The Last Night
9.2
เขียนโดย pyclub70
วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.
40 ตอน
16 วิจารณ์
36.94K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
36) 032-พลัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ032-พลัง
ระบำดาบโซเดียค์และเรียวดาบคาตานะดุจสายแล่บด้ามดำแววจากหนึ่งในกลุ่มผู้ซ่อนกายในเงามืด ทั้งสองได้แสดงถึงวิถีแห่งดาบอย่างชัดเจน
จักรพรรดินีพุ่งกายเข้าโรมรันด้วยดาบสายหนัก ส่วนผู้ใช้ดาบคาตานะเข้าเฉือนด้วยดาบสายเร็ว ทั้งนั้น..ทั้งสองยังสามารถหลบการโจมตีของอสูรบารานอสได้ราวกับกระดาษลู่ลมแม้เท้าจะไม่เหยียบพื้นก็ตามที ทั้งยังสามารถเคลื่อนที่ด้วยการสร้างภาพลวงตาในบางจังหวะ
หากเทียบกันแล้ว เนเน๊ะมีเพียงแค่สองมือเปล่า เธอกัดฟัน กุมหมัดมวยเข้าร่วมสู้กับดาบสองเล่มอย่างไม่แยแสหวังพนันเป็นเอาตายอย่างไรไม่สน แม้จะโจมตีได้ไม่มากและไม่เกิดผลอันใด ทว่า..สาวน้อยกลับพลิกแพลงหาจังหวะได้เปรียบให้ทั้งสองได้เข้าฟาดฟันอย่างเน้นๆ
ภาพเบื้องบนสำหรับโอราฟแล้ว ถือว่ามหัศจรรย์มากเลยทีเดียวที่ได้เห็นการต่อสู้เหนือความคาดหมาย แต่ก็เป็นกังวลไม่น้อยเมื่อเห็นเทพอสูรจิววีลีซาร์ปรากฏกายร่างใหญ่ตระหง่านในท่ายืนตรง ทั่วร่างสวมเกราะสีเงินวาวเหลื่อมทอง สายตามืดหม่นจ้องตรงไปอย่างเย็นชา สองมือกุมด้ามดาบให้ปลายปักลงพื้นใกล้กับบริเวณแท่นปริศนา
ทันใด!! เพียล่าโบกมือเป็นสัญญาณถอยให้กลุ่มกิเรเร่เร่งกระจายออกห่างร่างเทพอสูร
"ให้ตายเถอะ!!"โอราฟอุทาน"คงตายกันทั้งหมดนี่ล่ะนะ!!"
"ใจเย็นก่อนลุง"วิคเตอร์ส่งเสียงโหวกเหวกพลางแตะไหล่บุรุษชุดดำ"เรายังมีไพ่ตายไม่ใช่รึไง"
"อย่างคุณน่ะ ยังจะกลัวอะไรอีกหรือ"ชาร์ลสำทับใส่โอราฟหน้าตาเฉย
บุรุษชุดดำยิ้มส่ายหน้า"ฉันน่ะ กลัวพวกนายจะตายมากกว่าน่ะสิ ฮ่าๆ"จากนั้นจึงเล็งปืนไปยังเทพอสูรที่เริ่มขยับมือเงื้อดาบขึ้น
"ย่ะ อย่านะ"เพียล่าร้องเตือนการกระทำของบุรุษชุดดำ"ถ้าทำแบบนั้น มีหวังพวกเราได้ซวยแน่!!"
"พวกนายกลัวตายรึไง"โอราฟเอียงคอหันมาว่าและนิ้วชี้พลันเหนี่ยวไก
"ปุ้งงงง!!!"
"เคล้งงง!!!"
กระสุนลูกปรายทุกคมถูกสกัดด้วยใบดาบที่ยกขึ้นปิดใบหน้าโดยมือข้างเดียว จากนั้น เทพอสูรค่อยๆหันร่างมาพร้อมกับลดดาบลงแล้วเพ่งโอราฟด้วยสายตาเยือกเย็น
ขณะโอราฟไม่ทันคิดแผน กลับต้องตัวปลิวไปกระแทกต้นเซคเบื้องหลังอย่างจัง พร้อมกันนั้นขณะยังไม่ทันตั้งท่าลุกยืน
การเคลื่อนย้ายของเทพอสูรราวกับพริบตา ได้เข้าโหมกายกระหน่ำคมดาบฟาดฟันโอราฟอย่างหฤโหดแทบจะมองตามไม่ทัน บุรุษชุดดำในท่านอนหงายปัดป้องด้วยไซฟ่อนในมือข้างเดียว โอราฟปัดไปปัดมาต้านทานสุดฤทธิ์กับคมดาบซึ่งรับได้ทุกจังหวะ
จนท้ายสุด.. ไซฟ่อนก็เป็นฝ่ายกระเด็นหลุดมือไปอย่างอ่อนแรงล้า สายตาบุรุษชุดดำพลันมองตามไปแต่หารู้ไม่ว่าในจังหวะนั้น.. เทพอสูรได้เงื้อสองมือกุมดาบขึ้นสูงและทะยานปลายแหลมหมายทะลวงร่าง..
