The Last Night
9.2
เขียนโดย pyclub70
วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.31 น.
40 ตอน
16 วิจารณ์
36.93K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559 20.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
26) 023-หมู่บ้านกูจิ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ023-หมู่บ้านกูจิ
"ทางข้างหน้ามีระเบียงแยกเป็นสามทาง ฉันกับเนเน๊ะจะไปทางซ้ายเพื่ออ้อมไปรอดักมัน เธอกับโอ'เกนท์ไปข้างหน้า ไล่ต้อนมันไปเรื่อยๆ วูดตันนายแยกไปทางขวา พอถึงต้นนั้น นายก็ย่องไปอีกต้นหนึ่งและซุ้มอยู่ตรงนั้น"ชาร์ลว่าพลางชี้นิ้วไปยังต้นที่มีระเบียงสองแยกก่อนหันกลับมายังทุกคน" ส่วนวิคเตอร์กับคาลาเนสนายทั้ง2 ตรงไปต้นข้างหน้าแล้วไปทางซ้าย พอถึงต้นนั้นก็ค่อยๆย่องไปทางขวานะ เอาล่ะพร้อมนะ"ทุกคนพยักหน้ารับเป็นสัญญาณว่าพร้อม" วูดตันนายไปก่อนเลย.."มันสมองของชาร์ลวางแผนเข้าขั้นแยบยลไร้ที่ติด้วยเสียงแผ่วเบากับสีหน้าจริงจัง หลังวูดตันย่องไปไกลจวนถึงตำแหน่งซุ้ม หนุ่มมาดผู้ดีจึงเอ่ยต่อ
"บริเวณที่มันอยู่คือจุดอับมีแค่ทาง3แยกเท่านั้น วิคเตอร์ คาลาเนส นาย2คนไปกันได้ละ"ชาร์ลพูดค่อยหลังเหล่มองสิ่งว่ามันยังอยู่ที่เดิมโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ วิคเตอร์กับคาลาเนสรับทราบทันที รีบพากันย่องไปอย่างระวังไม่ให้เกิดเสียงเท้ากระทบไม้
"ทีนี้ก็เหลือฉันกับเนเน๊ะ เพียล่าและโอ'เกนท์"ชายมาดผู้ดีว่าแล้วจึงสบตาสาวนักรบ
"นี่ เพียล่าฟังนะ หลังจากฉันกับเนเน๊ะเคลื่อนที่ไปได้สักพัก เธอกับโอ'เกนท์ต้องไล่ล่ามันทันทีเลยนะ ไม่ว่ามันจะไปทางไหนก็ไล่มันไปเรื่อยๆ ยังไงๆ มันก็จนมุมเราแน่"ชาร์ลทิ้งท้ายแล้วจึงหันหน้าหาเนเน๊ะก่อนออกนำไปอย่างเงียบๆ
ในตอนนี้สายตาของเพียล่าสาดส่องไปไกลหลายบริเวณ มองทางขวาเห็นหัววูดตันผุบๆโผล่ๆ มองทางซ้ายเห็นวิคเตอร์กับคาลาเนสโผล่หน้ายื่นออกกันคนละฝั่งหลังต้นไม้โดยชูนิ้วเป็นสัญญาณพร้อม และเมื่อมองออกไปไกลพบชาร์ลกับเนเน๊ะถึงที่หมายดีแล้ว
ถึงตอนนี้ เพียล่าแลเห็นถนัดว่าหนุ่มมาดผู้ดีส่งสัญญาณให้ลงมือหลังแผนช้าไปก้าวหนึ่ง เพียล่าชูนิ้วกลับเป็นสัญญาณว่าตกลงและมองไปยังสิ่งนั้นที่ยังแอบหลังต้นไม้ โดยมีอาการล่อกแล่กชะเง้อหัวออกและชักกลับหวังสอดแนมเป็นแน่
"โอ'เกนท์นายพร้อมนะ"เพียล่าว่าพร้อมเหลือบมองชายร่างท้วม
"วะฮ่าๆๆๆ พร้อมนานแล้ว วู้ฮู้มันส์กว่าล่ากระต่ายซะอีกนะเนี่ย"โอ'เกนท์ตอบยิ้มกระหยิ่มพลางลูบปากลูบหนวดราวกับว่าจะได้กินของหวาน
ปฏิบัติการล่ากระต่ายเริ่มขึ้นทันทีหลังเพียล่ากับโอ'เกนท์พรวดลุก ซอยเท้ากระแทกลงพื้นไม้ดัง ปั้งๆๆ ไปยังต้นไม้ข้างหน้าที่มีต้นไม้ห่างไปยังอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งหวังใช้เสียงขู่ให้มันผวา
เสียงแว่วมา สิ่งนั้นสะดุ้งโหยงตกใจพลันกระโดดขึ้นเด้งดึ๋งกับพื้นระเบียง แล้วซอยขายิกออกวิ่งหนีทันที
"ตัวกะเปี๊ยกเดียวทำไมวิ่งเร็วจังหว่า"โอ'เกนท์ว่าหลังสิ่งนั้นเผยกาย ขณะเริ่มการไล่ล่าและยังตามหลังเพียล่าที่ทิ้งห่างหลายก้าว
สิ่งนั้นซอยเท้ายิกออกวิ่งไปทางขวา ที่ๆที่มีวูดตันรอดักจับ แผนของชาร์ลช่างแยบยลเหลือเกิน หมากเกมส์นี้คงไม่ยากอะไรจะรุกฆาต
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ต่างลุ้นระทึกไปตามๆกัน เห็นดังนั้น วูดตันจึงเขย่งเท้าขยับฟุตเวิร์คไปมายิ้มย่องหวังจะจับมันได้แน่ เมื่อสิ่งนั้นวิ่งจวนถึงวูดตันอย่างไม่ทันระวังตัวเพราะสายตามัวแต่เหลียวหลังมองเพียล่ากับโอ'เกนท์ วูดตันรออยู่นานด่วนกระโดดพรวดพราดอ้าแขนกางขาร้องลั่น..
