I'm sorry! ขอโทษครับ สามีผมโหด
8.3
เขียนโดย LemonNest
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.30 น.
36 chapter
30 วิจารณ์
55.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
31) ขอโทษครับ 31
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter 31
ตี๋
ผมใช้เวลาไม่นานในการขับรถมาส่งไอ้ฟางที่มหา’ลัย ก่อนจะเลยไปที่บริษัทที่ผมฝึกงานอยู่ ไอ้ฟางมันงอแงนิดหน่อยที่ผมไม่มารับมันตอนเย็น ผมขับรถให้มันจนชินแล้วไง พอมันจะต้องกลับเองก็งอนเดินเข้าตึกไปไม่ลาผมสักคำ
“กูอาจจะมาเย็นมาก รอไหวก็รอ ถ้าเกินทุ่มมึงกลับไปได้เลยนะ” ผมโทรหามันเมื่อรู้ว่ามันค่อยโอเคเท่าไหร่ ไอ้ฟางมันด่ากลับมาที่ผมพูดกลับกลอก วางสายมันไปก็ขับรถต่อเพื่อเข้าบริษัท
“มาช้า กูนั่งแดกกาแฟรอจนอิ่ม” ปากหมาไม่ต่างจากคนน้องเท่าไหร่ ไอ้ฟินกระดิกเท้าไขว้ขาเท้าคางพูดกับผม
“โทษที น้องมึงมันงอแงนิดหน่อย” ผมวางกระเป๋าลงยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาเข้างาน เหลืออีกครึ่งชั่วโมง ถือว่ากำลังดีที่มาก่อน
“ไอ้ฟางเนี่ยนะ กูไม่อยากจะเชื่อ”
“อืม น้องมึงนั่นแหละ เมื่อเช้าก็งอนกูไปรอบ ถ้าไม่รีบไปรับตอนเย็นคงงอนกูอีกรอบ” ไอ้พัดมันว่าผมตามใจไอ้ฟางมากเกินไป ผมมีเมียอยู่คนเดียวมันอยากได้อะไรผมก็อยากให้ ผมมีความสุข มันมีความสุขก็โอเค
“พูดกับมันดี ๆ อย่าไปปล่อยให้มันสั่งได้ ไอ้ฟางมันเป็นพวกสั่งได้ก็สั่ง มึงเคยดุมันบ้างไหมวะ?”
“กูไม่ใช่พ่อมันจะดุทำไมวะ”
“แต่มึงเป็นผัวไอ้ห่า มันทำผิดมึงก็ปล่อยผ่าน? ไม่ได้นะเว้ย อยู่กับกู กูด่าแม่งตลอดอะ ยิ่งเรื่องเอาแต่ใจตัวเองกูทะเลาะกับมันทุกรอบ”
“มันก็ยังพอได้อยู่ ให้มันมากกว่านี้กูคงพูดบ้าง”
ไอ้ฟินมันทำหน้าเหมือนเบื่อที่จะพูดต่อ ผมนั่งเล่นรอเวลาก็มีพี่ผู้ชายหนึ่งคนเดินมาเรียกให้เข้าไปข้างในห้อง วันแรกก็ไม่ค่อยทำอะไรครับ พี่เขาพาไปแนะนำตัวตามแผนกต่าง ๆ ผมก็ยิ้มอย่างเดียวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่อยากถูกเกลียดหน้าตั้งแต่วันแรก
ต้องฝืนทำสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่ง คนเราต้องรู้จักเอาตัวรอด
“น้อง ๆ ช่วยพี่ถ่ายเอกสารตรงนี้หน่อยสิ” พี่ผู้ชายที่ผมเพิ่งแนะนำตัวไปวานให้ผมไปถ่ายเอกสารให้สิบกว่าชุด ด้วยความที่ผมเป็นเด็กใหม่จึงทำทุกอย่างที่เขาใช้ ผมพออดทนได้ แต่ไอ้ฟินที่ขี้หงุดหงิดมันทำหน้าไม่ดีเดินมาหาผมพร้อมระบายความอึดอัดออกมา
“กูมาฝึกงานนะไม่ใช่มาเป็นคนใช้ เอะอะเรียก ๆ”
“มึงอย่าพูดดังไป ใครได้ยินจะหาว่าเราเกี่ยงงาน เรื่องมาก ทน ๆ ไปก่อนมึง สามเดือนเอง” ผมก็ปลอบมันไป มือก็ทำงานของตัวเองไป
“คุณวิศรุตครับ เจ้านายเรียกครับ”
“ครับ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้ครับ” ผมยิ้มให้กำลังใจไอ้ฟินที่เข้าออกห้องหัวหน้าแผนกเป็นว่าเล่น ส่วนพี่ผู้ชายที่เรียกไอ้ฟินชื่อเล่นว่าพี่กาย
“เพื่อนตี๋ชื่ออะไรนะ ฟินรึเปล่า ดูท่าเจ้านายจะชอบไอ้เด็กหัวรั้นคนนี้” พี่กายมายืนช่วยผมเรียกเอกสารเข้าชุด
“ครับ ไอ้ฟินมันก็นิสัยเด็กแบบนั้นแหละพี่ แต่เวลามันตั้งใจทำอะไรมันก็ทำจริง”
“ก็เห็นอยู่ แต่ความอดทนไม่ค่อยมีนะ ยังไงบอกเพื่อนเราไว้หน่อยก็ดี กว่าพี่จะปรับตัวได้ก็นานเหมือนกัน อย่าเพิ่งท้อล่ะ” พี่กายแกตบบ่าผมเดินแยกไปทำงานส่วนของตัวเอง
“ขอบคุณครับ ผมจะบอกมันให้” ผมก็พูดตามหลังพี่กายไป
ช่วงพักเที่ยงก็เป็นเวลาส่วนตัวของเรา ผมกับไอ้ฟินมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารข้างล่างรวมกับพนักงานคนอื่น พี่กายแกก็เดินมานั่งกับพวกผม พนักงานคนอื่นก็พากันมองที่พี่กายมานั่งกับพวกผม ได้ยินมาว่าพี่กายเป็นคนโปรดของเจ้าของบริษัท ไม่ใช่หัวหน้าแผนกที่ไอ้ฟินมันบ่นคนนั้นนะครับ คนนี้เจ้าของเลย เส้นใหญ่น่าดู และที่ผมกำลังพูดคือพี่กายไม่ค่อยลงมาที่นี่เท่าไหร่ ปกติจะสั่งไปกินข้างบน ไม่รู้แกเกิดชอบอะไรผมสองคนขึ้นมาถึงมาสนิทด้วยก็ไม่มีใครรู้อีก
“เขามองเราแปลก ๆ มึงว่าไหม?” ไอ้ฟินที่เริ่มรู้สึกตัวเอียงมากระซิบถามผม
“มึงหล่อไงเขาเลยมอง หึ”
“ไม่ได้นะเว้ย แค่นี้ไอ้พัดก็กำชับนักกำชับหนาว่าอย่าให้ใครมายุ่ง” แล้วมันก็หลงตัวเองไม่เปลี่ยน พูดเรื่องไอ้พัดก็นึกถึงไอ้ฟาง เที่ยงพอดี มันจะกินอะไรรึยัง
“ฟินมีแฟนแล้วเหรอ?” พี่กายชวนไอ้ฟินมันคุย ผมขอตัวออกมาคุยข้างนอก ข้างในเสียงดังครับ
