จำนนเสน่หาแบดบอย
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.04 น.
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 22.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) จำนนเสน่หาแบดบอย ตอนที่ 10 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความราวสี่สิบนาทีต่อมาพิลาสินีก็เดินออกมาจากห้องส่วนตัวด้วยเดรสลูกไม้ปักฉลุสีน้ำตาลพาสเทลแขนกุด ความยาวแค่หัวเข่า ดูเรียบหรูทว่าน่าเย้ายวนใจด้วยคัตติ้งของห้องเสื้อฝีมือระดับโลกที่ตัดเย็บเน้นรูปร่างของผู้สวมใส่ให้งดงามเป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้น คนตัวเล็กแต่มีหน้าอกหน้าใจ เอวคิดกิ่วจนแทบจะกำมือรอบรับกับสะโพกผายซึ่งโดยรวมแล้วคล้ายนาฬิกาทราย อ้อนแอ้น ดึงดูดสายตากระทั่งผู้หญิงด้วยกันเองยังอดชื่มชมไม่ได้
“ว้าว... คุณเพลงสวยจนพลับลืมหายใจ” พิชชุดาที่ประคองเจ้าสัวสันต์เดินออกมาจากห้องนอนเอ่ยทักทายพี่สาวคนโตซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม “จะไปไหนเหรอคะ?”
พิลาสินีอมยิ้มกับคำชมของน้องสาวแล้วรีบเดินจากหน้าห้องนอนของตนไปตามทางครึ่งวงกลม ผ่านหน้าทางลงบันไดไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นห้องนอนของผู้เป็นพ่อและน้องสาวคนเล็ก ที่เป็นบริเวณโล่งพอสมควรพอที่จะหาโซฟาชุดเล็กๆมาตั้งไว้พร้อมกับทีวีสักเครื่องเพื่อให้เจ้าสัวสันต์ได้นั่งพักผ่อนโดยไม่ต้องลงไปชั้นล่าง เพราะอาจเสี่ยงกับอันตรายที่ต้องเดินขึ้น-ลงบันได
“พี่จะไปงานแต่งลูกสาวเจ้าสัวเกียรติจ้ะ” ตอบพร้อมยิ้มสดใสมองครอบครัวอันอบอุ่นที่สัญญากับตัวเองว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน “แล้วน้องพลับจะไปไหนจ๊ะ แต่งตัวซะน่ารักเชียว”
พิชชุดาทำหน้าง้ำเพราะต้องใส่แต่งตัวตามความต้องการของผู้เป็นแม่ สาวน้อยประคองผู้เป็นพ่อให้นั่งลงบนโซฟาตัวเดี่ยวแล้วหันกลับมาปั้นหน้ายากตอบพี่สาว “ออกไปข้างนอกกับคุณแม่ค่ะ แล้วคุณเพลงดูสิ ต้องใส่กระโปรงยาวเอาเสื้อเข้าข้างในแถมต้องถักเปียยังกับพจมานไปบ้านทรายทอง ถ้าไปเจอเพื่อนๆนะมีหวังพลับอายตายเลย”
พิลาสินีและเจ้าสัวสันต์หัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างพิชชุดาเจอไม้แข็งของผู้เป็นแม่ สุดท้ายก็ไม่อาจขัดขืนได้
“แล้วจะไปไหนกัน” พิลาสินีถามต่อ
“ไปจัดการเรื่องโอนที่ดินไง นายหน้าเขาเพิ่งติดต่อมาเมื่อวานตอนเย็น วันนี้ก็เลยต้องไปจัดการให้เรียบร้อย” เจ้าสัวสันต์ตอบและละสายตาจากลูกสาวคนโตมามองลูกสาวคนเล็กที่เข้ามาออดอ้อนอยู่ข้างๆ
“แต่พลับอยากอยู่กับคุณป๋ามากกว่า น้า...คุณป๋าน้า... คุณป๋าอยู่คนเดียวไม่มีใครดูแล น่าเป็นห่วงนะคะ” พิชชุดาออดอ้อนไอย่างน่ารักน่าชัง แต่คนเป็นพ่อไม่หลงกลกับลูกไม้ที่ใช้บ่อยจนทุกคนในบ้านรู้ทัน
“น้องพลับไปกับแม่เถอะ ป๋าอยู่บ้านไม่เห็นต้องมีอะไรน่าห่วง เราสิต้องไปดูแลแม่แทนป๋า เดี๋ยวหนุ่มๆมาเกาะแกะจะได้ไล่ตะเพิดไปไกลๆ”
“โอ๊ย... แก่จนปูนนี้แล้วจะมีหนุ่มที่ไหนมาเหลียวแลล่ะคะ” เพกาเดินออกมาจากห้องและได้ตอบคำถามนั้นเสียเอง จากนั้นจึงหันมาถามพิลาสินีที่ยืนยิ้มอยู่ในชุดสวยเตรียมพร้อมจะไปงานแต่ง “แล้วคุณเพลงจะออกไปพร้อมแม่เล็กเลยไหม?”