เพียงห่างกันเพียงคืบ!! ระหว่างปลายดาบของเทพอสูรกับร่างโอราฟ คลื่มคมดาบจากเบื้องบนถูกฟาดลงมา พุ่งกระแทกร่างเทพอสูรให้เสียหลักและวืดไป
ปลายดาบทิ่มแทงลานไม้แทนร่างบุรุษชุดดำให้รอดตายอย่างหวุดหวิด เขานั้นพลันม้วนตัวไปคว้าปืนคู่ใจแล้วหันไปยิงอีกครั้ง
เทพอสูรชูใบดาบป้องกายได้ดังเดิมแต่สายตากลับจ้องหาผู้ลักลอบส่งคลื่นคมดาบและก็เจอจนได้ ผู้ที่ส่งมานั้นเป็นจักรพรรดินีนั่นเอง โอราฟจนด้วยวิถีจึงหลีกหลบเข้ามุมมืดเพื่อตั้งหลักพลางพูดขอบใจต่อจักรพรรดินี
ไม่รอช้าหากเทพอสูรย่อขาแล้วยันออก ส่งร่างตัวเองไปยังกลางวงบนฟากฟ้า
คมดาบมหึมาถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วแสง แต่!! ถูกสกัดด้วยคมดาบคาตานะจนเกิดคลื่นระเบิด ทั้งอสูรบารานอส เนเน๊ะและจักพรรดินีต้องปลิวถอยไปก่อนกลับเข้าสู่การรบดังเดิม สำหรับเนเน๊ะแล้วเธอสู้ด้วยความมุมานะแต่จักรพรรดินีกลับสู้ด้วยความหวาดหวั่น ส่วนเจ้าของดาบคาตานะสู้ด้วยวิถีแห่งเซ็นซุยกับเทพอสูร
การต่อสู้เบื้องบนถูกแยกออกเป็นสองวง แต่เบื้องล่างหาได้น้อยหน้าเมื่อกลุ่มคนจำนวนมากได้ปรากฏตัวพร้อมกันอย่างบังเอิญ จนกลุ่มกิเรเร่ไม่อยากเชื่อว่าที่โอราฟเคยบอกไว้จะเป็นจริง
ผู้มาใหม่นั้นไม่ธรรมดาหากสร้างปรากฏการณ์แสงแห่งมนตราทุกสายโดยพลันอย่างน่าตื่นตา ถึงกับกล่าวได้ว่านี่คือ..มหกรรมแห่งแสงสีก็ไม่ผิดเพี้ยนและหมายเข้าโรมรันอสูรบารานอส
เป็นไปตามคาด สรรพวุธจากมนตราทั้งหลายเข้าถาถล่มอสูรบารานอสจนมันเพลี่ยงพล้ำถึงเจียนตาย ตอนนี้เอง เป็นเหตุให้สาวเสียงแรกด่วนผนึกอสูรหลังวงแสงสีใสฉายขึ้นรอบกาย ก่อนพุ่งไปยังอสูรบารานอสที่ลอยคว้างอยู่บนฟากฟ้าตามลำดับพิธีกรรมในสายอัญเชิญ
"สำเร็จ!!!"สาวเสียงแรกว่าพลางรับผลึกอสูรบารานอส จากนั้นคงไม่ต้องถามหากเธอจะรีบเผ่นไปกับเพื่อน
ในตอนนี้ ท้องฟ้าที่มืดหม่นและบรรยากาศพิศวงได้คลายลง เข้าสู่สภาพการณ์ปกติในยามพระอาทิตย์ย่างเที่ยงและฟ้าครึ้มเมฆ
สถานการณ์ของฝ่ายผู้ผจญภัยเริ่มเป็นต่อหลังอสูรบารานอสสูญสิ้นกลายเป็นอสูรอัญเชิญของสาวเสียงแรก ระหว่างนี้ มีเพียงเทพอสูรเท่านั้นที่ทุกคนจะต้องต่อกร จักรพรรดินีและเนเน๊ะจึงเปลี่ยนเป้าหันมาช่วยผู้ถือดาบคาตานะ ส่วนผู้มาใหม่เร่งร่ายมนตราเข้าโจมตีต่อเนื่องกันอย่างบ้าระห่ำโดยไร้เสียงปรึกษากัน
อานุภาพแห่งมนตราแสดงฉายราวกับนิมิตแห่งภวังค์ เข้ากระหน่ำยังเทพอสูรจนนับจำนวนครั้งการโจมตีไม่ถ้วน ทว่า.. หลายคนต้องเจ็บช้ำไปตามๆกันเมื่อโอลิเวียร์ใช้ความสามารถในศาสตร์แห่งมนตราสายสร้างนิมิต สร้างหลุดดำกลางฟ้าสีหม่นกลืนกินมนตราทั้งหลาย แต่ก็มีบางส่วนเล็ดรอดไปได้
"อ่ะ!! อ่ะ!! เอ๋...!!"ใครบางคนอุทานขึ้นอย่างตะลึงเฮือก"ไม่ยักกะรู้แฮะว่าที่นี่จะมี1ใน7อัครองครักษ์แห่งลามิเรสอยู่ด้วย!!!"
"เทพแห่งสายสร้างนิมิตสินะ"เสียงชายหนุ่มกลุ่มอื่นว่าตามมา"ถ้างั้น..ฉันหวังว่านี่คงไม่ใช่ฉนวนสงครามล่ะนะ ฮ่าๆ"
"พวกนายมาจากไหน"โอลิเวียร์ตอกกลับ
"จากไหนก็ได้.."ใครคนแรกตอบ
"จากที่ไหนหรือจะใครอีกล่ะ.. ก็พวกดารกะน่ะสิ"เสียงสาวอีกฟากตอบแทน ยิ้มแบร่ๆไปทางกลุ่มดารกะ
"ถ้างั้นก็รู้ไว้ซะ!!ว่านี่น่ะ..ของจริง!!"หนึ่งในกลุ่มดารกะได้ทีจึงว่าพลางย่อตัวลง ใช้ฝ่ามือตบลานไม้ให้เกิดคลื่นแหนมเข้ารุกรานผู้ที่กล่าวถึงกลุ่มตนเอง"พวกเธอคงจะเป็นกลุ่มนักล่าอสูรเอเชี่ยนไรท์น่ะสินะ อย่าหาว่าฉันไม่ปราณีก็แล้วกัน!!!"
