จำนนเสน่หาแบดบอย
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.04 น.
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 22.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) จำนนเสน่หาแบดบอย ตอนที่ 11 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความชื่นมื่น อบอวลไปด้วยความรัก คำอวยพรอันประเสริฐย่อมเป็นบรรยากาศของงานมงคลทั่วไปอยู่แล้ว หลังจากที่เข้าไปกล่าวแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวและถ่ายทอดคำยินดีของผู้เป็นพ่อที่ฝากผ่านมาให้เจ้าสัวเกียรติเรียบร้อยแล้ว พิลาสินีก็เดินกลับมานั่งในส่วนที่เจ้าภาพจัดไว้ต้อนรับแขกวีไอพีและลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อชินเขตขอตัวออกไปทักทายคนรู้จักที่มาร่วมงานในครั้งนี้เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจงใจแตะต้องเนื้อตัวเธอและยังพูดจาหยอกล้อราวกับเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันปานจะกลืนต่อหน้าคนอื่น ทั้งที่หาความจริงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เวลาของพิธีการต่างๆนั้นเรียบร้อยแล้ว พิลาสินีจึงนั่งรับประทานอาหารตามที่เจ้าภาพจัดไว้รับรองพอเป็นพิธี จากนั้นจึงขอตัวออกจากงานเลี้ยงเพราะจะใช้โอกาสที่ชินเขตหายไปนี้ให้เป็นประโยชน์ สายตาและการปฏิบัติตัวอันแปลกไปในบางเรื่องทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจที่จะอยู่ใกล้ๆเขาอีกต่อไป
พิลาสินีเดินออกจากห้องบอลรูมแวะทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำของโรงแรมอยู่ไม่นานก็เดินออกมาด้วยโล่งใจ ไม่คิดเลยว่าการเป็นอิสระจากชินเขตจะทำให้เธอสบายใจได้เช่นนี้ แต่เสียงคุ้นหูที่ดังแว่วขึ้นทำให้หญิงสาวชะงักการก้าวเดินและนิ่งงันตรงมุมของซึ่งฝั่งตรงกันข้าม เยื้องไปราวสิบห้านาฬิกาจะเป็นห้องน้ำชายที่มองเข้าไปด้านจะเห็นชายต่างชาติคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเป็นอาหรับผิวขาวยืนคุยชินเขตที่หันหน้าเข้ากระจกเงาบานใหญ่ในห้องน้ำ
“มีเมียสวยขนาดนี้ยังเอามาขาย ไม่เสียดายหรือไง”
พิลาสินีเห็นชายอาหรับตั้งคำถามพลางมองภาพในโทรศัพท์เครื่องบาง อดที่จะแปลกใจกับคำถามนั้นไม่ได้แต่เมื่อได้ยินชินเขตตอบกลับอย่างไม่ลังเลก็ทำให้เธอชาวาบไปทั้งร่าง!
“เงินกับความสะใจที่ได้ เมื่อเทียบกันแล้วผมไม่เคยเสียดายหล่อนเลย ตรงกันข้ามอยากเป็นคนเก็บภาพเล่นรักของเธอกับผู้ชายมากหน้าหลายตาด้วยตัวเอง มันน่าจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าผมอีกมากโข” ชินเขตอย่างด้วยน้ำเสียงราวกับเกลียดชังยิ่งนัก
แน่นอนว่าพิลาสินีรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น ความกลัวผสมปนเปกับความไม่เข้าใจกำลังถาโถมเธออย่างหนัก ภาพสะท้อนของชินเขตในกระจกเงาชัดเจนไม่น้อยไปว่าแววตาเคียดแค้นที่ไม่รู้สาเหตุว่าเริ่มจากสิ่งใด การเจรจานั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วราวกับเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่เห็นชายอาหรับส่งกระดาษแผ่นบางให้กับชินเขต ซึ่งเธอเดาเป็นเช็คเงินสด