“ไม่ค่ะ เดี๋ยวคุณชินเขตจะมารับเพลงค่ะ” พิลาสินีตอบพลางเบี่ยงตัวมาขยิบตาส่งสัญญาณให้เพกา เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อและน้องสาวคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของตนนัก
เพกาลอบถอนหายใจและเข้าใจในความต้องการของพิลาสินีได้โดยง่าย ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อความสบายใจของเจ้าสัวสันต์ทั้งนั้นจึงได้แต่พยักหน้ารับและกวักมือเรียกลูกสาวเพราะเกรงว่าออกจากบ้านสายกว่านี้การจราจรต้องคับคั่งเป็นแน่ “ไปกันได้แล้วน้องพลับ เดี๋ยวสายกว่านี้รถต้องติดแน่ๆ อีกอย่างแม่ไม่อยากกลับบ้านมืดๆค่ำๆ เป็นห่วงคุณป๋า”
“ไปทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อยกันทุกคนเลย ป๋านี่เป็นคนที่สบายที่สุดในบ้านแล้ว อย่ามาห่วงกันให้มากเลย ถ้าให้ดีก็ซื้อนมสดตรงศาลาว่าการ กทมฯ มาให้ป๋าด้วย ฮ่า...” สันต์พูดแล้วหัวเราะอย่างร่าเริงพลางสะบัดมือเป็นเชิงบอกให้ทุกคนรีบไปทำตามหน้าที่ หากต้องเปิดยิ้มออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นร่างกำยำของลูกเขยเดินขึ้นมาอยู่ตรงหัวบันไดพอดี “อ้าว... ตาชิน ไม่เห็นหน้าตั้งนาน เป็นยังไงบ้าง?”
ทุกคนหันไปมองผู้มาเยือนเป็นสายตาเดียวกัน ชินเขตยกมือไหว้เจ้าสัวสันต์ เพกาและรับไหว้พิชชุดาตามลำดับ จากนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆกับอดีตพ่อตา รอยยิ้มและท่าทางนอบน้อมจนเกินเหตุทำให้เพกาต้องเมินหน้าหนีและขอตัวออกจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ทันที
“แม่เล็กไปแล้วนะคุณเพลง ระมัดระวังตัวเองดีๆนะลูก... คนสมัยนี้มันไว้ใจไม่ได้ พวกหน้าเนื้อใจเสือก็มีให้กลาดเกลื่อน” ตั้งใจพูดกระแทกและรู้ว่าชินเขตก็รับรู้ได้เช่นกัน จากนั้นจึงเดินเข้าไปกระซิบกับพิลาสินีด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาให้พอได้ยินกันสองคน “ยิ่งเสือไบหน้าไหว้หลังหลอกแบบนี้ต้องระวังตัวให้มากด้วยนะคุณเพลง”
“ค่ะแม่เล็ก ไม่ต้องห่วงนะคะ” พิลาสินีรับคำและหันกลับมามองผู้ชายต่างวัยสองคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส
“พ่อฝากความยินดีไปถึงกับเจ้าสัวเกียรติด้วยนะ ให้คู่แต่งงานถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง” สันต์ฝากคำอวยพรไปถึงเพื่อนนักธุรกิจที่เคยลำบากมาด้วยกัน “เดี๋ยวจะสาย รีบไปกันเถอะ”
“ครับ วันหลังผมจะมาขอข้าวทานสักมื้อนะครับ คิดถึงซุปไก่ดำหอมๆของแม่เล็กแล้วน้ำลายสอครับ” ชินเขตหยอดคำหวานหากแต่สายตาที่มองพิลาสินีกลับแฝงไว้ด้วยเลศนัย
“พูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล ลูกเขยอยากกินแค่ซุปไก่ดำทำไมจะต้องขอ” สันต์ตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็ผม...”
“เรารีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวถึงงานหลังพิธียกน้ำชาแล้วจะเป็นการเสียมารยาท” พิลาสินีรีบตัดบทสนทนาเพราะไม่ไว้ใจในสายตาเจ้าเล่ห์ของชินเขตและต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขายกมือไหว้พ่อเธอและเดินตามหลังมาติดๆ
ชินเขตมองตามร่างอ้อนแอ้นที่เดินนำหน้าตนเองอยู่ไม่กี่ก้าวด้วยความสะใจ ถึงแม้ว่าสิริแอทเซทเริ่มมีข่าววงในหลุดออกมาว่าพบทางรอดตายอย่างหวุดหวิดและเขาก็รู้ว่าคนที่ฉุดสิริแอทเซทขึ้นมาจากน้ำครำนั้นคือใคร แต่วันนี้เขาจะมอบความระส่ำระสายให้กับพวกสิริสกุล คอยดูเถอะ! ถึงทีของเขาแล้วอย่ามาร้องโอดครวญขอความเห็นใจก็แล้วกัน
พิลาสินีก้าวขึ้นรถยนต์คันหรูของชินเขตที่จอดรออยู่ด้านหน้า ไม่นานนักเขาก็เข้ามานั่งประจำที่คนขับแต่อาการตบมือเข้ากับพวงมาลัยก็ทำให้เธอมองตามอย่างประหลาดใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ! ผมลืมการ์ดแต่งงานไว้ข้างบน” ชินเขตสบถออกมาด้วยน้ำเสียงรำคาญตัวเองแล้วหันมาบอกกับพิลาสินีที่นั่งอยู่ข้างๆ “เพลงรอในรถนะ เดี๋ยวผมวิ่งกลับไปเอาแป๊บเดียว”
“ค่ะ” พิลาสินีพยักหน้ารับและมองตามร่างกำยำของชินเขตที่เดินแกมวิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยความรีบร้อน พลางคิดในใจว่า งานนี้คงเป็นงานสุดท้ายที่จะควงคู่เขาออกงานในฐานะสามีภรรยา หวังว่าต่อจากนี้สถานการณ์ของสิริแอทเซทจะค่อยๆดีขึ้นและสภาพการณ์เช่นนั้นคงจะทำให้พ่อของเธอจิตใจมั่นคงขึ้น ไร้ความกังวลใดๆมารบกวนจิตใจ เมื่อถึงตอนนั้นก็น่าจะตะล่อมบอกเรื่องบางเรื่องกับท่านได้
แต่... เรื่องที่น่าหนักใจต่อไปก็คือเธอต้องเดินทางตามลินเนอุสไปทุกที่ทั่วโลก ฟังจากที่โยวันเล่าแล้วในเดือนหนึ่งๆ เขาแทบจะไม่ได้พักอาศัยหรืออยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่งเป็นการถาวร เพราะต้องเดินทางไปบรรยายพิเศษตามเมืองใหญ่ๆของโลกครั้งละห้าถึงเจ็ดวัน และเธอก็ไม่อยากจะตะลอนๆไปกับเขาเช่นนั้น
‘ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเพลงอยากได้อะไรหรือไม่อยากทำอะไรตามคำสั่งของผมก็ต้องทำตามกฎข้อที่หก’ เขายังทบทวนความจำให้อย่างไม่มีข้อความใดตกหล่นเมื่อเห็นเธอนั่งเงียบ จ้องเขาอย่างไม่พอใจ ‘หากต้องการเรียกร้องในสิ่งใดที่มากกว่าระบุเอาไว้ ต้องอยู่ในพิจารณาของผู้ออกกฎ (นั่นหมายรวมถึงการทำบางสิ่งบางอย่างแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของผู้ออกกฎ)’
นั่นคือคำยืนยันของเขาที่คุยกันล่าสุด ทั้งไม่ยอมผ่อนปรนไม่ว่าเธอจะขอร้องอ้อนวอนเพียงใด เขาก็ยังนั่งเปิดเอกสารกองพะเนินของสิริแอทเซทสลับกับการถามบางเรื่องที่ไม่เข้าใจหรืออยากรู้เพียงคร่าวๆเท่านั้น