รอสายไอ้ฟางได้สักนาทีมันก็ตัดสายทิ้ง ผมหงุดหงิดเล็กน้อยกดโทรออกใหม่ ไม่นานมันก็กดรับ
(ไอ้ตี๋!! ไอ้ติ้วมันแกล้งกู กูไม่ได้ตัดสายมึงนะ ไอ้สัส! ไปไกล ๆ ตีนเลย ถ้ากูโดนมันกระทืบกูจะมาเล่นงานมึงต่อ)
แค่ได้ยินเสียงมันความเหนื่อยก็หายหมด
“กินข้าวยังวะ?” ได้ยินเสียงไอ้ฟางเดินห่างออกมาจากเสียงดังเมื่อกี้ มันคงรำคาญเพื่อนมันที่ชอบแกล้ง
(กำลัง แล้วมึงอะ? ) ผมน่าจะโทรมาตอนมันกินเสร็จแล้วนะ วันหลังค่อยกะเวลาโทรใหม่แล้วกัน
“เรียบร้อยแล้ว…” ผมเงียบไปพัก “ฟาง คิดถึงกูไหม?” แต่ผมโคตรอยากจะกอดมันเลย ถึงทุกวันมันจะไปเรียนแต่เราก็ยังคุยกันได้มากกว่านี้ แต่พอผมฝึกงานเวลาคุยเราก็น้อยลง ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้ แต่ก็ต้องทนต่อไป และรักษาระยะห่างให้พอดี ไม่ห่างเกินและไม่ติดกันเกินจนมันอึดอัด
(เออ! คะ…คิดนิดนึงก็ได้) หน้ามันคงเขินแก้มแดงระเรื่ออีก ผมยิ้มมือเขี่ยโต๊ะม้าหินอ่อนไปมา
“น้อยใจว่ะ นิดเดียวเอง กูคิดถึงม๊ากมาก”
(คิดถึงสัส ๆ เลย พอใจยัง!) ผมหัวเราะออกมา (…เห้อ~ ทำไมกูอยากร้องไห้) เสียงมันเศร้าลง ถึงจะเบาแต่ผมก็ได้ยิน
“ตั้งใจเรียนนะครับ พี่ไปทำงานก่อนนะ ตอนเย็นถ้าเลิกไวจะโทรบอกอีกที แต่ถ้าไม่โทรฟางกลับไปเลยนะ พี่อาจจะยุ่งอยู่” ผมจะโทรบ่อยก็ไม่ได้เพราะมันเวลางาน แต่วันนี้เห็นพี่กายบอกจะให้เลิกก่อนเวลาเพราะมันแรก
(อือ ไปทำงานเหอะ) ผมใจจะขาด เสียงมันทำผมไม่กล้ากดตัดสายเลย แต่ถ้ายิ่งคุยผมก็ยิ่งอยากเจอมันไง
“ฟาง ไม่เอา มึงจะร้องรึเปล่าวะ ไม่ร้องนะ” ได้ยินเสียงมันสูดน้ำมูก ก่อนจะทำเสียงดังกลบเกลื่อน
(ใครร้องวะ กูเป็นหวัดบ้างเหอะ ถ้าตอนเย็นมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กูรอกินข้าวเย็นพร้อมมึงที่ห้องก็ได้)
“เดี๋ยวไปรับ วันนี้เห็นพี่ว่าเลิกไว กูต้องวางแล้วนะ มึงก็…ตั้งใจเรียนด้วย อย่าโดด อย่าแอบหลับ”
(เออๆ จะพยายามไม่หลับ มึงอ่า ชอบใช้แรงงานกูเยอะ) เห็นมันปกติผมก็สบายใจ ผมคุยกับมันต่ออีกนิดหน่อยก็ตัดสินใจกดวาง ตอนกดนี่มือสั่นเลย คืออยากเจอ อยากคุยไง เป็นเอามากนะกู
กลับเข้ามาในร้านไอ้ฟินกับพี่กายก็กินกันอิ่มพอดี เราสามคนขึ้นไปทำงานต่อข้างบน พี่กายแวะมาคุยเล่นกับเราสองคนบ่อย ๆ ที่จริงเขาไม่ให้เราอยู่ด้วยกันหรอกครับ แต่เพราะพี่กายเขาสนิทกับทุกคนเลยไม่มีใครว่าอะไร ก็มีบ้างที่แอบตำหนิเราทางสายตา แต่ผมก็ไม่โกรธอะไร เพราะผมก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกันที่พี่กายให้เรามากขนาดนี้
……………………………………………………………………………
ฟาง
“ฮือออ ไอ้ตี๋มันวางสายไปแล้ว” ผมนั่งเศร้าแหกปากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ที่หลังห้องน้ำ แบะปากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ กดดูรูปมันน้ำตาก็จะไหลออกมา มันจะเหนื่อยไหม? มีใครแกล้งมันยังที่เคยได้ยินมาไหม?
ห่วง ผมรู้สึกเป็นห่วงมันขึ้นมา
“มาอยู่นี่เอง จะโดดไม่บอกกูเลยนะ” ไอ้เพกับไอ้ติ้วมันเดินมาทางผม ผมรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ตบหน้าตัวเองให้เลิกฟูมฟาย
“ใครว่ากูโดด กูจะตั้งใจเรียนเว้ย วันนี้กูจะตั้งใจเรียนพวกมึงคอยดู” ในเมื่อมันเองก็กำลังเต็มที่กับงาน ผมเองก็จะตั้งใจเรียนอย่างที่พูดกับมันไว้
“ผีเข้ามึง!” ไอ้ติ้วทำหน้าตกใจเอามือมาอังหน้าผากผม “ตัวไม่ร้อน แสดงว่าผีขยันเข้ามึงแน่เลยไอ้ฟาง” ผมปัดมือมันออก
“ผีที่ไหนจะกล้าเข้ากู พอ ๆ ไปเรียนกันได้แล้ว พ่อแม่ส่งให้มาเรียนไม่ใช่มาโดด ยังไงเทอมนี้กูก็จะเอาสามจุดห้าให้ได้” ผมพนันกับไอ้ตี๋ไว้ครับ ถ้าผมเกรดถึงตามที่ตกลงมันจะพาผมไปเที่ยวเมืองนอกได้หนึ่งที่ ผมเลือกเองได้ด้วยนะ
“มันนึกขยันอะไรวะ ผัวไม่อยู่วันเดียวประสาทกลับเลย” เพทายพูดกับติ้วเมื่อฟางเดินนำไปไกล
“กูเข้าใจมันนะ มันคงหาอะไรทำแก้ความคิดถึงมั้ง” เหมือนที่ติ้วหาอะไรทำเพื่อไม่ให้คิดถึงพี่ดินไปมากกว่านี้ ตัวห่างแต่ใจไม่เคยห่าง คิดถึงทุกวินาทีจนไม่เป็นอันต้องทำอะไร
ผมมานั่งรอไอ้ตี๋ไวกว่าปกติ ทุกครั้งผมจะอิดออดเพราะนั่งคุยกับเพื่อนให้มันรอในรถ แต่วันนี้ผมไม่สนใจเพื่อนแม่ง จะยื้อจะพูดอะไรผมโบกมือบายอย่างเดียว
“ให้กูรอเป็นเพื่อนไหม?” ไอ้ติ้วมันนั่งข้าง ๆ ผมส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร แล้วมึงไม่ไปรับพี่ดินเหรอวะ?”
