The Last Night

9.2

เขียนโดย pyclub70

วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.

  40 ตอน
  16 วิจารณ์
  37.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) 09-ออกโรง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

09-ออกโรง

 

         ทางด้านผบ.ซิกม่าเริ่มฟื้นตัวพอมีแรงยันตัวเองขึ้นจากพื้นได้ จึงรีบวิ่งไปหาเอมิลี่หวังจะขอบอกขอบใจที่ช่วยชีวิต แต่มันสายเกินไป เขาเห็นเพียงแค่ร่างอันไร้ลมหายใจ กับคุณหมอซายูริที่ยังคงร้องไห้ตาแดงด่ำล้มล้งกับร่างเอมิลี่ และผบ.เลอวิสที่ควงดาบฟาดฟันศัตรูอยู่บริเวณนั้น แล้วก็ใครอีกคนในสายตาของผบ.ซิกม่า ซึ่งเขาคิดว่าคนๆนั้นจะต้องเป็นแฟมิเลียแน่นอน ที่กำลังยืนจ้องมองอะไรบางอย่างเขม็งเกลียว

        เมื่อสถานการณ์เป็นไปอย่างที่คิด ผบ.ซิกม่ากำลังเดินเข้าไปกล่าวขอโทษกับแฟมิเลียเรื่องน้องสาว ต้องหยุดชะงักด้วยนัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างพองโตของแฟมิเลียซึ่งหันขวับมาจ้องผบ.ซิกม่าแทน แต่นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้ความกล้าของเขาถดถอยลง เขาก้าวต่อไปอีกสองสามก้าวแล้วเอ่ยขึ้นต่อหน้าแฟมิเลีย

 

"เอ่อ.. คือฉันขอโทษด้วยนะเรื่องเอมิลี่ ฉันเสียใจอย่างสุดซึ้ง.."ผบ.ซิกม่ากล่าวทอดเสียง ด้วยความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นต้นเหตุทั้งหมด จากใบหน้าเคยสุขุมกลับกลายเป็นใบหน้าเศร้าแต่ยังคงความดุดัน

 

"ฉันจะให้พวกมันชดใช้!!"หลังเปลี่ยนสีหน้าด้วยอารมณ์แค้น ผบ.ซิกม่าเอ่ยออกด้วยเสียงเย็นเยือกพลางหันหน้าจ้องมองศัตรู โดยเฉพาะอสูรกระทิงแบร์ริกตัวอัปรีย์นั่น

 

"................."แฟมิเลียไม่ตอบกลับแต่อย่างใด เพียงแต่หันไปจ้องมองสิ่งๆเดียวกันกับผบ.ซิกม่า

 

         สัญชาตญาณการล่าเนื้อทางสายเลือดเข้าควบคุมสมองแฟมิเลียอย่างฉับไวหลังผบ.ซิกม่าพูดในสิ่งที่ต้องการแล้ว เธอเริ่มออกตัววิ่งไล่ตามอสูรกระทิงแบร์ริกตัวอัปรีย์นั่นราวกับหมาป่าโหยกระหาย การแก้แค้นปะทุขึ้นในใจเธอ อยากจะฉีกมันให้เป็นชิ้นๆแล้วเอาเลือดของมันมาสังเวยเอมิลี่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะนำแฟมิเลียอยู่หลายต่อหลายก้าวเลยทีเดียว และยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายของมันคือฝ่าเข้าไปในเมืองป้อม เห็นได้จากลู่ที่มันวิ่งเป็นทางตรงพอดีกับทางเข้าประตูเมือง พวกมันทั้งสองต่างวิ่งตามกันไป แต่ก็อยู่ในระยะที่ไกลกันพอสมควร ซึ่งตัวที่วิ่งตามหลังตัวแรกคือเป้าหมายของแฟมิเลีย

        ขณะตัวแรกวิ่งฉิวจวนเจียนใกล้ชนกับบาเรียวอเตร่า ทหารฝ่ายเมืองป้อมเกิดการชะล่าใจ ไม่คิดว่ามันจะฝ่าเข้าไปได้ ด้วยความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของมหาคริสตัลวอเตร่า แต่ทว่า.. สิ่งที่ทุกคิดมันผิดถนัด สิ่งที่จะได้ยินและเห็นต่อจากนี้ต่างหากคือความจริง!!

 

"ตรึ้ม!!!"

