The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  36.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) 08-จนกระทั่งถึงวันที่ฉันตาย(เธอก็ไม่เปลี่ยนไปเลย)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
08-จนกระทั่งถึงวันที่ฉันตาย(เธอก็ไม่เปลี่ยนไปเลย)
 
         หลักการถูกบุก ข่าวนี้ถูกแพร่ไปไกลทั่วจักรวรรดิครูฟราวกับไฟลามทุ่งโดยก้อนเมฆแปรอักษรของผบ.เดวิส เนื้อหาใจความระบุว่า"ขณะนี้มีกองทัพอัศวินกำลังพลราวสามเท่าของทหารฝ่ายเมืองป้อมปราการเซลสิอุส ไม่ทราบที่มาแน่ชัดได้ทำการบุกรุก ทางเราได้รบต้านทานอย่างสุดกำลังและไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าพวกเราจะชนะ จึงใคร่ครวญขอให้ทางเมืองหลวงส่งกำลังรบมาเสริมโดยด่วน"
 
        ทันทีที่เมืองหลวงรับข่าว หลายฝ่ายต่างเริ่มประชุมหารือกันอย่างเร่งด่วน ประชาชนในเมืองหลวง หัวเมืองต่างๆ ชนเผ่าต่างๆภายใต้อาณัติ ต่างตะลึงกับข่าวนี้ ไม่คิดว่าเมืองป้อมปราการเซลสิอุสจะเป็นฝ่ายปราชัยเพราะที่มาในประวัติศาสตร์เมืองป้อมแห่งนี้ เป็นปราการที่แข็งแกร่งที่สุดยากจะตีแตกและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นประตูหน้าด่านสำหรับต้านทานข้าศึกของจักรวรรดิครูฟ แต่วันนี้กลับร้องขอให้เมืองหลวงนำกำลังรบไปเสริม
        ถ้าเมืองป้อมแห่งนี้ถูกตีพ่ายเมื่อไร ชะตากรรมของประชาชนหลายแสนคนจะเป็นอย่างไรและเมืองต่อไปที่จะถูกรุกรานก็คือเมืองหลวง"มหานครครูฟาริลเตแห่งจักรวรรดิครูฟ"
 
     ความตื่นตัวและเป็นกังวลของผู้ที่อยู่ในเมืองหลวงเริ่มวิตกหลังถูกสถานการณ์เช่นนี้กดดัน ทางการยังไม่ทันสั่งอพยพ แต่ประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเก็บข้าวเก็บของเตรียมพร้อมออกเดินทาง แต่บางส่วนยังคงอยู่ที่นี่เพื่อรอฟังข่าวจากเมืองป้อม และอีกส่วนเริ่มหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
 
     เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง จึงได้ข้อสรุปจากทางเมืองหลวงผ่านทางก้อนเมฆแปรอักษร"ทางเราจะส่งกองบินพิฆาตไปเสริมจำนวน24000นาย หน่วยรบพิเศษอีก450นายและขอให้ทางเมืองป้อมปราการเซลสิอุสทำการรบต้านทานอย่างสุดความสามารถโดยห้ามถูกตีพ่ายไปก่อนจนกว่ากองกำลังจากทางเราจะไปถึง"หลังผบ.เดวิสรับข้อความดังกล่าวแรงกดดันมหาศาลก็พวยพุ่งขึ้นในใจเขา ด้วยเนื้อหาเป็นนัยกำชับว่าห้ามปราชัยแก่ศัตรู
 
     ถึงแม้ข้อความที่ส่งผ่านก้อนเมฆแปรอักษรจะมีความรวดเร็วเพียงแค่ลมพัด แต่การเดินทางมาถึงของฝูงบินนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง อีกทั้งทัศนวิสัยในการบินก็ยังเป็นอุปสรรคเนื่องด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน การเดินทางจึงมีความล่าช้ากว่าปกติ
 
    ไม่เพียงแค่จักรวรรดิครูฟเท่านั้นที่รู้ข่าวการถูกโจมตีของเมืองป้อมปราการเซลสิอุส แต่ข่าวนี้ยังดังไปไกลถึงจักรวรรดิลามิเรสคู่อริตลอดกาล โดยสายลับที่แฝงตัวเข้าไปคนหนึ่ง
 
"ฝ่าบาท ตอนนี้เมืองป้อมปราการเซลสิอุสถูกโจมตีและดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ เราควรฉวยโอกาสนี้เข้าตีเป็นการด่วน"ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งก้มหัวเสนอความคิดอย่างร้อนรน หลังจักรพรรดินีเรียกหารือเกี่ยวกับการถูกรุกรานของเมืองป้อมฝ่ายศัตรู ณ ห้องโถงประชุมอันโอฬาร
 