"แฮ่!!!"
หวังว่ามันจะหยุดแต่โดยดี ทว่า.. สิ่งนั้นกลับไม่ตกใจหยุดชะงัก หากมันวิ่งลอดหว่างขาผู้ช่ำชองป่าไปอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยังไม่ทันมีเวลาให้วูดตันผิดหวัง เมื่อเพียล่ากับโอ'เกนท์ถามา
โคร่มมมมม!!!!
เพียล่าพริ้วไหวเบี่ยงตัวหลบวูดตันได้ แต่โอ'เกนท์กระแทกเข้ากับร่างวูดตันจังๆ ทั้งสองล้มทับกันไม่เป็นท่า สายตาทุกคู่ที่จ้องมองลุ้นอยู่นั้น ผิดหวังไปตามๆกันและแทบอยากจะด่าวูดตันในบัดดล
"โธ่!! ไอ้เบื้อกเอ้ย!!"โอ'เกนท์หงุดหงิดว่า ขณะพยายามยันกายลุกจากร่างของผู้ช่ำชองป่าที่นอนแอ้งแม๊ง แต่แล้ววูดตันก็ร้องลั่นเสียงหลง..หลังหนุ่มเครางามลุกได้และวิ่งต่อ
"โอ้ววววว เย่!!!"
เพราะเท้าอันหนักหน่วงของโอ'เกนท์เผอิญย่ำลงบนกล่องดำของวูดตัน สีหน้าผู้ช่ำชองป่าแสดงด้วยสีม่วงอมเขียวพร้อมอาการนอนทุลนทุลาย ใช้มือกุมตรงนั้นแน่น ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดสุดๆ
โชคยังดี สิ่งนั้นวิ่งไปยังทางแยกขวา เมื่อมันวิ่งไปถึงต้นไม้ใหญ่มีระเบียงเป็นสี่แยก ความลังเลจึงมาเยือน ทว่าสถานการณ์มันบังคับเพราะเพียล่าไล่ตามมาติดๆ พร้อมด้วยโอ'เกนท์ที่ล้าหลังตามมาอีกคน สิ่งนั้นไม่มีเวลาได้คิด สมองสั่งเลือกไปทางขวา ซึ่งมันหารู้ไม่ว่าตรงนั้นมีวิคเตอร์กับคาลาเนสดักซุ่มอยู่อย่างใจเย็น
สิ่งนั้นวิ่งหน้าตั้งยกกำลังสอง แถมยังผวาเหลียวหลังตลอดเวลามองผู้ไล่ตามที่เริ่มใกล้ จนกระทั่ง..
มือใหญ่ของวิคเตอร์เข้าคว้าแขนสิ่งนั้นไว้ได้และชูขึ้น เพื่อให้เห็นกันโดยทั่ว เพียล่ากับโอ'เกนท์หอบลมหายใจแฮ่กๆ ไม่ช้าทุกคนก็เคลื่อนมายังจุดที่วิคเตอร์ยืนอยู่
ครั้งมาถึง ทุกคนต่างต้องตกตะลึงกับสิ่งนั้นที่ดิ้นกระแด่วๆ ซึ่ง.. มันมีหัวเป็นลูกมะเขือเทศแดงแจ๋ ยังดีที่มีหูตาจมูกปากตรงตามตำแหน่งของมนุษย์ แต่มันก็ดูแปลกอยู่ดีเพราะอวัยวะเหล่านั้นมันไม่เหมือนกับมนุษย์เลยสักนิดซึ่งดูแล้วมันน่าขำชะมัด ร่างกายของมันสวมด้วยชุดก๊องแก๊งสีเงินเหมือนชุดเกราะทำขึ้นหยาบๆ ส่วนมือนั้นมันช่างประหลาดนักมีเพียงแค่3นิ้ว นิ้วเท้ามีแค่4นิ้ว มีผิวกายสีแดงตามหัวของมันและที่สำคัญ สิ่งนี้ไม่พูดภาษามนุษย์
เมื่อพบสิ่งประหลาด แน่นอนทุกคนต้องสนอกสนใจ นำโดยเนเน๊ะใช้นิ้วจิ้มๆหัวของมันขณะวิคเตอร์ยังยกขึ้น ความรู้สึกสาวน้อยบอกว่ามันหนึบหนับๆเด้งดึ๋งๆสู้มือ เธอสนุกใหญ่และจิ้มไม่หยุด ทุกคนจึงลองบ้างเลยพากันฉงนไปตามๆกัน
โอ'เกนท์นึกพิเรน ใช้มือกระชากชุดเกราะหมายจะแก้กางเกงของมันที่มีลายหวานแหววซ่อนใน แต่เจ้าหัวมะเขือไม่ยอม รีบดิ้นกระเด่าๆสู้สุดฤทธิ์ เช่นนั้น สองมือหนาจึงละไปพร้อมกับเสียงหัวเราะขบขันของกลุ่มกิเรเร่
ไม่ช้าวูดตันเริ่มดีขึ้นรีบแจ้น วิ่งมาสมทบกับทุกคน พลันนั้นเจ้าหัวมะเขือเทศรีบบ่ายหน้าไปทางวูดตันร้องอย่างน่าสงสารว่า
"กูจิ๊..."