หลังวิ่งฝ่าเหล่านักรบทั้งหลายและบาเรียวอเตร่ามาได้อย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความเร็วของฝีเท้าและความแข็งแกร่งของงวงเขากับร่างกายอันกำยำของมัน สามารถพังทลายซุ้มประตูที่เล็กกว่าตัวมันให้แตกกระจุยกระจายกลายเป็นเศษอิฐเศษปูนในบัดดล รวมทั้งหอสังเกตุการณ์และป้อมพลปืนที่อยู่เหนือซุ้มประตูขึ้นไปก็ทลายลงมาเช่นกัน

        เหตุนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับทหารฝ่ายเมืองป้อมเป็นอย่างมาก จนใครหลายต้องอุทานออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน "ไม่จริงน่ะ"

        ไม่ช้าตัวที่สองก็วิ่งตามมาอย่างเร็ว ไม่ว่าใครที่เห็นมันวิ่งมาทางตัวเองต่างรีบกระโดดหลบกันจ้าละหวั่นเปิดทางโล่งให้แก่มัน บางส่วนโชคร้ายหลบไม่ทันต้องดับอนาถไปตามๆกัน บาเรียวอเตร่าอยู่ข้างหน้ามันรอมร่อ แต่มันอาจไม่โชคดีเหมือนตัวแรก เพราะใครสองคนที่วิ่งไล่หลังตามไปได้ขนาบเท้าหลังทั้งสองข้างอย่างติดๆ

 

         การวิ่งดั่งหมาล่าเนื้อของแฟมิเลีย การวิ่งดั่งราชสีห์ไล่ตะปบเหยื่อของผบ.ซิกม่าและการวิ่งหนีคล้ายหมูหลุดอวย อสูรกระทิงแบร์ริกเป็นฝ่ายถูกล่า ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้ากันอย่างหืดจับไม่ลดละความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว

        จนกระทั่งถึงระยะโจมตี แฟมิเลียเริ่มเปิดฉากก่อนโดยการเขวี้ยงดาบปักเข้าที่น่องขวาของมันก่อนกระโดดโหนไปจับด้ามดาบ และควงตัวเหินขึ้นไปเหยียบบนหลังพร้อมกับกระชากดาบออกจากน่องของมัน แต่การทรงยืนตัวหรือเคลื่อนไหวบนหลังของมันเป็นไปด้วยความยากลำบาก แฟมิเลียจึงทำได้แค่นอนราบเกาะไปกับมันก่อนจะคิดวิธีสังหารมันได้

        ขณะเดียวกันทางด้านซ้ายของมัน ผบ.ซิกม่าเงื้อมือทั้งสองข้างที่จับดาบเล่มคมขึ้นมาแต่ไกล ได้วิ่งเลยขาหลังซ้ายของมันมาถึงช่วงลำตัวก่อนหันกลับมาเหวี่ยงคมดาบเข้าใส่บริเวณเข่าซ้ายของมันเข้าอย่างจัง เกิดเป็นแผลฉกรรจ์ร่องลึกยาว แต่ยังลึกไม่พอจะหยุดมันได้ เพียงแค่มันเซไถลไปทางซ้ายเล็กน้อยเท่านั้นและกลับมาวิ่งได้ดังเดิม ทำให้แฟมิเลียหวิดตกจากหลังของมัน

        ด้วยความเจ็บปวดและทรมานทำให้มันต้องเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเก่า ไม่ช้ามันก็วิ่งฝ่าบาเรียตามตัวแรกเข้าไป พร้อมกับผู้กุมชะตาชีวิตของมันที่เกาะอยู่บนหลัง ส่วนผบ.ซิกม่านั้น ไร้เรี่ยวแรงจะวิ่งตาม ทำได้เพียงยืนเหนื่อยมองไล่หลังมันอย่างเสียดายและฝากความหวังไว้ที่แฟมิเลีย

         ท่ามกลางความมึนงงของทหารฝ่ายเมืองป้อมหลังอสูรกระทิงแบร์ริกตัวแรกวิ่งฝ่าทะลุผ่านบาเรียวอเตร่าเข้าไปนั้น มีเพียงทหารบางส่วนและหน่วยของผบ.อับโซรอนที่ควบม้าไล่ล่ามัน

        ทหารตรวจการณ์ที่อยู่ข้างในตามจุดต่างๆได้สกัดมันอย่างสุดกำลัง แต่มิอาจต้านทานพลังอันหนักหน่วงของมันได้ หลายนายต้องถูกบดขยี้แหลกไปกับพื้น เละไปกับผนังอาคารและดูเหมือนว่าอสูรกระทิงแบร์ริกจะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางของขบวนผู้อพยพที่เกือบใกล้เสร็จสิ้นดี

         การไล่ตามของเหล่าทหารในหน่วยของผบ.อับโซรอนเป็นไปอย่างเร่งรีบ แต่ยังไม่อาจตามมันทันได้ จนในที่สุด มันก็ไล่ตามมาจวนจะถึงท้ายขบวนของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาย ต่อแถวรออพยพกันอยู่แน่นหนา มันลดความเร็วลงจนหยุดนิ่งและเริ่มมองหาใครสักคน