"........... หึหึหึ"เจ้าของเสียงแสยะยิ้มออกมุมปากบนบัลลังก์ทรงสูงด้วยท่านั่งไขว่ห้างอวดร่องขาขาว เอนเอียงหน้าเท้ามุมหมัดและดาบโซเดียค์วางพาดระหว่างที่เท้าแขน ด้วยภาพเช่นนี้จึงมิอาจมีใครกล้าเงยหัวขึ้นมาสบตา
 
"ท่านว่าไงนะท่านเทเลเกีย.. !!?? จะให้เราพิชิตศัตรูในยามนี้น่ะรึ แบบนั้นมันไม่สุภาพบุรุษเลยนะ แม้ว่าเราจะเป็นสตรีก็เถอะ"ด้วยสายตาอันเชิดทะนงกับวาจาหนักแน่น ทำให้ใครต่อใครหลายคนไม่กล้าเสนอความเห็นอยู่นาน แต่ทว่า.. หากมีขุนพลคนหนึ่งกลับเอ่ยขึ้นมา..
 
"ยามใดที่เมืองป้อมปราการเซลสิอุสไร้มหาคริสตัลวอเตร่า ยามนั้นย่อมหมายความว่าเราเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ"การกล่าวอย่างแฝงเลศนัยทำให้เจ้าของเรือนร่างอันบริสุทธิ์ถึงกับเปลี่ยนท่านั่ง
 
"สนธิสัญญาไตรภาคีมันค้ำคออยู่น่ะสิ ถ้าเราโจมตีจักรวรรดิครูฟตอนนี้ จักรวรรดิเมลเฟรไฮจ์จะต้องเห็นใจฝ่ายนั้นแน่ และจะเข้าร่วมต่อต้านจักรวรรดิเรา ถึงตอนนั้นเราจะแย่กันทั้งหมด..."พระองค์ว่าแล้วทรงถอนหายใจ
   ความคืบหน้าการประชุมไร้ซึ่งผลที่ควรจะได้รับ ท่ามกลางบรรยากาศแสนอึมครึม ณ ห้องโถงประชุมใหญ่
 
"เลิกประชุม!!"จักรพรรดินีในชุดห่มน้อยลั่นวาจาดังเปรี้ยง รู้สึกหงุดหงิดหลังการหารือไม่เกิดผลอันใดที่เป็นประโยชน์ต่อจักรวรรดิ
 
++++--------++++--------++++
 
"ปั้ง.. ปั้ง.. ปั้ง.."เสียงทุบประตูอันหนักหน่วง ของสาวร่างน้อยรายหนึ่งราวกับว่าเธอมีความโกรธแค้นมาแต่ชาติปางก่อนกับชายหนุ่มที่อยู่ในห้องพัก
 
"ตื่นซักทีเซ่!! คาสึยะ!!"ร่างน้อยไม่เพียงแค่ทุบประตู แต่ยังแหกปากเล็กเรียวเรียกคนในห้องอีกด้วย
 
"อ่าๆ รู้แล้วน่า.."ไม่นานนักชายหนุ่มเจ้าของชื่อ"คาสึยะ"ก็ขานรับพลางแง้มประตูออกมา แล้วก้าวออกจากห้องพักพร้อมกับกล่าวคำทักทายร่างน้อย
"อรุณสวัสดิ์นะเอมิโกะ"ด้วยใบหน้าเบิกบานและรอยยิ้มแหยๆเหมือนกับว่าเขารู้สึกทำอะไรผิด
 
