ยอดรักจอมเผด็จการ
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 12 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบ่ายจัดของวันต่อมาในขณะที่ยืนรอรับมารับกลับคฤหาสน์พาวิลเชนโก ปานชีวาต้องเดินกลับเข้าไปในอาคารเรียนอีกครั้งเพราะยืนขาแข็งมาเกือบชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววของรถคันยาว จะว่าไปเธอก็เบื่อกับการรอคอยนัก มันทั้งทรมาน อึดอัด ทำให้กระวนกระวาย พลางคิดในใจว่าหากเขามีธุระหรือติดภารกิจสำคัญ ก็น่าจะบอกกล่าวกันบ้าง เธอเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ อีกทั้งคิดว่าตนไม่น่าเป็นเป้าหมายของกลุ่มLONAจึงไม่น่าต้องมีคนคอยรับคอยส่ง ที่สำคัญต้องเสียเวลากับการรอคอยเช่นนี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์
ความจริงแล้วเธอไม่ได้พบหน้าลาโคลอฟหลังจากแยกกันในช่วงเช้าของเมื่อวาน ตอนบ่ายเขาให้คนสนิทที่ชื่อมารัตมารับเพียงคนเดียว กลับถึงคฤหาสน์พาวิลเชนโกก็เห็นว่าผู้เป็นอากำลังตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่หลายคน และได้ทราบภายหลังว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นหน่วยพิเศษที่ลาโคลอฟจัดตั้งขึ้นเพื่อเรื่องของอีวานโดยเฉพาะ
ช่วงบ่ายจนถึงเวลาอาหารเย็นจึงหมดไปกับการตอบอันถามอันมากมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นบอกเพียงว่าการพูดคุยกับคนใกล้ชิดอาจจะทำให้พบเบาะแสที่เป็นความต้องการของกลุ่มLONA แน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้นต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์อีกมากมาย สุดท้ายเธอและอาก็ทำได้เพียงรอคอยต่อไป
...ปานชีวาหลับตาลงเมื่อมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดไว้ในอาคาร เวลาหนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาทีที่ต้องเสียไป ทำให้คนรอเกิดอารมณ์ฉุนขึ้นมาไม่น้อย มันคงเป็นเหตุผลที่เพียงพอหากเธอจะเดินทางกลับบ้านเองและไม่ต้องกลายเป็นภาระให้กับใครอีกต่อไป ไวเท่าความคิดเธอเดินมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกด้านทิศตะวันตก ซึ่งจะใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินมากกว่าประตูทางออกอาคารด้านหน้า ตั้งใจจะใช้มีโตรเดินทางจากมหาวิทยาลัยถึงสถานีสุดท้าย จากนั้นจึงจะต่อแท็กซี่เดินทางไปยังคฤหาสน์พาวิลเชนโกที่อยู่ตั้งอยู่ในแถบชานเมือง ซึ่งส่วนมากจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมีอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่และไม่มีรถสาธารณะแล่นผ่าน
ลาโคลอฟนั่งรอเด็กบ้านแตกในรถคันยาวราวสิบนาที จากนั้นจึงให้คนสนิทเข้าไปตามเธอในอาคารเพราะไม่รู้ว่าเธอยังอยู่ในชั้นเรียนหรืออาจจะเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้น ไม่อยากบอกให้เธอได้ใจหรอกว่า เวลาเกือบสี่สิบชั่วโมงที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอเขาคิดถึงเพียงใด ดวงตาเป็นประกายราวกับคริสตัลชั้นเยี่ยม แก้มหอม เสียงหวาน ยิ่งริมฝีปากยิ่งหวานล้ำ ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเธอทำให้เขาโหยหา รวดร้าวราวอดเสน่หามาเป็นแรมปี
“ไม่พบครับ ในชั้นเรียนก็ไม่มีใครครับ” อลันวิ่งเข้ามารายงาน
หัวใจแกร่งของชายหนุ่มกระตุกวูบเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายกับเธอ มือหนาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากำลังจะต่อสายหาเธอ แต่สายตาของเขากลับมองเห็นร่างกะทัดรัดกำลังเดินพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย ในตำแหน่งที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดิน เพียงเท่านั้นเขาก็ก้าวลงจากรถ ออกวิ่งด้วยความรวดเร็วไปยังเป้าหมายที่สายตามองอย่างทันท่วงที
แน่นอนว่าความเร็วต้นของรถยนต์คันยาวในระยะไม่ไกลนี้สู้ความเร็วจากฝีเท้าของทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นคนสนิทจึงบังคับรถยนต์ตามร่างของเจ้านาย
“จะไปไหนปานชีวา?”
ปานชีวาสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเข้มเจือความดุดังขึ้นไม่เบานัก พร้อมกับถูกฉุดข้อมือจนเสียหลักเล็กน้อย แต่สายตาของผู้คนที่มองมาอย่างให้ความสนใจ เมื่อเสียงดุย้ำมาอีกครั้งนั้นทำให้อับอาย สายตาหลายคู่จ้องมองไม่ต่างจากเธอเป็นเด็กใจแตกกำลังหนีเที่ยว!
ลาโคลอฟกระชับข้อมือเล็กแน่นขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกหากไม่ใช่เพราะความเหนื่อยแต่เป็นเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงขัดคำสั่ง ช่างไม่รู้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่รอบตัวเอาเสียเลย “ทำไมถึงได้ขัดคำสั่งของผม อยากลองดีกับผมใช่ไหม?”
ปานชีวากัดริมฝีปากแน่น จำเป็นด้วยหรือที่เขาต้องใช้คำพูดทำนองนี้กับเธอหลังจากที่ปล่อยให้รอนานหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที! คำขอโทษสั้นๆหรือจะเป็นเหตุผลบ้าบออะไรก็แล้วแต่ต่างหากที่เขาควรเอามาชี้แจง ไม่ใช่ตวาดดุ มองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ลากเดินออกจากผู้คนมากมายแล้วจับยัดใส่รถราวกับเธอเป็นเด็กในปกครองแบบนี้
ปานชีวาขยับหนีร่างสูงใหญ่ที่จงใจนั่งเบียดตามเข้ามาทันที กระเถิบไปติดกับประตูรถอีกฟากถามเขาด้วยความโกรธที่มีไม่น้อยไปกว่ากัน “มันจะมากไปแล้วนะ หลังจากที่ให้ฉันรอมาชั่วโมงครึ่ง คุณคิดดีแล้วเหรอที่ลากฉันแล้วจับมายัดใส่รถเหมือนอะไรสักอย่างที่ไร้ชีวิตจิตใจ”
“คุณเลิกเรียนสี่โมง ผมมารับสี่โมงสิบนาที ช้าแค่สิบนาทีคุณจะรอหน่อยไม่ได้เลยเหรอ” โต้กลับแล้วหันไปสั่งคนสนิทเสียงเข้ม “กลับกระทรวง”
“แต่ฉันจะกลับบ้าน”
“ผมยังมีงานค้างอีกเยอะแยะ เย็นๆค่อยกลับพร้อมกัน” ลาโคลอฟตอบ
“ไม่! งั้นก็จอดตรงนี้ ฉันจะกลับเอง” ปานชีวาบอกด้วยน้ำเสียงห้วน หากคนฟังกลับมองอย่างเอาเรื่องแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ เพียงเสี้ยววินาทีก็ขมวดคิ้วมุ่นหันกลับมาถามเธอด้วยความสงสัย
“เลิกเรียนกี่โมง ถึงได้บอกว่านั่งรอผมเป็นชั่วโมง”
“บ่ายสองครึ่ง ฉันนั่งรอคุณหนึ่งชั่วโมงกับอีกยี่สิบนาที คิดว่าคุณต้องติดธุระสำคัญเลยคิดว่าจะกลับเอง...” ปานชีวายังพูดไม่จบประโยค เขาก็หันไปดุคนสนิทเสียแล้ว
“เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้พลาดด้วยนะอลัน ทำไมถึงได้ชุ่ยอย่างนี้”
ได้ยินดังนั้นอลันก็รีบปิดอุปกรณ์สื่อสารสารพัดประโยชน์ของตนเองทันที “ขอโทษครับท่าน เป็นความผิดของผมที่ดูวันเวลาผิดไปครับ ขอโทษคุณผู้หญิงด้วยครับ”
“คืนนี้ไปนอนในโรงยิมก็แล้วกัน” ลาโคลอฟสั่ง มันเป็นการลงโทษขั้นเบาที่สุดแล้ว การฝึกฝนร่างกายอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหลายชั่วโมงเป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เขาเองก็ถูกฝึกฝนมาเช่นนั้นเหมือนกัน
“ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด อย่าลงโทษหนักอย่างนั้นเลยนะคะ” เข้าใจว่านั่นคือคำสั่งลงโทษ แต่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยต้องได้รับโทษหนักเช่นนี้ ไม่สบายใจที่สุดก็คือการได้เป็นต้นเหตุแห่งความยากลำบากของคนอื่น
“สั่งไปแล้ว”
“แต่...”
“ถ้าไม่อยากลำบากก็อย่าทำผิดอีก” ลาโคลอฟบอกพลางหันหน้ามาจ้องเธออย่างคาดโทษ “คุณเหมือนกัน คราวหลังต่อให้นานแค่ไหนก็ต้องรอ ห้ามไม่ให้ไปไหนคนเดียวเด็ดขาด ถ้าผิดเวลามากนักก็ควรโทรฯหาผม เบอร์โทรฯก็มีอยู่ในเครื่อง”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าในเครื่องมีเบอร์โทรฯคุณด้วย” ความจริงตอนที่นั่งรอก็นึกแปลกใจไม่น้อยที่ในโทรศัพท์ของตนมีเบอร์ส่วนตัวของเขา ทั้งยังบันทึกว่า ‘ลุคที่รัก’ เสียด้วย “แล้วคุณแอบมาวุ่นวายกับของใช้ส่วนตัวฉันทำไม”
“ไม่ได้แอบ แล้วก็ไม่ต้องทำโมโหกลบเกลื่อนความอาย คุณชอบที่เห็นชื่อผมในโทรศัพท์ก็บอกมาตรงๆ”
ไม่ได้ชอบแค่อุ่นใจเท่านั้นหรอก ปานชีวาคิดในใจพลางคิดหาเหตุผลโต้เถียงกับเขา แต่ต้องหุบปากฉับเมื่อเขาชี้นิ้วห้ามอย่างรู้ทัน
“อย่ามาเถียง สาวๆสมัยนี้ติดโทรศัพท์ยังกับอะไรดี เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่เห็นชื่อผมที่บันทึกไว้” ลาโคลอฟดักคออย่างรู้ทัน หากดวงตาเป็นประกายที่มองมาด้วยความไม่พอใจ มันจริงจังกว่าทุกครั้งจนเขาไม่กล้ายั่วอารมณ์เธออีกใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยราวกับไม่อยากตอบโต้กับเขาอีก เป็นเหตุให้เกิดความเงียบงันขึ้นมาระหว่างการเดินทาง แต่ไม่นานนักรถคันยาวก็เลี้ยวเข้าสู่ตึกว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยแอลเมเรีย อีกทั้งการจราจรในเมืองหลวงก็ไม่ได้ติดขัดจึงใช้เวลาเพียงสั้นๆในการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง
ปานชีวาลอบถอนหายใจเมื่อรถจอดสนิท ประตูถูกเปิดออกแล้วร่างสูงใหญ่ก็ก้าวลงไปจากรถแล้วยื่นมือมารอรับเธออยู่อย่างสุภาพ มนตร์ขลังแห่งสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ สถานที่ราชการที่มีผู้คนเดินเข้าออกทำให้เธอต้องข่มความโกรธระคนน้อยใจไว้จนลึก วางมือลงบนฝ่ามือใหญ่แล้วก้าวลงมาจากรถคันยาว
อลันเข้ามารับเสื้อโค้ชของเจ้านายอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นลาโคลอฟก็เป็นคนช่วยเธอถอดเสื้อโค้ชออกและพาดมันบนท่อนแขนด้านหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างแตะที่แผ่นหลังบอบบางให้เธอเดินเคียงข้างกับเขาเข้าไปด้านใน
จริงอยู่ว่าธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแอลเมเรียนั้นผู้ชายจะเป็นคนถือเสื้อโค้ช เปิดประตู ขับรถ จ่ายค่าอาหารให้ผู้หญิงของตนและมันเป็นเรื่องชินตามากหากเป็นเพียงผู้ชายคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเช่น ลาโคลอฟ พาวิลเชนโก
ปานชีวารู้ข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างดี สายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างความสนใจทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจ หากต้องทำเป็นนิ่งไม่ใส่ใจ ยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัวราวกับกำลังดูแลคู่รักเป็นอย่างดี ซึ่งภาพของทั้งคู่ไม่ได้สื่อออกมาในทำนองเสียหายหรือน่าเกลียด ทว่ามันน่ามองและบ่งบอกว่ารัฐมนตรีหนุ่มเอาใจใส่เธอมากเพียงใด
คำถามที่ตามมาก็คือ หญิงสาวรูปร่างกะทัดรัด หน้าตาสะสวยนี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้รับการดูแลจากรัฐมนตรีหนุ่มเป็นอย่างดี เพราะแม้แต่ตาทาเนีย ชียานอฟ ที่ใครต่อใครต่างรู้ดีว่าเธอคือคู่หมายของเขาก็ยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้!
ปานชีวาเบี่ยงตัวออกจากฝ่ามือของเขาทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องทำงานตามลำพัง ท่าทีเฉยเมยของเธอทำให้เขารู้ว่ากำแพงความรู้สึกระหว่างกัน ที่ตนได้ทลายลงไประดับหนึ่งนั้นตอนนี้เธอกำลังก่อกำแพงขึ้นมาซ่อมแซมให้มันมีสภาพคงเดิม
“เป็นอะไร โกรธมากเหรอที่ผมไปรับช้า” ลาโคลอฟถามพลางขยับตัวเข้าไปไกลอย่างงอนง้อ
นั่นคือสาเหตุแรกและเธอลืมมันไปแล้วเมื่อได้รู้ความจริงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ก็เหนื่อยใจเกินกว่าจะตอบคำถามของเขา จึงใช้ความเงียบเป็นคำตอบเพราะคิดว่ามันจะทำให้เขาเบื่อและเลิกตอแยไปเอง
“หรือโกรธที่ผมก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ไม่เอาน่า... มันเป็นเรื่องปกติจะตายไปที่คนคบกันต้องมีเบอร์โทรศัพท์ของคู่รัก” ได้ผล! เธอก้าวไปยืนตรงกันข้ามมองเขาตาเขียวปัด หากแล่เนื้อเถือหนังออกมาเป็นชิ้นๆได้ คิดว่าเธอไม่ปล่อยโอกาสนั้นไปแน่
“ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยตกลงจะคบคุณ ไม่เคยบอกว่าจะเป็นคู่รักหรือไม่เคยทำอะไรให้คุณเข้าใจว่าเราจะคบกันเป็นคู่รัก” ยิ่งเขามาเปิดประเด็นเรื่องนี้ เลยคิดว่าวันนี้ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง เบื่อหน่ายเหลือเกินกับการถูกมองเป็นตัวตลก สายตาที่มองมานั้นทำให้เธอเข้าใจได้ว่าตนไม่ต่างจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ผลสุดท้ายต้องถูกเขาเขี่ยทิ้ง เหมือนเป็นคนที่ไม่รู้จักประมาณตน
“ไม่เคยพูดแต่กล้าปฏิเสธไหมว่าใจคุณไม่คิด” เมื่อเธอเงียบจึงเริ่มระรัวคำถามทันที “สองปีที่เราไม่ได้เจอกันคุณคิดถึงผมใช่ไหม เมื่อวานที่เราไม่ได้ทะเลาะกันคุณเหงาใช่ไหม ที่ผมหายหน้าไปทำให้คุณหงุดหงิดใจเพราะคิดว่าผมจะไปมั่วกับผู้หญิงอื่นใช่ไหม”
ปานชีวาอ้าปากค้างเมื่อเขายกเอาความจริงที่เธอเผลอคิดอยู่บ่อยๆมากองตรงหน้า!
“ปฏิเสธมาสิว่าคุณไม่เคยคิดถึงจูบที่สองของเรา คุณคิดว่ามันต้องยอดเยี่ยม เลิศเลอกว่าครั้งแรกเหมือนผมใช่ไหม” พูดพร้อมกับคว้าเอาร่างของเธอมาไว้ในอ้อมแขน เหมือนเวลาถูกหยุดเอาไว้เมื่อสายตาสองคู่จ้องมองกันและกัน ต่างคนต่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอันเป็นหน้าต่างถึงหัวใจ
ความลับที่ซ่อนอยู่ในแววตาคู่สวยเป็นประกายที่ทำให้เขาไม่อาจตัดใจจากเธอได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ดวงตาของเธอกลมโต แสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาทางสายตา ที่สำคัญดวงตาคู่นี้ทำให้เขายอมศิโรราบต่อเธอได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปานชีวาหลับตานิ่งเมื่อเขาก้มลงมาหา ประทับจูบลงบนหน้าผาก เปลือกตาทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบา สิ่งที่เขาถามมาเธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลยสักข้อ ความรู้สึกหลากหลายทั้งเหงา หงุดหงิดใจ คิดถึง เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งเพียงแค่ไม่ได้เจอหน้าเขา ไม่ได้ยินน้ำเสียงและคำพูดกวนอารมณ์แต่ทุกคำพูดของเขาก็ทำให้เธออบอุ่นไปทั้งร่าง หรือนี่...คือความรักที่เธอหลีกหนีมาตลอดเวลา!?
“คุณเต็มใจใช่ไหมเบบี้คริสตัล” ลาโคลอฟถามชิดริมฝีปากอิ่ม เมื่อไล่จูบทั่ววงหน้างดงามจนพอใจ หากต้องยิ้มเมื่อโอกาสตรงหน้าหลุดลอยไปเพราะเธอก้มหน้างุดซุกตรงอก ส่ายหน้าไปมาด้วยความเขินอาย ยอมรับล่ะว่าเสียดายแต่กิริยาของเธอก็น่าเอ็นดูเสียจนเขาต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่น กดจูบลงบนกระหม่อมบางหลายๆครั้งอย่างแสนรัก
“คุณคิดแค่เรื่องอย่างว่าอย่างเดียวเลยนะ” ปานชีวาต่อว่าเขาไม่เต็มเสียงนัก
ลาโคลอฟหัวเราะร่วนกับคำตำหนิที่น้อยคนนักจะพูดกับเขาตรงๆอย่างนี้ ยิ่งเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้ยิ่งไม่เคยได้ยินสักครั้ง พวกเธอออกจะชอบและเป็นฝ่ายเรียกร้องเพิ่มเสมอ “ถ้าจะพูดตรงๆก็กลัวว่าคุณจะรับไม่ได้ หาว่าผมบ้าเซ็กส์อีก แต่จะบอกให้นะว่าผมมั่นใจมากว่าตัวเองไม่ได้เสพติดเซ็กส์อย่างที่คุณกล่าวหา เพราะร่างกายของผมไม่ได้ตอบรับผู้หญิงทุกคน”
ไม่อยากบอกให้เธอได้ใจว่า เขาเหมือนไอ้ขี้แพ้ไร้น้ำยาเลยล่ะถ้ามองหน้าคู่นอนชั่วคราว ทุกครั้งต้องหลับตาแล้วจินตนาการใบหน้าของเธอหรือไม่ก็มองได้แค่แผ่นหลังแล้วคิดว่าเป็นแผ่นหลังของเธอ ถึงจะพุ่งสู่การปลดปล่อยอารมณ์ได้อย่างเต็มที่!
“ถ้าคุณกำลังจะบอกฉันว่ารักผู้หญิงทุกคนที่มีสัมพันธ์ด้วย ฉันไม่เชื่อหรอกนะคะ” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงกล้าถกเถียงเรื่องนี้กับเขา ในขณะที่ยอมให้เขากอดอย่างแนบแน่น
“ไม่รักจ้ะ แค่พึงพอใจแต่ก็เป็นความพึงใจชั่วครั้งชั่วคราว ถึงจุดหมายแล้วก็จบกัน ไม่เคยคิดอยากสานต่อให้มันวุ่นวาย”
โอ!... นี่เป็นคำตอบของเพลย์บอยเต็มขั้นตัวจริงสินะ
“ใจร้ายจริงๆ น่าสงสารพวกเธอนะคะ คุณน่าจะรู้ว่าผู้หญิงเราถ้าลองได้ยอมมอบตัวให้ใครแล้วก็ต้องมอบใจให้ด้วย” ปานชีวาพูดโดยเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เพราะใจหนึ่งอยากรู้เหลือเกินว่าถ้าเขาเบื่อเธอแล้วจะเขี่ยทิ้งง่ายๆหรือเปล่าแต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ คำถามที่ออกมาจึงเหมือนการพูดถึงผู้หญิงที่ผ่านมาในชีวิตที่เขาไม่ได้คิดจริงจังด้วย และมันทำให้ลาโคลอฟตอบคำถามในแบบที่ทำให้เธอกลัว!
“เรามีข้อตกลงที่ชัดเจนต่อกันนะ และผมมั่นใจว่าจัดการกับทุกคนได้โดยที่ไม่ทำให้พวกเธอต้องเสียใจมากนัก”
จบคำตอบปานชีวาก็ดึงตัวเองออกจากหน้าอกกว้าง แหงนหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “แต่ก็ต้องมีสักคนที่แหกกฎบ้าง อย่างผู้หญิงในประเทศของฉันก็ยังมีข่าวแย่งชิงผู้ชายที่รักอยู่บ่อยๆ และฉันก็มั่นใจว่าทุกประเทศก็คงไม่ต่างกัน”
ลาโคลอฟมองเธอส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “ไม่มีหรอกทูนหัว และผมคิดว่าเราคุยเรื่องคนอื่นมามากพอแล้ว กลับมาที่เรื่องของเราดีกว่า”
“ไม่ให้จูบนะ”
เธอโต้กลับมาเร็วเสียจนเขาหัวเราะ “ทำไมล่ะ ไม่คิดถึงผมหรือไง”
“แล้วทำไมฉันต้องคิดถึงคุณ”
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ ไม่คิดถึงจูบที่สองของเราหรอกรึ?”
ปานชีวาส่ายหน้าดิก ต่อให้คิดถึงจนแทบขาดใจเธอก็ไม่กล้าหาญตอบความจริงหรอก หากต้องเดินไปพร้อมกับเขาเรื่อยๆในขณะที่ยังอยู่ในอ้อมกอด เมื่อเขาถอยหลังไปถึงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ นั่งลงบนโต๊ะแล้วใช้ขาแข็งแรงทั้งสองข้างเกี่ยวเข้าที่ส่วนล่างในขณะที่สองแขนยังโอบเอวเธอหลวมๆ
ลาโคลอฟออกแรงรัดเธอแน่นขึ้น ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือเมื่อเธอเข้ามายืนอยู่กลางหว่างขาของตน ใบหน้ารูปหัวใจเริ่มแดงก่ำ หากไม่มีเวลาที่จะมองท่าทางเขินอายนั้นได้นานเพราะตั้งใจจะทดสอบบางอย่างกับเธอ “ผมมีข้อเสนอ ถ้าคุณชนะผมสาบานว่าจะไม่ตามตื้อ บังคับจิตใจอีกต่อไป”
ปานชีวามองเขาอย่างไม่ไว้ใจเพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนกับตน “อะไรคะ?”
“เกมสามนาที” ลาโคลอฟอธิบายต่อเมื่อเธอเลิกคิ้วถามอย่างอยากรู้ “คุณกับผมแตะริมฝีปากเข้าหากัน ภายในเวลาสามนาทีใครเผยอปากก่อนคนนั้นแพ้”
“ฉันไม่มีทางหลวมตัวเล่นเกมบ้าๆอย่างนั้นกับคุณแน่” ปานชีวาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง
“งั้นคุณก็ต้องรับมือกับผมต่อไป ดีเหมือนกันนะเพราะผมจะได้เริ่มการล่อลวงอย่างเต็มที่สักที”
“เผด็จการ คุณมันสุภาพบุรุษจอมปลอม จอมบาปในคราบนักบุญ” ปานชีวาประณามพร้อมส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินเขาพูดเช่นนั้น
ลาโคลอฟไหวไหล่ยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน “ช่วยไม่ได้ ผมติดใจคุณแล้วน่ะสิ ต่อให้บาปแค่ไหนหรือตกนรกหมกไหม้ก็คงต้องยอม ว่ายังไงตกลงว่าจะลองเล่นเกมสามนาที หรือจะให้ผมเริ่มล่อลวง”
“เกมสามนาทีของคุณ คนแพ้จะเป็นยังไง หมายถึงหลังจากแพ้แล้วต้องทำอะไรบ้าง” ถามเพราะมันคงจะเป็นทางรอดเดียวของเธอ
“ถ้าคุณแพ้ก็ต้องเสียจูบ ยอมให้ผมจีบ” ลาโคลอฟเปลี่ยนจากคำว่าล่อลวงมาเป็นจีบ มันคงจะทำให้รื่นหูเธอขึ้น “ถ้าผมแพ้ก็จะไม่ตามตอแยคุณ แฟร์ดีใช่ไหม”
“ระหว่างเล่นเกมฉันหลับตาได้ไหม”
“กอดผมหรืออยากจับส่วนไหนของผมก็ตามสบายเถอะจ๊ะ”
ปานชีวามองค้อนอย่างหมั่นไส้ในคำตอบแต่ในใจกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง เธอนี่ฝึกนั่งสมาธิมาตลอดเวลา แค่สามนาทีรับรองว่าไม่เผยอปากอย่างแน่นอน หากแต่ต้องกดเสียงต่ำ ทำท่าไม่แน่ใจกลบเกลื่อน “ตกลง คำไหนคำนั้นนะ ห้ามพลิกลิ้นเด็ดขาด”
“จ้ะ” ‘ลิ้นตัวเองนี่ถนัดแต่เร่งระรัว แต่ถ้าพลิกลิ้นคุณน่ะถนัดนักล่ะ เบบี้คริสตัล’ คิดต่อเอาเองในใจพลางวางเฉย ค่อมตัวลงเล็กน้อยให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับเธอ เมื่อเห็นเธอหลับตาเตรียมตัวพร้อม จึงเป็นคนเอ่ยเริ่มเกม “เริ่มล่ะนะ”
จบคำพูดปานชีวาก็นับหนึ่งในใจ ตั้งมั่นราวกับฝึกสมาธิแต่เธออาจจะลืมไปว่าการนั่งฝึกสมาธินั้นอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ไม่ใช่แค่หลับตาแล้วจะตัดผู้ชายที่มีแรงดึงดูดทางเพศสูงออกไปได้ ลมหายใจร้อนผ่าวจากเขาค่อยๆรินรดไปทั่ววงหน้า การที่เธอหลับตาจึงไม่ได้เห็นว่าคนเจ้าเล่ห์กำลังส่ายหน้าช้าๆ ตั้งใจยั่วเย้า ทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปกับลมหายใจอันสะอาด
ลาโคลอฟเหลือบสายตามองเวลา เมื่อเห็นว่าเธอกำลังลืมตัวก็ถอยใบหน้าตัวเองออกมาเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่า คนที่กำลังหลงใหลอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อไม่ได้รับมันอย่างฉับพลันต้องลืมตัวเรียกหา เหมือนกับเธอที่กำลังจะลืมตัวเผยอริมฝีปาก
เหมือนว่าเขารออยู่ก่อนแล้ว เพราะเพียงแค่เธอเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเขาก็ประทับจุมพิตลงบนริมฝีปาก จูบซับกลีบปากนุ่ม ทว่าปลายลิ้นหนาที่เริ่มสอดเข้ามาทำให้รู้สึกตัวว่าหลงกลเพลย์บอยจอมเผด็จการ หากไม่มีโอกาสอุทธรณ์เพราะฝ่ามือหนาที่เลื่อนมาตรึงท้ายทอย อีกข้างก็กอดกระชับทำงานสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
ลาโคลอฟตั้งใจจูบเธออย่างที่เคยจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วน ค่อยๆและเล็มไปทั่วโพรงปากหวาน เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อลิ้นบาง ล่อลวงเธอให้หลงเพริดไปกับความวาบหวามที่เขาตั้งใจจะมอบให้เธอ ใจเย็นสอนเธอทุกขั้นตอนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องพลางยิ้มในใจเมื่อฝ่ามือบอบบางทั้งสองข้างซึ่งตอนแรกขยุ้มลงบนเสื้อเชิ้ต บัดนี้ค่อยๆคลายออกและลูบไล้แผงอกเขาอย่างเพลินมือ
ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ามือเล็กที่เคลื่อนไหวสะเปะสะปะจะทำให้เขาร้อนรุ่มได้มากกว่าทุกครั้ง ทั้งเธอยังเป็นนักเรียนหัวเร็ว แค่จูบที่สองก็รู้จักจูบตอบ สอดลิ้นเข้ามาในปากเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาครางฮือในลำคออย่างพอใจ
ปานชีวาหลงวนไปกับจุมพิตวาบหวาม มันเลิศเลอจนเธอไร้แรงต้านทาน เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกันทุกอย่างก็ดำเนินไปตามธรรมชาติ ดำเนินไปตามเสียงเรียกร้องจากส่วนลึกของจิตใจ แผงอกที่อุดมไปด้วยกล้ามมัดใต้ฝ่ามือทั้งสองนี้เคลื่อนไหวตอบรับสัมผัสเธอได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ว่าจะมีเสื้อเชิ้ตขวางกั้น ในขณะที่เกิดความอยากรู้ว่าหากเธอได้สัมผัสกล้ามเนื้ออันแน่นตึงของเขาจะให้ความรู้สึกเช่นไรนะ?!
“อืม...” ลาโคลอฟคราง ชอบใจยิ่งนักกับความอยากรู้อยากเห็นของเธอ ไม่เพียงจูบตอบแต่ยังปลดกระดุมเสื้อเม็ดที่ที่อยู่ในตำแหน่งกลางอกออก แล้วสอดมือเข้าไปลูบไล้เขา พันปลายนิ้วกับไรขนตรงแผงอก
โอ! เธอจะทำให้เขาคลั่งเสน่หาตายตรงนี้ใช่ไหม คิดพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง คลอเคลียอยู่กับลำคอระหงในขณะที่เจ้าตัวเบี่ยงหน้าเปิดทางให้เขาได้ซุกไซร้อย่างถนัดถนี่
“หวานเหลือเกิน หอมที่สุด เบบี้คริสตัล”
มนตร์ตราแห่งเสน่หากำลังครอบงำทั้งคู่จนไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ปานชีวาปล่อยให้เขาได้คลอเคลียไปทั่ววงหน้า รู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนๆเคลื่อนต่ำลงกว่าแอ่งชีพจร อยากเสนอตัวให้เขาสัมผัสแต่จิตใต้สำนึกกำลังบอกว่าทุกอย่างเลยเถิดมาไกลนัก ศีรษะซึ่งมีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มปกคลุมและคลอเคลียอยู่ไม่ห่างนี้กำลังล่อลวงให้เธอประพฤติตัวเสื่อมเสีย!
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นเปรียบเสมือนระฆังที่ทำให้ปานชีวาหลุดออกจากมนตร์สะกด เธอรวบรวมกำลังที่มีอยู่อย่างน้อยนิดดึงใบหน้าคร้ามคมที่คลอเคลียอยู่ช่วงอกออกสุดแรง หอบหายใจบอกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า “มีคนเคาะ ประตูค่ะ”
ลาโคลอฟจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเป็นประกาย ใบหน้ารูปหัวใจ ริมฝีปากอิ่มที่บวมขึ้นเล็กน้อยอย่างตัดใจ ออกแรงรัดเธอแน่นขึ้นราวกับเรียกกำลังใจให้ตัวเอง จากนั้นจึงดันเธอออกจากอ้อมแขนช้อนอุ้มเธอขึ้นแล้วพาไปส่งยังโซฟาที่จัดไว้เป็นมุมต้อนรับแขก รู้ดีว่าเธอหมดแรงไปกับจุมพิตเมื่อครู่
“ขอบคุณค่ะ” ปานชีวานึกขอบคุณที่เขาอุ้มเธอมาวางไว้ตรงนี้ เพราะขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งทรงตัวแต่กลับก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา จึงไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มที่เขามองด้วยความเอ็นดู
เมื่อเห็นว่าเธอนั่งอยู่อย่างเรียบร้อยเขาก็ยกมือขึ้นเสยผมอย่างไม่ใส่ใจนักพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ “เชิญ...”
จบคำพูดประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา หญิงวัยกลางคนเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่ เธอก้มศีรษะให้ปานชีวาเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร จากนั้นจึงวางแฟ้มลงบนโต๊ะ เปิดเอกสารหน้าสุดท้ายให้รัฐมนตรีหนุ่ม
ลาโคลอฟมองเลขานุการหน้าห้องพลางคิดในใจว่า ข้าราชการของรัฐที่ไม่ให้เจ้านายอ่านเนื้อความในเอกสารสำคัญเหล่านี้มีนิสัยเช่นไร ควรแล้วหรือที่รัฐจะจ่ายเงินเดือนให้คนเหล่านี้ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอคงต้องได้ค่าเหนื่อย ค่าความกล้าที่ต้องเดินเข้ามาเปิดเอกสารหน้าสุดท้ายให้เขาได้เห็นโดยที่ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าจะให้ลงลายเซ็นในเรื่องใด
“ผมมีหน้าที่แค่เซ็นเท่านั้นรึ?” ถามพลางเอื้อมมือไปหยิบปากกาด้ามทองที่อยู่ใกล้มือ
หากเธอยังไม่รู้สึกนึกในหน้าที่ตอบราวกับไม่รู้ว่ากำลังทำเรื่องผิดจรรยาบรรณ “เป็นเอกสารที่ได้รับความเห็นชอบ ตรวจตราเป็นอย่างดีแล้วค่ะ เหลือเพียงแค่การอนุมัติจากท่านรัฐมนตรี และส่งต่อไปยังท่านประธานาธิบดี”
คงเป็นการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากไอจีโอ ซิสเทม สินะ ลาโคลอฟคิดในใจ และคำพูดที่ว่าได้รับความเห็นชอบและตรวจตรามาเป็นอย่างดี เธอก็คงจะบอกเขากลายๆว่า ได้รับความเห็นชอบจากนักการเมืองในพรรคALDPแล้ว เรื่องถึงได้ดำเนินมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ที่สำคัญพ่อของเขาคงจะเห็นชอบแล้ว “วางไว้ก่อน แล้วจะเรียกเข้ามาอีกที”
“เอ่อ แต่ท่านคะ” เธอแย้งได้แค่นั้นเพราะสีหน้า สายตาดุกร้าวที่มองมาอย่าประเมินความผิด เพียงเท่านั้นก็เกิดความรู้สึกเสียวสันหลัง ระยะเวลาสองปีที่เขาเข้ามานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ต้องเปลี่ยนเลขานุการหน้าห้องมานับไม่ถ้วน และเธอก็ยังไม่อยากตกที่นั่งลำบากเช่นนั้น แม้จะไม่เข้าใจว่าทำความผิดใด
“ไม่เข้าใจในคำพูดประโยคไหน” ลาโคลอฟถามด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ เมื่อเธอยังยืนนิ่งไม่ขยับตัว
ปานชีวาหยิบนิตยสารที่อยู่บนชั้นวางหนังสือขึ้นมาเปิดดูเรื่อยๆ รู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ปกติเท่าที่ควร และไม่อยากทำให้เลขานุการหน้าห้องอึดอัดใจไปมากกว่านี้ เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้รู้ว่าเลขานุการรีบเดินออกไปจากห้อง ส่วนเขาก็เปิดเอกสารที่เพิ่งได้มาอ่านด้วยท่าทางคร่ำเคร่ง
ความจริงแล้วเธอไม่รู้หรอกว่า เนื้อความในเอกสารนั้นเป็นเช่นไรแต่เท่าที่เดาได้จากคำพูดและสีหน้าของเขา ก็พอจะทราบว่าเขาคงจะพบเรื่องไม่ชอบมาพากล แม้ว่าจะได้รับความเห็นชอบจากคนส่วนมากแล้วก็ตาม ปานชีวาถอนหายใจพลางคิดว่า คอรัปชั่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาเข้าไปทุกที ตราบใดที่นักการเมืองยังเสาะหาอำนาจและเงินทุน ก็เป็นโอกาสให้นักธุรกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์ใช้เงินทุนเพื่อแลกกับผลประโยชน์เช่นกัน
แน่นอนว่าน้ำเสียงและท่าทางของเขาซื้อใจเธอได้มากมาย เขาดูหล่อขึ้นทั้งที่หล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เขาดูเข้มแข็ง พึ่งพาได้ มีความเป็นผู้นำเต็มตัว เป็นผู้ชายในอุดมคติของสาวๆหลายคน ถ้าไม่นับรวมถึงความเจ้าชู้ คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ ไม่มีมนุษย์คนใดจะดีพร้อมไปเสียหมด คงต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียรวมอยู่ในตัว ขึ้นอยู่กับว่าข้อเสียของเขาที่เป็นอยู่เป็นเรื่องสำคัญในความคิดของอีกฝ่ายมากแค่ไหน
ปานชีวาตอบตัวเองได้อย่างไม่ต้องเสียเวลา เพราะเธอจะไม่เลือกคบหา เรียนรู้นิสัยใจคอของผู้ชายเจ้าชู้เด็ดขาด มันเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะของการสร้างครอบครัวที่เธอตั้งใจ ตั้งมั่นหนักหนาว่าต้องทำให้ดีที่สุด อบอุ่นที่สุด ยืนยาวที่สุด
แล้วผู้ชายที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั้นล่ะ เขาเจ้าชู้อย่างที่ทำให้เธอหลงกลได้ง่ายดาย เพลย์บอยเต็มขั้นที่ทำให้เธอแอบมองอยู่หลายครั้งหลายครา บางครั้งยังมองเพลินจนเขารู้สึกตัว รีบหลบสายตาแทบไม่ทัน!
“มองอย่างเดียวไม่ทำให้ความอยากรู้ของคุณลดลงหรอกเบบี้คริสตัล อยากจับอยากล้วงตรงไหนผมก็ยินดี” พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไป
ปานชีวาก่นด่าตัวเองในใจที่มองเพลินจนเปิดโอกาสให้เขาได้พูดจากวนอารมณ์ อายจนไม่รู้จะทำให้อย่างไร สุดท้ายต้องย้ายไปนั่งโซฟาตัวตรงกันข้ามในทิศทางที่หันหลังให้เขาเป็นการตัดปัญหา ทว่าเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นอย่างถูกอกถูกใจก็ทำให้เธออดยิ้มไปกับเขาไม่ได้ เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็วนัก แม้ว่าไม่ได้เกิดบทสนทนาใดๆ แต่กลับทำให้จิตใจของเธอสงบ ไม่วุ่นวาย อ่านหนังสือรอเขาได้จนกระทั่งคนสนิทของเขายกอาหารเย็นเข้ามาเสิร์ฟ
ยอดรักจอมเผด็จการ ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วนะคะ ขอบคุณนักอ่านที่รักที่ติตามและแสดงความคิดเห็น ศิริพาราจะอัพนิยายให้อ่าน50% ของเนื้อเรื่องทั้งหมด
นักอ่านที่รักสามารถหิ้วคุณลุคและลุคจูเนียร์ไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้
1 แฟนเพจศิริพารา รายาฤดี
2 อีเมล์ siripara2writer@gmail.com
ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยายจ้า
จุ๊บๆๆ
ศิริพารา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