         ในตอนนี้ ความผิดปกติได้เกิดขึ้นกับมัน ขนสีฟ้าแซมขาวกลับกลายเป็นสีดำสนิททั้งหมด ดวงตาสีมืดกลับกลายเป็นสีแดงฉาน มันตบเท้าหลังข้างหนึ่งลงกับพื้นจนฝุ่นตลบ คล้ายเป็นสัญญาณว่ากำลังจะออกตัวพุ่งชนหลังเห็นเป้าหมาย ไม่นานมันก็เริ่มสาวเท้าอย่างช้าๆไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น ประชาชนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเงยหน้ามองมันด้วยขาที่สั่นเทา เปรียบได้ดั่งว่าพวกเขาอยู่แค่ริมปากนรกก็ไม่ผิดเพี้ยน พวกเขาอยู่ใกล้กับมันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่มีกลิ่นมรณะส่งเข้ามากระทบยังโสตประสาท

        การก้าวเท้าอย่างใจเย็นและขนาดร่างกายมหึมา บดบังแสงสลัวให้มืดมิดและสะท้อนเงาลงมาดั่งเงามัจจุราชได้สะกดทุกคนไว้ในงวงเขาเพชรฆาต ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะส่งเสียงโวยวายหรือร้องขอชีวิตกับมัน ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับกายหรือก้าวเท้าวิ่ง ชะตากรรมอันหดหู่นี้ไม่มีใครเลี่ยงได้

        มันก้าวเข้ามาเรื่อยๆ.. และแล้วงวงเขาเพชรฆาตได้ตวัดใครคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชายร่างท้วมขึ้นฟ้าและเมื่อเหยื่อตกลงมามันก็ซ้ำด้วยการใช้เขาพุ่งอัดบดขยี้กับผนังกำแพงเละไปทั้งร่าง จนทำให้ผนังกำแพงอาคารบริเวณนั้น เกิดเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่โดยที่เหยื่อยังไม่มีโอกาสจะได้ส่งเสียงร้องทรมาน

        แถวหน้าของขบวนเริ่มแตกตื่นโวยวายร้องลั่นพลางวิ่งหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น แต่ทว่าสถานการณ์จากด้านหน้าจะนำพาซึ่งความหายนะมาแก่ด้านหลัง

        อสูรกระทิงแบร์ริกวิ่งออกกรุยทางโดยเขาที่ตวัดไปเรื่อยพุ่งเข้าหาเป้าหมายโดยเร็ว ซึ่งเป้าหมายของมันน่าจะเป็นเด็กหนุ่มผมบรอนด์ทองนัยน์ตาสีเทาเข้ม ยืนเหลอหลาจ้องมองมันอย่างไม่รู้ชะตากรรม

 

"ตึ้งๆๆๆๆ"

เสียงระห่ำเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มทุกขณะ โดยมีเหยื่อหลายรายคล้ายดั่งปราการมนุษย์ชะลอความเร็วของมันก่อนมาถึงเขา พร้อมด้วยเสียงโอดครวญของเหยื่อดังระงมขมไปทั่ว

 

"ตึ้งๆๆๆๆ"

มันเริ่มเร่งความเร็วขึ้นหลังเป้าหมายห่างกันไม่ถึงสิบวา เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่คิดหนีเลยแม้แต่น้อย เขาได้แต่ยืนมองมันอย่างตกตะลึงเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องตาย ความแปลกใจปนความกลัวทำให้เขาขาแข็งทื่อ ไม่มีการตอบสนองจากร่างกายใดๆทั้งสิ้น

          ห่างกันไม่ถึงวาอสูรกระทิงแบร์ริกจะปลิดชีพเขา...

         งวงเขาเพชรฆาตอสูรกระทิงแบร์ริกพุ่งใส่ร่างเขาเข้าอย่างจัง เด็กหนุ่มผมบรอนด์ทองกระเด็นไปไกลนอนจุกทุรนทุรายแทบกระอักเลือดอย่างสลด แต่.. เขายังโชคดีมากที่มีแค่ส่วนหัว เฉพาะแค่ส่วนหัวเท่านั้น!!ที่กระเด็นหลุดพุ่งเข้าชน ส่วนลำตัวของมันนั้นล้มลงไปก่อนหน้านี้แล้ว หากมีส่วนลำตัวช่วยส่งแรงถาโถมในการพุ่งชนด้วยแล้วล่ะก็.. เด็กหนุ่มผมบรอนด์ทองคงไม่มีโอกาสได้มานอนจุกเป็นแน่!! 

         ร่างของอสูรกระทิงแบร์ริกถูกตัดขาดออกจากกันด้วยพลังงานบางอย่าง ส่วนหัวช่วงคอและลำตัวนั้น ถูกตัดเพียงแค่ฉับเดียวในตอนที่มันห่างกับเด็กหนุ่มไม่ถึงวา

 

"โทษทีนะ ฉันน่าจะเห็นนายได้เร็วกว่านี้น่ะ"เสียงเจ้าของพลังลึกลับ อยู่ในท่าสองมือล้วงกระเป๋าก่อนสะบัดผมตามมาดเทพเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มที่นอนทุรนทุราย หลังถีบประตูโรงแรมออกมาทันเวลาพอดี.. มั้ง

 

"..............."