“คุณไปรอที่โรงแรม...ได้เลย เดี๋ยวผมจะเอาเธอไปประเคนให้ถึงประตูสวรรค์”
เสียงหัวเราะหึๆที่ได้ยินชัดเจนขึ้นทำให้พิลาสินีรีบก้าวถอยหลังหลบ บ่อยครั้งที่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดห้องน้ำหญิงถึงต้องตั้งอยู่ลึกกว่าห้องน้ำชาย มันอาจทำให้เธอการฉุดคร่าหรือเกิดความรุนแรงขึ้นได้ แต่ตอนนี้เธอนึกขอบคุณที่ชินเขตไม่ต้องเดินผ่านหน้าห้องน้ำหญิงที่เธอกำลังยืนหลบมุมอยู่ สมองกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางพาตัวเองออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ชั่วอึดใจต่อมาพิลาสินีค่อยๆชะโงกหน้าออกไปกวาดสายตามองลาดเลาเมื่อเห็นว่ามีเพียงแขกที่มาร่วมงานเดินผ่านไปมาเท่านั้น จึงรีบเดินออกจากบริเวณห้องน้ำอย่างรวดเร็วและหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างกำยำของชินเขตยืนคุยกับนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหน้าห้องบอลรูม พิลาสินีจึงก้มตัวลงและรีบเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรมซึ่งมีทางออกอีกด้าน
เสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องขึ้นทำให้พิลาสินีเร่งฝีเท้า เมื่อเห็นว่าคนที่โทรฯเข้ามาคือชินเขต ไม่น่าเชื่อว่าตกลงปลงใจแต่งงานกับผู้ชายชั่วช้าที่คิดขายกระทั่งภรรยาได้อย่างไร แม้จะเป็นอดีตภรรยาแต่เวลาห้าปีที่มีร่วมกันเธอไร้ซึ่งความดีงามจนเขาต้องคิดชั่วร้ายเช่นนี้ด้วยหรือ
แม้อยากจะตะโกนถามออกไปว่าเธอทำอะไรให้เขาคับแค้นใจหนักหนาแต่พิลาสินีก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะตอบโต้ แต่มันคือเวลาที่เธอต้องเอาตัวให้รอดพ้นจากความโหดร้ายของผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นสามี หญิงสาวตัดสายโทรศัพท์เขาทิ้งทุกครั้ง ยิ่งโทรฯเข้ามาบ่อยเพียงไรก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ถนนด้านหน้าโรงแรมคือจุดหมายที่เธอต้องรีบไปให้ถึงเร็วที่สุด
ชินเขตเดินหาพิลาสินีจนทั่วงานแต่ก็ไร้วี่แวว ท่าทางกระวนกระวาย ร้อนอกร้อนใจของเขาทำให้แขกที่มาร่วมงานออกปากกระเซ้าเย้าแหย่อย่างอารมณ์ดี และเขาก็ทำเพียงได้แค่ยิ้มรับอย่างรักษามารยาททั้งที่ความจริงแล้วอยากจะตะโกนด้วยความเหลืออด อยากรู้ว่าเธอหายตัวไปได้อย่างไรทั้งที่ปกติแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่รักษามารยาท ทุกครั้งที่ออกงานด้วยกันก็ต้องเดินทางกลับด้วยกัน
เงินก้อนโตที่กำลังจะหลุดลอยไปยังไม่เท่าบทลงโทษจากการบิดพลิ้ว ใครบ้างไมรู้ว่าพวกอาหรับผิวขาวที่ทำการซื้อขายบางอย่างที่ไม่ชอบธรรมด้วยกฎหมายในตลาดใต้ดิน มีวิธีการสั่งสอนคู่ค้าโหดร้ายแค่ไหน!