“พี่ดินเอารถไป เลิกดึกด้วย กูกลับคนเดียว ไปถึงก็ไม่มีใครอยู่ในห้อง” ถ้าวันไหนไอ้ตี๋เลิกดึกผมจะอยู่ยังไง
“กูไม่ได้ตั้งใจว่ะ มึงนั่งรอกับกูก็ได้ หรือจะมานั่งเล่นห้องกูก่อน พี่ดินมามึงค่อยกลับ” ผมไม่อยากทิ้งมันไว้คนเดียวเลย
“มะ…” ติ้วมันกำลังพูดโทรศัพท์ผมก็สั่นพร้อมเสียงเพลงที่ผมตั้งเอาไว้ เป็นเบอร์ไอ้ตี๋ที่โทรมา ผมกดรับ
“ว่าไง…อืม…อืม…ไหนมึงบอกจะมารับไง…แค่พี่?.......ไม่ได้หาเรื่อง กูแค่ถาม….จะทำอะไรก็ทำ!” ผมกดตัดสายไม่ได้ฟังต่อว่าไอ้ตี๋มันพูดอะไร มาไม่ได้ก็ไม่น่าให้ความหวังแต่แรก
“มึงก็ใจเย็นดิวะ พี่ตี๋รักมึงจะตาย”
“กูแค่หงุดหงิด ไหน ๆ เราก็ว่างแล้วไปเที่ยวกันไหม? เอาแค่ใกล้ ๆ กูเบื่อว่ะ”
“เอางั้นก็ได้ แค่ชั่วโมงเดียวกลับนะ พี่ตี๋มาไม่เห็นมึงเดี๋ยวก็มีเรื่องกันอีก” ผมเหยียดปากเบ้หน้า
“เหอะ มันสนกูด้วยรึไง วันนี้ทั้งวันก็โทรมาแม่งครั้งเดียว”
“ก็เขาฝึกงานมึงจะให้โทรบ่อย ๆ แบบเดิมก็ไม่ได้ ไอ้ฟางมึงตั้งสติหน่อย” ติ้วเตือน ผมถอนหายใจยาวหยักหน้าส่ง ๆ เพราะมันไม่เคยขัดคำสั่งผม มันไม่เคยผิดนัด ผมเลยกังวลว่าในครั้งหน้ามันจะเป็นแบบนี้อีก
ผมนั่งรถไอ้ติ้วมาลงเอยที่ห้างแห่งหนึ่ง ไม่รู้จะไปไหนกันดี ที่อื่นก็ไกลแถมรถติดอีก เราเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้าได้ของติดมือมาไม่กี่อย่าง ก่อนกลับก็แวะร้านอาหารญี่ปุ่นหน่อย ผมไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้ววะ ไอ้ตี๋มันชอบพาเข้าร้านเค้ก จนผมจะอ้วนเอาจริง ๆ
“ไปร้านอื่นดีกว่าว่ะ” ไอ้ติ้วที่เดินนำหน้าผมเข้าไปในร้านมันจับมือผมลากไปอีกทาง อะไรวะ ผมทำท่าจะเข้าไปมันก็ดึงเอาไว้
“อะไรของมึงวะ กูอยากกินร้านนี้”
“เชื่อกู ไปร้านอื่นเหอะฟาง กูขอ วันเดียว พรุ่งนี้กูจะพามาใหม่” ผมจ้องตามัน แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่ปิดบังอยู่ ในร้านนั้นมีอะไร?
“แต่กูอยากกินวันนี้” ผมดึงมือมันออกรีบเดินเข้าไปในร้าน กวาดตามองหาที่นั่งก็ไปสะดุดกับผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า
มารับกูไม่ได้เพราะกำลังอยู่กับคนอื่น
ตัวผมชาวาบยืนนิ่งขาแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่เคยคิดว่ามันจะมีคนอื่น ไม่คิดว่ามันจะหักหลังผมได้ลงคอ ผมจะเดินออกไปหรือจะเข้าไปถามมันให้รู้เรื่องดี แต่ถ้าเข้าไปตรง ๆ ผมต้องควบคุมตัวเองไม่ให้หาเรื่องไม่ได้ รู้ว่ามันรัก แต่อะไรมันก็เปลี่ยนได้ไม่ใช่เหรอ…
อย่างเช่นความรู้สึกในตอนนี้…มันยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมรึเปล่า?
“กูห้ามมึงแล้วนะฟาง กูคิดว่าจะถามพี่ตี๋ทีหลัง แต่มึงก็เห็นจนได้” ติ้วมันหลีกเลี่ยงไม่ให้ผมเจอ เพราะมันรู้ว่าถ้าผมเจอจะต้องทะเลาะกับไอ้ตี๋
“ไปกัน กูกินร้านนี้แหละ” ผมจะถอยได้ยังไงในเมื่อคนตรงหน้าคือไอ้ตี๋ ไอ้ติ้วมันโดนผมลากไปหยุดยืนที่โต๊ะนั้น โต๊ะที่มีไอ้ตี๋กับผู้ชายอีกคนนั่งอยู่
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ?” ผมถามผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกับไอ้ตี๋ เขามองผมงง ๆ ก่อนจะมองไปยังโต๊ะอื่น
มันก็มีที่ว่าง แต่กูจะนั่งตรงนี้
“ครับ? คือว่าเดี๋ยวมีมาอีกสองคน คงให้นั่งด้วยไม่ได้” ผมโดนปฏิเสธ ที่ว่าอีกสองคนคงเป็นเพื่อนของเขาสินะ มึงใจป๋าถึงขนาดเลี้ยงยันเพื่อนเขาเลย
“แต่ผมอยากนั่งด้วย”
“ฟาง อย่างเหวี่ยง” ไอ้ตี๋มันพูดเสียงเข้มจ้องผมหน้าดุ ผมใจหายวูบเมื่อเจอมันดุต่อหน้าคนอื่น
“รู้จักกันเหรอตี๋?”
“ไม่ ไม่รู้จัก ขอโทษด้วยที่รบกวน” จะว่าผมโง่ก็ได้ แต่ผมไม่ชอบที่มันว่าผมต่อหน้าคนอื่น ถึงผมจะผิดแต่มันก็ผิดไม่ใช่เหรอวะ แล้วมันผิดอะไร?
ผมเดินหนีออกมาอย่างคนขี้ขลาด กำมือแน่นหายใจเข้าออกเงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา รู้ไหมตอนนี้ก็เจ็บแค่ไหน มึงรู้ไหมตอนนี้กูรู้สึกยังไง
“พี่ตี๋ดูท่าจะโกรธมึงมาก ฟาง มันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด มึงน่าจะใจเย็นแล้วคุยกับเขาหน่อย” กูไม่ต่อยมันตรงไหนก็ดีแค่ไหนแล้ว
“กูอยู่ต่อไม่ไหว กลับถึงห้องมันคงจะด่ากูอีกรอบ มึงก็เห็นว่ามันว่ากูต่อหน้าไอ้หมอนั่น”
“แต่มึงเอาแต่ใจ มึงรั้นจะนั่ง ทั้งที่มันนั่งได้แค่สี่คน แล้วพี่ฟินไปไหน มึงไม่คิดบ้างว่าอีกสองคนที่เหลือจะเป็นพี่ฟินกับเพื่อนเขาอีกคน”
“ถ้ามึงจะมาว่ากูอีกคนก็ไม่ต้องไปส่ง กูกลับเองได้”
“มึงจะไม่มีสติทุกครั้งที่โมโห ไม่ต้องกลับหรอกห้องตอนนี้ กูไม่ไว้ใจอารมณ์ของมึง ไปนั่งแดกอะไรเย็น ๆ ให้ดีขึ้นก่อน” ผมเซไปตามแรงดึงของไอ้ติ้ว มันพาผมเข้าร้านไอศกรีม
ไอ้ตี๋มันโทรมา ผมมองก่อนจะตัดสายทิ้ง ไอ้ติ้วมันนั่งมองนั่งกินไอศกรีมของมันไปเรื่อย ๆ ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ พอไอ้ตี๋โทรมาอีกผมก็กดวางอีก เป็นอย่างนี้อยู่ห้ารอบ พอรอบที่หกไอ้ติ้วมันทนไม่ไหวแย่งจากมือผมไปกดรับเอง
“ครับพี่…มันอยู่กับผมเนี่ย…ร้านไอศกรีมชั้นหนึ่งครับ…ได้ครับ…ครับ…” ติ้วยื่นโทรศัพท์คืนฟาง ฟางรับมาวางที่เดิม
“มันว่ายังไง?”
“คิดว่าจะไม่ถามแล้ว มึงอยากรู้ก็โทรเองดิ”
“ไอ้ติ้ว!”
“มึงไม่รับเอง กูไม่บอกหรอก” ผมพ่นลมหายใจออกมามองมันตาแข็ง กูไม่อยากรู้ก็ได้ ไม่เห็นจะสนใจ
“เห็นพี่ตี๋ว่าจะไปต่อกับพี่คนนั้นด้วยแหละ กูก็ไม่รู้นะว่าที่ไหน โอ๊ะ! ลืมไป มึงคงไม่อยากรู้”
“ที่ไหน?!!” ผมดึงแขนมันบังคับให้บอก ไอ้ติ้วชักแขนกลับคว้ากระเป๋าทำท่าจะลุก
“พี่ดินเลิกงานแล้ว กูต้องกลับก่อน” มันย่นหน้าเข้ามากระซิบผม “ถ้ามึงอยากรู้ก็ถามคนข้างหลังมึงเอานะ กลับแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน” ติ้ววางเงินไว้บนโต๊ะโบกมือลาเดินออกจากร้านไป
ผมไม่กล้าหันไปมองว่าที่ไอ้ติ้วพูดหมายถึงอะไร ในความรู้สึกคิดว่าเป็นไอ้ตี๋แน่ มาทำไม มึงจะมาให้กูเจ็บใจเล่นทำไม ผมจะวีนจะเหวี่ยงอะไรก็ไม่ได้เพราะที่นี่คนเยอะ
“จะใจร้ายไม่หันมามองกันหน่อยเหรอไง” เสียงมันดังขึ้น เป็นไอ้ตี๋จริง ๆ ด้วย ผมเม้มปากเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า หยิบบิลค่าไอศกรีมกับเงินไอ้ติ้วมาถือไว้ ไม่คิดจะหันไปมองและไม่สนใจด้วยว่ามันจะพูดอะไร ลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินโดยมีไอ้คนข้างหลังเดินตามมาไม่ห่าง
“รถพี่อยู่ทางนี้” ตี๋จับแขนฟางเอาไว้เมื่อเห็นฟางเดินไปจะเรียกรถโดยสาร
“กูจะกลับเอง ปล่อย!”
“ฟางอย่าดื้อ” ผมพยายามแล้วนะ พยายามจะไม่มองหน้ามัน ไม่อยากเห็นไม่อยากรู้สึกไปมากกว่านี้ เพราะถ้าผมเห็นหน้ามันในตอนนี้น้ำตาผมต้องไหลออกมา และมันก็ไหลลงมาแล้วด้วย
อยู่ต่อหน้ามึงกูไม่เคยเข้มแข็งได้สักครั้ง
“ปล่อย ฮึก..กูบอกให้ปล่อย!” มันดึงผมเข้าไปกอด ผมทุบอกมันหลายรอบจนพอใจ เมื่อผมนิ่งไปมันก็พาผมไปขึ้นรถ ผมนั่งเงียบเอียงข้างมองไปนอกรถ
“พี่คนนั้นชื่อพี่กาย เป็นรุ่นพี่ที่บริษัทกู วันนี้ฝึกงานวันแรกพี่กายเลยอยากเลี้ยงต้อนรับกูกับไอ้ฟิน เราเป็นคนใหม่ถ้าปฏิเสธไปมันจะน่าเกียจ พี่กายเขาไม่คิดอะไรกับกูหรอกฟาง แล้วไอ้ฟินมันก็ตามมาทีหลังกับหัวหน้าแผนกด้วย ไอ้ฟินมันไปดูงานมาเลยมาช้า ที่มึงเห็นคือกูนั่งจองโต๊ะเอาไว้ก่อน” ตี๋อธิบาย
“แต่มึงว่ากู” ผมกระชากคอเสื้อมันเข้ามาใกล้ “ต่อหน้าไอ้พี่กายอะไรนั่นด้วย กูไม่ชอบ!” ตะโกนใส่หน้ามันอย่างสุดจะทน
“มึงลองคิดนะฟาง ถ้าตรงนั้นเป็นลูกค้า ไม่ใช่พี่ที่กูรู้จัก เข้ามานั่งฟังคำขอโทษจากกูไหม เขาจะมานั่งรับรู้ไหมว่ามึงคือเมียกู ที่มึงทำเพราะเข้าใจผิด”
“ฮึก ก็กูโมโหอะ มึงนั่งกันสองคนกูก็คิดว่ามึง…”
“กูทำให้มึงไว้ไม่ได้เลยใช่ไหม? กูเคยมีคนอื่นไหมตั้งแต่คบมึงมา กูเคยบอกคนอื่นนอกจากมึงไหมฟาง”
“ฮือออ อย่าโกรธกูนะ ไม่เอา ไม่โกรธกูนะตี๋” ผมโคตรเชื่อใจมันเลย แต่พอเอาเข้าใจมันก็ทำใจไม่ได้ว่ะ ผมไม่สนผมไม่แคร์ และคิดว่าที่เห็นคือสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นอีกเรื่องไปเลย
“กูจะโกรธ มึงผิดเต็ม ๆ เลยฟาง ไอ้ฟินก็ว่ากูโอ๋มึงเกินไป กูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วฟาง”
“มึงต้องตามใจกูเหมือนเดิม มึงจะไม่สนใจกูไม่ได้นะตี๋ กูไม่ยอม” ผมกอดคอมันโน้มลงให้ปากเราชนกัน พอผมจะจูบมันก็ถอยหน้าหนี
“ไม่จูบ วันนี้มึงห้ามจูบกู” ผมร้องไห้หนักเลยแม่ง
“พี่ตี๋ครับ น้องฟางผิดไปแล้ว ไม่เอา ห้ามทำแบบนี้ ฟางไม่เอา” ผมแบะปากน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด แต่ก็โล่งใจที่ตี๋มันตามผมลงมา
“ไม่!! นั่งนิ่ง ๆ พี่จะขับรถ” มันจับผมให้นั่งตรง ๆ ผมยังมองมันไม่ละสายตา ไอ้ตี๋มันยิ้มเยาะมือจับพวงมาลัยขับกลับคอนโด
ทรมาน เป็นบทลงโทษที่ทรมานสำหรับผมมาก
TBC.
ตี๋
ผมใช้เวลาไม่นานในการขับรถมาส่งไอ้ฟางที่มหา’ลัย ก่อนจะเลยไปที่บริษัทที่ผมฝึกงานอยู่ ไอ้ฟางมันงอแงนิดหน่อยที่ผมไม่มารับมันตอนเย็น ผมขับรถให้มันจนชินแล้วไง พอมันจะต้องกลับเองก็งอนเดินเข้าตึกไปไม่ลาผมสักคำ
“กูอาจจะมาเย็นมาก รอไหวก็รอ ถ้าเกินทุ่มมึงกลับไปได้เลยนะ” ผมโทรหามันเมื่อรู้ว่ามันค่อยโอเคเท่าไหร่ ไอ้ฟางมันด่ากลับมาที่ผมพูดกลับกลอก วางสายมันไปก็ขับรถต่อเพื่อเข้าบริษัท
“มาช้า กูนั่งแดกกาแฟรอจนอิ่ม” ปากหมาไม่ต่างจากคนน้องเท่าไหร่ ไอ้ฟินกระดิกเท้าไขว้ขาเท้าคางพูดกับผม
“โทษที น้องมึงมันงอแงนิดหน่อย” ผมวางกระเป๋าลงยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาเข้างาน เหลืออีกครึ่งชั่วโมง ถือว่ากำลังดีที่มาก่อน
“ไอ้ฟางเนี่ยนะ กูไม่อยากจะเชื่อ”
“อืม น้องมึงนั่นแหละ เมื่อเช้าก็งอนกูไปรอบ ถ้าไม่รีบไปรับตอนเย็นคงงอนกูอีกรอบ” ไอ้พัดมันว่าผมตามใจไอ้ฟางมากเกินไป ผมมีเมียอยู่คนเดียวมันอยากได้อะไรผมก็อยากให้ ผมมีความสุข มันมีความสุขก็โอเค
“พูดกับมันดี ๆ อย่าไปปล่อยให้มันสั่งได้ ไอ้ฟางมันเป็นพวกสั่งได้ก็สั่ง มึงเคยดุมันบ้างไหมวะ?”
“กูไม่ใช่พ่อมันจะดุทำไมวะ”
“แต่มึงเป็นผัวไอ้ห่า มันทำผิดมึงก็ปล่อยผ่าน? ไม่ได้นะเว้ย อยู่กับกู กูด่าแม่งตลอดอะ ยิ่งเรื่องเอาแต่ใจตัวเองกูทะเลาะกับมันทุกรอบ”
“มันก็ยังพอได้อยู่ ให้มันมากกว่านี้กูคงพูดบ้าง”
ไอ้ฟินมันทำหน้าเหมือนเบื่อที่จะพูดต่อ ผมนั่งเล่นรอเวลาก็มีพี่ผู้ชายหนึ่งคนเดินมาเรียกให้เข้าไปข้างในห้อง วันแรกก็ไม่ค่อยทำอะไรครับ พี่เขาพาไปแนะนำตัวตามแผนกต่าง ๆ ผมก็ยิ้มอย่างเดียวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่อยากถูกเกลียดหน้าตั้งแต่วันแรก
ต้องฝืนทำสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่ง คนเราต้องรู้จักเอาตัวรอด
“น้อง ๆ ช่วยพี่ถ่ายเอกสารตรงนี้หน่อยสิ” พี่ผู้ชายที่ผมเพิ่งแนะนำตัวไปวานให้ผมไปถ่ายเอกสารให้สิบกว่าชุด ด้วยความที่ผมเป็นเด็กใหม่จึงทำทุกอย่างที่เขาใช้ ผมพออดทนได้ แต่ไอ้ฟินที่ขี้หงุดหงิดมันทำหน้าไม่ดีเดินมาหาผมพร้อมระบายความอึดอัดออกมา
“กูมาฝึกงานนะไม่ใช่มาเป็นคนใช้ เอะอะเรียก ๆ”
“มึงอย่าพูดดังไป ใครได้ยินจะหาว่าเราเกี่ยงงาน เรื่องมาก ทน ๆ ไปก่อนมึง สามเดือนเอง” ผมก็ปลอบมันไป มือก็ทำงานของตัวเองไป
“คุณวิศรุตครับ เจ้านายเรียกครับ”
“ครับ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้ครับ” ผมยิ้มให้กำลังใจไอ้ฟินที่เข้าออกห้องหัวหน้าแผนกเป็นว่าเล่น ส่วนพี่ผู้ชายที่เรียกไอ้ฟินชื่อเล่นว่าพี่กาย
“เพื่อนตี๋ชื่ออะไรนะ ฟินรึเปล่า ดูท่าเจ้านายจะชอบไอ้เด็กหัวรั้นคนนี้” พี่กายมายืนช่วยผมเรียกเอกสารเข้าชุด
“ครับ ไอ้ฟินมันก็นิสัยเด็กแบบนั้นแหละพี่ แต่เวลามันตั้งใจทำอะไรมันก็ทำจริง”
“ก็เห็นอยู่ แต่ความอดทนไม่ค่อยมีนะ ยังไงบอกเพื่อนเราไว้หน่อยก็ดี กว่าพี่จะปรับตัวได้ก็นานเหมือนกัน อย่าเพิ่งท้อล่ะ” พี่กายแกตบบ่าผมเดินแยกไปทำงานส่วนของตัวเอง
“ขอบคุณครับ ผมจะบอกมันให้” ผมก็พูดตามหลังพี่กายไป
ช่วงพักเที่ยงก็เป็นเวลาส่วนตัวของเรา ผมกับไอ้ฟินมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารข้างล่างรวมกับพนักงานคนอื่น พี่กายแกก็เดินมานั่งกับพวกผม พนักงานคนอื่นก็พากันมองที่พี่กายมานั่งกับพวกผม ได้ยินมาว่าพี่กายเป็นคนโปรดของเจ้าของบริษัท ไม่ใช่หัวหน้าแผนกที่ไอ้ฟินมันบ่นคนนั้นนะครับ คนนี้เจ้าของเลย เส้นใหญ่น่าดู และที่ผมกำลังพูดคือพี่กายไม่ค่อยลงมาที่นี่เท่าไหร่ ปกติจะสั่งไปกินข้างบน ไม่รู้แกเกิดชอบอะไรผมสองคนขึ้นมาถึงมาสนิทด้วยก็ไม่มีใครรู้อีก
“เขามองเราแปลก ๆ มึงว่าไหม?” ไอ้ฟินที่เริ่มรู้สึกตัวเอียงมากระซิบถามผม
“มึงหล่อไงเขาเลยมอง หึ”
“ไม่ได้นะเว้ย แค่นี้ไอ้พัดก็กำชับนักกำชับหนาว่าอย่าให้ใครมายุ่ง” แล้วมันก็หลงตัวเองไม่เปลี่ยน พูดเรื่องไอ้พัดก็นึกถึงไอ้ฟาง เที่ยงพอดี มันจะกินอะไรรึยัง
“ฟินมีแฟนแล้วเหรอ?” พี่กายชวนไอ้ฟินมันคุย ผมขอตัวออกมาคุยข้างนอก ข้างในเสียงดังครับ
รอสายไอ้ฟางได้สักนาทีมันก็ตัดสายทิ้ง ผมหงุดหงิดเล็กน้อยกดโทรออกใหม่ ไม่นานมันก็กดรับ
(ไอ้ตี๋!! ไอ้ติ้วมันแกล้งกู กูไม่ได้ตัดสายมึงนะ ไอ้สัส! ไปไกล ๆ ตีนเลย ถ้ากูโดนมันกระทืบกูจะมาเล่นงานมึงต่อ)
แค่ได้ยินเสียงมันความเหนื่อยก็หายหมด
“กินข้าวยังวะ?” ได้ยินเสียงไอ้ฟางเดินห่างออกมาจากเสียงดังเมื่อกี้ มันคงรำคาญเพื่อนมันที่ชอบแกล้ง
(กำลัง แล้วมึงอะ? ) ผมน่าจะโทรมาตอนมันกินเสร็จแล้วนะ วันหลังค่อยกะเวลาโทรใหม่แล้วกัน
“เรียบร้อยแล้ว…” ผมเงียบไปพัก “ฟาง คิดถึงกูไหม?” แต่ผมโคตรอยากจะกอดมันเลย ถึงทุกวันมันจะไปเรียนแต่เราก็ยังคุยกันได้มากกว่านี้ แต่พอผมฝึกงานเวลาคุยเราก็น้อยลง ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้ แต่ก็ต้องทนต่อไป และรักษาระยะห่างให้พอดี ไม่ห่างเกินและไม่ติดกันเกินจนมันอึดอัด
(เออ! คะ…คิดนิดนึงก็ได้) หน้ามันคงเขินแก้มแดงระเรื่ออีก ผมยิ้มมือเขี่ยโต๊ะม้าหินอ่อนไปมา
“น้อยใจว่ะ นิดเดียวเอง กูคิดถึงม๊ากมาก”
(คิดถึงสัส ๆ เลย พอใจยัง!) ผมหัวเราะออกมา (…เห้อ~ ทำไมกูอยากร้องไห้) เสียงมันเศร้าลง ถึงจะเบาแต่ผมก็ได้ยิน
“ตั้งใจเรียนนะครับ พี่ไปทำงานก่อนนะ ตอนเย็นถ้าเลิกไวจะโทรบอกอีกที แต่ถ้าไม่โทรฟางกลับไปเลยนะ พี่อาจจะยุ่งอยู่” ผมจะโทรบ่อยก็ไม่ได้เพราะมันเวลางาน แต่วันนี้เห็นพี่กายบอกจะให้เลิกก่อนเวลาเพราะมันแรก
(อือ ไปทำงานเหอะ) ผมใจจะขาด เสียงมันทำผมไม่กล้ากดตัดสายเลย แต่ถ้ายิ่งคุยผมก็ยิ่งอยากเจอมันไง
“ฟาง ไม่เอา มึงจะร้องรึเปล่าวะ ไม่ร้องนะ” ได้ยินเสียงมันสูดน้ำมูก ก่อนจะทำเสียงดังกลบเกลื่อน
(ใครร้องวะ กูเป็นหวัดบ้างเหอะ ถ้าตอนเย็นมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กูรอกินข้าวเย็นพร้อมมึงที่ห้องก็ได้)
“เดี๋ยวไปรับ วันนี้เห็นพี่ว่าเลิกไว กูต้องวางแล้วนะ มึงก็…ตั้งใจเรียนด้วย อย่าโดด อย่าแอบหลับ”
(เออๆ จะพยายามไม่หลับ มึงอ่า ชอบใช้แรงงานกูเยอะ) เห็นมันปกติผมก็สบายใจ ผมคุยกับมันต่ออีกนิดหน่อยก็ตัดสินใจกดวาง ตอนกดนี่มือสั่นเลย คืออยากเจอ อยากคุยไง เป็นเอามากนะกู
กลับเข้ามาในร้านไอ้ฟินกับพี่กายก็กินกันอิ่มพอดี เราสามคนขึ้นไปทำงานต่อข้างบน พี่กายแวะมาคุยเล่นกับเราสองคนบ่อย ๆ ที่จริงเขาไม่ให้เราอยู่ด้วยกันหรอกครับ แต่เพราะพี่กายเขาสนิทกับทุกคนเลยไม่มีใครว่าอะไร ก็มีบ้างที่แอบตำหนิเราทางสายตา แต่ผมก็ไม่โกรธอะไร เพราะผมก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกันที่พี่กายให้เรามากขนาดนี้
……………………………………………………………………………
ฟาง
“ฮือออ ไอ้ตี๋มันวางสายไปแล้ว” ผมนั่งเศร้าแหกปากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ที่หลังห้องน้ำ แบะปากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ กดดูรูปมันน้ำตาก็จะไหลออกมา มันจะเหนื่อยไหม? มีใครแกล้งมันยังที่เคยได้ยินมาไหม?
ห่วง ผมรู้สึกเป็นห่วงมันขึ้นมา
“มาอยู่นี่เอง จะโดดไม่บอกกูเลยนะ” ไอ้เพกับไอ้ติ้วมันเดินมาทางผม ผมรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ตบหน้าตัวเองให้เลิกฟูมฟาย
“ใครว่ากูโดด กูจะตั้งใจเรียนเว้ย วันนี้กูจะตั้งใจเรียนพวกมึงคอยดู” ในเมื่อมันเองก็กำลังเต็มที่กับงาน ผมเองก็จะตั้งใจเรียนอย่างที่พูดกับมันไว้
“ผีเข้ามึง!” ไอ้ติ้วทำหน้าตกใจเอามือมาอังหน้าผากผม “ตัวไม่ร้อน แสดงว่าผีขยันเข้ามึงแน่เลยไอ้ฟาง” ผมปัดมือมันออก
“ผีที่ไหนจะกล้าเข้ากู พอ ๆ ไปเรียนกันได้แล้ว พ่อแม่ส่งให้มาเรียนไม่ใช่มาโดด ยังไงเทอมนี้กูก็จะเอาสามจุดห้าให้ได้” ผมพนันกับไอ้ตี๋ไว้ครับ ถ้าผมเกรดถึงตามที่ตกลงมันจะพาผมไปเที่ยวเมืองนอกได้หนึ่งที่ ผมเลือกเองได้ด้วยนะ
“มันนึกขยันอะไรวะ ผัวไม่อยู่วันเดียวประสาทกลับเลย” เพทายพูดกับติ้วเมื่อฟางเดินนำไปไกล
“กูเข้าใจมันนะ มันคงหาอะไรทำแก้ความคิดถึงมั้ง” เหมือนที่ติ้วหาอะไรทำเพื่อไม่ให้คิดถึงพี่ดินไปมากกว่านี้ ตัวห่างแต่ใจไม่เคยห่าง คิดถึงทุกวินาทีจนไม่เป็นอันต้องทำอะไร
ผมมานั่งรอไอ้ตี๋ไวกว่าปกติ ทุกครั้งผมจะอิดออดเพราะนั่งคุยกับเพื่อนให้มันรอในรถ แต่วันนี้ผมไม่สนใจเพื่อนแม่ง จะยื้อจะพูดอะไรผมโบกมือบายอย่างเดียว
“ให้กูรอเป็นเพื่อนไหม?” ไอ้ติ้วมันนั่งข้าง ๆ ผมส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร แล้วมึงไม่ไปรับพี่ดินเหรอวะ?”
“พี่ดินเอารถไป เลิกดึกด้วย กูกลับคนเดียว ไปถึงก็ไม่มีใครอยู่ในห้อง” ถ้าวันไหนไอ้ตี๋เลิกดึกผมจะอยู่ยังไง
“กูไม่ได้ตั้งใจว่ะ มึงนั่งรอกับกูก็ได้ หรือจะมานั่งเล่นห้องกูก่อน พี่ดินมามึงค่อยกลับ” ผมไม่อยากทิ้งมันไว้คนเดียวเลย
“มะ…” ติ้วมันกำลังพูดโทรศัพท์ผมก็สั่นพร้อมเสียงเพลงที่ผมตั้งเอาไว้ เป็นเบอร์ไอ้ตี๋ที่โทรมา ผมกดรับ
“ว่าไง…อืม…อืม…ไหนมึงบอกจะมารับไง…แค่พี่?.......ไม่ได้หาเรื่อง กูแค่ถาม….จะทำอะไรก็ทำ!” ผมกดตัดสายไม่ได้ฟังต่อว่าไอ้ตี๋มันพูดอะไร มาไม่ได้ก็ไม่น่าให้ความหวังแต่แรก
“มึงก็ใจเย็นดิวะ พี่ตี๋รักมึงจะตาย”
“กูแค่หงุดหงิด ไหน ๆ เราก็ว่างแล้วไปเที่ยวกันไหม? เอาแค่ใกล้ ๆ กูเบื่อว่ะ”
“เอางั้นก็ได้ แค่ชั่วโมงเดียวกลับนะ พี่ตี๋มาไม่เห็นมึงเดี๋ยวก็มีเรื่องกันอีก” ผมเหยียดปากเบ้หน้า
“เหอะ มันสนกูด้วยรึไง วันนี้ทั้งวันก็โทรมาแม่งครั้งเดียว”
“ก็เขาฝึกงานมึงจะให้โทรบ่อย ๆ แบบเดิมก็ไม่ได้ ไอ้ฟางมึงตั้งสติหน่อย” ติ้วเตือน ผมถอนหายใจยาวหยักหน้าส่ง ๆ เพราะมันไม่เคยขัดคำสั่งผม มันไม่เคยผิดนัด ผมเลยกังวลว่าในครั้งหน้ามันจะเป็นแบบนี้อีก
ผมนั่งรถไอ้ติ้วมาลงเอยที่ห้างแห่งหนึ่ง ไม่รู้จะไปไหนกันดี ที่อื่นก็ไกลแถมรถติดอีก เราเดินเข้าออกร้านเสื้อผ้าได้ของติดมือมาไม่กี่อย่าง ก่อนกลับก็แวะร้านอาหารญี่ปุ่นหน่อย ผมไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้ววะ ไอ้ตี๋มันชอบพาเข้าร้านเค้ก จนผมจะอ้วนเอาจริง ๆ
“ไปร้านอื่นดีกว่าว่ะ” ไอ้ติ้วที่เดินนำหน้าผมเข้าไปในร้านมันจับมือผมลากไปอีกทาง อะไรวะ ผมทำท่าจะเข้าไปมันก็ดึงเอาไว้
“อะไรของมึงวะ กูอยากกินร้านนี้”
“เชื่อกู ไปร้านอื่นเหอะฟาง กูขอ วันเดียว พรุ่งนี้กูจะพามาใหม่” ผมจ้องตามัน แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่ปิดบังอยู่ ในร้านนั้นมีอะไร?
“แต่กูอยากกินวันนี้” ผมดึงมือมันออกรีบเดินเข้าไปในร้าน กวาดตามองหาที่นั่งก็ไปสะดุดกับผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า
มารับกูไม่ได้เพราะกำลังอยู่กับคนอื่น
ตัวผมชาวาบยืนนิ่งขาแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่เคยคิดว่ามันจะมีคนอื่น ไม่คิดว่ามันจะหักหลังผมได้ลงคอ ผมจะเดินออกไปหรือจะเข้าไปถามมันให้รู้เรื่องดี แต่ถ้าเข้าไปตรง ๆ ผมต้องควบคุมตัวเองไม่ให้หาเรื่องไม่ได้ รู้ว่ามันรัก แต่อะไรมันก็เปลี่ยนได้ไม่ใช่เหรอ…
อย่างเช่นความรู้สึกในตอนนี้…มันยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมรึเปล่า?
“กูห้ามมึงแล้วนะฟาง กูคิดว่าจะถามพี่ตี๋ทีหลัง แต่มึงก็เห็นจนได้” ติ้วมันหลีกเลี่ยงไม่ให้ผมเจอ เพราะมันรู้ว่าถ้าผมเจอจะต้องทะเลาะกับไอ้ตี๋
“ไปกัน กูกินร้านนี้แหละ” ผมจะถอยได้ยังไงในเมื่อคนตรงหน้าคือไอ้ตี๋ ไอ้ติ้วมันโดนผมลากไปหยุดยืนที่โต๊ะนั้น โต๊ะที่มีไอ้ตี๋กับผู้ชายอีกคนนั่งอยู่
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ?” ผมถามผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกับไอ้ตี๋ เขามองผมงง ๆ ก่อนจะมองไปยังโต๊ะอื่น
มันก็มีที่ว่าง แต่กูจะนั่งตรงนี้
“ครับ? คือว่าเดี๋ยวมีมาอีกสองคน คงให้นั่งด้วยไม่ได้” ผมโดนปฏิเสธ ที่ว่าอีกสองคนคงเป็นเพื่อนของเขาสินะ มึงใจป๋าถึงขนาดเลี้ยงยันเพื่อนเขาเลย
“แต่ผมอยากนั่งด้วย”
“ฟาง อย่างเหวี่ยง” ไอ้ตี๋มันพูดเสียงเข้มจ้องผมหน้าดุ ผมใจหายวูบเมื่อเจอมันดุต่อหน้าคนอื่น
“รู้จักกันเหรอตี๋?”
“ไม่ ไม่รู้จัก ขอโทษด้วยที่รบกวน” จะว่าผมโง่ก็ได้ แต่ผมไม่ชอบที่มันว่าผมต่อหน้าคนอื่น ถึงผมจะผิดแต่มันก็ผิดไม่ใช่เหรอวะ แล้วมันผิดอะไร?
ผมเดินหนีออกมาอย่างคนขี้ขลาด กำมือแน่นหายใจเข้าออกเงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา รู้ไหมตอนนี้ก็เจ็บแค่ไหน มึงรู้ไหมตอนนี้กูรู้สึกยังไง
“พี่ตี๋ดูท่าจะโกรธมึงมาก ฟาง มันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด มึงน่าจะใจเย็นแล้วคุยกับเขาหน่อย” กูไม่ต่อยมันตรงไหนก็ดีแค่ไหนแล้ว
“กูอยู่ต่อไม่ไหว กลับถึงห้องมันคงจะด่ากูอีกรอบ มึงก็เห็นว่ามันว่ากูต่อหน้าไอ้หมอนั่น”
“แต่มึงเอาแต่ใจ มึงรั้นจะนั่ง ทั้งที่มันนั่งได้แค่สี่คน แล้วพี่ฟินไปไหน มึงไม่คิดบ้างว่าอีกสองคนที่เหลือจะเป็นพี่ฟินกับเพื่อนเขาอีกคน”
“ถ้ามึงจะมาว่ากูอีกคนก็ไม่ต้องไปส่ง กูกลับเองได้”
“มึงจะไม่มีสติทุกครั้งที่โมโห ไม่ต้องกลับหรอกห้องตอนนี้ กูไม่ไว้ใจอารมณ์ของมึง ไปนั่งแดกอะไรเย็น ๆ ให้ดีขึ้นก่อน” ผมเซไปตามแรงดึงของไอ้ติ้ว มันพาผมเข้าร้านไอศกรีม
ไอ้ตี๋มันโทรมา ผมมองก่อนจะตัดสายทิ้ง ไอ้ติ้วมันนั่งมองนั่งกินไอศกรีมของมันไปเรื่อย ๆ ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ พอไอ้ตี๋โทรมาอีกผมก็กดวางอีก เป็นอย่างนี้อยู่ห้ารอบ พอรอบที่หกไอ้ติ้วมันทนไม่ไหวแย่งจากมือผมไปกดรับเอง
“ครับพี่…มันอยู่กับผมเนี่ย…ร้านไอศกรีมชั้นหนึ่งครับ…ได้ครับ…ครับ…” ติ้วยื่นโทรศัพท์คืนฟาง ฟางรับมาวางที่เดิม
“มันว่ายังไง?”
“คิดว่าจะไม่ถามแล้ว มึงอยากรู้ก็โทรเองดิ”
“ไอ้ติ้ว!”
“มึงไม่รับเอง กูไม่บอกหรอก” ผมพ่นลมหายใจออกมามองมันตาแข็ง กูไม่อยากรู้ก็ได้ ไม่เห็นจะสนใจ
“เห็นพี่ตี๋ว่าจะไปต่อกับพี่คนนั้นด้วยแหละ กูก็ไม่รู้นะว่าที่ไหน โอ๊ะ! ลืมไป มึงคงไม่อยากรู้”
“ที่ไหน?!!” ผมดึงแขนมันบังคับให้บอก ไอ้ติ้วชักแขนกลับคว้ากระเป๋าทำท่าจะลุก
“พี่ดินเลิกงานแล้ว กูต้องกลับก่อน” มันย่นหน้าเข้ามากระซิบผม “ถ้ามึงอยากรู้ก็ถามคนข้างหลังมึงเอานะ กลับแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน” ติ้ววางเงินไว้บนโต๊ะโบกมือลาเดินออกจากร้านไป
ผมไม่กล้าหันไปมองว่าที่ไอ้ติ้วพูดหมายถึงอะไร ในความรู้สึกคิดว่าเป็นไอ้ตี๋แน่ มาทำไม มึงจะมาให้กูเจ็บใจเล่นทำไม ผมจะวีนจะเหวี่ยงอะไรก็ไม่ได้เพราะที่นี่คนเยอะ
“จะใจร้ายไม่หันมามองกันหน่อยเหรอไง” เสียงมันดังขึ้น เป็นไอ้ตี๋จริง ๆ ด้วย ผมเม้มปากเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า หยิบบิลค่าไอศกรีมกับเงินไอ้ติ้วมาถือไว้ ไม่คิดจะหันไปมองและไม่สนใจด้วยว่ามันจะพูดอะไร ลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินโดยมีไอ้คนข้างหลังเดินตามมาไม่ห่าง
“รถพี่อยู่ทางนี้” ตี๋จับแขนฟางเอาไว้เมื่อเห็นฟางเดินไปจะเรียกรถโดยสาร
“กูจะกลับเอง ปล่อย!”
“ฟางอย่าดื้อ” ผมพยายามแล้วนะ พยายามจะไม่มองหน้ามัน ไม่อยากเห็นไม่อยากรู้สึกไปมากกว่านี้ เพราะถ้าผมเห็นหน้ามันในตอนนี้น้ำตาผมต้องไหลออกมา และมันก็ไหลลงมาแล้วด้วย
อยู่ต่อหน้ามึงกูไม่เคยเข้มแข็งได้สักครั้ง
“ปล่อย ฮึก..กูบอกให้ปล่อย!” มันดึงผมเข้าไปกอด ผมทุบอกมันหลายรอบจนพอใจ เมื่อผมนิ่งไปมันก็พาผมไปขึ้นรถ ผมนั่งเงียบเอียงข้างมองไปนอกรถ
“พี่คนนั้นชื่อพี่กาย เป็นรุ่นพี่ที่บริษัทกู วันนี้ฝึกงานวันแรกพี่กายเลยอยากเลี้ยงต้อนรับกูกับไอ้ฟิน เราเป็นคนใหม่ถ้าปฏิเสธไปมันจะน่าเกียจ พี่กายเขาไม่คิดอะไรกับกูหรอกฟาง แล้วไอ้ฟินมันก็ตามมาทีหลังกับหัวหน้าแผนกด้วย ไอ้ฟินมันไปดูงานมาเลยมาช้า ที่มึงเห็นคือกูนั่งจองโต๊ะเอาไว้ก่อน” ตี๋อธิบาย
“แต่มึงว่ากู” ผมกระชากคอเสื้อมันเข้ามาใกล้ “ต่อหน้าไอ้พี่กายอะไรนั่นด้วย กูไม่ชอบ!” ตะโกนใส่หน้ามันอย่างสุดจะทน
“มึงลองคิดนะฟาง ถ้าตรงนั้นเป็นลูกค้า ไม่ใช่พี่ที่กูรู้จัก เข้ามานั่งฟังคำขอโทษจากกูไหม เขาจะมานั่งรับรู้ไหมว่ามึงคือเมียกู ที่มึงทำเพราะเข้าใจผิด”
“ฮึก ก็กูโมโหอะ มึงนั่งกันสองคนกูก็คิดว่ามึง…”
“กูทำให้มึงไว้ไม่ได้เลยใช่ไหม? กูเคยมีคนอื่นไหมตั้งแต่คบมึงมา กูเคยบอกคนอื่นนอกจากมึงไหมฟาง”
“ฮือออ อย่าโกรธกูนะ ไม่เอา ไม่โกรธกูนะตี๋” ผมโคตรเชื่อใจมันเลย แต่พอเอาเข้าใจมันก็ทำใจไม่ได้ว่ะ ผมไม่สนผมไม่แคร์ และคิดว่าที่เห็นคือสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นอีกเรื่องไปเลย
“กูจะโกรธ มึงผิดเต็ม ๆ เลยฟาง ไอ้ฟินก็ว่ากูโอ๋มึงเกินไป กูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วฟาง”
“มึงต้องตามใจกูเหมือนเดิม มึงจะไม่สนใจกูไม่ได้นะตี๋ กูไม่ยอม” ผมกอดคอมันโน้มลงให้ปากเราชนกัน พอผมจะจูบมันก็ถอยหน้าหนี
“ไม่จูบ วันนี้มึงห้ามจูบกู” ผมร้องไห้หนักเลยแม่ง
“พี่ตี๋ครับ น้องฟางผิดไปแล้ว ไม่เอา ห้ามทำแบบนี้ ฟางไม่เอา” ผมแบะปากน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด แต่ก็โล่งใจที่ตี๋มันตามผมลงมา
“ไม่!! นั่งนิ่ง ๆ พี่จะขับรถ” มันจับผมให้นั่งตรง ๆ ผมยังมองมันไม่ละสายตา ไอ้ตี๋มันยิ้มเยาะมือจับพวงมาลัยขับกลับคอนโด
ทรมาน เป็นบทลงโทษที่ทรมานสำหรับผมมาก
TBC.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