บนลานไม้เกิดการสู้กันเองไปโดยปริยายอย่างชุลมุน
หากจำแนกผู้มาใหม่แล้วมีจำนวนทั้งหมด6กลุ่มและมาจาก6ทิศของลานไม้ที่มีทั้งหมด8ทิศ แต่ละกลุ่มมีเจตนาเป็นของตน ฉะนั้นการเข่นฆ่าราวเกลียดชิงจึงไม่แปลกอะไรแต่ทั้งหมดยังไม่อาจหยั่งถึงได้ว่า มีใครบนฟ้าสุดขอบเมฆกำลังห้ำหั่นกับเทพอสูรอย่างเอาเป็นเอาตายและเดิมพันด้วยชีวิตของพ้องเพื่อน
ใจกลางเขตกูกูเข้าสู่ความวิกฤติหนักหน่วงราวกับสงครามชิงดินแดน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มกิเรเร่ที่เข้าร่วมรบอย่างไม่จงใจหลังถูกลูกหลง
แต่ทว่า..ขณะสู้กันยังไม่รู้ผลนั้น ทุกคนกลับต้องตะลึงและหยุดชะงักแหงนมองฟ้า เมื่อดาบโซเดียค์และดาบคาตานะประสานกันรวมเป็นคลื่นพลังยิ่งใหญ่มหาศาล เข้าปะกับคมดาบของเทพอสูรที่รับการโจมตีแบบต้านสุดแรงฤทธิ์ แสงแห่งพลังของทั้งสองฝ่ายดันกันอย่างหวุดหวิดสูสี
...ท้ายสุดแล้ว เทพอสูรซึ่งเป็น1ใน7เทพพาราดินอันศักดิ์สิทธิ์แห่งลามิเรสยังคงแข็งแกร่ง ดันคลื่นพลังที่ต้านกันนั้น ซัดให้จักรพรรดินีและเจ้าของดาบคาตานะกระเด็นไกลเข้าพุ่มต้นเซคหายลงลิบ เนเน๊ะเห็นเช่นนั้นจึงเหลียวตาตามก่อนพุ่งเข้าหาเทพอสูร พร้อมปล่อยหมัดน้อยๆราวกับลูกกระสุนและการหลบหลีกได้ราวกับใบไผ่ลู่ลม
ด้วยขนาดที่เทียบกันไม่ติด ฝ่ายได้เปรียบจึงเกิดขึ้นกับสาวน้อยในช่วงแรก แม้เทพอสูรจะเหวี่ยงดาบได้เร็วเพียงใดก็ไม่อาจต้องกายเนเน๊ะได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ ซ้ำยังโดนจ้วงด้วยหมัดต่อเนื่อง
"ใครคนนั้น"บางคนพูดขึ้นอย่างตกตะลึงขณะมองฟ้า"นั่น..คือใคร"
"ก็...ไม่รู้สินะ"ฝ่ายอริตอบอย่างกวน
"เธอชื่อเนเน..."ชาร์ลหวังให้คำตอบ แต่ต้องถูกมือของเพียล่ากระชากปากและดึงร่าง"อื้อๆๆๆ..อื้อ"
"อยู่เฉยๆเถอะน่าชาร์ล"สาวนักรบกระซิบ หนุ่มมาดผู้ดีผงกหัวหงึกเข้าใจได้โดยเร็ว
"ห้ะ..ชื่ออะไรนะ"ใครคนเดิมตะหงิดๆว่าพลางหันมา"ฉันฟังไม่ถนัดน่ะ"
"ป่ะ เปล่า ช่างเถอะ"เพียล่าบอกปัดก่อนชี้มือให้ทุกคนมองบนฟ้า"สำคัญเลย ตรงนั้นน่ะ"
โดยเฉพาะกลุ่มกิเรเร่แล้ว ต่างเริ่มรู้สึกผิดหวัง อึ้งงันกับภาพการเป็นฝ่ายเสียเปรียบของเนเน๊ะ หลังเทพอสูรพลิกแพลงกระบวนท่าและกำลังนำสาวน้อยเข้าสู่ความตาย
ด้วยชั้นเชิงของเทพอสูรที่มิอาจมีมนุษย์ผู้ใดเทียบถึง เนเน๊ะถูกฟันสะพายแล่งด้วยแรงมหาศาลอย่างจัง ร่างบางพลันผล็อยลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว บาดแผลฉีกยาวปล่อยเลือดแดงฉานให้หลุดลอยกลางอากาศ
...ท้ายที่สุดเธอก็จมเข้าสู่ห้วงนิทรา
...ห้วงนั้นเอง
"เนเน๊ะๆๆๆ"เสียงเด็กหนุ่มเอ่ยเรียกเบาๆอย่างก้องกังวาน ทว่าสาวน้อยยังหลับตาพริ้ม..