หลังจากที่พาตัวรอดเงื้อมมือคนใจคอโหดเหี้ยมมาได้อย่างหวุดหวิด พิลาสินีก็นั่งระงับอารมณ์อยู่ในแท็กซี่ที่มุ่งหน้าไปยังบ้านสิริสกุล จังหวะการเต้นของหัวใจยังไม่เป็นปกติด้วยซ้ำ หากไม่อยากเชื่อตัวเองว่าคนแรกที่คิดถึงคือลินเนอุส เธออยากได้อ้อมกอดอบอุ่นนั้นมาปลอบประโลม ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่กี่วันที่อยู่ใกล้กันจะทำเธออยู่ใต้อาณัติการควบคุมของเขาเฉกเช่นกับคนทั่วโลกที่ถือเอาการตัดสินใจของเขาเป็นแนวทางในการทำธุรกิจหรือลงทุนกับหุ้นสักตัว พิลาสินีส่ายหน้าให้กับความคิดอันสับสนของตัวเอง หากเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวเพราะคิดว่าชินเขตจะติดต่อเข้ามาอีก เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่กับเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตาแต่ในที่สุดก็เลื่อนหน้าจอเพื่อรับสาย
“สวัสดีค่ะ พิลาสินีพูดสายค่ะ”
“คุณเพลง! คุณเพลงนี่ป้าเอียดนะคะ”
“ค่ะ ป้าเอียดมีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมทำเสียงน่าตกใจอย่างนั้น” พิลาสินีรีบถามเมื่อจำเสียงแม่บ้านได้อย่างแม่นยำ
“คุณเพลงรีบมาที่โรงพยาบาล... นะคะ เจ้าสัวท่านพลัดตกบันไดค่ะ ป้ากับฝรั่งคนที่เคยมาส่งคุณเพลงเมื่อวันก่อนเพิ่งพาเจ้าสัวมาส่งที่โรงพยาบาลค่ะ” ละเอียดรายงานด้วยความร้อนใจ
“แล้วทำไมคุณป๋าตกลงมาได้ ไม่มีใครเห็นท่านเหรอคะ?” พิลาสินีถามด้วยความร้อนใจยิ่งกว่าพลางสั่งแท็กซี่ให้เปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่แม่บ้านรายงานเมื่อครู่
“ป้าไม่ทราบค่ะ เพราะติดรถคุณเพกาออกไปจ่ายตลาด พอกลับมาถึงบ้านก็เห็นรถคันใหญ่ของฝรั่งคนนั้นจอดอยู่หน้าประตูใหญ่แล้ว ป้าเห็นเขากำลังอุ้มเจ้าสัวขึ้นรถ พูดจาอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลยรีบตามขึ้นรถมาถึงโรงพยาบาลนี่ล่ะค่ะ” ละเอียดเล่าตามความสัตย์จริง
“ลินเนียสน่ะเหรอคะ” พิลาสินีถาม
“ใช่ค่ะ ลินๆเนียสๆอย่างที่คุณเพลงพูดนี่แหละค่ะ ป้าคุยกับฝรั่งสองคนไม่รู้เรื่อง เลยได้แต่ถามกับคนขับรถที่เป็นคนไทย เขาก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรค่ะ” ตอนที่เข้ามาเห็นสภาพที่เจ้าสัวสันต์หมดสติ ตัวพับตัวอ่อนก็ทำอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าต้องขึ้นรถคันใหญ่ไปกับท่านเมื่อคนขับรถเอ่ยเร่งให้รีบขึ้นมา “คุณเพลงรีบมานะคะ เดี๋ยวป้าเอียดจะโทรฯบอกคุณเพกาก่อน”
ละเอียดวางสายไปพักใหญ่แล้วพิลาสินีจึงหันมาเร่งให้คนขับแท็กซี่เพิ่มความเร็วมากขึ้น แต่ก็ทำได้เป็นบางระยะเท่านั้น ความรู้สึกหวั่นวิตกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วและกำลังเกิดซ้ำกับเธออีกครั้ง ระหว่างทางที่ไม่เกินยี่สิบห้ากิโลเมตรช่างใช้เวลายาวนานเหลือเกินในความรู้สึกของหญิงสาว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงภาวนาให้ผู้เป็นพ่อปลอดภัยเพราะไม่อาจทำใจรับเรื่องร้ายๆและการสูญเสียได้อีกแล้ว...
ลินเนอุสเงยหน้าขึ้นมองร่างอ้อนแอ้นที่อยู่ในชุดเน้นสัดส่วนเดินแกมวิ่งเข้ามาหน้าห้องไอซียูด้วยท่าทางร้อนใจ เธอยังงดงามและมีอิทธิพลต่อจิตใจเขาเสมอไม่ว่าจะอยู่ในอากัปกิริยาใด ยิ่งเห็นความกังวล หวาดระแวงฉายแววออกมาอย่างเด่นชัด เขายิ่งอยากดึงเธอเข้ามากอด สาบานกับตัวเองว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อลบความเลวร้ายนั้นออกไปจากดวงตาคู่สวย ลืมกระทั่งบาดแผลในใจที่เธอสร้างเอาไว้ไปจนสิ้น หากจะมีใครล่วงรู้บ้างว่าท่าทีอันเรียบเฉยที่เขาแสดงออกมานี้เป็นเพียงฉากหน้าที่ใช้ปกปิดความเสน่หาจากผู้หญิงที่เคยทิ้งไปอย่างไม่แยแสเท่านั้น!