ทุกคนตะลึงกันอีกรอบ เสียงนี้มันช่างแหลมคมกริบจนแสบแก้วหู
"อ่อๆ อย่างนั้นหรอกเหรอ"วูดตันตอบกลับกับภาษาชวนงงอย่างเข้าใจ ซึ่งสร้างความตกตะลึกให้ทุกคนกันอีกรอบ โดยเข้าใจว่าวูดตันสามารถสื่อสารกับมันได้ ซึ่งมันก็จริงที่ผู้ช่ำชองป่าสื่อสารกับเจ้าหัวมะเขือเทศได้ ทุกคนเหลียวไปทางวูดตันใช้สายตาเค้นถาม วูดตันเหลียวตาตอบมองทุกคนแล้วอธิบายว่า..
"คืออย่างงี้นะ คือเจ้าหมอนี่ได้รับหน้าที่ให้มาสอดแนมเป็นครั้งแรก แล้ว!! บังเอิญเจอกับพวกเราซึ่งเป็นพวกต่างถิ่น หมอนี่ก็เลยพยายามเฝ้ามองพวกเรา จนกระทั่งโดนจับได้"วูดตันแปลด้วยความตื่นเต้น ทุกคนตาโตคล้อยตามเชื่อกันไป เพียล่าและบางคนเอะใจ นึกสงสัยว่าทำไมเจ้าหัวมะเขือเทศพูดสั้นแต่วูดตันแปลยาว
ชาร์ลยืนคิดสงสัยได้ไม่นาน จึงเอ่ยกับคณะเดินทางเรื่องการไปยังหมู่บ้านกูจิ ทุกคนดูเห็นตกลงกันว่าจะไป ข้อสรุปออกมาชาร์ลจึงกล่าวกับวูดตัน
"วูดตัน ให้หมอนี่นำทางไปที่หมู่บ้านละกัน"
"รบกวนทีนะ"หนุ่มมาดผู้ว่าพร้อมลูบหัวเจ้าหัวมะเขือเทศ
"....นำทางให้ทีนะ"วูดตันหันเพ่งตาคู่เล็ก
"กู.. จิ๊"เจ้าหัวมะเขือเทศตอบน่าสงสาร
ทุกอย่างดูเรียบร้อย วิคเตอร์ที่ยังหิ้วเจ้าหัวมะเขือเทศอยู่ก็ออกก้าวไปพร้อมกับวูดตันที่เดินมาเคียงข้าง ขณะย่ำไปเรื่อยผ่านหลายต้นหลายสะพานหลายระเบียง เสียงจอแจของวูดตันยังสนทนาเรื่องป่ากับเจ้าหัวมะเขือเทศไม่หยุด ซึ่งมันเอ่ยด้วยเสียงอ่อนกับอาการกังวล
กลุ่มกิเรเร่ปรายตามองทัศนียภาพกันไม่หยุดหย่อน ซ้ายทีขวาทีบนทีล่างที ภาพที่เห็นนั้นมันอลังการงานสร้างเลยทีเดียว
ยิ่งลึกเข้าไป ระเบียงไม้ถูกออกแบบมาอย่างประณีตด้วยลวดลายแปลกตาแต่สวยงามล้อมต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งต่างจากต้นไม้แถวชายป่า หมอกเริ่มเบาบางลงเห็นยอดใบใหญ่ไสวด้วยลมเนืองๆ เบื้องล่างที่เคยเป็นพื้นดินกลับเปลี่ยนเป็นพื้นแฉะคลุมด้วยละอองน้ำ แสงอาทิตย์ดูเหมือนจะสาดแรงกล้าขึ้น อากาศโดยรอบแสนอบอุ่น
ทุกคนดูแปลกใจ ไม่ช้าเพียล่าก็ยิงคำถาม
"วูดตัน ต้นไม้นี้มีชื่อว่าอะไร"
"อ่อ ต้นเซคน่ะ"วูดตันหันมาตอบ
"แล้วทำไม.."สาวนักรบขมวดคิ้วมองรอบๆ"ภูมิประเทศกับอากาศที่นี่มันเกินบรรยายซะจริงล่ะ"
"ที่นี่เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์น่ะ"ผู้ช่ำชองป่าตอบสั้น แต่เพียล่ายังคาใจ ครั้งเมื่อจะถามต่อแต่ต้องหยุดไป เมื่อทางข้างหน้ามีสิ่งปลูกสร้างคล้ายกระโจมเรียงรายตั้งไร้ระเบียบเกินสายตาจะคะเน
หลังก้าวพ้นรอยต่อสะพานเชื่อมมาได้ทุกคนพลันหยุดก้าวเท้า ภาพเบื้องหน้าพวกเขาคือทางใหญ่ทอดยาวไกลเกินสายตาบอกได้ว่าปลายทางมีอะไร ส่วนรายทางมีกระโจมหลายขนาดคละสีหลายหลัง สร้างอยู่บนนอกระเบียงรอบต้นเซค หนึ่งต้นก็สามถึงห้าหลังตามขนาดของความใหญ่ต้นเซค หนำซ้ำยังมีแสงสีทองเรืองรองอย่างไม่เปลี่ยนทิศฉายลงจากช่องเว้นระยะของใบ ทางเดินที่ทอดยาวออกไปดูแล้วช่างบรรจงสร้างเสียยิ่ง