ชินเขตกลับเข้ามานั่งประจำที่คนขับอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปราวสิบนาที และเป็นฝ่ายชวนเธอพูดคุยเพราะเห็นว่าเธอนั่งนิ่งราวกับมีเรื่องคิดในใจ
“เพลงคิดถึงใครอยู่รึเปล่า ทำไมหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้น” ชินเขตถามเมื่อขับรถออกมาไกลจากบ้านสิริสกุลพอสมควร
“ปะ...เปล่านี่คะ เพลงจะคิดถึงใครได้” ตอบพลางหันไปสบสายตาคนถาม แต่ความร้ายกาจที่ฉายแววออกมาอย่างเด่นชัด ซึ่งเธอสัมผัสมันได้อย่างชัดเจนก็ทำให้พิลาสินีชาวาบไปทั้งร่างและพูดในสิ่งที่รับรู้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง “เพลงแค่เป็นห่วงคุณป๋า”
ชินเขตยิ้มที่มุมปากแล้วเบือนหน้าหนี หันมามองถนนที่เริ่มมีรถยนต์หนาตาขึ้น “อย่าห่วงเลย... เมื่อกี้นี้ผมก็เห็นท่านนั่งดูทีวีอยู่ แต่เพลงน่าจะห้ามไม่ให้ท่านดูข่าวธุรกิจบ้าง บางข่าวมันก็บั่นทอนทั้งกำลังใจและสุขภาพ”
พิลาสินีทำหน้านิ่วด้วยความแปลกใจเพราะทีวีจุดที่ท่านนั่งพักผ่อนประจำนั้นตัดช่องข่าวออกไปหมดแล้ว จะมีเพียงสารคดี ภาพยนตร์และเพลงเท่านั้น “ตอนคุณขึ้นไปท่านดูข่าวอะไรเหรอคะ?”
“ก็...” ชินเขตอ้ำอึ้งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตอบเลี่ยงๆและชวนคุยเรื่องอื่น “เปล่า... ผมก็แค่เตือนเพราะความหวังดี รู้อยู่แล้วว่าเพลงดูแลคุณป๋าดีมากๆ อ่อจริงสิ! ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ก็มีงานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทใหม่นะ เพิ่งเห็นการ์ดเชิญเมื่อเช้านี้เอง งั้นพรุ่งนี้ผมมารับ...”
“อย่าเลยค่ะ” พิลาสินีตัดบททันทีเมื่อรู้ว่าเขาตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะออกงานด้วยกัน เรื่องคุณป๋าเดี๋ยวเพลงจะจัดการบอกกับท่านเอง ส่วนแม่คุณก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ท่านคงดีใจซะด้วยซ้ำเพราะท่านไม่ได้ชอบหน้าเพลงเท่าไหร่”
“คิดมากไปรึเปล่า” บอกพลางชะลอความเร็วลงเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหน้าของโรงแรม จากนั้นจึงสำรวจตัวเองในกระจกก่อนที่จะลงจากรถ
“เรื่องบางเรื่องคิดมากเอาไว้ก็ไม่เสียหลายนี่คะ บางทีเพลงยังตำหนิตัวเองด้วยซ้ำที่คิดเรื่องของคุณน้อยเกินไป” จบคำพูดก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเสียก่อน ทิ้งให้คนถูกกระแนะกระแหนกัดฟันกรอดๆ ข่มความโกรธเอาไว้จนลึกและบอกกับตัวเองว่าอดทนไว้ หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบเดินตามไปโอบเข้าที่เอวคอดกิ่วของพิลาสินีทั้งยังทำไม่ใส่ใจกับเจ้าตัวที่ถลึงตาดุ จะเบี่ยงตัวหนีก็ทำไม่ได้มากนักเพราะอยู่ในงานซึ่งเป็นที่จับตามองของหลายคน ชินเขตจึงได้ยิ้มเยาะเย้ยเธออย่างสาแก่ใจ!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