“ป้าเอียดๆ คุณป๋าล่ะคะ?” พิลาสินีถามเมื่อแม่บ้านลุกจากเก้าอี้หน้าห้องไอซียูในทันทีที่เห็นเจ้านายสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณหมอกำลังช่วยอยู่ในห้องไอซียูค่ะ” แม่บ้านบอกพลางกระชับมือนุ่มของเจ้านายสาวเอาไว้และรั้งให้ไปนั่งรอที่เก้าอี้ซึ่งจัดเรียงไว้ไม่ไกลแต่หญิงสาวเบี่ยงตัวออกและเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งไขว้ห้างอยู่ไม่ไกล ใบหน้าหล่อเหลายังราบเรียบ ท่าทางไม่มีความทุกข์ร้อนใด
ลินเนอุสจ้องมองดวงตาคู่หวานไม่กะพริบตาเช่นกัน เธอเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า มองอย่างค้นคว้าระคนตั้งคำถามจนเขาไม่อาจเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงกระทั่งได้ยินเสียงหวานตวาดถามในชั่วอึดใจต่อมา
“คุณไปทำอะไรที่บ้านฉัน ไปพูดอะไรกับคุณป๋าท่านถึงได้เป็นแบบนี้ บอกมา?... พูดมาเดี๋ยวนี้นะ!” พิลาสินีตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด แต่คนที่ควรตอบอย่างตรงไปตรงมากลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับเสียเอง
“เพลงคิดว่าทุกอย่างเป็นฝีมือของผม งั้นเหรอ?...” อีกข้อที่เธอควรรู้เอาไว้ว่าในยามที่เปลี่ยนสรรพนามจากชื่อแทนตัวเองอย่างน่ารักนั่นก็ทำให้ความเอ็นดูหดหายลดลงจนสิ้น แต่เขาจะลืมๆมันไปเพราะเข้าใจในสถานการณ์อันยากลำบากที่เธอกำลังเผชิญนี้
“แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้คุณไปที่บ้านของฉัน นอกเสียจากว่าจะไปพูดเรื่องสิริแอทเซทให้คุณป๋ารับรู้หรือที่ฉันคิดมันไม่ใช่เรื่องจริง คุณก็รีบแก้ต่างให้ตัวเองมาสิ”
“ใจเย็นๆก่อนนะครับ” โยวันที่ยืนอยู่ไม่ไกลตะล่อมบอกและต้องเงียบเสียงเมื่อเห็นท่าทางร้อนใจของเธอ
“คุณจะให้ฉันใจเย็นได้อีกเหรอคะโยวัน นั่นพ่อฉันทั้งคน เป็นตายเท่ากันยังไม่มีใครรู้ ท่านอายุมากแล้วตกลงมาจากบันไดสูงขนาดนั้น แล้ว...” พิลาสินีปิดปากเมื่อไม่สามารถบรรยายภาพในความคิดในช่วงเวลาที่ผู้เป็นพ่อพลัดตกบันได
ให้ตายเถอะลินเนอุส! แกควรจะเดินหนีแล้วปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ตามลำพัง จำเอาไว้สิว่าเธอเพิ่งมองแกด้วยสายตาประนามไม่ต่างจากฆาตกรใจเหี้ยม แล้วนี่มันเรื่องอะไรถึงได้อยากดึงเธอเข้ามากอดปลอดใจเพียงเพราะเห็นน้ำตาหยดใสๆกลิ้งลงจากสองตา
“แต่...” ยังไม่ทันที่โยวันจะอธิบายต่อเสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปยังผู้หญิงต่างวัยสองคนที่วิ่งเข้ามาสมทบด้วยสีหน้าและท่าทางร้อนใจไม่แพ้พิลาสินี
“คุณเพลง...” เพกาที่เพิ่งมาถึงโรงพยาบาลพร้อมลูกสาวรีบถามถึงอาการของสามีทันทีที่เห็นหน้าพิลาสินี “คุณป๋าเป็นยังไงบ้าง แล้วทำไมถึงได้พลัดตกลงมาได้”
“เพลงก็ไม่ทราบค่ะแต่ตอนนี้หมอกำลังช่วยคุณป๋าอยู่”
เพกาเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายใจ ไม่ได้ไถ่ถามหาต้นสายปลายเหตุเพราะพอจะรู้จากแม่บ้านที่โทรศัพท์ไปบอกบ้างแล้ว อีกทั้งตอนนี้ไม่ได้อยากรู้อะไรมากไปกว่าอาการของสามี
“ทำใจดีๆนะคะแม่ คุณป๋าเป็นคนดี คุณพระคุณเจ้าต้องคุ้มครอง” พิชชุดาเดินเข้าไปกุมมือของผู้เป็นแม่เอาไว้และประคองให้ท่านมานั่งรอที่เก้าอี้หน้าห้องไอซียู
เพกาพยักหน้ารับและเดินมานั่งข้างๆชายหนุ่มต่างชาติท่าทางภูมิฐานกำลังก้มหัวและยิ้มให้อย่างสุภาพ จึงหันหน้าไปหาพิลาสินีและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
หากไม่ทันที่ลินเนอุสจะแนะนำตัว พิลาสินีก็เป็นฝ่ายแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันเสียเอง “มิสเตอร์ลินเนอุส คอนราดสันค่ะ เขาเป็นคนที่เพลงไปพบที่สวีเดน คนเดียวกับที่ปล่อยเงินกู้ให้เรา”
“โอ... ยินดีที่ได้รู้จักนะคะมิสเตอร์ ดิฉันกับครอบครัวต้องขอบคุณมิสเตอร์เป็นอย่างมาก” เพกากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ หากไม่ได้เขา ธุรกิจและครอบครัวของเธอคงพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี
“ยินดีครับ” ลินเนอุสรับคำสั้นๆด้วยความสุภาพ
หากไฟหน้าห้องไอซียูก็ดับลงและประตูกระจกก็ถูกเปิดออก ร่างของคุณหมอก็เดินออกมาพบญาติผู้ป่วยในทันที “ญาติคุณสันต์ สิริสกุลนะครับ”
“ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นภรรยา” เพกาตอบ และทุกคนก็กรูเข้าไปยืนตรงหน้าคุณหมอด้วยสีหน้ากังวล รอฟังอาการของคนไข้อย่างใจจดใจจ่อ
“คนไข้พ้นจากขีดอันตรายแล้วนะครับ” คำตอบของคุณหมอนั้นเหมือนปลดล็อกความกังวลใจของทุกคนในครอบครัวสิริสกุล “แต่... ถึงแม้ว่าเราจะผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออกแล้วแต่เนื้อสมองบางส่วนถูกทำลาย ทำให้คนไข้กลายเป็นอัมพาตนะครับ”
“คุณป๋า.../ไม่จริง!” พิชชุดาและเพกาหลุดอุทานออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“คุณป๋า...” เมื่อได้ยินในสิ่งที่หมอพูดพิลาสินีแทบทรุดลงไปกองกับพื้นหากไม่ได้ลินเนอุสที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังประคองเอาไว้เสียก่อน
“หมอว่ายังไงบ้างเพลง... เพลง...” คนฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องถามร่างอ้อนแอ้นที่นิ่งงันไปไม่ยอมแปลคำพูดของคุณหมอให้ฟัง ลินเนอุสจึงจัดการถามเสียเอง เมื่อได้คำตอบชัดเจนจากปากของคุณหมอแล้วก็อดสงสารร่างเล็กที่ประคองอยู่นี้ไม่ได้ “รักษาคนป่วยให้ดีที่สุด เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง”
คำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ามั่นคงนั้นทำให้ทุกคนหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว เว้นเสียแต่คนที่ประคองอยู่เริ่มเบี่ยงตัวหนีจากฝ่ามือของเขาแล้วเดินไปกอดผู้เป็นแม่และน้องสาว แน่นอนว่าลินเนอุสยิ้มกับภาพความอบอุ่นตรงหน้า ท่อนแขนเรียวเล็กของเธอช่างมีพลังแฝงไปด้วยความอบอุ่นยิ่งนัก ฝ่ามือบางที่ลูบแผ่นหลังน้องสาวขึ้นลงซ้ำไปซ้ำมายิ่งทำให้คนที่อยู่ตัวคนเดียวอุ่นวาบไปทั้งกาย
“ท่านครับ...” โยวันเรียกและกระซิบกระซาบบางอย่างให้เจ้านายได้รับรู้
“อืม... ก็จัดการไปตามแผน ลองดูซิว่ามันจะทำเรื่องชั่วๆอะไรอีก ปล่อยไปแต่อย่าให้คลาดสายตา” แม้น้ำเสียงจะไม่ดังแต่ก็หนักแน่นยิ่งนัก
“อีกเรื่องครับ ตอนนี้บริษัทเฮดฮันเตอร์แจ้งรายชื่อผู้บริหารที่มีคุณสมบัติตามที่เราต้องการมาแล้ว ท่านจะให้ผมนัดพวกเขามาคุยรายละเอียดของงานเลยไหมครับ”
คำถามของโยวันทำให้ลินเนอุสหันหน้าไปสบสายตากับพิลาสินีทันที เขาตีคิ้วใส่ดวงตาหวานอย่างรอคำตอบซึ่งแน่ใจว่าเธอเข้าใจในสัญญาณที่เขาส่งให้เป็นอย่างดี
เมื่อทุกอย่างกลายเป็นสุญญากาศชั่วครู่ เพกาจึงหันมาบอกกับพิลาสินีเพราะเข้าใจว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังรอพิลาสินีให้เดินทางไปจัดการพร้อมกัน “คุณเพลงรีบไปทำงานเถอะ ทางนี้แม่เล็กกับน้องพลับจะช่วยกันดูแลคุณป๋าเอง อย่าต้องให้เสียการเสียงานเลยนะ สถานการณ์ของสิริแอทเซทยังน่าเป็นห่วงอยู่มาก”
พิลาสินีเหมือนคนน้ำท่วมปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เพกาเข้าใจอย่างไรจึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้และกลับมาถลึงตาใส่คนที่ยืนทำหน้าตายอยู่ไม่ไกล เมื่อเขาผายมือเชิญอย่างสุภาพแต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่าเขากำลังยั่วยุให้อารมณ์ขุ่นมัว
ลินเนอุสส่งสัญญาณให้คนสนิทเดินประกบพิลาสินีที่เดินนำหน้าไปก่อน จากนั้นจึงหันมาบอกกับเพกาด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ช่วงนี้แรกที่ต้องเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนกลับมานี้ผมกับเพลงคงต้องทำงานหนักอยู่มาก บางครั้งเพลงอาจจะไม่ได้กลับบ้านนะครับ”
เพกาชักสีหน้าเป็นห่วงออกมาในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณเพลงคงตกที่นั่งลำบาก หนีไม่พ้นคำนินทาของชาวบ้าน”
ลินเนอุสส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก “เธอคงลืมบอกทุกคนไปว่าตอนนี้เป็นอิสระแล้ว อีกอย่างผมช่วยสิริแอทเซทอยู่เบื้องหลังเท่านั้นซึ่งมันต้องอาศัยเวลามากกว่าปกติอยู่แล้ว แต่เพลงก็ยืนยันแบบนี้ ผมขอตัวนะครับ”
เพกาได้แต่พยักหน้ารับกับความมั่นใจของชายหนุ่มที่เดินไกลออกไป คำพูดที่ได้ยินเป็นเพียงประโยคบอกเล่าให้ทุกคนรับรู้เท่านั้น หากตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว การที่เขายื่นมือเข้าช่วยเช่นนี้ก็นับว่าเป็นความโชคดีที่ไม่ได้เกิดบ่อยนัก อีกทั้งการประพฤติตัวของพิลาสินีก็ไม่เคยทำให้หนักใจหรือผิดหวังเลยสักครั้ง หากตอนนี้การดูแลสามีต่างหากที่เธอควรต้องเป็นกังวลที่สุด