ทว่าบรรยายกาศที่นี่มันช่างเงียบสงัดเหลือเกิน ไม่มีใคร ไม่มีอะไร มีแต่เสียงธรรมชาติเอื่อยๆเท่านั้นแว่วมา แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้สงสัยหนักเข้าไปอีก วูดตันก็ว่ามา
"คือคน คน? อ่า..คนนั่นแหละ คนที่นี่เขามักจะระวังตัวน่ะ เมื่อพบคนแปลกหน้าอย่างเราๆแล้วล่ะก็.."วูดตันยิ้มย่องก่อนหันหลังมา"พวกเขาก็จะเข้าประจำที่ เตรียมโจมตีเราไงล่ะ"ว่าเสร็จแล้วก็ยิ้มแหยๆ
ซึ่งมันก็จริง เมื่อสังเกตดูดีแล้ว ตามหน้าต่างของทุกกระโจมมีบางอย่างเคลื่อนไหว ทั้งบนต้นไม้ทั้งหลังต้นไม้เองก็ด้วย ทุกคนเริ่มกวาดสายตา แต่มือยังไม่กุมอาวุธ
สายตาเหล่านักรบของกลุ่มประเมินว่าน่าจะมีอันตรายอยู่ทุกที่ เนเน๊ะหวาดหวั่นเดินเข้าซบหลังเพียล่า บรรยายกาศเงียบเชียบน่าหวั่นเกรง ชาร์ลสะกิดวูดตันแล้วบอกด้วยสายตาสื่อความเป็นนัย วูดตันรับรู้จึงส่งสายตาต่อไปยังเจ้าหัวมะเขือเทศ เจ้าหัวมะเขือเทศพยักหน้ารับทราบแล้วเอ่ยดัง
"กู!! จิ๊!!"
เสียงแหลมลากยาวดังขึ้นไปทางข้างหน้า แต่กลับไม่มีใครเผยกาย วูดตันเลื่อนมือวิคเตอร์ลงหวังให้ปล่อยสิ่งนั้น
หนุ่มนักรบส่อหน้าสงสัยก่อนหันไปหาทุกคนที่พยักเพยิด เท้าถึงพื้นเจ้าหัวมะเขือเทศรีบแจ้นไปยังทางข้างหน้าพร้อมร้องเสียงแหลม หลายต่อหลายรอบผ่านไปจนแทบหมดเสียง เบื้องหน้ายังคงเคว้งคว้างไร้สิ่งมีชีวิตใดๆจะขยับกายเผยออก
ขณะเดียวกัน ภายในกระโจมหลังหนึ่งทางด้านขวาไม่ไกลจากกลุ่มกิเรเร่เท่าไร เสียงซุบซิบแว่วมาลอยพร้อมกับเสียงวัตถุกระทบไม้คล้ายมีการเคลื่อนไหวไปมา เพียล่าสอดสายตาทะลวงลึกเข้ายังบานหน้าต่างกระโจมหลังนั้น เห็นไวๆว่ามีบางอย่างลอบดักมองมาของสายตาหลายคู่ราวกับจ้องจะจู่โจม
ไม่เพียงแค่หลังนั้นหลังเดียว เพียล่าเลื่อนตาไปอีกหลังก็พบเจอสายตาหลายคู่เพ่งมองมาและอีกหลายหลังก็เช่นกัน บุคคลในกระโจมบ้างก็เหมือนกำลังสื่อสารกัน บ้างก็เพ่งพลางขวักมือราวกับเป็นสัญญาณให้เคลื่อนที่
ทว่า.. พวกเผ่ากูจิซุ่มกันได้ไม่เนียนเอาเสียเลย กลุ่มกิเรเร่เห็นความพิรุธแต่เนิ่นๆแล้ว บ้างบางตนก็ซุ่มซ่ามวิ่งเหลอหลาจากจุดหนึ่งยังจุดเหมือนมันคิดได้ว่าคงไม่มีใครเห็น บ้างบางตนก็โผล่หน้าขึ้นมาซะจะๆเต็มบานหน้าต่าง ช่วงนั้นเนเน๊ะเริ่มคลายความกลัว
สถานการณ์เริ่มปั่นป่วน หลังเจ้าหัวมะเขือเทศวิ่งไปลากใครบางตัวออกมาจากกระโจมหลังใกล้ๆ ตัวนั้นฉุดยื้อดื้อดึงกับเจ้าหัวมะเขือเทศพลางร้องเถียงกันลั่น จนเผ่ากูจิหลายตนต้องเปลี่ยนเป้าสายตาเบนไปยังทั้งสองนั่น ในที่สุดเจ้าหัวมะเขือเทศก็เป็นฝ่ายชนะ และลากแขนร่างนั้นมายังต่อหน้ากลุ่มกิเรเร่
ร่างนั้นมีหัวเป็นผลลิ้นจี่ มีหูตาจมูกปากและร่างกายครบถ้วนเหมือนกับเจ้าหัวมะเขือเทศ เพียงแต่ต่างกันแค่ลักษณะศีรษะเท่านั้น กลุ่มกิเรเร่มองกันเป็นตาเดียวกับเจ้าหัวลิ้นจี่ที่มองตอบด้วยดวงตารื้นน้ำ จังหวะนั้น เจ้าหัวมะเขือเทศพูดจ้อฟังแทบไม่ทัน วูดตันรับฟังพร้อมพยักหน้าอย่างเร็วจี๋เช่นกัน
เมื่อเจ้าหัวมะเขือเทศสงบปาก วูดตันรีบอธิบายทันที..