"ตื่นสิเนเน๊ะ!! เธอจะตายไม่ได้นะ!! เนเน๊ะตื่นสิ!!"เสียงเด็กหนุ่มเร่าร้อง
สาวน้อยค่อยๆขยับเปลือกตาขึ้นอย่างช้าและหรี่ตา แลเห็นภาพเลือนลางของคาลาเนสลอยล่องหัวทิ่มลงพื้นไปด้วยกัน
"อ่ะ อื้อ.. คาลาเน.."เนเน๊ะปล่อยคำพูดอย่างเลื่อนลอย พยายามยกแขนเขยื่อยฝ่ามือออกไปหมายสัมผัสไหล่เด็กหนุ่ม
"เนเน๊ะ.. ฉันเชื่อในตัวเธอนะ"คาลเนสพูดพลางยื่นฝ่ามือไปปะกบกันกับฝ่ามือสาวน้อย"ช่วยรับพลังจากฉันไปทีนะ"
ขณะนั้น สาวน้อยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เปลือกตาค่อยๆปิดปรือและพร่ำเบาๆว่า"คาลาเนส"
ในภวังค์นี้..มีแต่เธอและคาลาเนสเท่านั้นอยู่ในใจกลางแสงสีชมพูใสและขาวพุ่งลงเป็นเกลียวลงเบื้องล่าง หลังฝ่ามือปะกบกันแล้ว สายตาสาวน้อยแลชัดว่าคาลาเนสมีดวงตาเป็นประกาย จากนั้น.. ฝ่ามือที่เนเน๊ะได้ประกบสัมผัสกันกลับแปรเปลี่ยนเป็นบางอย่าง อันส่งไออุ่นเมื่อร่างคาลาเนสค่อยๆสลายไปเป็นละอองแสงจากมือในมือจรดปลายเท้า
จนเมื่อตั้งสติได้ สาวน้อยรับรู้ได้ว่าไออุ่นที่ได้สัมผัมนั้นคือ..ด้ามดาบยาวสีดำอันมีรูปสลักเป็นเทพีสาวสยายผมยังกระบังดาบ ใบดาบหนาตึกมีขนาดความยาวกว่า2 วา คมดาบฉายแสงสีฟ้าใสเจิดจรัสดั่งแววตาเนเน๊ะที่เปลี่ยนไปเป็นเปลวระอุโดยไม่รู้ตัว
ภาพของคาลาเนสสลายไปในหัว ขณะเดียวกันเธอก็หยั่งเท้าถึงพื้นได้พอดีพร้อมกับดาบปาฏิหารณ์อย่างสุขุม ใครหลายคนต้องแปลกใจด้วยบาดแผลที่สมานตัวกันอย่างรวดเร็วและดาบในมือบางนั้นกับขนาดร่างกายสาวน้อยซึ่งมันเป็นอะไรที่ขัดกันมาก เว้นแต่เพียล่ากับโอราฟที่กระตุกมุมปากยิ้มในฐานะผู้รู้คำทำนายเพราะแน่ใจว่าหากสาวน้อยผู้นี้ ผู้บิดเบือนชะตากรรมมนุษยชาติเอาจริงแล้วจะมีความหมายเช่นไร
หายนะ!! หายนะคือคำตอบในใจของทั้งสอง ซึ่งเป็นไปตามหวังหลังเนเน๊ะตั้งท่าได้ก็พุ่งตัวสู่เบื้องบน
ขณะนั้น..เจ้าของดาบคาตานะและเจ้าของดาบโซเดียค์ได้ทะยานกายเข้าต่อกรกับเทพอสูร
การฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำเลือดขึ้นหน้าเริ่มขึ้นอีกครั้ง เนเน๊ะเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อนตามมาด้วยดาบอีกสองเล่ม ทว่า..เทพอสูรสามารถรับมือได้อย่างสบาย เช่นนั้นแล้ว..เนเน๊ะจึงเปรยเบาๆหลังทั้งหมดถอยออกมาตั้งหลัก
"ออกไปซะ.. ..ถ้าไม่อยากตาย"เธอว่าอย่างเย็นชา เหล่ตามองทั้งสองขณะยกดาบป้องกายรับคมดาบเทพอสูร แล้วตวัดไปด้านหลังหลังเทพอสูรฉวยโอกาส
ซึ่งนั่นเองและด้วยทิฐิ ทั้งสองหาได้ฟังที่เนเน๊ะเตือนหากพุ่งกายอ้อมผ่านเธอไปแล้วเข้าต่อกรกับเทพอสูร โดยไม่สนใจสาวน้อยที่แสยะยิ้มก่อนพูดเบาๆ"ฉันเตือนแล้วนะ"
จากนั้น.. เนเน๊ะได้หรี่ตาลงเพื่อจับความเคลื่อนไหวพลางเฟ้นหาช่องโหว่ของทั้งสอง เมื่อพบแล้วจึงแทรกกายเข้าสกัดด้วยดาบเล่มยักษ์ โดยรายแรกนั้นคือจักรพรรดินีถูกตบด้วยใบดาบจนร่างถลาลงพื้นอย่างไม่ทันรับรู้ ส่วนผู้ใช้ดาบคาตานะก็เช่นกันที่รับดาบของสาวน้อยอย่างทันทีและต้านไม่ไหวจึงผล็อยร่วงไปอีกทาง เมื่อเป็นที่หมายแล้วสาวน้อยเร่งเข้าปะทะกับเทพอสูร เกิดเป็นการต่อสู้ด้วยสายตามนุษย์มิอาจจะมองทัน
การเคลื่อนไหวของเนเน๊ะเร็วจนสามารถสร้างภาพลวงตาได้เป็นร่างโปร่งแสงนับสิบเกือบร้อย รายล้อมเทพอสูรเพื่อหลอกล่อก่อนชิงจังหวะเข้าโจมตี
เทพอสูรจำต้องวืดแล้ววืดเล่าในการฟันด้วยดาบไร้เงา ส่วนเนเน๊ะเอง ก็ยังไม่มีโอกาสโจมตีได้เพราะเทพอสูรเคลื่อนไหวร่างกายได้เร็วราวกับพริบตา..
การต่อสู้ดูเหมือนสูสี ทว่า ฝ่ายเทพอสูรกลับต้องพลาดพลั้งเมื่อเนเน๊ะใช้กลลวงด้วยการเคลื่อนที่ความเร็วสูงอีกระดับ สร้างร่างจำแลงหลายร่างนับร้อยให้หลอกเข้าโจมตีทุกทิศทาง ซึ่งเทพอสูรเองไม่อาจเอะใจเดาได้ว่าร่างไหนคือร่างจริง แต่หลังจากดาบด้ามดำที่มีใบคมและยาว ปาดสีข้างเลยขึ้นถึงสะพายแล่งเทพอสูรจึงรู้ว่านั่นคือเนเน๊ะตัวจริง จากนั้น สาวน้อยด่วนแทงปลายดาบเข้าเสียบยังกลางอกร่างเทพอสูรให้ถลำไปครึ่งใบดาบ ก่อนเหวี่ยงลงเบื้องล่างอย่างรุนแรง
"ตรึ้มมมมมมม!!!!"
ร่างเทพอสูรหงายเก๋งหมดรูปไปกับพื้นแล้วจึงตามมาด้วย การทะยานร่างลงมาของเนเน๊ะที่ในมือทั้งสองจับด้ามดาบดำทิ่มปลายคมลงเร็วรี่
อันเป็นจุดตัดสินว่า..เวทีนี้.. "ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นคือผู้ชนะ"
แต่บัดนั้น ก่อนเทพอสูรจะถูกสังหารกลับเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นเมื่อมีแสงสีขาวปรากฏขึ้นเป็นหกทิศพลันปรากฏร่างเป็นเทพพาลาดินอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก ยืนล้อมร่างเทพอสูรที่หมดท่าพร้อมชูปลายดาบขึ้นฟ้า สร้างม่านพลังอย่างทันท่วงทีเพื่อเข้าต้านพลังอันทรงแสนยานุภาพแห่งดาบของบุตรแห่งเพทราที่กำลังฉายแววตาสีฟ้าระอุดุจเปลวเพลิง เนื่องด้วยแรงปะทะ อากาศบริเวณนั้นเกิดการเผาไหม้และเกิดคลื่นสั่นสะเทือนคล้ายโลกจะแตก ผู้กล้าทั้งหลายต่างปลิดปลิวติดขอบไปตามๆกัน
ในตอนนี้ ระหว่างเทพพาลาดินอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกกับเนเน๊ะผู้เป็นบุตรแห่งเพทรากำลังต้านพลังกันอย่างดุเดือดโดยมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน หากแพ้ นั่นอาจหมายถึงความตาย!! แต่บางอย่างไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเมื่อมีเด็กชายคนหนึ่งโผล่มาจากมุมอับของพื้นที่ แล้ววิ่งตรงมายังใจกลางของวงล้อมในหกเทพพาลาดิน ใบหน้าของเขาดูละอ่อน ทรงผมสั้นสีบรอนด์ทอง ห่มผ้าคลุมสีเทาที่ชายสะบัดจากแรงลมและร่างกายของเขารายล้อมด้วยสายฟ้าสีไพลินแปล่บๆ
"คาลาเนสสส!!!"ชาร์ลอุทาน"น่ะ.. นายตายไปแล้วไม่ใช่รึไง นี่มันความฝันชัดๆ"
"เฮ่ยยย!! ไอ้เปี๊ยก"โอ'เกนท์โบกมือ"นายมาทำอะไรที่นี่"
ทั้งหมดนี้ ถึงกับทำให้กลุ่มกิเรเร่แตกตื่นกันได้เลยทีเดียว เพราะภาพสุดท้ายที่เห็นคาลาเนสนั้นคือเขาได้จมหายไปกับความพินาศของถ้ำพิศวงไปแล้ว
เด็กชายชื่อคาลาเนสไม่ตอบชายร่างท้วมแต่อย่างใดหากหันไปยิ้มให้อย่างที่เคยทำ ก่อนผายมือทั้งสองข้างขึ้นด้านบนไปทางเนเน๊ะและหลับตาลง ทันใดนั้น มวลเมฆเบื้องบนเบื้องหลังเนเน๊ะแตกกระจายเป็นวงพลันทอแสงแห่งปราฏิหารย์ในแสงโทนขาวปนทอง ฉายลงยังเบื้องหลังร่างบุตรแห่งเพทราที่กำลังต้านพลังกับเหล่าหกเทพพาลาดินอันศักดิ์สิทธิ์
พริบตานั้น..ยังจุดเกิดเหตุ เกิดเป็นแสงสีขาวสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ระเบิด ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดคือผู้ชนะเพราะทั้งเจ็ดเทพพาลาดินและเนเน๊ะได้หายไปหลังแสงซาลงพร้อมกับเด็กชายปริศนาของใครอื่นนอกเหนือกลุ่มกิเรเร่
ณ บรรยากาศเบื้องบน มวลเมฆทมึนทึมได้เปลี่ยนสีและมีแสงอาทิตย์ส่องแสงยามเย็นอันอบอุ่น สภาวะการณ์เข้าสู่ปกติตามปฏิทินของเขตกูกู ทุกคนทั้งหมดจึงหันหน้ามองกันอย่างมึนงงและตะลึงสุดขีด พลอยตั้งคำถามด้วยสายตาพลางมองฟ้ามองรอบๆด้วยความอุบัติเหตุมหัศจรรย์ของพลังนั้น
"จ่ะ จบแล้วหรอ"เสียงสาวใสนิรนามเอ่ยลอยๆ"จบแล้ว ใช่ ไหม"
"น่า จะ ใช่"ชาร์ลตอบเบาๆ
"พลังอะไรกัน ทำไมถึงรุนแรงแบบนั้นนะ"สาวในกลุ่มดารกะว่า
แม้แต่ผู้เจนโลกอย่างโอราฟก็ยังอึ้งงัยกับเหตุการณ์นี้ เพราะมันไม่ใช่แค่แสงธรรมดาหากเป็นแสงเคออสแห่งพระแม่เอวาในตำนาน เป็นแสงที่ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือผู้ใช้ศาสตร์แห่งมนตราสายอัญเชิญคนใดหรือแม้แต่จอมศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างดารุสจะกระทำได้ โอราฟได้แต่กลืนน้ำลายและไม่อยากคาดว่าเด็กชายผู้นั้นจะเป็นผู้อัญเชิญแสงศักดิ์สิทธิ์ เขาส่ายหัวรัวๆพร้อมกัดริมฝีล่างปากอย่างจงใจ
"เขาคือใคร คนนั้น คนที่อัญเชิญแสงเคออสแห่งพระแม่เอวา"เสียงสาวอันแสนมุ้งมิ้งอีกฟากตะโกนมา
"ไม่รู้.. ถ้าอยากได้คำตอบ ทำไมเธอไม่ถามเขาเองล่ะ"เสียงชายอีกฟากร้องกลับอย่างยียวน
"จะอะไรก็ช่างเถอะ พวกเราควรออกจากที่นี่กันได้แล้วนะ"โอราฟใช้เสียงกดต่ำตัดบท ทุกคนพลอยเห็นด้วยและปรึกษากันโดยกลุ่มใครกลุ่มมัน
ครู่ต่อมา หลังชาร์ลใช้พินิจเพ่งแท่นหินแล้วก็ได้แย้งขึ้นอย่างดังลั่น"เฮ่.. ทุกคนฉันมั่นใจว่าแท่นหินที่ใจกลางต้องเป็นเกทวาร์ป ถ้ายังไงพวกเรามาลองดูกันก่อนดีไหม มันก็ยังดีกว่าหากจะหาทางออกโดยใครโดยมัน"
ซึ่งได้ผล เหล่าผู้กล้าทั้งหลายต่างเห็นชอบจึงพากันเดินมายังใจกลาง เข้าล้อมแท่นหินเอาไว้อย่างแน่นหนาก่อนมีเสียงตีความจอแจจากหลายความคิดดังขึ้น
ช่วงนี้เอง เพียล่ายังหยุดอยู่ที่เดิมเพราะได้ยินเสียงกระซิบจากคาลาเนสพูดทางด้านหลังว่า"พาเนเน๊ะกลับบ้านด้วยนะ" หลังยินชัด สาวนักรบหว่านตามองรอบๆเพื่อหาต้นเสียง แต่คงยากเพราะร่างของคาลาเนสกลายเป็นสิ่งโปร่งแสงไปแล้วซึ่งยากเกินกว่าจะเห็นด้วยตาเนื้อ จากนั้นเธอก็เปรยเบาๆไปว่า"ฉันสัญญาว่าจะพาเนเน๊ะกลับบ้าน" จู่ๆร่างของเนเน๊ะก็ปรากฏขึ้นยังเบื้องหลังในท่านอนตะแคงขดตัว
พอดีกันกับที่เพียล่าเปรยเสร็จพลันวิ่งเข้าไปโอบอุ้มร่างสาวน้อย หลากหลายเสียงจอแจก็สรุปกันออกมาได้แล้วหลังตีความอย่างมั่นใจจากหลายความคิดเห็นที่ตรงกัน จากนั้น ชาร์ลก็ร้องดังขึ้น"ใช่แล้วล่ะ ทั้งหมดนี่คือปริศนารานูนานุ เพราะงั้นหากเราเอ่ยคำปริศนาย้อนหลังมันก็น่าจะช่วยส่งเราไปยังอีกที่นึงได้ล่ะนะ"
"แล้วเราจะมั่นใจได้ไง ว่าที่ที่จะถูกส่งไปนั้นคือทางออก"สาวเสียงมุ้งมิ้งคนเดิมกล่าว ทุกคนพลอยฉงนใจและสำทับกันใหญ่