“แม่รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ พลับขอไปหยิบโทรศัพท์ก่อน คงจะลืมไว้ในรถ” พิชชุดาประคองผู้เป็นแม่ให้นั่งลงบนเก้าอี้และเร่งฝีเท้าตามพี่สาวคนโตและชายต่างชาติที่พูดจาราวกับมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพี่สาวของตน
“เพลง... หยุดก่อน” ลินเนอุสส่ายหน้าเมื่อเธอไม่ยอมหยุดและเดินลงบันไดแทนที่จะใช้ลิฟต์ เขาก้าวลงบันไดทีละสองขั้นไม่กี่ครั้งก็สามารถคว้าที่ต้นแขนของเธอได้ “ผมบอกให้หยุด ไม่ได้ยินหรือไง”
พิลาสินีถอนหายใจออกมาหนักๆ ชักสีหน้าหน่ายใจ ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตนี้ถึงได้เจอแต่ผู้ชายจอมบงการ มักสั่งให้เธอทำตามความต้องการ โดยที่ไม่เคยสนใจเลยว่าเธอเต็มใจหรือไม่
ลินเนอุสไม่ได้คำตอบทั้งยังได้รับสีหน้ารำคาญใจเสียเต็มประดาจากเธอก็ทำให้เขานึกฉุนขึ้นมาไม่น้อย “จะไปไหน รถจอดอยู่ชั้นกราวน์”
“ไปห้องการเงินค่ะ ลงไปอีกแค่ชั้นเดียว” ตอบน้ำเสียงเนือยๆไม่สบสายตาแต่พยายามแกะฝ่ามือที่กุมอยู่บริเวณต้นแขนออกตลอดเวลา
“สั่งไปแล้ว ทำไมต้องย้ำคิดย้ำทำ”
“ไม่ต้องมาทำดีลบล้างความผิด เพลงไม่ใช้เงินของคุณมารักษาคุณป๋าหรอก”
“ทำไม! เงินผมมันเป็นยังไงถึงไม่อยากใช้” ผมด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องไม่น้อย สายตาและท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ที่เธอแสดงออกมายิ่งทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เก็บเงินของเพลงไว้รักษาสิริแอทเซทดีกว่า เพราะถ้าเงินหมดไปกับอย่างอื่น คราวนี้เพลงคงไม่มีอะไรมาแลกกับผม”
พิลาสินีนิ่งงันไปครู่ใหญ่กับคำพูดเชือดเฉือนหัวใจนั้น แค่ไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเช้าต้องเจอเรื่องร้ายอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันอย่างไม่ลดละจึงไม่รู้ตัวว่าพิชชุดาที่ยืนอยู่ข้างบนนั้นได้ยินคำพูดร้ายกาจของลินเนอุส ทั้งยังชะโงกหน้าลงมาเห็นการยื้อยุดนี้อีกด้วย
“หึ... ไม่แลกกับคุณแต่ก็แลกกับคนอื่นได้นี่คะ คงมีเศรษฐีหน้าโง่หลงมาติดกับเพลงไม่ยากหรอก” โต้กลับหวังเอาชนะ
“อย่ามาพูดจาก๋ากั่นกับผมนะพิลาสินี!” บอกทั้งบีบต้นแขนด้วยความเดือดดาลที่เธอเป็นคนโหมเชื้อไฟ
เขาโกรธจริงๆนั่นแหละ โกรธจนรู้สึกว่าตัวเองร้อนเป็นไฟ นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่คนอย่างเขาถูกลูกแมวตัวน้อยไร้ซึ่งพิษสงปั่นอารมณ์ด้วยคำพูดง่ายๆ เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าโกรธจัดบดกรามแน่นจนเป็นสันนูน พิลาสินีก็รู้แล้วว่าจะเอาชนะเขาด้วยวิธีใด
“คุณพูดเองนี่คะว่าไม่ได้หวังเฉียดใกล้เยื่อบางๆนั่นจากเพลง” อีกหนึ่งคำพูดร้ายกาจที่นึกถึงทีไรน้ำตาก็ตกในทุกครั้ง “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาออกคำสั่ง ไม่ต้องมายุ่งกับเพลง ครอบครัวของเพลงเพลงจัดการเองได้”
“ก็ไม่ได้ยากยุ่งหรอก ถ้าเพลงจะจัดการอะไรให้มันรวดเร็วกว่านี้สักน้อย เห็นแล้วมันรำคาญตาแต่ถ้าเพลงรำคาญใจก็ถือซะว่าเป็นโบนัสพิเศษที่ผมจะดูแลอีหนูส่วนตัวก็แล้วกัน” โต้กลับอย่างไม่ยอมพลางตีคิ้วใส่ดวงตาคู่สวยทว่าบัดนี้มีเพียงความเกรี้ยวกราดฉายแววออกมาอย่างชัดเจน “อีกอย่างที่เพลงชักช้าอยู่แบบนี้รู้ไหมว่ามันเปลืองเวลาจ่ายค่าเหนื่อยให้ผม”
“คุณ! คุณมัน...” ไม่รู้จะสรรหาถ้วยคำใดมาต่อว่าให้สาสมทั้งเจ้าตัวยังดักคอด้วยเสียงดุราวกับเธอเป็นเด็กดื้อคนหนึ่ง
“จุ... จุ... จุ... อย่าลืมข้อตกลงของเราเป็นอันขาด หรือที่เพลงชอบด่าว่าผมนี่เพราะถนัดอยู่ข้างบน เป็นคนคุมเกมนี่มันเสียวกว่าเหรอจ๊ะ?”
“คนเหลือทน คุณมันคิดแต่เรื่องอย่างว่าคิดหาแต่ผลกำไรของตัวเอง” เมื่อนึกถึงข้อตกลงที่มีร่วมกัน พิลาสินีก็ไม่กล้าที่จะละเมิดกฎนั้นอีกและท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นทำให้ผู้ออกกฎยิ้มพราย...
“ก็เพลงพูดเองนี่ว่าเป็นอีหนูส่วนตัวของผม อย่างนั้นแล้วจะให้ผมคิดอะไรอื่นได้อีก” บอกอย่างยั่วเย้าคิดในใจว่าให้มันรู้กันไป ถ้าควบคุมผู้หญิงตัวเล็กๆนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเรียกเขาว่าลินเนอุส! “คราวนี้จะไปกันได้รึยัง หรือจะเถียงกันตรงนี้ให้เขารู้กันไปทั่วว่าเพลงเป็น...”
เขาลากเสียงยาวอย่างกวนอารมณ์และเงียบไปทันทีเมื่อเธอเริ่มเดินตามแรงรั้งอย่างเสียไม่ได้ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พิชชุดาเดินหลบออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความรวดเร็ว หากสิ่งที่พิชชุดาได้ยินนั้นทำให้นึกสงสารพี่สาวคนโตเป็นที่สุด ทั้งยังเอาหลายเรื่องมาประติดประต่อกันได้ไม่ยากนักจนเข้าใจว่าสถานการณ์วิกฤติที่ครอบครัวของตนกำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เธอคงต้องเอาเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปปรึกษากับพี่สาวทั้งสองคนที่เรียนอยู่ในต่างแดนให้รับรู้ อย่างน้อยก็น่าจะช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ได้บ้าง คงจะเป็นการดีกว่าโยนภาระทั้งหมดให้พี่สาวคนโตแบกรับจนกลายเป็นผู้หญิงลับของมหาเศรษฐีเช่นนี้
ตลอดทางที่ถูกเขาฉุดรั้งให้เดินไปยังลิฟต์ พิลาสินียังจมจ่อมอยู่กับความเสียใจตลอดเวลา น้ำตาคือสิ่งเดียวกระมังที่ไม่สามารถควบคุม แม้ใจจริงอยากซุกตัวอยู่ในซอกหลืบอันมิดชิดแล้วร้องไห้ให้สาแก่ใจก็ยังเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะความจริงคือเขายังเกาะกุมไม่วางมือ เหนือสิ่งอื่นใดต้องยอมรับว่าตนยังต้องพึ่งพาและเขาคือคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คือคนที่คว้าเธอเอาไว้ไม่ให้ทรุดลงกับพื้น นี่สินะ... คือความจริงที่เธอต้องปรับตัวปรับใจอยู่กับมันให้ได้!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