"อ่อคืออย่างงี้นะ เจ้าลิ้นจี่นี่คือตัวต้นเรื่อง ปล่อยข่าวหาว่าพวกเราเป็นพวกคนเถื่อนกินมนุษย์.."(ถึงตรงนี้เจ้าหัวมะเขือเทศจับขาเจ้าลิ้นจี่แล้วเหวี่ยงไปไกล จนเสียงแหลมจากเจ้าลิ้นจี่ลั่นป่าแล้วค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับร่างที่กระเด็นหายลับ ทุกสายตาถึงกับอาการเหวอกันเลยทีเดียว)"อ่ะ.. ต่อนะ หลังปล่อยข่าวแล้ว ความแตกตื่นจึงบังเกิด ทุกคนที่นี่ยิ่งระแวงหนักกว่าเก่า จนถึงขั้นเตรียมการลงมือจะ.."(ว่ายังไม่ทันจบ เสียงร้องแหลมแว่วมาแต่ไกลและค่อยๆดังขึ้น เมื่อต้นเสียงลอยละลิ่วมาใกล้ยังกลุ่มกิเรเร่ สายตารับข้อมูลพลันบ่งบอกทันทีว่านั่นคือเจ้าหัวลิ้นจี่) "ตุบ!!"
"..อ่ะเอ๋!!? บทลงโทษก็เป็นแบบนี้ไง"วูดตันตะลึง แล้วกล่าวไหลไปตามสถานการณ์ พร้อมชี้นิ้วลงล่างยังร่างเจ้าลิ้นจี่ที่นอนคว่ำหน้า กลุ่มกิเรเร่ตะลึงและก้มลงตามนั้นเพราะมันเป็นไปได้อย่างไรกันที่เจ้าลิ้นจี่ปลิวไปปลิวมา เว้นแต่เจ้าหัวมะเขือเทศนิ่งเงียบทำท่าไม่สนใจ
ขณะยังไม่มีใครทันได้หาคำตอบ เกิดเสียงกระทบไม้ดังขึ้นปั๊งๆจากทางข้างหน้า กลุ่มกิเรเร่หันขวับเร็วไว วิคเตอร์และโอ'เกนท์พลางกระชับอาวุธแน่นแต่ยัังไม่โพล่งฉายคม
สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นมัน.. มันเหมือนกลุ่มผู้อิทธิพลดั่งพวกมาเฟีย มุ่งเดินกันมาอย่างเป็นระเบียบและดูเหมือนจะเป็นมิตร กระทั่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มกิเรเร่
พวกเขาแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำ มีหมวกสีดำปีกกว้างครอบศีรษะทุกนาย เว้นแต่ตนกลางมีผ้าพันคอยาวสีขาวคล้องไว้ ในมือถือไม้เท้าปลายงอเป็นตะขอสีดำซึ่งเขาน่าจะเป็นเจ้าพ่อหรือผู้นำแห่งหมู่บ้านนี้
พวกเขาก้มหน้ากันตลอดและดูไม่ร้อนรน เห็นได้จากลูกน้องชุดดำผู้หนึ่งริมด้านข้างหันขวับไปทางเจ้านายพลางใช้มือป้องลมเพราะกำลังจุดไปป์ ลมหายสูดเข้าควันฉุยโชยจึงลอยขึ้นหลังไฟแดงวาบเผาใบยา เขาตนนั้นขยับหมวกหนึ่งครั้งก่อนถอดมันออกเผยใบหน้าตนเอง
ผ่าง!!! กลุ่มกิเรเร่แปลกใจแต่ให้เกียรติ ไม่มีใครหลุดขำ ศีรษะของเขาเป็นผลฟักทอง ใบหน้าค่าตาแลดูขึงขัง เขาเลื่อนมือที่กุมหมวกลงไว้ที่อกแล้วโค้งคำนับ ขณะเดียวกันลูกน้องอีก4นายจึงทำตามซึ่งทั้งหมดแล้วมีหัวเป็นฟักทอง ขนาดความส่วนสูงของร่างกายนั้นไล่เรี่ยกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน แต่ต่างกันที่ลักษณะใบหน้าจึงแยกแยะออกได้ว่าใครเป็นใคร หลังเงยขึ้นเขากล่าวภาษาถิ่นเสียงทุ้มพร้อมควันฉุยหลุดจากปาก
วูดตันรับแปลโดยเร็วบอกแก่ทุกคนว่า.. "พวกเขาขอโทษ ที่ต้อนรับอย่างน่าอับอายและยังหมิ่นเกียรติอีกด้วย ฉะนั้น.. "
ขณะวูดตันแปลไม่ทันจบ ลูกน้อง4นายขยับกายเข้าใกล้หมายจะรุมสกัมเจ้าหัวลิ้นจี่ที่กำลังพยายามพยุงตัวขึ้น และเป็นตามนั้นเจ้าลิ้นจี่ถูกรุมสกัมหนุบหนับนัวเนีย ร้องเสียงหลงและล้มลงไปอีกรอบอย่างสะบักสะบอม โชคยังดีที่พวกไม่กระทืบซ้ำ
ครั้นแล้ว ลูกน้อง4นายก็ขยับกายสู่ที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วูดตันกลับหยุดชะงักเลิกแปลทันที คณะเดินทางอึ้งไปตามๆกันกับการรุมสกัมเจ้าลิ้นจี่
เจ้านายหัวฟักทองกระชับขอบเสื้อหนึ่งครั้ง แล้วมองสบตาเพียล่าก่อนผายมือไปข้างหน้าเชิงบอกว่าเชิญ แต่สายตาเพียล่ายังสงสารเจ้าหัวลิ้นจี่ สาวนักรบชี้มือขึ้นยังร่างระบมนั่นเหมือนอยากบอกว่า.. จะไม่ช่วยเขาหน่อยหรอ
เห็นดังนั้น เจ้านายหัวฟักทองหันมองลูกน้องและพยักหน้าหงึกหนึ่งที ลูกน้องสัตว์ซื่อรู้งานดั่งรู้ใจนาย พวกเขาย่างกายเข้าหาเจ้าลิ้นจี่อีกครั้งและจับแขนขาครบสี่มุม จากนั้นจึงเหวี่ยงร่างระบมนั่นให้ปลิวลอยตกลงไปยังเบื้องล่างโดยไม่ใยดี
กลุ่มกิเรเร่งุนงงกับการกระทำนั้น ไม่มีใครกล้าขยับกายตามไปดู มีแต่สายตาเท่านั้นที่ส่งไป แม้แต่เจ้าหัวมะเขือเทศยังนิ่งเงียบวางท่าเรียบเฉยทำเมินเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพียล่าด่วนคิดด่าเจ้านายหัวฟักทองในใจ'ไอ้บ้าเอ้ย!! ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย'
เจ้านายหัวฟักทองผายมืออีกครั้งพร้อมออกก้าวไป กลุ่มกิเรเร่เดินตามแต่โดยดีทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าไปไหน ระหว่างเดิน วูดตันใคร่รู้ข้อมูลและเรื่องราวต่างๆของที่นี่จึงชวนเจ้านายหัวฟักทองคุยตามประษาแขกบ้านแขกเมือง
"เขาจะพาเราไปยัง เขตกูกู"วูดตันเหลียวมา
"เพื่ออะไร"เพียล่าถาม
"อ่อ.. ต้อนรับเราไงล่ะ"คำตอบนี้วูดตันเดาเอาเอง
"........."
เพียล่าเงียบตีหน้าสงสัยแล้วหันไปปรึกษาชาร์ล
คณะเดินทางซุบซิบกันแซ่ด เจ้านายหัวฟักทองคงรำคาญแสร้งกระแอมหนึ่งที เสียงปรึกษาพลันเงียบลง
ขณะเดินบนทางไม้อันทอดยาวจนสุดตาแล สายตาแขกเมืองทุกคู่เหล่ไปเหล่มาหันซ้ายหันขวาพบว่า ในกระโจมแต่ละหลังมีผู้อาศัยอยู่จริง
หลังสถานการณ์เข้าใจผิดคลี่คลายลงแถมยังมีเจ้านายหัวฟักทองเดินนำหน้า สิ่งมีชีวิตพันธ์ุวิเศษต่างออกมายืนต้อนรับและบ้างก็ทำกิจวัตรประจำวันของตน พวกเขามีสีสันจากรูปลักษณ์ศีรษะที่ต่างกันโดยส่วนใหญ่เป็นผลไม้และพืชผักทรงกลม การแต่งตัวก็ใส่ชุดเหมือนเราๆแต่เล็กกว่า
ทั้งเด็กน้อย คนแก่ หรือวัยอื่นๆที่ออกมาต้อนรับ พวกเขาดูตื่นเต้น พลางโบกไม้โบกมือ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้แล้วหัวเราะชอบใจเมื่อกลุ่มกิเรเร่ยิ้มตอบมา แต่ยังมีบางส่วนขี้อายต้องหลบๆซ่อนๆแอบมอง
ขณะเนเน๊ะยังเดิน ปรายตามองและส่งยิ้มกลับให้ทุกๆคนที่มาต้อนรับ ช่วงหนึ่ง เธอเห็นบางคนส่งยิ้มให้จากมุมทึบในกระโจมซอมซ่อก่อนถอยหายวับไปในความมืด
สาวน้อยเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมทันทีเมื่อใบหน้านั้นมันเคยคุ้น เนเน๊ะพินิจแล้วว่า ไม่ใช่คนเผ่ากูจิแน่นอนจึงเหลียวหลังมองกลับไป ซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า เธอเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบอีกครั้ง
'เป็นใครกันแน่นะ'เนเน๊ะคิดสงสัยในใจ แล้วหันกลับไปยิ้มทักทายเผ่ากูจิต่อ
ป้ายขนาดใหญ่แปะไว้กลางซุ้มพุ่มไม้ดอกไม้เลื้อยบ่งบอกว่าเป็นเขตกูกู
เมื่อกลุ่มกิเรเร่มองออกไปเบื้องหน้าต้องถึงกับงงและอยากเวียนหัว เพราะทางเดินมันสลับซับซ้อนหลากหลายซอยคดเคี้ยว ทั้งยังมีทางขึ้น ทางลงและทางลอย
ต้นไม้ที่นี่หนาทึบเบียดเสียดกัน ใบไม้เถาวัลย์รกรุงรังแต่แสงอาทิตย์ยังส่องสีทอง ผู้คนที่นี่บางตาหรือจะหาให้เจอสักคนก็ยากเหลือ เขตกูกูช่างเป็นอะไรที่ลึกลับเสียจริง
หลังเลยซุ้มมา เจ้านายหัวฟักทองเดินผ่านเลยต้นไม้ไปสามต้น จากนั้นจึงเลี้ยวขวาแล้วเดินต่อมาอีกเก้าต้นแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปเรื่อยๆ ครั้นสุดซอยแล้วจึงเลือกเดินไปทางลงข้างล่างฝั่งซ้าย ทางเดินในนี้คล้ายอุโมงค์ไม่ลึกเท่าไรจึงมืดไม่มากเพราะแสงรอดผ่านมาได้ เมื่อโผล่ขึ้นอีกฝั่งจึงเลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อยๆเลยต้นไม้14ต้น แล้วเลี้ยวขวาตรงไปเรื่อยๆ สุดทางเป็นทางขึ้นเดินได้เดี๋ยวเดียวพอถึงช่วงทางลอยเจ้านายหัวฟักทองหยุดไปต่อพลางเพ่งมองหาบางสิ่ง
คงเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขากับการเดินในเขตกูกูอย่างช่ำชอง ทว่ากลุ่มกิเรเร่กลับฉงนงุนงงไปตามๆกันกับเขาวงกตเขตกูกู ชาร์ลรู้สึกชื่นชมเจ้านายหัวฟักทองเลยเอ่ยออก
"ยากเหมือนกันนะกว่าจะจำได้หมดเนี่ย.."ว่าแล้วก็ถอนใจก่อนกระซิบถามไปทางวูดตัน"เขาหยุดทำไม?"
วูดตันได้ยินชัดและขยับปาก ถามเจ้านายหัวฟักทองที่ตอบเพียงสั้นๆด้วยใบหน้าเรียบเฉย สีหน้าวูดตันเปลี่ยนเป็นอาการคล้ายคนเหม่อลอยเพราะคำตอบที่ได้มามันช่าง...
"เขาบอกว่า.."วูดตันเว้นช่วง"เขาหลง"
"ห้ะ!! หลง!!"โอ'เกนท์ร้องลั่น ปวดกบาลเซถอยหลัง
ชาร์ลถึงกับหมดศรัทธา พลอยให้ทุกคนในคณะเดินทางเอือมระอาไปตามๆกันกับคำว่า"หลง" ทุกคนได้ฟังแทบไม่อยากเชื่อ เกิดอาการอยากทรุดกายล้มไปกับพื้นขึ้นมาทันที จากนั้นชาร์ลจึงถามต่อ
"เขารออะไร"
วูดตันขยับปากถามเจ้านายหัวฟักทองอีกครั้งเขาตอบเพียงสั้นๆด้วยสีหน้าอย่างเดิม วูดตันฟังแล้วกลับคิดหนักกว่าเดิมเพราะคำตอบนั้นมันช่าง...
"เขาบอกว่า.."วูดตันเว้นช่วงก่อนเหล่มองเจ้านายหัวฟักทอง แล้วบอกไปทางชาร์ล"เขารอนกกระเรียน"
ฉับพลัน!! ขณะไม่มีเวลาให้กลุ่มกิเรเร่สงสัย ทั้งเจ้านายและลูกน้องต่างวิ่งไปที่ขอบทางลอยแล้วกระโจนตัวออก
ท่ามกลางสายตาคณะเดินทางพวกหัวฟักทองได้หล่นหายไปจากทางลอย ทุกคนตกใจและเร่งรีบหมายจะวิ่งไปขอบทางลอย เพื่อรับชมว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่ยังไม่ทันถึงขอบทางลอย บางอย่างกลับพุ่งทะยานขึ้น ผ่านหน้ากลุ่มกิเรเร่ไปเบื้องบนพลันให้แหงนมองตาม ก่อนสิ่งนั้นจะบินจากไป
มันคือนกกระเรียนขาวร่างใหญ่พอสำหรับให้พวกเผ่ากูจิซ้อนหลังได้ แต่สำหรับมนุษย์หมดสิทธิ ทว่านกกระเรียนตัวนั้น ซึ่งมีพวกหัวฟักทองซ้อนหลังกันอยู่5ชีวิตได้บินหนีจากไปซะดื้อๆ ทิ้งให้คณะเดินทางเคว้งคว้างด้วยสายตาสงสัยบนใบหน้าฉงนใจ
"อ่าว เฮ่ย!!"โอ'เกนท์ร้องดัง ขณะมองนกกระเรียนบินออกไปไกลแทบลับตา
"เวรละงานนี้"วิคเตอร์บ่น ส่วนวูดตันเกาหัวยิ่กไม่รู้จะอธิบายยังไง
แม้ทิวทัศน์บนนี้ดูงามตายิ่งนัก แต่นั่นไม่ได้ทำให้กลุ่มกิเรเร่เพลิดเพลินเลยแม้แต่น้อย หลังการจากไปอย่างไม่ใยดีของพวกหัวฟักทอง ชาร์ลกับเพียล่าและที่เหลือเริ่มวางแผนกัน เวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษจึงได้ข้อสรุป นั่นคือการ"รอ"
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ไร้วี่แววพวกหัวฟักทอง แม้ใครจะผ่านมาแถวนี้ก็ยังไม่มี ครั้งจะเดินกลับก็กลัวหลง ครั้งจะไปถามทางก็คงจะหาคำตอบได้ยากและช้า กว่าจะถึงที่พักของเจ้านายหัวฟักทองคงมืดค่ำ
ฉะนั้น..ต้อง รอ รอ รอและรอต่อไป
ผ่านไปอีกชั่วโมง ทุกอย่างเงียบกริบ กลุ่มกิเรเร่นั่งกันหน้าตาละห้อยโรยรา พระอาทิตย์เลื่อนตำแหน่งลง บรรยายกาศค่อนเย็นย่ำ สถานการณ์เข้าขั้นกดดัน คณะเดินทางคงต้องหาวิธีให้ได้ว่าจะทำเช่นไร หากอยู่จนค่ำ คืนแห่งความมืดอาจอุบัติ
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง กลุ่มกิเรเร่ลงความเห็นว่าต้องลงไปข้างล่างเพื่อหาที่พักแรม ครู่เดียวทุกคนรีบขยับกายก้าวเท้าตามชาร์ลไป
ขณะใกล้ถึงทางลง ชาร์ลเหลือบเห็นข้อความจากก้อนเมฆแปรอักษรอย่างบังเอิญ ซึ่งเป็นภาษาประหลาด เขามึนงงทันทีเพราะไม่เคยเห็น แต่ไม่ลืมจะบันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็ก หลายคนเกิดสงสัยจึงสะกิดและตั้งคำถาม
"มีอะไรรึป่าวชาร์ล"เพียล่าถามแทนทุกคน
จากนั้น ชาร์ลจึงบอกไปตามความจริง แต่ทุกคนยังไม่คลายสงสัยหลังเห็นอักษรประหลาดในแผ่นกระดาษ ซึ่งยังตีความไม่ได้ว่ามันมีความหมายอย่างไรและยังไม่มีใครสันนิฐานว่าอาจเป็นภาษาของที่นี่ แม้แต่วูดตันยังจนปัญญา จะหาเผ่ากูจิในบริเวณนั้นมาถามสักคนมันก็ยาก
คณะเดินทางเริ่มเหนื่อยล้าดูอิดโรยจนน่าเป็นห่วง แต่สภาพจิตใจนั้น ยังคงแข็งแกร่ง
นอกจากชาร์ลแล้ว ในกลุ่มกิเรเร่ไม่มีใครสามารถเห็นและส่งข้อความก้อนเมฆแปรอักษรได้ เหตุจากคุณสมบัติส่วนบุคคลและต้องมีวัตถุสาปสูญชนิดหนึ่งไว้ในครอบครอง ซึ่งหาได้จากมวลเมฆดึกดำบรรพ์
ก่อนราตรีเข้าคลุมฝืนฟ้า ชาร์ลฉุกคิดขึ้นได้ด้วยไหวพริบ เขาวิ่งกลับไปยังที่เดิมบนทางลอยซึ่งเป็นที่โล่ง วิคเตอร์กับเพียล่ารีบตามไปติดๆ ทิ้งไว้ให้อีก4คนที่เหลือมองหน้าสลับกันไปมาอย่างมึนงงแล้ววิ่งตาม
ครั้นถึงที่หมาย ชาร์ลเร่งทำบางสิ่งนั่นคือการเพ่งฟ้า เพียล่าและวิคเตอร์มองตามแต่ไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากฟ้าสีส้ม ทั้งสองเอะใจแต่ไม่ไม่สะกิดถาม เพราะเดาว่าชาร์ลกำลังส่งสารโดยใช้ก้อนเมฆเป็นเครื่องมือ
ชาร์ลเพ่งฟ้าสลับกับมองตัวอักษรประหลาดในสมุดเล่มเล็ก ไม่เกินนาน5นาที เขาหันกลับมาบอกแก่ทุกคนว่า
"รออีกนิดนึงก่อนนะ"ชาร์ลบอกอย่างกังวลแต่สายตาทอความหวัง ทุกคนรับฟังพลอยมีหวังตามๆกันไป
ในช่วงนี้สีหน้าเนเน๊ะไม่สู้นัก เพราะสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลของพวกเจ้านายหัวฟักทอง ตะวันใกล้ลับฟ้า เธอมองใบหน้าทุกคนโดยรอบซึ่งไม่ผิดแผลกไปจากกันเท่าไร ทุกคนดูกังวล วิตกและอีกหลายความรู้สึกสลับกันไป
สารนั้นเดินทางดั่งโมเลกุลแสง ปลายทางของมันคือตึกทำการศูนย์ใหญ่องค์กรเรเมดี้
เข้าสู่ช่วงเย็นเหยียบค่ำ หากคืนนี้เกิดเป็นคืนแห่งความมืด โอกาสมีชีวิตรอดคงเป็นแค่ฝัน เวลาเริ่มขยี้หัวใจ!!เพราะกลุิ่มกิเรเร่ต้องแข่งกับเวลา!! ชาร์ลภาวนาว่าศูนย์ใหญ่องค์กรเรเมดี้จะช่วยเหลือเรื่องการแปลอักษรนั่น แล้วส่งกลับโดยไว..
ณ ศูนย์ใหญ่องค์กรเรเมดี้
"เฮ่.. มีข้อความจากชาร์ลส่งมาน่ะ"เสียงนี้ร้องอย่างตื่นเต้น บอกไปยังทุกคนในหอรับส่งข่าวสาร
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