"อะไรก็ช่างเถอะ ถ้าไม่เสี่ยงก็ไม่รู้ ถ้าเราจะมางมหาทางออกกันแบบนี้ล่ะก็ ชาตินี้คงไม่ได้กลับบ้านแน่"สาวผู้ผนึกอสูรบารานอสตัดบท
"นั่นสิ เสี่ยงเถอะ"ชายหนุ่มหนึ่งในกลุ่มดารกะสำทับ
ขณะนั้นเอง 1ใน7อัครองครักษ์วาดมือเป็นวงเพื่อสร้างวงวาร์ป ทุกคนเหลียวตามพลางร้องขอให้พวกเราออกไปด้วย ซึ่งช้าเกินไป เมื่อจักรพรรดินีหิ้วร่างกาลูรัสแล้วย่างเหยียบหายไปในวงแสงโดยไม่สนใจใคร แล้วตามมาด้วยโอลิเวียร์ได้หายลับตามๆกันในวงวาร์ปโดยไร้ใยดี สุดท้ายวงแสงก็สลายพริบไปกับความเงียบและเซ็ง
"เฮ่อ..ให้ตายเซ่..!! เห็นแก่ตัวชะมัด"สาวเสียงพรุ้งพริ้งอีกคนบ่น
"เอาน่ะๆ เรายังมีเทเลพอร์ตอยู่ไม่ใช่หรอ"เสียงหนุ่มร่างบึ้กพูดพลางชี้นิ้วจิ้มลงในสิ่งที่พูดถึง
"เกทวาร์ปต่างหากล่ะ"เพื่อนสาวของเขาเถียง
"ถ้างั้น..ลองเสี่ยงหน่อยเป็นไง"โอราฟพูดเชิงท้าทาย สายตาหว่านมองทุกคน
จากนั้น เพียล่าจึงเดินมาหลังได้ยินทุกคนพูดกำกวงดูยังลังเล"ดี!! ฉันเดิมพันว่าเราจะได้กลับบ้าน"แล้วจึงสบมองใบหน้าชาร์ลผู้เป็นผู้จุดความหวัง
"ฉันเห็นด้วย"
"ฉันเห็นด้วย"
"ฉันก็เห็นด้วย"
และเสียงหลายเสียงก็บอกแบบเดียวกันนี้ พลังความหวังจึงลุกโชนขึ้นซึ่งทำให้ชาร์ลมั่นใจมากขึ้นด้วย
ขณะเสียงสาวมุ้งมิ้งและสาวเสียงพรุ้งพริ้งกำลังจะเอ่ย กลังต้องชะงักกึกก่อนส่งเสียงอู้อี้ในลำคอเมื่อสาวผู้ผนึกอสูรบารานอส ยกมือเอื้อมปิดปากทั้งสองไว้แล้วตอบแทนทุกคน"เอาเลยพ่อรูปหล่อ ร่ายมันเลย คำย้อนหลังน่ะ"เธอว่าอย่างร่าเริง
เพียงแค่นั้นชาร์ลก็ทำท่าตั้งสมาธิและหลับตาลงพลางยื่นฝ่ามือเหนือแท่นหิน สายลมพัดโชยมาวูบหนึ่ง คำบริกรรมคาถาก็เริ่มขึ้นอย่างงึมงำและเชื่องช้า หนุ่มมาดผู้ดีราวกับถูกสะกดด้วยบางอย่าง
จนเกือบเสร็จสิ้นคำบริกรรม แสงสีเหลืองนวลแสดทองก็บังเกิดยังเบื้องล่างใต้เท้าเหล่าผู้กล้าล้อมเป็นวงกินบริเวณกว้าง ทุกคนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและแปลกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อแสงจากวงนั้นทอขึ้นยังฟ้า ส่งผลให้เหล่าผู้กล้าขยับเท้าเข้ามาชิดกันจนเบียดเสียดในวงแคบ
พริบตา!! วงแสงได้สว่างจ้าขึ้นจนไม่อาจมีใครเดาได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ต่อมา..ความกังวลถูกคลายลงเมื่อทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายมายังที่แห่งหนึ่ง
ที่ๆมีเหล่าบรรดาชนเผ่ากูจิ๊ยืนล้อมรอบจำนวนมาก พร้อมด้วยเสียงปรบมือและโห่ร้องราวกับพวกเขาคือฮีโร่ พลันนั้นชาร์ลสังเกตุเห็นเจ้านายหัวฟักทองยืนกลางวงอันมีลูกน้องหัวฟักทองล้อมกรอบดั่งตอนแรกอยู่ลิบตา ในช่วงนี้เนเน๊ะเริ่มฟื้นตัวค่อยๆเปิดเปลือกขึ้น
"ที่นี่ ที่ไหน"สาวเสียงมุ้งมิ้งตะลึงงัน ส่ายหัวไปรอบๆ
"ไม่รู้สิ แต่ขอนับจำนวนก่อนนะว่ามากันครบไหม"เสียงชายหนุ่มของกลุ่มดารกะว่าแล้วก็ชี้นนิ้วนับทุกคน"1 2 3 4 5 6 7.. 10 11.. 26 27.. 34.. 35.. สามมม.. สิบ เก้า เอ๋..!!! หายไปห้า!!"
"5คนนั้นคือกลุ่มไหน"สาวในกลุ่มดารกะถาม
"ก็คงจะเป็นพวกในเงามืดล่ะนะที่บังเอิญมาเจอกับกลุ่มของฉันน่ะ พวกนั้นไม่ยอมพูดจาอะไรเลย ขนาดฉันถามแล้วถามอีกก็เงียบฉี่"สาวผู้ผนึกอสูรบารานอสตอบอย่างอารมณ์เสีย"เอ่อ.. ก็หนึ่งนั้น คือผู้ใช้ดาบคาตานะที่เข้าต่อกรกับเทพอสูรไง ฉันเห็บแว่บๆก็รู้ว่าเขาหล่อมากแถมยังมองฉันในสายตาชวนจูบอีกในตอนแรกทีเจอกานนน"ว่าแล้วเธอก็เขินแก้มแดงบิดตัวไปมา
"หราาา!!!"กลุ่มดารกะทั้ง8คนลั่นพร้อมกัน
"พวกนั้นใช่กลุ่มคาสึยะไหม"ชาร์ลสงสัย
"โหววว.. คนดังอย่างพวกเขาจะมาทำอะไรที่นี่"สาวผู้ผนึกอสูรบารานอสสวนทันควัน"อื่มมม.. แต่จะว่าไปแล้ว กลุ่มนั้นมี5คนแล้วยังสวมชุดดำทั้งหมดอีก แล้วดาบคาตานะเล่มนั้นมันก็ดูคล้ายๆกับดาบอาราชิแห่งเซ็นซุยนะหรือฉันตาฝาดไปก็ไม่รู้สิเพราะตอนนั้นมันมืดมาก แต่ถ้าใช่! ก็คงแปลกมากทั้งๆที่ข่าววงในของรุ่นพี่ธาราเทพบอกมาว่าพวกเขาออกเรือไปยังสหพันธรัฐเออาร์-ติกะแล้ว......" จากนั้นเธอก็ฉอดๆๆๆๆๆจนน่ารำคาญก่อนถูกตัดบท
"..ที่แท้ก็บ้าผู้ชาย"สาวเสียงมุ้งมิ้งว่าพลางสะบัดหน้าเชอะ
"ยัยนี่!!! เดี๋ยวแม่ก็เป่าให้ซะดีมั้ง!!"สาวผู้ผนึกอสูรว่าพลางยกมือหมายจะตบ แต่ต้องหยุดลงและพลอยให้สายตาทุกคนจ้องมองเจ้านายหัวฟักทองหลังเดินมาเผชิญหน้ากับทั้งหมด แล้วจึงออกเสียงเป็นภาษาถิ่นประโยคสั้นๆ
ทว่า..ภาษาถิ่นทำให้ทุกคนงงงวยไปกันจนน่าสงสาร แต่แล้วผู้ช่ำชองป่าก็พรวดแทรกกายมาด้านหน้าก่อนหันร่างเอียงหน้ามาแปลให้ฟัง"ค่ะ.. ค่ะ คือเขาบอกว่า ข่ะ ข่ะ ขอบ ขอบ คุ.. คุ คุง มะ มะ โลย" ฟังดูแล้วมันตะกุกตะกักมากโอ'เกนท์จึงเปร่งเสียง"เฮ่ย..!! นายจะตื่นเต้นทำไม!!"
วูดตันสะดุ้งเฮือก หยุดไปชั่วครู่แล้วว่าต่อ"คือพวกเขาขอบคุณมากๆเลยที่พวกเราช่วยปลดพันธนาการจากปริศนารานูนานุ และเพื่อเป็นการตอบแทน คืนนี้พวกเขาก็เลยต้องการเลี้ยงฉลองให้พวกเราน่ะ" แปลจบก็ยิ้มแหย แฮ่ๆ แล้วเจ้านายหัวฟักทองก็ได้เดินถอยห่างออกมาก่อนขวักมือหย็อยๆเป็นสัญญาณ
ไม่มีใครตั้งคำถามสงสัยหากดีใจกันเนื้อเต้นหน้าบาน จากนั้น ได้มีเผ่ากูจิ๊หัวลองกองเดินมาพูดคุยกับวูดตันอยู่นานสองนาน ทว่า..ไม่มีใครเบื่อทั้งยังใจจดใจจ่อรอการแปลของวูดตัน
"เอ่อคืออย่างงี้นะ หมอนี่จะพาพวกเราไปยังที่พักก่อน แล้วเมื่อเวลาพลบค่ำเขาจะมาตามเราให้ไปยังลานจัดงานพร้อมโต๊ะอาหารในมื้อเย็น"วูดตันแปลด้วยใบหน้าแย้มเยิ้ม ดวงตาเหล่เหลือกล่อกแล่กพร้อมคิดในใจ'ฮ่าๆๆ อิ่มแป้แน่มื้อนี้'
ทุกคนเห็นท่าทางพิลึกของวูดตันแล้วก็ไม่มีใครอยากสนใจจึงเมินไป จากนั้น..เจ้าหัวลองกอง4ตนเดินเข้ามาพร้อมผายมือเชื้อเชิญให้เหล่าผู้กล้าทุกกลุ่มเดินตามไปยังที่พักที่จัดไว้ให้
ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มกิเรเร่ที่เหนื่อยล้า เพียล่าที่มีเนเน๊ะขี่หลังมาด้วยก็พลอยแย้มชื่นหน้าบานกับความสุขที่กำลังจะได้พาเนเน๊ะกลับบ้าน ระหว่างทาง ทุกคนในกลุ่มได้เข้ามาถามสาวน้อยด้วยความห่วงใย แต่สาวน้อยอิดโรยเกินกว่าจะตอบคำถามใดๆจึงมีเพียงแค่รอยยิ้มส่งมาและคำให้กำลังใจส่งกลับมามากล้น สาวน้อยอดยิ้มไว้ไม่ไหวทุกคนพลันอุ่นใจเมื่อเห็นลักยิ้มคู่นั้น ลักยิ้มที่เธอไม่ค่อยจะแสดงออกมามากนัก
เมื่อบรรยากาศพลบค่ำมาถึง เจ้าหัวลองกองหลายตนก็มาเรียกทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานกว้างใจกลางเขตกูลู ที่นั่นมีชุดโต๊ะไม้ยาวเหยียดทั้งหมด4ตัวและเก้าอี้หลายตัวเกินจำนวนผู้กล้าทั้งหมด บนโต๊ะไม้นั้นมีอาหารคาวหวานหลากหลายให้พร้อมสวาปาม ส่วนที่ว่างด้านหน้านั้นคือลานแสดงดนตรีคลอให้กับการแสดงระบำอันมีคบไฟหลากแสงยังฉากหลังสวยงาม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