   =========================
 
          มหาวิหารพระแม่เอวา ณ เมืองหลวงจักรวรรดิครูฟ เนืองแน่นไปด้วยประชาชนทุกหมู่เหล่าและผู้มีจิตศรัทธาหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ จนภายในไม่สามารถบรรจุผู้เลื่อมใสได้หมด ทำให้บางส่วนต้องออกมายังด้านนอก ซึ่งเป็นบริเวณลานกว้าง ถูกปูด้วยหินอ่อนรอบทิศทางออกไปไกลจนติดทางคมนาคม โดยมีเสาคบเพลิงเว้นระยะห่างเป็นตัวกั้นขอบเขต รูปลักษณ์ภายนอกยิ่งใหญ่มโหฬารสามารถแลเห็นได้จากที่อันห่างไกลโพ้น ด้วยยอดปลายแหลมสูงเทียมฟ้าของหอคอยคู่อันโอ่อ่า ถูกคั่นด้วยโดมทรงสูงประดับไปด้วยกระจกหลากสี ทั้งยังมีประติมากรรมเทพเจ้าต่างๆรายล้อมตามผนังกำแพง ความวิจิตรตระการตาของภายนอกโดยรวมทั้งหมดถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีชมพู ที่ถูกบรรจงขึ้นลายสลักตามแบบสถาปัตยกรรมฟาเลียสดั้งเดิม ใช้เวลาสร้างกว่า800ปีจากแรงศรัทธาโดยเหล่าบรรดาสาวกของพระนาง
         ส่วนภายใน ผนังแต่ละด้านผนึกไปด้วยหินอ่อนสีหวานด้วยลายสลักทรงพฤกษา เพดานด้านบนจัดแต่งด้วยโคมไฟขนาดใหญ่ทำจากปิตาภรณ์ เหนือโคมไฟโดยรอบบางส่วนประดาไปด้วยลวดลายดอกไม้แห่งครูฟ และส่วนที่ลึกที่สุดของมหาวิหารทรงโดมคือที่ประดิษฐานพระแม่เอวาปางเมตตา อันงดงามเฉิดฉายไร้มลทิน ด้วยแสงเรืองรองอันส่องผ่านคริสตัลใสด้านบนลงมายังพระนางนั้นดุจดั่งแสงออร่า ส่งให้ภาพที่เห็นประหนึ่งราวกับว่าพระนางทรงเปล่งแสงออกจากพระวรกาย
 
       พิธีกรรมเริ่มขึ้นหลังผู้นำสวดมากันครบ    บทสวดสรรเสริญพระแม่เอวาดังอึกทึกกึกก้องออกไปไกลทั่วหล้าและนภา โดยมีผู้อัญเชิญ ผู้อธิฐาน ผู้สร้างนิมิต เป็นผู้นำสวดและตามมาด้วยเหล่าผู้ศรัทธาทั้งด้านนอกและด้านในเรือนแสน
        พิธีกรรมอันเข้มขรึมและมีมนต์ขลังของพวกเขาดังไปไกลถึงนครเกลซาโร่ เทพเทวาและเทพเทพีที่หลับไหล ต่างได้เปิดเปลือกตาออกขึ้นมาเพื่อร่วมสวดสรรเสริญ และที่สำคัญยิ่งบทสวดนี้ยังกู่ก้องร้องดัง ไปกระทบพระกรรณพระแม่เอวาในชั้นสรวงสวรรค์เธโดร่าอันเป็นนิพพานสูงสุดของหมู่มวลเทพเจ้า
       
       หลังบทสวดสรรเสริญจบลง วาทีแห่งมหาวิหารพระแม่เอวาจึงได้เริ่มขับลำนำมหาคีตาแห่งธีโอน่ามหาศาสนจัก ด้วยพาณีอันแสนเพราะเสนาะจับใจ จนใครๆหลายคนเคลิบเคลิ้มดั่งต้องมนต์สะกดและพร้อมถวายวิญญาณ
 
       สิ้นเสียงบรรเลงมหาคีตาซึ่งยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง ผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านต่างยืนสงบนิ่งเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระนาง และอธิฐานต่อพระนางในสิ่งที่ตนนึกคิด จากเหตุการณ์ดังกล่าวของเมืองป้อมถูกโจมตีนี้ โดยส่วนใหญ่ใครหลายคนจะต้องอธิฐานต่อพระแม่เอวา ขอให้คุ้มครองพวกเขาเหล่านั้นให้รอดปลอดภัยโดยไม่เสียเมืองแก่ศัตรู รวมทั้งยังขอพรให้ตนเองรอดปลอยภัยอีกด้วย
   
 
    ----------------------------
 
"รองค์ถ้าฉันตายในตอนนี้นายจะเป็นคนต่อไปที่ทำหน้าที่ต่อจากฉัน ฉันไว้ใจนายนะ"ผบ.ซิกม่าพูดพร้อมกับตบไหล่รองค์เบาๆ โดยที่เดวิส รองค์ยังยืนอึ้งและคาดไม่ถึงกับคำพูดของผู้ที่เป็นที่เคารพ
 
"ถึงเวลาของฉันแล้วล่ะ"ซิกม่าผู้มาดเข้มหันมองหน้ารองค์ด้วยความปิติ
 
"ไม่นะครับ!!"
 
      สิ้นเสียงผบ.เดวิส ไม่ช้าผบ.ซิกม่าก็วิ่งไปที่ขอบกำแพงและดิ่งลงไป...
     ทันใดนั้นรองค์วิ่งตามมาห้าม..
มันสายเกินไปแล้ว!!
 