เด็กหนุ่มผมบรอนด์ทองไม่ตอบอะไรกลับ เนื่องจากจุกจนพูดไม่ออกพลางปรายตาไปทางคนๆนั้นที่ยืนเก๊กหล่ออยู่หน้าโรงแรม

 

"ยังเฉียบขาดเหมือนเดิมเลยนะคาสึยะ"เสียงของชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนกล่าวชื่นชมอย่างยิ้มแย้มพลางตบไหล่คาสึยะเบาๆ

 

"ยังไงๆก็งี่เง่าเหมือนเดิมแหละน่าา"สาวน้อยเจ้าของเรือนผมสีเขียวร่างอ้อนแอ้น ขยับปากเล็กเรียวบ่นด้วยหน้าง้ำงอไม่พอใจกับใช้สายตาเมินคาสึยะอย่างสุดๆ

 

"เอาล่ะๆ ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้วเตรียมตัวลุยกันล่ะนะ"ชายหนุ่มประกาศกร้าวหลังรับรู้ว่าสถานการณ์ในเมืองป้อมเป็นเช่นไร

 

"ไปกันเถอะธาราเทพ ฉันเบื่อท่าขี้เก๊กของหมอนั่นเต็มทนละ"

"อ่า.. ไปสิ! พวกนายพร้อมนะ! เอมิโกะ! จิม! มินตรา! คาสึยะ! เราจะไปลุยที่แนวหน้ากัน"เสียงของชายชื่อธาราเทพดังขึ้น เพื่อเรียกความฮึกเฮิมให้แก่เพื่อนๆและเมื่อสิ้นเสียง ทุกคนเร่งรีบออกเดินเรียงหน้ากระดานออกไปยังแนวหน้าทันที

 

        การเปิดตัวอย่างประทับใจ ได้สร้างความแปลกใจให้กับผู้ที่อยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ยังงงๆว่าคาสึยะเป็นใครมาจากไหน แต่ก็มีบางคนถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เมื่อนึกได้ว่านั่นคือวายร้ายแห่งเมืองหลวงตัวอันตรายสุดเกรียน

          หลังความแปลกใจหมดลงไปทุกคนก็กล่าวคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งทันที เหล่าประชาชนอุ่นใจขึ้นเยอะ ทำให้ขบวนอพยพสงบลงเป็นปกติ การอพยพจึงดำเนินต่อไป

         แต่มันยังไม่จบแค่นี้หลังอสูรกระทิงแบร์ริกตัวแรกถูกสังหาร อสูรกระทิงแบร์ริกตัวที่สองก็ตามมาทันที โดยมีผบ.แฟมิเลียยังคงเกาะอยู่บนหลังของมัน ตามมาด้วยหน่วยของผบ.อับโซรอนกับทหารบางส่วนที่ตามมาปกป้องหอคอยวอเตร่า

 

"ตึ้งๆๆๆๆ"

เสียงกระหน่ำกระแทกพื้นดังเข้ามาใกล้กลุ่มคาสึยะที่กำลังเดินเรียงกันอย่างมาดเท่ ทุกคนจึงเตรียมตัวรับมือกับเจ้าของเสียงกระแทกพื้นนั่น

 

"พวกนายทั้งหมดถอยไปก่อนตรงนี้เดี๋ยวฉันเอง"เจ้าอสูรจิมกล่าวด้วยความมั่งใจพลางใช้มือไล่พวกตัวเองไปหลบอยู่มุมตึก

 

"ปั่ป!!!"

หมัดของเจ้าอสูรจิมปะทะกับหน้าผากของอสูรกระทิงแบร์ริกเข้าอย่างจัง ซึ่งใครหลายคนไม่อยากเชื่อว่าพลังของเจ้าอสูรจิมจะรุนแรง สามารถหยุดอสูรกระทิงแบร์ริกให้ชะงักจนขาหลังทั้งสองข้างของมันกระดกขึ้นก่อนตกลงสู่พื้นดังเก่าและนิ่งกึ้กในที่สุด

         แฟมิเลียที่อยู่บนหลังของมันพลันสบโอกาสเด็ดในการสังหารหลังมันถูกหมัดจนมึนงง เธอกระโดดเหินตัวขึ้น แล้วพุ่งลงมาเหวี่ยงคมดาบเข้าใส่ท้ายทอยของมันเป็นล่องลึก ตัดเส้นประสาทได้ทั้งหมดพร้อมเบี่ยงตัวเองหลบไปข้างลำคอของมัน และผ่าลงมาอีกฉับเข้าที่ข้างคอเป็นทางยาว จนมันทรุดพับขาทั้งสี่ข้างลงคุกเข่า การโจมตีอันไร้ความปราณีนี้ทำให้มันตายลงพร้อมกับความแค้นคุที่หมดลงไปของแฟมิเลีย

        แต่กระนั้น มันยังไม่สาแก่ใจเอมิโกะ เธอกระโดดสองชั้นลังกาเกลียวเข้าใส่เหนือร่างอสูรกระทิงแบร์ริก พลางใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างแผ่ลงมายังด้านหลังของมันที่อยู่เบื้องล่าง ด้วยการเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอัญเชิญ ปรากฎเป็นวงกลมขนาดใหญ่สามชั้นสีแสดสลับแดงจารด้วยอักขระมากมาย พร้อมกับแสงสีแสดสลับแดงส่องขึ้นมาจากเส้นแบ่งวงและอักขระอุบัติขึ้นที่พื้นดินบริเวณร่างของมัน จากนั้นก่อนร่างของเอมิโกะจะตกถึงพื้น กลับมีอุกกาบาตห่อหุ้มด้วยไฟนรกขนาดพอๆกับอสูรกระทิงแบร์ริก พุ่งทะลุผ่านก้อนเมฆสีครึ้มแตกออกเป็นวงกว้าง ซึ่งพุ่งลงมาจากขอบจักรวาลและฝ่าอากาศลงมา ทำให้อาณาบริเวณนั้นโดยรอบสว่างไสวก่อนทะลุบาเรียวอเตร่าลงมา ไม่ช้าอุกกาบาตก็พุ่งกระแทกใส่ร่างของอสูรกระทิงแบร์ริกอย่างจัง และ...

 

"ตรึ้มมมมมมม!!!!"

เสียงสนั่นหวั่นไหวดังไปถึงแนวหน้าและธรณีอันสั่นสะเทือนก็ลั่นไปยังส่วนปลายของขบวนอพยพ ทุกสิ่งอย่างพังพินาศตึกอาคารบางส่วนถล่มลงมาร่างของอสูรกระทิงแบร์ริกหายไป ทิ้งไว้เพียงแค่หลุมจากการพุ่งชนและไอร้อนที่ระอุปะทุอยู่ประปรายเท่านั้น พลังของเอมิโกะเป็นเหตุให้ผบ.แฟมิเลียและคนอื่นๆในกลุ่มรวมทั้งหน่วยของผบ.อับโซรอนเองก็ด้วยได้ผลกระทบจากการไม่ทันระวังตัวในการโจมตีนี้ แม้ไม่ได้โดนโดยตรง ทุกคนต่างต้องตัวปลิวไปตามๆกันเพราะแรงกระแทกและคลื่นระเบิดจากอุกกาบาต เฉกเช่นนี้ผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอัญเชิญจึงเป็นที่ร่ำลือและเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุด

        หลังม่านฝุ่นสลายไปทุกคนเริ่มลุกขึ้นและใครคนหนึ่งได้เปรยขึ้น..

 

"ไม่พ้นฝีมือพวกแกอีกจนได้ ไอ้พวกกะเรี่ยกะราดเอ้ย!!"ผบ.อับโซรอนดูหงุดหงิดขึ้นมาทันทีหลังเห็นพวกนั้นยืนเรียงกันหน้าสลอน แต่ก็แอบดีใจนิดๆด้วยสีหน้าเคร่งขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา

 

"เฮ่ๆๆ อย่ามาพูดพร่อยๆนะน้า"คาสึยะเองเช่นกัน เริ่มหงุดหงิดกับผู้ที่ยืนถือดาบหันหน้ามาทางตนราวกับจะกินเลือด ซึ่งต่างกัน รายนี้ไม่ได้แอบดีใจเลยแม้แต่น้อย

 

"จะเอาก็เข้ามาเลย คาสึยะ!!"ผบ.อับโซรอนดูเอาจริงขึ้นมาทันทีหลังไม่สบอารมณ์กับคำพูดของคาสึยะที่ไร้ความเคารพ

 

        ...สายลมเป็นพยานทั้งสองต่างเดินเข้าหากันพร้อมกับจ้องหน้ากันดุเดือด กองเชียร์ทั้งสองฝ่ายจับกลุ่มอยู่คนละฝั่ง และเริ่มลุ้นระทึกกันอย่างใจจดใจจ่อกับมวยคู่เอกวันนี้ว่าใครจะเหนือกว่ากัน  

    แต่แล้ว...

 

"เฮ้อ.. พอดีว่าฉันยังไม่อยากมีธุระกับน้าน่ะ โทษทีนะ"คาสึยะเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าสบายพลางโบกมือลา พร้อมกับเดินเมินผบ.อับโซรอนไปยังแนวหน้า

 

"หึ วายร้ายยังไงมันก็คือวายร้าย"เสียงในใจของผบ.อับโซรอนดังขึ้นกังวาล หลังเห็นพวกนั้นมุ่งไปยังแนวหน้า ช่างเป็นที่น่าเสียดายสำหรับกองเชียร์เหลือเกิน ที่ต้องพลาดมวยคู่เอกวันนี้

  

    อสูรกระทิงแบร์ริกถูกกำจัดหมดแล้วประชาชนที่อพยพก็หายห่วงกับภัยตรายทั้งปวง ในเมืองจึงเรียบร้อยและสะดวกขึ้น

 

"พวกนั้นเป็นใครกันนะ แล้ว.. เมื้อกี้ทำไมอสูรกระทิงจึงจ้องหน้าเรานักหนา"เด็กหนุ่มผมบรอนด์ทองผู้นั้นรำพึงออกมากับความมึนงงทั้งหลายและไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเผชิญ

 

         ...และแล้วพวกวายร้ายแห่งเมืองหลวงของจักรวรรดิครูฟก็ปรากฏตัวในแนวหน้า

 

~กลุ่มคาสึยะ~

        คนกลางเดินนำหน้ามานั้นมีนามว่า"คาสึยะ ไอจิซาวะ"เจ้าของเรือนผมสีดำประกายทองยาวป่ะบ่าข้างหน้าเสยขึ้นเป๋ไปทางซ้าย รูปหน้าได้สัดส่วนคิ้วเข้มนัยน์ตาคมสีดำสนิทฉายแววพิโรธ สวมเสื้อเชิร์ตสีขาวแขนยาวผูกเน็คไทสีแดงสด รับกับสร้อยเงินห้อยจี้สัญลักษณ์เทพแห่งความตายระยิบระยับเมื่อต้องแสงสลัว และกางเกงสีเจ็บปวดกระแทกตาใจชวนให้ถูกบาทานั่นคือกางเกงขายาวสีแสดออกแดง มาพร้อมกับเสื้อคลุมยาวสีสดไม่แพ้สีกางเกงแต่ออกเข้มกว่าห้อยพาดบ่าซ้ายตามสไตล์ กับใบหน้าอันดูเชิดทะนงซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่พร้อมจะจมตีนและกระชากใจสาวๆได้ทุกเมื่อ นี่จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะดูหล่อและชวนให้ปวดใจกับการแต่งตัวของเขามากๆ

         ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายมือของเขานั้นมีนามว่า"เอมิโกะ"สาวน้อยร่างอ้อนแอ้นเพียวบางที่มาพร้อมกับเรือนผมสีเขียวทรงปัดข้าง หลังไว้ยาว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกับใบหน้าชวนฝัน ด้วยชุดอันสะเทือนอารมณ์มินิสเกิร์ตสีเข้มดำเผยขาขาว รับกับบูทยาวถึงเข่าสีเข้มดำเช่นกัน พร้อมกับเสื้อเอวรอยสีดำเผยร่องสะดือดึงดูดใจหนุ่มๆและร่องอกนิดๆ กับเอวอันภู่ระหงสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำเปิดไหล่ชวนสยิว เอมิโกะช่างเป็นที่แตกตื่นเหลือเกินสำหรับทหารฝ่ายเมืองป้อม

         และคนซ้ายสุดถัดจากเอมิโกะมีนามว่า"เจ้าอสูรจิม"แห่งนีแอนเดอร์ทัล ด้วยท่าเดินที่เหมือนไม่กลัวอะไร พร้อมใช้นิ้วมือข้างซ้ายแคะขี้มูกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมต้องแคะบ่อยจัง มีร่างกายอันกำยำ มีความสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปเล็กน้อยและมีเขาทั้งสองข้างงอกออกมาไม่ยาวมากวัดได้ไม่ถึงคืบอยู่ด้านข้างเหนือใบหูขึ้นมา ใส่ชุดลำลองสบายๆไว้ผมรองทรงสีดำออกเทา นัยน์ตาสีแดงคล้ำส่อประกายระอุ ภาพนี้ช่างเป็นที่สสดหดหู่แก่ศัตรูยิ่งนัก

         ทางด้านขวาถัดจากคาสึยะมีนามว่า"ธาราเทพ"จอมอันตรายสายโหด ผู้ที่เคยผ่านถนนนักสู้ในเมืองหลวงมหานครครูฟาริลเตในเพียงครั้งเดียว ด้วยใบหน้าหล่อลากดินอันประดับไปด้วยผมรองทรงสั้นไว้ตั้งสีดำขลับเป็นมัน นัยน์ตาสีดำสนิทไร้มลทินตามแบบฉบับชาวเอนิรอยด์กับเสื้อดำแขนสั้นที่สวมทับ ด้วยเสื้อคลุมดำยาวพับแขนไว้ครึ่งหนึ่งเปิดข้อศอก และกางเกงห้าส่วนเลยเข่าเกือบถึงตะตุ่มอวดรองเท้าคัทชูสีดำเงาวับ ในมือขวาถือดาบอาราชิแห่งเซ็นซุย แม้จะได้ชื่อว่าจอมอันตราย แท้จริงแล้วนั่นก็เป็นเพียงสมญาจากพวกที่อยู่ในถนนสายนักสู้ตั้งให้ อุปนิสัยนั้นผิดกับคาสึยะเป็นอย่างมากธาราเทพมักมองโลกในแง่ดีเสมอ มีใบหน้าดูยิ้มแย้มตลอดเวลา เป็นมิตรรักพ้องเพื่อนและเอาจะจริงขึ้นมาทันทีหากใครก็ตามทำให้เพื่อนของตนเจ็บ 

        และคนสุดท้ายถัดจากธาราเทพมีนามว่า"มินตรา"สาวน้อยผู้เงียบขรึมผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอธิฐานกับทรงผมหน้าม้าปกเปลือกขอบตาสีดำวาว พร้อมด้วยนัยน์ตาสีดำสนิทคล้ายกับธาราเทพ การแต่งตัวนั้นก็ดูเรียบง่ายจนเชยไม่หวือหวา แม้จะดูเรียบง่ายและเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ความโหดนั้นไม่แพ้ธาราเทพหรือคาสึยะเลยแม้แต่น้อย

 

          ทั้งห้าเจิดจรัสราวกับแสงสุดท้ายแห่งความหวัง ซึ่งแม้แต่ผบ.ซิกม่ายังอดไม่ได้จะชื่นชมอยู่ในใจ แต่ส่วนใหญ่หัวหน้าหน่วยและทหารหลายๆนาย รวมทั้งผบ.บางคนยังดูแคลนพวกนั้น ด้วยสายตาอันดูหมิ่นว่าไม่ใช่ทหารแต่ยังสะเออะมาร่วมรบในแนวหน้า แต่จะทำไงได้สถานการณ์ตอนนี้ถูกกดดันเป็นอย่างหนัก ทหารฝ่ายเมืองป้อมจึงมีทางเลือกไม่มากนัก ต้องจำยอมให้พวกนี้เข้าร่วมต่อสู้ด้วยแม้จะมีสายตาคัดค้านอยู่ก็เถอะ

 

"ออกมาแล้ว หวังว่าคงจะไม่เป็นตัวถ่วงนะ"ผบ.ซิกม่าปาดเหงื่อจากความเหน็ดเหนื่อยหลังสังหารศัตรูไปมาก พร้อมฝากความหวังไว้กับพวกนั้นเล็กๆ

 

"เฮ่อ.. ดูเหมือนว่าพวกทหารจะไม่ชอบพวกเราเท่าไรเลยนะ"ธาราเทพเอ่ยออกมาอย่างยิ้มแย้มหลังปรายตาไปที่เหล่าทหารและเหล่าศัตรูที่อยู่ข้างหน้า

 

"ก็แหงล่ะสิ พวกเราแย่งซีนซะขนาดนี้"เอมิโกะเอ่ยเหมือนจะรู้ดีกว่าใคร

 

"เราจะไปทางกาบซ้ายแล้วกระจายกันสู้ ขืนสู้ด้วยกันมีหวังจะต้องบาดเจ็บจากการโจมตีแน่ๆ"ธาราเทพเริ่มวางแผนทันทีหลังเห็นศัตรูที่ยังโหมกระหน่ำมาเรื่อยๆ

 

"อ่า.. ตามนั้นนะ!!"คาสึยะรับคำธาราเทพอย่างรวดเร็ว

 

"ลุย!!!"เจ้าอสูรจิมเปร่งออกมาอย่างเหี้ยมหาญ

 

         เมื่อแผนการที่ถูกวางไว้ของธาราเทพเผยออก ทุกคนในกลุ่มจึงมุ่งหน้าประจัญบานกับศัตรูโดยเร็ว ซึ่งกระจายกันสู้

 

         เริ่มด้วยที่เจ้าอสูรจิมวิ่งไปประจันหน้ากับศัตรูก่อนใครเพื่อน โดยการใช้หมัดอันทรงพลังกระหน่ำทำลายล้างข้าศึกจนล้มคว่ำล้มหงายไปตามๆกัน หนึ่งต่อสิบเป็นเรื่องที่สบายมากสำหรับเจ้าอสูรจิม

        ทางด้านเอมิโกะก็ไม่น้อยหน้า เธอใช้วิชากระโดดสองชั้น สร้างความหวือหวาวี้ดวิ้วให้แก่ทหารฝ่ายเมืองป้อมได้เป็นอย่างมาก เอมิโกะกระโดดผาดโผนโลดขึ้นไปในอากาศเหนือพวกอัศวินหลายสิบวาพร้อมกับแผ่ฝ่ามือลงไปหาศัตรู ก่อนจะตกลงพื้นเธอใช้มนตราเพลิงอัคคี โดยการเผาทั้งเป็นจากไฟที่ลุกขึ้นจากธรณีเป็นวงกว้างอันถูกกำกับด้วยอักขระโบราณล้อมออกเป็นวงกลมห้าชั้นกินรัศมีหลายสิบวา จนพวกมันล้มหายกลายเป็นผง

        เห็นอย่างนี้ใช่ว่ามินตราจะยอมปราณีพวกอัศวิน ด้วยความที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอธิฐาน เธอเริ่มรวบมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวโดยไคว้กัน ฉับพลันปรากฎเป็นแสงสีเขียววงใหญ่เก้าชั้นรายล้อมด้วยอักขระโบราณในแต่ละวงอยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะเธอหลายสิบวา พร้อมกับควันจางๆสีมรกตพุ่งขึ้นจากพื้นดินเป็นวนเกลียวรายล้อมตัวเธอคล้ายดั่งบาเรีย ไม่นานนักแสงสีเขียวอันค้ำฟ้าก็แสดงอิทธิฤทธิ์จากการฟาดฟันของแสงอัสนีบาตแปลบปลาบไปทั่วรัศมีลงมายังพวกอัศวินในบริเวณนั้น จนพวกมันไหม้เกรียมกลายเป็นเถ้าถ่านในบัดดล

        ส่วนทางธาราเทพที่ง่วนอยู่กับการใช้ดาบอาราชิหวดศัตรูอยู่นั้น เขาได้แสดงพลังของนักดาบออกมาด้วยการตวัดดาบไปมา เพียงแค่นี้ข้าศึกก็ขาดเป็นสองท่อน ซึ่งสามารถลดจำนวนพวกมันลงไปได้อย่างรวดเร็วหลายเท่ากว่าทหารฝ่ายเมืองป้อมยิ่งนัก

        เมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่ตั้งหน้าตั้งตาสู้แล้ว แต่คาสึยะกับนิ่งเฉย ขณะยืนดูพรรคพวกของตัวเองห้ำหั่นศัตรูอยู่นั้น เขากลับผิวปากออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยทำนองร่าเริ่งอย่างสนุกสนานอารมณ์ดี แต่ไม่วายที่พวกอัศวินจะมุ่งมาทางเขาอย่างถาโถมหลั่งไหลมาเป็นสาย ถึงกระนั้น เขาก็ยังผิวปากเรื่อยไปไม่มีทีท่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย คาสึยะแสยะยิ้มปีศาจออกมาหลังเห็นอัศวินตนแรกง้างดาบเข้าผ่า หวังให้ร่างตนขาดเป็นสองท่อนและตามมาด้วยตนอื่นๆซึ่งหมายจะเข้าสังหารตน   แต่ทว่า... พวกอัศวินไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้น ทันทีที่มันฉับดาบลงมาก่อนถึงร่างคาสึยะ.. ร่างของมันพลันขาดเป็นสองส่วนและตนอื่นๆที่คิดจะสังหารคาสึยะก็ขาดเป็นสองส่วนหรือมากกว่านั้นด้วยเช่นกัน ด้วยการตัดเพียงแค่ชั่วพริบตา ในมือคาสึยะไร้ซึ่งอาวุธใดๆจะทำให้พวกมันขาดกระจุยได้ เรื่องนี้เองสามารถสร้างความแปลกใจให้กับทหารฝ่ายเมืองป้อมได้เป็นอย่างมาก

 

"ปีศาจชัดๆ!!!"ทหารนายหนึ่งเห็นเหตุการณ์จำต้องเปร่งอุทานออกมาอย่างดังลั่น

 

        สถานการณ์เริ่มพลิกผันหลังกลุ่มคาสึยะเข้าร่วมรบ ทหารฝ่ายเมืองป้อมกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง

         จนกระทั่ง เหลือศัตรูไม่ถึงเพียงร้อยนาย ทั้งหมดต่างเริ่มฮึกเฮิมโรมรันฟันตูข้าศึกกันกระจาย ในที่สุดฝ่ายเมืองป้อมก็ได้รับชนะอันหอมหวาน พร้อมกับเสียงโห่ร้องดังลั่นจากทหารที่เริ่มฉลองชัยด้วยการโยนโยนหมวกเกราะ แม้แต่ผบ.ซิกม่าที่มีสีหน้าเคล่งขรึมตลอดเวลาก็ยังอดไม่ได้ที่จะขยับยิ้มเล็กๆ จนเห็นฟันขาว พร้อมชูนิ้วโป้งไปทางเหล่าทหารที่ร่วมรบอย่างดีใจ โดยไม่อาศัยกำลังจากเมืองหลวง

 

          ภายใต้แสงสลัวอันไร้ดวงตะวัน ความเหน็บหนาวจับขั้วหัวใจและม่านหมอกที่หยดลงมาจากก้อนเมฆสีครื้ม สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยังคงอยู่ต่อไป ทหารฝ่ายเมืองปราการเซลสิอุสหารู้ไม่ว่านี่เป็นเพียงแค่ยกแรกเท่านั้น ยกสองซึ่งนำพามาด้วยความโหดร้ายแสนจะบรรยาย จะเริ่มขึ้นอีกไม่นานหลังแสงสลัวเริ่มหายไปจนเข้าสู้ความมืดมิด.....

 

         ..คืนแห่งความมืดได้โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและกลืนกินดวงอาทิตย์..

 

      

         

 

       

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา