม ยังคงเห็นปราสาทนรกของเฮลไซท์...
''รากูเอล.. ท่านมิคาเอล''
ผมกล่าวชื่อของสองคนนั้น เมื่อเขาได้รับคำสั่ง รากูเอลจึงเอื้อมมือมาจับมือซ้ายผม ส่วนมิคาเอลจับมาที่มือขวาของผม และทั้งสองคน ก็กลายร่างมาเป็นอาวุธเทพให้กับผมภายในเวลานั้น จนในที่สุด..
ร่างกายของผมตอนนี้ใส่เกราะสีทองอร่ามของมิคาเอลอยู่ ใส่ในบริเวณหน้าอก ไหล่ทั้งสอง เข่าทั้งสอง ส่วนมือขวาถือดาบของไอร่าเคลือบออร่าสายฟ้าของรากูเอล เป็นดาบที่ตัดได้ทุกอย่างแถมพลังทำลายใช่ย่อย และยังมีความสามารถเคลื่อนที่ในช่วงพริบตาของโรรี่อีก รวมถึงการฟื้นฟูของราฟาเอล การลบจิตสังหาร การที่มานรกยังเพื่มพูนพลังทางกายภาพได้อีกหลายเท่า
เป็นความสามารถที่ไร้เทียมทาน...
ฝึบบ!! 5 วินาทีหลังจากนั้น โครงกระดูกผ้าคลุมปริศนาก็ปรากฏตัวพร้อมกับขี่เซอร์เบอรัสติดปีกของปีศาจ โดยเจ้าโครงกระดูกตัวนั้นไม่ได้บินมาจากพื้นดิน แต่เจ้านั่นอยู่บนฟ้ามาตั้งนานแล้วต่างหาก มันปรากฏตัวท่ามกลางกลุ่มเมฆ และขี่เซอร์เบอรัสด้วยความเร็วสูง เข้าปะทะกับผมโดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น
''นั่น ... ฮาเดสนี่ ระวังนะ ! เจ้าหนู''
ฮาเดส.. ปรากฏตัวพร้อมกับขี่เซอร์เบอรัสตัวขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดตัวน่าจะราวๆ 5 เมตรได้ เพียงแต่ เซอร์เบอรัสตัวนี้ติดปีกของปีศาจสีดำทมิฬ 1 คู่และสามารถบินได้นั่นเอง เซอร์เบอรัสตัวนี้ต่างจากตัวอื่นๆ ไม่มีความบ้าคลั่งถ้าหากดูจากหัวและสีหน้าทั้งสามของมัน มันดูเป็นสัตว์ที่เชื่อง และฉลาด ถึงแววตาจะแดง และปากของมันไม่มีน้ำลายยืดออกมาสักนิด
ส่วนฮาเดสไม่ใช่ผู้หญิงหรือชาย ถ้ามองจากสายตาของผม เป็นเพียงโครงกระดูกแสนดุร้ายที่แววตานัยน์สีแดงพร้อมผ้าคลุมราวกับยมทูต ถือเคียวอันใหญ่เป้งสีดำพร้อมออร่าของความชั่วร้าย ออร่าสีดำนั่น มันเยอะจนปิดกระดูกไว้เกือบทั้งหมด
''ยังมีหน้าเข้ามาในนรกอีกนะ ยอมจำนนหรือว่าจะมาประกาศสงครามกันล่ะ เจ้าแวมไพร์''
ฮาเดสพูดออกมาด้วยเสียงที่เหมือนผู้หญิงกับชายปนกัน เป็นเสียงที่น่าสยดสยอง
''ผมมาสู้แน่อยู่แล้วครับ ถ้าไม่อยากตาย ถอยไปเถอะครับ... ''
แววของผม ไม่มีความลังเล....
ถึงจะเจอฮาเดสเป็นครั้งแรก แต่ว่ามันก็เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนคงโดนไอ้หมอนี่ใช้เคียวฟันเหมือขยะชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้มันต่างกันแล้ว ถ้ามาขวางเส้นทางที่ผมปราถนาล่ะก็ จะไม่ปราณีใดๆทั้งสิ้น เอาสิ... อยากเข้ามาก็เชิญ ไอ้กระโหลกผ้าคลุม
มันง้างเคียวออกมาราวกับจะฆ่าผมภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว การโจมตีของมันทั้งรวดเร็ว แรงฟาดเคียวของฮาเดสมันสะท้อนกับลมจนรู้ได้ว่าแรงเหวี่ยงทางกายภาพมันมหาศาลจริงๆ
แต่น่าเสียดายนะ ถึงจะดูเก่งกาจ แต่ระดับผมกับเจ้านั่น แตกต่างกันไปหมด
ทำไมน่ะ เหรอ ? ก็ผมน่ะแข็งแกร่งยังไงล่ะ
บอกเลยว่าไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรก็โค่นล้มเจ้านี่ได้ ไม่ว่ามันจะมีความสามารถมาจากไหนก็ตาม
พริบตาที่เคียวกำลังโจมตีใส่ผม....
เพียงผมโต้กลับอย่างรวดเร็วด้วยการ สะบัดดาบแนวเฉียงครั้งเดียว ก็เกิดการระเบิดสายฟ้าสีน้ำเงินขนาดใหญ่รอบตัวในรัศหมี 10 เมตร เสียงของสายฟ้าที่ผมฟาดกลางอากาศมันเหมือนราวกับฟ้าผ่าดังสนั่นไปทั่วนรก แม้จะฟันฮาเดสไม่โดน แต่ก็ถูกสายฟ้าช็อตเอาจน เซอร์เบอรัสที่มันขี่หลังอยู่เดี้ยงคาที่ไปเลย ร่างกายของเซอร์เบอรัสไหม้เกรียมทั้ง 3 หัวและร่วงลงสูู่พื้นดิน
สุดท้าย ฮาเดสก็ยืนลอยท่ามกลางอากาศโดยไม่ใช้ปีก...
ผมคิดว่าออร่าสีดำนั่น คงจะเป็นตัวคลับเคลื่อนแน่
แถมท่าสายฟ้าที่ผมสาดใส่ฮาเดสเมื่อกี้ จะไม่ละคายเคียงมันเลยแม้แต่น้อย.... แม้แต่เสื้อผ้าของเจ้านี่ ก็เป็นผลเพียงแค่รอยไหม้.. ทนทานไม่เบาเลยนะ
''สายฟ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ข้าเป็นอมตะเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ ดูร่างกายของข้าสิ เป็นโครงกระดูกไปแล้วก็ยังไม่ตาย เจ้าไม่มีวันชนะข้าได้หรอก และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าใกล้อณาเขตรอบนอกของปราสาทท่านเฮลไซท์เด็ดขาด''
ฮาเดสถอยห่างจากผมไปราวๆ 20 เมตรเพื่อดูเชิงผม ไม่นานก็ชี้เคียวใส่ผมราวกับหาเรื่อง
''พูดเก่งจริงนะครับ เป็นกระดูกแต่พูดได้ก็นับว่าแปลกแล้ว คิดจะยื้อเวลาให้เซร่าฟิมออกมางั้นเหรอครับ ทำแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะครับ เพราะยังไงดูท่าจะต้องสู้กับเซร่าฟิมอยู่แล้ว... หรือเปล่านะ ไม่สิ ไม่ใช่หรอก ผมมาสู้กับเฮลไซท์ต่างหาก กรุณาถอยไปด้วยครับ ไม่งั้น ศพไม่สวยนะ..''
ผมตอกหน้าฮาเดสกลับไป..
''งั้นก่อนเซร่าฟิมจะมาถึงที่นี่ ขอจัดการเจ้าก่อนแล้วกัน เจ้าครึ่งมนุษย์.. !!!''
ดูเหมือนว่าจะตื้อไม่เลิกนะ จะเอาให้แคลเซียมในร่างกายหายไปเลยดีไหมล่ะ คุณพ่อกระดูก
''ถ้าสายพลังสายฟ้าใช้ไม่ได้ผล งั้นลองรับคมดาบของ D. ดูหน่อยไหมละครับ ถ้าท่างกระดูกคุณแข็งน่าดูเลยนะ ไม่ทราบว่าอุดมไปด้วยแคลเซียมขนาดไหนกันครับ''
ฝึบ! ผมหายตัวไปด้านหลังของฮาเดสทันที + กับการใช้ความสามารถของราฟาเอลในการลบจิตสังหาร ทำให้เสี้ยวพริบตานี้ ฮาเดสไม่สามารถรู้ตัวเลยว่าผมอ้อมมาด้านหลัง พร้อมใช้ดาบ D. สภาพดั้งเดิมไร้สายฟ้า ฟันโครงกระดูกของเขาในบริเวณซี่โครงแฉะออกมาแนวนอนจนตัวขาดไปพร้อมกับความรุนแรง การฟันดาบในครั้งนี้ทั้งๆที่คิดว่าฟันเบาๆแท้ๆ แต่มันเหมือนมีลมกรดรุนแรงออกมาด้วย เหมือนกับการใช้พัดในฤดูร้อนไม่มีผิด... แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น ในเมื่อเจ้าตัวบอกเป็นอมตะ แต่การที่เขาไม่มีเนื้อหนัง นั่นแสดงว่าเขาฟื้นฟูได้เพียงพื้นฐานเท่านั้น สรุปคือ ถ้าฟันแบบไม่ยั้งมือชัยชนะจะตกอยู่ที่ผม แล้วต่อจากนั้นเขาต้องใช้เวลาอีกยาวนานถึงกระดูกจะกลับมาในสภาพเดิม
เพราะอย่างงั้นแหละ... ผมจึงพุ่งตัวเข้าไปแทงเขาในจังหวะนั้นแบบรัวๆ เน้นไปที่กระดูกตรงข้อต่อเพื่อให้กระดูกแตกสลายเร็วขึ้น
ฉึบ ฉึบ!!!
''ฮ๊ากกก !!''
อ่อนหัด กระสอบทรายดีดีนั่นแหละ คุณตากระดูก พวกเรามันห่างชั้นกันไปแล้ว !!
กินเวลาไปกว่า 30 วินาทีในการต่อสู้ครั้งนี้ ผมสับแทงจนกระดูกของฮาเดสแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนเป็นผงกระดูกที่ร่วงโรยสู่นรกไม่มีผิด... แถมยังซ้ำด้วยการปลดปล่อยสายฟ้าที่ดาบ โจมตีใส่เศษกระดูกอีกครั้งเพื่อให้กระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆมากกว่าเดิม รับประกันได้เลยว่าคงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะกลับมาเดินได้....
เพราะไอ้กระโหลกกากๆนี่มาขวางแท้ๆ เลยทำให้เสียเวลาไปมากสมควร แต่เมื่อผมเคลียร์กับเจ้าฮาเดสแล้วจึงใช้แรงสปีดเต็มที่บินไปยังหน้าปราสาทของเฮลไซท์อย่างรวดเร็ว
อีก 30 วินาทีให้หลัง ผมบินมาถึงที่ปราสาทพร้อมค่อยๆชลอร่างกายลงสู่พื้นดินอันแห้งกร้าน
น่าคิดถึงจริงๆนะ ปราสาทยังคงใหญ่มหึมาเช่นเคย แม้แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถเงยหน้ามองมันได้สุดจริงๆ หรูหราไม่เปลี่ยนเลยนะ เมื่อผมมาถึงหน้าประตูปราสาท เซร่าฟิม , แมมม่อน , เบลเฟเกอร์ ก็เดินมาต้อนรับถึงที่เลย... ที่สำคัญ ไม่นึกเลยว่าเฮลไซท์จะออกมาจากปราสาทเพื่อมาต่อสู้กับผม เฮลไซท์อยู่ตรงกลาง ทางขวาของเฮลไซท์คือเซร่าฟิม ด้านซ้ายมือของเฮลไซท์คือเบลเฟเกอร์ ด้านหลังของเฮลไซท์คือแมมม่อน
''ไอ้เจ้าหนอนโสโครก ฆ่าลุกซุเรียกับอินวี่ไม่พอ ยังมาหยามกันได้ถึงนรกเชียวนะ !!!''
แมมม่อนดูท่าจะยังเกลียดผมเหมือนเดิมสินะ วันที่มานรกครั้งแรกก็เล่นตอกหน้าเธอซะเสียหน้าเลยนิ
''อยากโดนอัดอีกรอบเหรอครับ แมมม่อนยัยจิ้งจอกจอมกระสอบทราย !''
''ข้าเกลียดมนุษย์นักนะ อยากตายนักใช่ไหม คราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนหรอกนะ !!!''
ทำเอานึกถึงอินวี่ที่กลายร่างเป็นแมวยักษ์ไล่ฆ่าผมในศึกดาดฟ้า คราวนี้หล่อนกลายร่างอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจิ้งจอกตัวสีน้ำตาล ขนาดใหญ่ มีหนวดที่น่ากลัว หางของจิ้งจอกเองก็มีไฟลุกอยู่ด้วย แววตาแดงพร้อมเขี้ยวที่เต็มไปด้วยน้ำลาย เล็บอันแหลมคมพร้อมการตั้งท่าต่อสู้ แบบ 4 ขา พร้อมจะขย้ำผมเต็มแก่เลยล่ะ
''แอล.. มาหาเราถึงนรก จะยอมมาอยู่กับเรา หรือว่าจะ.. ''
ในขณะที่พวกเราทั้งสองฝ่ายยังดูเชิง เฮลไซท์ก็พูดด้วยน้ำเสียงของความเศร้าหน่อยๆ
วินาทีนั้น จิตสังหารขั้นรุนแรง ก็แพร่กระจายมาทั่วนรก...
นั่นก็เพราะ...
เซร่าฟิมชักดาบออกมาหน่อยๆแล้ว มันรู้สึกได้เลย ถ้าหากผมย่างก้าวไปหนึ่งก้าว หรือถอยหลังไปหนึ่งก้าว พวกเราจบเห่แน่ หากเป็นนักฆ่าก็จะรู้ได้ทันทีของความต่างชั้น แววตาสีน้ำเงินน้อยๆของเซร่าฟิมที่ยังไม่กลายเป็นสีแดง แต่หากมันเป็นสีแดงขึ้นมา รับรู้ได้เหมือนกับตัวเองเล่นบอลแล้วโดนใบแดงเลยล่ะ ขนาดผมมีพลังที่สดใหม่และแข็งแกร่งจนใกล้เคียงคำว่าไร้เทียมทาน ก็ไม่อาจจะแตะปลายผิวหนังของเซร่าฟิมได้แต่น้อย
มั่นใจได้เต็มร้อยว่า เมื่ออยู่ในนรก เธอคือราชา ยิ่งกว่าราชา...
หากเป็นกีฬา เธอก็ไม่ต่างอะไรกับกรรมการที่คอยรับสินบนให้ผมมาแพ้แบบราบคาบโดยไม่ได้ลงเล่น
เหงื่อตกแฮะ....
ขาสั่นหน่อยๆแล้ว ยัยนี่จิตสังหารมันขยายขึ้นเรื่อยๆ... เล่นเอาผมเกร็งไปหมดจนไม่อยากจะพูดอะไรออกมาเลย นี่หรือเปล่านะที่เรียกว่าความกลัว... ภายใต้ชุดเกราะสีทองและดาบสายฟ้าที่มือขวาของผม สามารถรับรู้ได้ถึงความผวาของรากูเอลและมิคาเอล พวกเราทั้งสามคน เหมือนไก่ที่กำลังถูกเชือด เพราะงั้น... ต้องรอบคอบ
''เฮลไซท์... มาตัดสินกับผ-
ทันทีที่กำลังจะพูด เซร่าฟิมชักดาบออกมาเต็มรูปแบบ....
''ตู้มมมมมมมมมม!!!!!!!''
ให้ตายสิ ไม่ทันจะพูดจบ ดูเหมือนจะทำให้เซร่าฟิมโกรธแบบจัดๆเลยนะ ก็เล่นไปท้าสู้กับราชาแห่งนรกนี่เนอะ ไม่แปลกหรอกที่เธอจะโกรธ
รู้จักแผ่นดินแยกหรือเปล่า ? ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยเจอแผ่นดินแยกหรอก แต่ตอนนี้รู้เลยว่าแผ่นดินแยกเป็นสองฝั่งมันน่ากลัวขนาดไหน ตอนนี้เองถ้าหันหลังไปมองจะพบว่า แผ่นดินแยกราวๆ 10 กิโลเมตร กว้างราวๆ 10 เมตรอยู่ด้านหลังของผม ส่วนความลึกของแผ่นดินแยกในครั้งนี้ หาจุดสิ้นสุดด้วยสายตาไม่ได้....
ไอ้การที่เซร่าฟิมชักดาบออกมาเพียงครั้งเดียวทำให้แผ่นดินนรกถึงกับแยกเป็นสองท่อนมันจะเกินไปหน่อยไหม นี่คือ ส่วนเท่าไหร่จากเต็มร้อยในความแข็งแกร่งของเธอ ยังไม่ได้ออกดาบแท้ๆเลยนะ
''ฮะ.. เฮ้ย เจ้าหนุ่ม แผนการของเจ้าใช้ได้หรือเปล่า... ข้าว่าถ้าไม่มีแผนก็รีบกลับกันเถอะ''
รากูเอลบอกผมมาผ่านจิตใจที่เชื่อมต่อกัน (การบอกกล่าวไร้เสียงทางกาย)
กดดันอะไรยังงี้....
''เซร่าฟิม... ฟังแอลพูดให้จบก่อนนะ''
เฮลไซท์ออกคำสั่งกับเซร่าฟิม...
''เข้าใจแล้วค่ะ ท่านเฮลไซท์''
เหมือนทุกอย่างมันปลดปล่อยจากแรงกดดัน เมื่อเซร่าฟิมยอมเก็บดาบดีๆ
ก่อนหน้านี้ก็ถามรากูเอลมาแล้วว่าสงครามครั้งที่สามระหว่างเทพกับเฮลไซท์เกิดอะไรขึ้น เขาบอกเพียงแค่ว่า เซร่าฟิมสู้กับเทพทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียว และเพียงดาบเดียวก็ชนะสงครามทันที ทีแรกคิดว่ารากูเอลพูดโม้เลยไม่ได้ใส่ใจ แต่พอมาเห็นหน้ายัยนี่ในนรกก็พึ่งจะรู้ ว่ามันคือเรื่องจริง
''เซร่าฟิม กลับไปเฝ้าในห้องบัลลังค์ให้หน่อยนะ ตรงนี้ฉันจะจัดการเอง''
ดูเหมือนว่าเฮลไซท์ก็จะรู้ด้วย ว่าหากเซร่าฟิมยังอยู่ต่อหน้าผม การพูดคุยของพวกเราจะไม่คืบหน้าเลยแม้แต่น้อยเพราะเกรงกลัวต่อเซร่าฟิมมากเกินไป
''เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น เรียกฉันได้ตลอดเลยนะคะ ไม่ว่าจะถล่มสวรรค์หรือฆ่าใคร ก็จะจัดการให้ทุกอย่าง.... นะ''
สุดท้ายแล้วเซร่าฟิมก็ทำตามคำสั่งทุกประการ ตัวเองก็กลับไปในปราสาทจนได้ ระหว่างที่เซร่าฟิมเดินเข้าไปยังปราสาท ก็หันหน้ามามองผมราวกับว่า ถ้าหากเฮลไซท์มีน้ำตาเมื่อไหร่ ทุกอย่างคือ จบ..
''เฮ้อ... ~''
ก็คิดว่าจะไม่ออกอาการโล่งใจแล้วแท้ๆ แต่เมื่อเซร่าฟิมหันหลังกลับเข้าไปในปราสาท มันก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภายในจิตใจของผม มิคาเอล รากูเอล..
'เจ้าหนุ่ม ข้าว่าจะกลับแล้วล่ะ... ไม่ไหวจริงๆ ข้าคิดง่ายไปหน่อย'
มิคาเอลบอกกับผมภายในจิตใจที่เชื่อมต่อกัน
'ข้าก็ด้วย ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน'
รากูเอลออกความเห็น
'มาถึงนี่แล้ว ผมก็กลัวเซร่าฟิมเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าถอยไม่ได้แล้วครับ...'
ผมตอบกลับมิคาเอลไป
เมื่อเริ่มต้นมัน ก็ควรจะทำให้จบ การที่ดองสิ่งที่ข้างคาไว้เหมือนดินผอกหางหมูน่ะ มันเป็นอะไรที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด เพราะงั้นครั้งนี้ จะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะยังไงก็ตามตอนนี้เงื่อนไขที่ 1 เคลียร์ หลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเซร่าฟิมได้สำเร็จ
''เฮลไซท์... รักผมรึเปล่า ?''
ผมถามกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง...
''แมมม่อน เบลเฟเกอร์ ไปเฝ้าบัลลังค์ให้หน่อย เราจะจัดการตรงนี้เอง''
แต่เธอกลับไม่ยอมตอบคำถาม ทำเอาคิดเลยว่าเธอมันปากแข็งจนถึงสุดท้ายจริงๆ
''ตะ..แต่ว่า ท่านเฮลไซท์!!''
แมมม่อนและเบลเฟเกอร์พูดออกมาพร้อมกันด้วยความเป็นห่วง
''เอาเถอะ กลับไปที่ห้องบัลลังค์ซะ... เราจะคุยกับแอลสองต่อสอง''
สุดท้ายแล้ว แมมม่อนก็กลับกลายเป็นร่างเดิม พร้อมทั้งเบลเฟเกอร์เดินกลับเข้าปราสาท
''ไว้ใจผมงั้นเหรอ เฮลไซท์... ''
ผมถามกลับเฮลไซท์ไป ขณะนั้นเองแมมม่อนกับเบลเฟเกอร์ก็เดินกลับเข้าไปในปราสาท พร้อมปิดประตู ทำให้ด้านอกปราสาทตอนนี้เหลือเพียงผมกับเฮลไซท์
''สายตานายมันบ่งบอก ว่าอยากได้ความปราถนา เรารู้ในสายตาของนายดี เพราะเป็นสายตาที่เหมือนกับเรา ถ้าทางนี้เอาเซร่าฟิมถอยไปแล้ว ทางนายก็เอารากูเอลกับมิคาเอลออกจากร่างซะสิ เราจะคุยกับนายสองต่อสอง...''
ท่าทางเธอจะพูดจริงงั้นสิ..
ด้วยเหตุที่เฮลไซท์จะคุยกับผมเพียงสองต่อสอง ทำให้ผมต้องถอดเกราะของมิคาเอลและคลายการรวมร่างออกไป ทางด้านรากูเอลกับมิคาเอลที่กลัวเซร่าฟิมหัวหดอยู่แล้ว ก็รีบออกมาจากร่างผม พร้อมเปิดเกทหนีไปโลกมนุษย์ทันที
''งั้นโชคดีนะเจ้าหนุ่ม ถ้ารอดกลับมา ก็มาเจอกันอีกนะ''
สุดท้ายแล้วรากูเอลกับมิคาเอลก็จากผมไป...
แต่ว่า.. พวกเราจะคุยอะไรกันล่ะ เรื่องที่ผ่านมามันเหมือนกับเด็กทะเลาะกันนั่นแหละ หากย้อนไปดูดีๆ มันก็ไม่มีอะไรเลย พวกเราเหมือนเด็กน้อยที่โจมตีใส่กันโดยไม่สนใจจิตใจของอีกฝ่าย ผมที่ถูกเธอชุบชีวิตขึ้นมาแต่ไม่สำนึกบุญคุณของเธอ ส่วนเธอก็ไม่เห็นความปราถนา...
พวกเราน่ะ มันตาบอด และพึ่งตาสว่างอย่างงั้นเหรอ...
''เฮลไซท์ ตอบคำถามผมเมื่อกี้หน่อยนะ ว่ารักผมรึเปล่า ถ้าเป็นตอนนี้ไม่มีใครได้ยินหรอกนะ ไม่จำเป็นต้องอายหรอก.. เพราะผมเองก็มาเพื่อสิ่งนี้..''
''ใช่... เรารักนาย แล้วนายล่ะ... เราเองก็รู้ว่านายไม่ได้รู้สึกอะไรกับเราเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเท่านั้นเอง ขีดเส้นกันเรากับนาย มันแบ่งออกจนข้ามฝั่งมาได้ยากเสียแล้ว..''
''งั้นเหรอ... คิดแบบนั้นสินะ ถ้างั้น มาตัดสินกันเลยแล้วกัน''
ผมก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ
''ถ้าเราชนะนาย.. นายต้องมาแต่งงานกับเรา แน่นอนว่าเราอนุญาติให้เจ้าไปกับหญิงคนอื่นด้วย แต่ถ้าเราแพ้นายเมื่อไหร่ เราจะให้ความตายของเจ้าเป็นจริง ตกลงหรือเปล่าล่ะ... ''
''เป็นผู้หญิงใจกว้างจริงๆนะ..''
''ผู้ชายมีผู้หญิงหลายคนมันก็เรื่องปกติอยู่แล้ว เราอายุขัยมานับหลายพันปี ประสบการณ์เจ้าหนูอย่างนายไม่ต้องมาสงสารเราหรอก...''
เรื่องนั้นผมอยากจะบอกว่าไม่จริงหรอกนะ ถ้าผมเห็นไอร่าไปมีผู้ชายคนอื่น หัวใจอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆเลยก็ได้ การเป็นผู้ชายน่ะ มันคือการเอาเปรียบผู้หญิงมาตั้งแต่แรกแล้ว... เธอคงเข้าใจเรื่องนี้สินะ เฮลไซท์ ว่าสิ่งมีชีวิตแบบไหนในโลก ตัวผู้คือผู้ที่อยู่เหนือตัวเมีย มนุษย์มันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นหรอกนะ แต่เรื่องที่คนรักเสียใจน่ะ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว.... ยุ่งยากชะมัดเลยนะ ไอ้การที่มีผู้หญิงแก่ๆรอบตัวเนี่ย... สำหรับพวกเธอแล้ว ผมคงเหมือนเด็กทารกนั่นแหละ... จะยอมให้เอาสีมาป้ายใส่ตัวของผมหลายๆสีก็ได้นะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก...
เป็นการต่อสู้ที่ไร้เหตุผลจริงๆ ถ้าหากวันนั้น เธอมาบอกรักผมด้วยใจจริงแต่แรก ผมกับเธอคงไม่ใช่ศัตรูกันหรอก และเรื่องราวการฆ่าทั้งหมด ก็จะไม่เกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานอันบ้าบอของผม ไม่ว่าผมหรือเธอ ต่างก็บ้ากันทั้งคู่... เพราะงั้น ครั้งนี้ คือครั้งสุดท้าย
''เริ่มกันซักทีนะแอล... ครั้งสุดท้ายของพวกเรา สัญญาสิ ว่าจะไม่โกหกตัวเองอีกเป็นหนที่สอง''
''เธอเองก็ด้วย สัญญากับผมสิ ว่าจะไม่โกหกตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง''
ผมชักดาบออกมาที่มือซ้าย พร้อมปีกแวมไพร์ทั้ง 6 ปีกออกมา
เฮลไซท์ เสกเคียวสีม่วงที่ประดับประดาด้วยเพชรและอัญมณีทั้งหลายด้วยมือขวา เป็นเคียวที่มีลักษณะใหญ่ พร้อมเปร่งประกายไปด้วยออร่าสีม่วง ดูจากเคียวนั่นแล้วน้ำหนักคงโหดน่าดู
''เฮลไซท์...''
''แอล... ''
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