"ม่ายยยยยย!!!!"เสียงสะอึกสะอื้นที่รองค์แหกออกมาทำให้ข้าศึกถึงกับผวา 
         แต่สิ่งที่รองค์เห็นกับสิ่งที่ผบ.ซิกม่าทำนั้นมันต่างกัน แม้ว่าผบ.ซิกม่าจะกระโดดดิ่งลงกำแพงหมายจะฆ่าตัวตายนั้น เป็นเพียงแค่ความคิดของรองค์เท่านั้น แต่ความจริงผบ.ซิกม่าทำนั่นคือการกระโดดลงไปช่วยทหารนายหนึ่งโดยบังเอิญ 
        จวบจนถึงพื้นผบ.ซิกม่าที่ดิ่งพุ่งลงมาได้สะบัดดาบ เข้าผ่าเกราะหุ้มศีรษะของอัศวินผู้ดวงตกทะลุไปถึงกะโหลกจนแยกออกเป็นสองส่วน และทันทีที่เท้าของเขาเหยียบพื้นล่างก็ได้แหงนหน้าพูดกับรองค์อย่างมาดเข้มว่า..
 
"รองค์ นายร้องไห้ทำไมฉันยังไม่ตายซะหน่อย"ใบหน้าของรองค์ที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาตอนนี้กับเปลี่ยนเป็นใบหน้าตกตะลึงปนดีใจกับสิ่งที่ผบ.ซิกม่าสำแดง
 
'กำแพงสูงขนาดนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาตกไปคงตายแน่ๆ แล้วการโจมเมื่อกี้นี้เขาทำได้อย่างไร จากบนกำแพงกระโดดลงไปถึงพื้นนั้นใช้เวลาไม่กี่วิเอง อะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น'สิ่งที่รองค์ได้ประจักษ์ คำถามมากมายดังขึ้นอย่างกังวาลในหัวของเขา
    และวินาทีที่จะหยุดลมหายใจของเหล่าทหารฝ่ายเมืองป้อมและกองทัพอัศวินก็มาถึง การปรากฏตัวและการเข้าร่วมรบในสมรภูมิเลือดที่มีเมืองป้อมปราการเซลสิอุสเป็นเดิมพัน จอมพลแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจเด็ดขาดแคว้นเซลสิอุสแห่งจักรวรรณครูฟได้ทำการร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกน้องเพื่อเป็นเกียรติ ขวัญและกำลังใจ หลังสถานการณ์มีแนวโน้มว่าจะพ่ายแก่ศัตรู โดยสิ่งที่เขาทำนั้นได้ผลเป็นอย่างมากทหารบางนายเริ่มฮึกเฮิมและบ้าบิ่น ไม่ช้าความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ได้แพร่กระจายไปยังส่วนที่เหลือของทหารทั้งหมด
         ความบ้าระห่ำระลอกสองได้เริ่มต้นขึ้น ในขณะที่ทั้งหมดทำการรบอยู่นั้น สายตาจากใครบางคนจ้องมองไปยังอสูรกระทิงแบร์ริกอย่างกระหาย เจ้าของสายตาคู่นั้นเริ่มย่างเข้าหามันอย่างช้าๆ.. ช้าๆ.. แต่ยังไม่ทันถึงระยะสังหาร อสูรกระทิงแบร์ริกได้หันขวับมาทางร่างเจ้าของสายตาคู่นั้นเหมือนมันรู้ว่าตนจะถูกปลิดชีพ สัญชาตญาณของมันสั่งการทันที ดาบเล่มโตถูกยกขึ้นจนสุดเอื้อมอย่างเชื่องช้าและจามลงไปยังร่างนั้นด้วยแรงมหาศาล!!!!!!
 
"ตรึ้ม..!!!"  "เคล้ง..!!!"
 
เสียงคลื่นระเบิดจากแรงปะทะแผ่กระจายออกไปและเสียงของดาบปะทะกันอย่างรุนแรง ระหว่างดาบของอสูรกระทิงแบร์ริกกับดาบของร่างนั้น เป็นเหตุให้ทั้งสองเสียงกระหน่ำขึ้นพร้อมกัน สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังทั้งสองอย่างตกตะลึงและอึ้งในความสามารถของร่างนั้นหลังเกิดเสียงสนั่น
         การปะทะกันครั้งนี้ดูเหมือนว่า ฝ่ายโชคร้ายตกเป็นของอสูรกระทิงแบร์ริก หลังการปะทะ ดาบเล่มโตของมันเริ่มมีรอยร้าวจนในที่สุดจึงแตกลงมาเป็นเสี่ยงๆ ไม่เพียงแค่ดาบของมันเท่านั้นที่แตกออกเป็นเสี่ยง แต่อวัยวะภายในทั้งหมดรวมถึงหัวใจด้วยเช่นกันได้รับผลกระทบจากแรงปะทะ สังเกตุได้จากการที่มันกระอักเลือดออกเป็นลิ่มก่อนล้มลงไปกับพื้น
          โฉมหน้าภายใต้เงาดาบของผู้ปลิดชีพอสูรกระทิงแบร์ริกได้ปรากฏขึ้นหลังม่านฝุ่นสลายไป
 
"ผบ.ซิกม่า!!"ทั้งเหล่าผบ. เหล่าทหารทั้งหลายและทีมแพทย์ ต่างแทบร้องออกเป็นเสียงเดียวกัน หลังเขาแสดงความสามารถที่หลบหายไปนานแสนนาน   แต่ ดูเหมือนมีใครไม่สบอารมณ์กับวีรกรรมนี้ของผบ.ซิกม่า
 
"ชิ..!"ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเรอิสเปล่งเสียงเบาๆ ด้วยสายตาไร้ความรู้สึกกับผบ.ซิกม่า
 
"สุดยอดเลย สามารถรับการโจมตีจากอสูรกระทิงแบร์ริกเพียงแค่มือเดียว"ผบ.แฟมิเลียหันขวับไปชื่นชมอย่างยกย่อง หลังพยายามตามหาน้องสาวในสมรภูมินี้ด้วยความเป็นห่วง  แต่ยังหาไม่เจอสักที
          แรงบันดาลใจเริ่มเกิดขึ้นแด่เหล่าทหารทั้งปวงหลังผบ.ซิกม่าสำแดงฤทธิ์ แม้ว่าเขาจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา แต่ผบ.ซิกม่าก็ใช้พลังมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้เขารู้สึกอ่อนล้าโดยไม่แสดงออกมาให้เห็นภายใต้ใบหน้ามาดเข้มตลอดเวลา 
         ในขณะทุกคนกล่าวยกย่องผบ.ซิกม่าอยู่นั้น อสูรกระทิงแบร์ริกอีกสองตัวเริ่มทิ้งดายเล่มโตของมันลง เพื่อทำในสิ่งที่พวกมันถนัด มือทั้งสองข้างอันเปรียบเสมือนเท้าหน้าถูกปล่อยลงพื้นเข้าสู่ท่าเตรียม
 
"ตึ้งๆๆๆๆๆๆ"เสียงฝีเท้าซอยถี่กระแทกลงกับพื้นอย่างสนั่น พุ่งตรงมายังผบ.ซิกม่าที่กำลังยืนขาแข็ง 
          แต่กว่ามันจะพุ่งมาถึงผบ.ซิกม่านั้น มันทั้งกวาดทั้งเหยียบกองทัพอัศวินและทหารฝ่ายเมืองป้อมไปหลายต่อหลายนายด้วยงวงเขาและเท้าจนแดดิ้นสิ้นชีพไปตามๆกัน เรี่ยวแรงของผบ.ซิกม่าหดหายไปด้วยวัยอันควร หนำซ้ำข้อเท้าหนึ่งยังจมลงไปในดิน เขาไม่มีแรงแม้แต่ตะเกียกตะกายหรือร้องให้ใครช่วย จึงทำได้แต่มองมันและยอมรับชะตากรรม
 
"ตึ้งๆๆๆๆๆๆ"เสียงเท้ากระแทกพื้นเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
         เมื่อรู้ว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึง ผบ.ซิกม่าเริ่มหลับตาเตรียมใจตาย โดยมีใครบางคนซึ่งอยู่ใกล้ๆนั้น ได้เห็นเหตุการณ์อย่างแจ่มชัดและล่วงรู้ถึงชะตากรรมของผบ.สูงสุดซิกม่า
 
"หลบไป!!!"
ใครคนนั้นกระโจนพุ่งเข้าใส่ร่างของผบ.ซิกม่าอย่างจัง เป็นผลให้ผบ.สูงสุดกระเด็นรอดตายอย่างหวุดหวิดจากลู่มฤตยู โดยไม่คำนึงว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร
     แต่..!!!!!!
         เส้นยาแดงไม่ผ่าแปด..
 
"อั่ก"
เสียงของร่างนั้นดังขึ้นพร้อมกับกองเลือดทะลักออกจากปาก เพราะร่างที่กระเด็นไปไกลจนฟุบลงคว่ำหน้าไปกับพื้น แม้จะโดนแค่ถากๆแต่พลังของอสูรกระทิงแบร์ริกก็มากพอจะทำให้ร่างนั้นสิ้นชีพ
 
"เอมิลี่!!!!!!"หัวหน้าทีมแพทย์ภาคสนามร้องลั่นหลังร่างนั้นกระเด็นมาตกใกล้บริเวณที่เธอกำลังปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเป็นมืออาชีพซายูริรีบปฐมพยาบาลในทันใด
        แต่บาดแผลช่วงหน้าท้องของเหยื่ออสูรกระทิงแบร์ริกนั้น ถึงกับทำให้ซายูริต้องตกตะลึงและดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอมิลี่ บาดแผลฟกช้ำอย่างรุนแรงจนทำให้เนื้อหนังบริเวณนั้นเกิดการปูดแดงช้ำเลือดช้ำหนองอย่างหนัก บางส่วนของแผลมีรอยปริแตกออกของเลือดคลั่งไหลหลั่งลงมา ซายูริรู้ดีว่าบาดแผลแบบนั้นหมายถึงอะไร เอมิลี่เองก็รู้ดีว่านาทีต่อไปของตัวเองจะเป็นเช่นไร
       เสียงรำพึงละล่ำละลักของเอมิลี่ดังขึ้นเบาๆอย่างฟังไม่ได้ความ
 
"ฟ่ะ.. ฟ่ะ.. แฟมิเลีย"
มันคือคำที่เอื้อนเอ่ยมาจากใจ ลมหายใจเริ่มหมดลงไปทุกที แต่แล้วคุณหมอก็พยายามฟังจนได้ศัพท์และรู้ทันทีว่าเอมิลี่ต้องการอะไร
      สถานการณ์ท่าจะไม่สู้ดีหลังอสูรกระทิงแบร์ริกไล่ขวิดขยี้ไล่เหยียบกระทืบสังหารเหยื่อไปเรื่อย
 
"เอมิลี่..!!! เอมิลี่..!!!"
มันคือเสียงของผบ.แฟมิเลียร่ำร้องจากห้วงคำนึงอย่างมีหวังพลางใช้ดาบฟาดฟันศัตรูที่มาขวางทาง
 
"เอมิลี่!!"
คำๆนี้ถูกตะโกนออกมาครั้งนับไม่ถ้วน ช่างเป็นที่หดหู่เสียเหลือเกินกับผู้ได้ยินในบริเวณใกล้เคียงนั้น
 
"เอมิลี่..!!!  เธออยู่ไหน..!!"เสียงแผดยาวพร้อมกับน้ำตาหยดแรก เริ่มหลั่งรินออกมาจากความห่วงใย แฟมิเลียเริ่มรู้สึกหมดหวังหลังไม่มีเสียงเจ้าของชื่อนั้นไม่ตอบกลับมา
 
        แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าเจ้าของชื่อนั้นจะไม่ได้ยิน หากแต่ไร้เรี่ยวแรงขานกลับไปก็เท่านั้น รอยยิ้มเผยออกมาน้อยนิดในร่างคว่ำหน้าลงกับพื้น เอมิลี่ดีใจมากที่แฟมิเลียไม่เคยทิ้งเธอ
         จากเสียงเรียกชื่อแว่วๆ ด้วยไหวพริบกับการคาดเดาสถานการณ์และความเสี่ยง คุณหมอซายูริเริ่มคิดอะไรออกจึงไม่รอช้าที่จะทำมันทันที..
 
"เอมิลี่ เธอแข็งใจไว้นะเดี๋ยวฉันมา"สิ้นเสียงคุณหมอ เธอจึงรีบคว้าดาบฝ่าศัตรูไปทางแฟมิเลียโดยเร็ว ทันทีที่ถึงระยะเสียงของคุณหมอกับแฟมิเลียก็ดังขึ้น
 
"แฟมิเลีย...!!! เอมิลี่อยู่ตรงนี้...!!!"
ด้วยการใช้มือป้องปากร้องออกไป แฟมิเลียที่หันซ้ายหันขวาอยู่นั้นรีบพยายามมองหาต้นเสียง
 
"แฟมีเลียๆๆๆๆๆ"
ไม่เพียงแค่ตะโกนซายูริยังโบกมือทั้งสองข้างไปมาด้วย
 
"คุณหมอระวัง!!"เสียงจากผบ.เลอวิสดังขึ้นพลางใช้ดาบกระแทกหน้าอัศวินตนนั้นที่กำลังง้างดาบจะผ่าร่างซายูริ
 
"ห้ะ!!"เสียงอุทานดังขึ้นเหมือนกับซายูริไม่รู้ตัวว่าจะถูกฆ่าหลังสบสายตากับผบ.เลอวิสสุดหล่อ ก่อนตะโกนเรียกแฟมิเลียอีกครั้ง
 
"ทางนี้ๆๆๆๆๆ"แฟมิเลียวิ่งไปตามต้นเสียงอย่างไวซึ่งตะโกนออกจากคุณหมอที่ยืนเคียงผบ.เลอวิส ไม่ช้าซายูริก็วิ่งออกนำไปยังร่างของเอมิลี่ทันทีโดยมีผบ.เลอวิสกับผบ.แฟมิเลียคอยคุ้มกันให้
    
       ..วิ่งไปไม่ช้าไม่ไกลแฟมิเลียได้พบกับเอมิลี่
       หลังจากเห็นร่างของเอมิลี่ ในตอนนี้ แฟมิเลียไร้พลังขึ้นมาทันที ดาบหลุดออกจากมือร่วงลงพื้น ริมฝีปากสั่นระริกจากความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ แฟมิเลียถอดหมวกเกราะออก เพื่อจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่านั่นคือน้องสาวเธอ การก้าวเท้าอย่างช้าๆเข้าหาเอมิลี่กับนิ้วมือสั่นระรัวและน้ำในตาสะท้อนแสงสลัว แฟมิเลียทรุดลงข้างเอมิลี่
 
"เอมิลี่ เธอเป็นยังไงบ้าง"
ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แฟมิเลียพลิกร่างเอมิลี่ขึ้นมา โดยใช้ตักตนเองรองศีรษะเอมิลี่และมือในมือของทั้งสองสัมผัสกันอย่างเหนียวแน่นดั่งสายสัมพันธ์และอบอุ่นเกินกว่าสิ่งใด ตาสบตากันแฟมิเลียมิอาจกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นทะลักได้พลางใช้มืออีกข้างลูบหัวของเอมิลี่ดั่งวันวาน
 
"เอมิลี่.. ฉันขอโทษนะ"เสียงนี้ยังคงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำพรั่งพรูไปด้วยหยดน้ำไหลอาบนองแก้ม ในตอนนี้ผบ.แฟมิเลียร่ำไห้ออกมาอย่างกับเด็กขี้แงโดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร
 
"แฟมิเลีย.."เอมิลี่ส่งเสียงอันน้อยนิดออกมาด้วยดวงตาอันแดงก่ำไม่ต่างอะไรกับแฟมิเลีย พลางเอื้อมมือไปลูบหน้าของพี่สาวด้วยนิ้วโป้งปาดน้ำตาไปมาที่แก้มใต้ดวงตา ดั่งมีความหมายว่า"ไม่ต้องร้องไห้นะ"ด้วยรอยยิ้มกระตุกอยู่ตลอดเวลาภายใต้ใบหน้าอันเศร้าปนดีใจ
 
"ไม่นะ!!!  ไม่!!  เธอจะตายไม่ได้นะเอมิลี่!!!"เสียงตะโกนดังขึ้นข้างหูเอมิลี่ ด้วยการโอบกอดร่างน้องสาวจนน้ำตาแปดเปื้อนเปียกซกไปถึงต้นคอ 
เอมิลี่ยังพอมีแรงเหลืออยู่ได้ยกแขนสองข้างขึ้นประทับไหล่และหลังของพี่สาว
       แฟมิเลียยังคงอยู่ในอ้อมกอดของน้องสาวจนรู้สึกได้ถึงการเต้นเป็นจังหวะของหัวใจซึ่งกันและกัน คุณหมอซายูริและผบ.เลอวิสมิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้กับสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพี่กับน้อง ที่ไม่สามารถมีอะไรมาตัดขาดออกจากกันได้แม้กระทั่งความตาย เยื่อใยนี้ถูกถักทอมาจากเส้นไหมบางๆจนกระทั่งกลายเป็นเพชรอันแข็งแกร่งกว่าขุนเขาหลายเท่านัก
 
    หลังรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายอยู่นานสองนาน เอมิลี่ได้ระลึกความทรงจำความหลังครั้งวันวานอย่างมีความสุข โดยการกระซิบเบาๆข้างหูแฟมิเลียทั้งน้ำตาและความรู้สึกประณีต
 
"แฟมิเลีย ยังจำได้ป่ะตอนนั้นอ่ะที่เราปีนต้นไม้แข่งกันฉันชนะเธอนะ แต่ว่าฉันก็พลาดตกลงมา ตอนนั้นฉันขำตัวเองมากเลยล่ะเพราะว่ามันน่าอายน่ะ เธอว่ามั้ย แล้วเธอก็รีบกระโดดลงมาช่วยฉัน แล้วก็.. ตอนที่เธอไม่อยู่บ้านฉันแอบแกล้งเธอ ฉันเอารังมดแดงไปใส่ไว้ในเสื้อคลุมของเธอน่ะ แล้วเธอก็ใส่เสื้อคลุมนั้นในตอนเย็น แล้วท่าทางของเธอมันก็ตลกมาก ฉันแอบขำเธออย่างท้องแข็งเชียวล่ะ..   แล้วก็.. ตอนที่ฉันป่วยก็มีเพียงแค่เธอ.. อั่ก..!! มีเพียงแค่เธอที่คอยดูแลฉัน ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ อ้อมกอดของเธอ มือของเธอที่คอยลูบหัวฉันก่อนนอน กำลังใจจากเธอมันช่างเป็นสิ่งที่วิเศษแสนอบอุ่นที่สุดในชีวิต ฟ่ะ..ฟ่ะแฟมิเลีย.. อั่ก..!! แฟมิเลียไม่ต้องร้องไห้นะเธอทำดีที่สุดแล้ว ฉะ..ฉะ ฉัน.. ฉันดีใจ ดีใจนะที่มีเธอเป็นพี่สาว ขะ.. ขะ.. ขอโทษด้วยนะที่ฉันทำให้เธอเสียใจและก็... ขอบคุณที่ดูแลฉันมาตลอด ขอบคุณนะ"
       สิ้นเสียงกระหืดกระหอบอันละล่ำละลักที่บรรจงถ่ายทอดออกมา ต้องจบลงด้วยคำว่า"ขอบคุณนะ"ก่อนเจ้าของเสียงสิ้นชีพลง แขนทั้งสองข้างของเอมิลี่ที่โอบกอดพี่สาวอยู่นั้นได้ตกลงไป ใบหน้าแนบชิดกันก็พลัดกันไป แต่อกอุ่นของทั้งสองยังแนบชิดสนิทกันและแขนที่เนียนนุ่มของแฟมิเลียก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยร่างนั้นลงไป เพราะเธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของเอมิลี่ที่นิ่งเงียบ... 
ื        ท่ามกลางสงครามการรบราฆ่าฟันกันอลหม่านดาลเดือด กลับมีจุดเล็กๆ จุดหนึ่งแสดงความหมายที่แท้จริงออกมาเหนือการแพ้ชนะหรืออื่นใดของสงคราม นั่นคือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไป ไม่เพียงแค่เอมิลี่แต่ทหารผู้กล้าอีกเรือนหมื่นต้องจบชีวิตลงไปเพื่อทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องที่สุดและสมควรจะทำมัน
 
     "ทุกการตายย่อมมีน้ำตา ทุกการเสียสละย่อมมีคุณค่าและยิ่งใหญ่เสมอ"
 
      หลังลมหายใจสุดท้ายของเอมิลี่หมดลงไป แฟมิเลียได้กอดน้องสาวไว้ในอ้อมอกแน่นกว่าเดิม นัยน์ตาแดงก่ำราวกับเส้นเลือดฝอยในตาแตกจากการร้องไห้ ห้วงความคิดไม่สามารถยอมรับการตายนี้ได้พลางบ่นงึมงำกล่าวโทษพระแม่เอวาที่ไม่รักษาชีวิตน้องสาวตน
        แฟมิเลียในตอนนี้ เธอเริ่มคุ้มคลั่ง เธอเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าที่สลัวพร้อมกับแหกปากกรีดร้องด้วยเสียงอันสุดสะพรึงราวกับว่ามันคือเสียงที่แผดออกขึ้นมาจากนรกขุมที่ลึกที่สุด มันคือเสียงที่แผดยาวจนใครหลายคนเริ่มหวั่นเกรง แม้แต่พวกอัศวินไร้ใจก็ยังมิอาจจะย่างกรายเข้าใกล้ รวมทั้งคุณหมอซายูริและผบ.เลอวิสยังร้อนๆหนาวๆไปตามกัน
 
         ไม่ช้าลมเสียงก็จบลง พร้อมกับน้ำตาหยดสุดท้าย ความผิดปกติทางร่างกายของแฟมิเลียเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้น จากนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีอำพัน สีผมโทนเดียวกับนัยน์ตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา มัดกล้ามเริ่มกระชับขึ้นกว่าเก่า สีผิวที่ขาวก็เริ่มขาวขึ้นเรื่อยๆเริ่มกลายเป็นสีซีด ไม่นานเท่าใดหลังจากความผิดปกติเข้าควบคุมร่างกาย เธอได้วางร่างอันไร้ลมหายใจของน้องสาวลงอย่างประคบประหงมและลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับดาบคู่ใจ
 
        ภายใต้แสงสลัวในสายลมที่พัดโชย กระทบเส้นผมสีเทาจนปลิวไสว พร้อมกับผ้าคลุมหลังโบกสะบัดไปมาตามแรงลม และดาบคู่ใจชี้ปลายลงพื้นอาบไปด้วยความแค้นคุของแฟมิเลีย มันช่างเป็นภาพที่น่าพึงสังวรยิ่งนักสำหรับศัตรู
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา