ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 13 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในขณะที่ลูกชายกำลังนั่งรับประทานอาหารกับผู้หญิงคนหนึ่ง ประธานาธิบดีแอนทอน พาวิลเชนโก ต้องเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวของอิกอร์ ซียานอฟ ด้วยตนเอง

ภายในคฤหาสน์มโหฬารของเจ้าพ่อค้าอาวุธสงคราม ประธานบอร์ดบริหารจีไอโอ ซิสเทม ซึ่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์มียอดประกอบการสูงติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก อิกอร์ ซียานอฟ เดินออกมารอรับแขกคนสำคัญที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเช่นทุกครั้ง

“ท่านประธานาธิบดี” อิกอร์ ยื่นมือไปสัมผัส ก้มศีรษะให้อย่างสุภาพ หากมีสีหน้าเรียบเฉยจนคนมองต้องลอบถอนหายใจ

“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก ฉันตั้งใจมาเยี่ยมตาเนีย” แอนทอนบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง แต่กลับไม่ได้ทำให้ประธานจีไอโอ ซิสเทม มีสีหน้าดีขั้นแม้แต่น้อย

“เชิญท่านประธานาธิบดีในห้องรับแขก” อิกอร์กล่าวพลางผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ การที่เขายังวางตัวมีระยะห่างเช่นนี้เป็นเพราะต้องการให้แอนทอนได้รู้ว่า ไม่พอใจอย่างมากเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องกับลูกสาวในครั้งนั้น ลาโคลอฟไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง!

แอนทอนยกมือห้ามคนสนิทให้รออยู่ด้านนอก จากนั้นจึงเดินเข้าไปตามคำเชิญ เมื่อเข้ามานั่งอยู่ในห้องรับแขกและแม่บ้านนำกาแฟดำเข้ามาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยถามถึงอาการของตาทาเนียทันที

“ตาเนียเป็นยังไงบ้าง คงตกใจไม่น้อยสินะ” แอนทอนถามพลางจิบกาแฟร้อนระอุ

ลูกสาวเขาตกใจอกสั่นขวัญแขวน ถูกพวกโลนาใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าจี้จนฉี่ราดเป็นเรื่องที่คนโจษจันกันไปทั่ว นี่คงเป็นคำถามตามมารยาทเพียงเท่านั้น อิกอร์คิดอย่างขุ่นเคืองใจ หากตำแหน่งอันสูงส่งของคู่สนทนาทำให้ต้องตอบอย่างรักษามารยาทแต่ก็ยังอดประชดไม่ได้ “ผ่านมาหลายชั่วโมงจนจิตใจเป็นปกติแล้วล่ะครับ ดีที่วันนั้นผมไปร่วมงานด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าใครจะพาตาเนียส่งโรงพยาบาล”

แอนทอนคิ้วกระตุก รู้ดีว่าคำพูดประชดประชันนั้นหมายความถึงลูกชายของตน “ความจริงวันนี้ลุคจะมาเยี่ยมตาเนียด้วยตัวเอง แต่ต้องอยู่จัดการเรื่องอนุมัติซื้ออาวุธ ฉันเลยต้องออกโรงแทนลูกชาย กลัวว่าตาเนียจะน้อยใจไปมากกว่านี้”

“เธอน่าจะทำตัวให้ชินเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้” อิกอร์ตอบแทนลูกสาว เพราะเขาไม่เชื่อว่าการเซ็นอนุมัติจากรัฐมนตรีกลาโหมจะต้องเสียเวลามากมายแค่ไหน มันเป็นเพียงแค่การจรดปากกาลงบนเอกสารไม่กี่จุดและดูเหมือนว่าท่านประธานาธิบดีจะเข้าใจความคิดของเขาจึงรีบอธิบายด้วยเหตุผลอันน่าเชื่อถือ

“ความจริงเรื่องอนุมัติถึงหน้าห้องลุคในวันนี้ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าเรื่องนี้งบประมาณมหาศาลนัก เพื่อกันไม่ให้มีข้อครหา ผมเป็นคนสั่งให้ลุคดึงเรื่องเอาไว้เอง ปล่อยไปสักสองสามวันน่าจะดีกว่า”

คำชี้แจงนั้นทำให้อิกอร์รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรนั่นคงเป็นหลักใหญ่ใจความแห่งผลประโยชน์ของการทำธุรกิจ การที่ตนยอมให้เงินอุดหนนุพรรคALDP มาเป็นเวลานาน จนสามารถมีอำนาจต่อรอง ก้าวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของท่านประธานาธิบดีนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องการอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในการทำธุรกิจ แน่นอนว่ามันย่อมมีความสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว จึงรับคำสั้นๆด้วยจิตใจที่เบิกบานขึ้น “ครับ”

เมื่อเห็นว่าเจ้าของแหล่งเงินสนับสนุนใหญ่ของพรรคการเมืองตนมีสีหน้าดีขึ้น เสือเฒ่าแอนทอนก็วางตัวในท่าทีที่สบายขึ้น หันรีหันขวางพร้อมถามถึงว่าที่ผู้หญิงที่หมายตาไว้ให้ลูกชาย “แล้วนี่... ตาเนียหายไปไหน หรือเข้านอนแล้ว”

“ช่วงนี้หมอกำชับให้พักผ่อนมากๆ ก่อนที่ท่านประธานาธิบดีจะมาถึงเราเพิ่งเรียบร้อยจากอาหารมื้อค่ำ ตาเนียขึ้นไปทำธุระส่วนตัวได้ไม่นาน” อิกอร์บอกพลาง เอื้อมมือไปหยิบกริ่งเรียกแม่บ้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นพลาสติกสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง “เดี๋ยวผมจะให้คนไปตามตาเนียมาพบ”

“อย่าเลย ให้พักผ่อนเยอะๆดีแล้ว ฉันแค่แวะมาเยี่ยมเยียน อีกอย่างฉันแค่อยากหาเพื่อนคุยเท่านั้นเอง”

จากนั้นทั้งคู่ก็สนทนากันราวชั่วโมง ก่อนกลับแอนทอนยังทำให้อิกอร์ อารมณ์ดีด้วยคำพูดที่ตนปั้นแต่งขึ้นมาเพียงคนเดียว

‘พรุ่งนี้ลุคคงมารับตาเนียไปทานอาหารค่ำ’

อิกอร์ก้มศีรษะเล็กน้อยให้ท่านประธานาธิบดี ยิ้มเย็นมองรถคันหรูที่เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ความจริงแล้วตนไม่เคยเห็นด้วยที่ลูกสาวจะรักใคร่ชอบพอกับลาโคลอฟ เพราะไม่เคยเห็นว่าผู้ชายคนนี้จะมีท่าทางสนใจไยดีลูกสาวของตนแม้แต่น้อย เห็นจะมีแต่ลูกสาวเท่านั้นที่หลงใหลได้ปลื้มกับผู้ชายหยิ่งยโสคนนั้น และเขาก็รักลูกมากเกินกว่าที่จะขัดใจในเรื่องคู่ครอง แม้รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นแค่แผนการในกระดานหมากของประธานาธิบดีเฒ่า แต่เขาก็จะอยู่คุมเกมไม่ให้ลูกสาวเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแน่นอน

 

ลาโคลอฟเดินออกจากกระทรวงเกือบเที่ยงคืน เขายิ้มเมื่อมองผู้หญิงที่เดินเคียงข้างยกมือปิดปากหาวอยู่หลายครั้งหลายครา รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องเคลียร์งานเสียดึกดื่นจนเธอเผลอหลับ หากไม่ติดว่าเป็นสถานที่ราชการเขาคงจะอุ้มเธอลงมาขึ้นรถด้วยตัวเอง ไม่ต้องรบกวนเวลาพักผ่อนเช่นนี้

“อยากทานอะไรอีกไหม หรือจะกลับบ้านเลย” ลาโคลอฟถามเมื่อคาดิแลคคันยาวเคลื่อนที่ออกจากหน้ากระทรวง

ปานชีวาทำตาโต เพราะปกติไม่ได้เคยทานมื้อดึกและเมื่อหัวค่ำเขายังเซ้าซี้ให้เธอรับประทานอาหารเข้าไปเสียอิ่มแปล้ ไม่กี่ชั่วโมงจะมาชวนรับประทานอะไรอีกได้อย่างไร “ไม่ค่ะ แต่ถ้าคุณหิวจะแวะหาอะไรทานก่อนก็ได้”

เขาอาจจะหิวขึ้นมาอีกเพราะทำงานหนักก็เป็นได้ หากต้องตกใจกับความคิดของตัวเองไม่น้อยที่เกิดความห่วงใยเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“เฮ้อ... ผมหิวนะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้กินรึเปล่า” พูดพลางทิ้งศีรษะไปข้างหลัง พิงกับเบาะนั่งราวกับคนหมดแรง

“ก็หาร้านที่เปิดดึกๆสิคะ น่าจะพอมีอยู่บ้าง”

“แม่ค้าเล่นตัวน่าดู ไม่มีเวลาเปิดปิดแน่นอนน่ะสิ” พูดพลางหันมาเหล่มองคนข้างๆ

ปานชีวาขมวดคิ้วมุ่น ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าร้านอาหารประเภทไหนถึงได้ไม่มีเวลาเปิดปิดที่แน่นอน “อาหารอร่อยมั้งคะ แม่ค้าเลยเล่นตัว”

ลาโคลอฟหัวเราะร่วน เธอฉลาดทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของเรา “อร่อยมาก... ผมชิมแค่สองครั้งติดใจจนคิดถึงครั้งที่สามจนจะคลั่งตายแล้ว”

คำพูดกำกวมและสายตาวิบวับที่ส่งมาให้ทำให้ปานชีวาฉุกคิด ทบทวนในคำพูดของเขา “ลามก! ทำไมต้องคิดถึงแต่เรื่องแบบนี้ด้วย”

“อะไร ผมพูดถึงร้านอาหารนะ” ปฏิเสธหน้าตายทั้งที่อมยิ้ม และนั่นก็ทำให้เธอไม่มีทางเชื่อว่าเขาพูดถึงร้านอาหาร

“อย่ามาโกหก คุณพูดถึงจูบ! อุ๊บส์” ปานชีวายกมือขึ้นปิดปาก มองคนสนิททั้งสองที่อยู่ข้างหน้า แม้ว่าจะนั่งห่างกันมาก แต่เธอก็มั่นใจว่าน่าจะได้ยิน ยิ่งกระจกกั้นระหว่างห้องโดยสารค่อยๆเลื่อนขึ้น เธอก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งคู่ได้ยินอย่างชัดเจน

ลาโคลอฟยิ้มอย่างล้อเลียน ชี้นิ้วเข้าหาเธออย่างรู้ทันความคิด มันเป็นท่าทางที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจากบุรุษผู้เคร่งขรึมเลยทำให้ต้องอมยิ้มอย่างอดไม่ได้ “คุณคิดถึงจูบที่สามของเราแล้วใช่ไหม จะเริ่มตอนนี้เลยก็ได้นะ คราวนี้คงมีเวลานานพอดูกว่าจะถึงบ้าน”

ปานชีวาเบิกตากว้างขยับตัวหนีจากร่างสูงที่เขยิบเข้ามาหาใกล้ๆ อีกมือดันหน้าอกแกร่งไว้พร้อมห้ามเสียงดุ “ถอยกลับไปนั่งที่เดิมเลยนะ ถ้าเข้ามาฉันจะตะโกนให้คนช่วย”

“รถกันกระสุนทั้งคันใครจะมาได้ยิน อย่าว่าแต่ตะโกนเลยต่อให้เราประสานเสียงหรือร้องแข่งกันก็ไม่มีใครได้ยินหรอกจ้ะ”

ปานชีวาไม่รู้ว่าคนมาดเคร่งขรึม วางอำนาจ แผ่รังสีอำมหิตอยู่รอบตัวจะกลายเป็นผู้ชายขี้เล่น ลากทุกอย่างเข้าหาเรื่องบนเตียงได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ปรามเสียบ้างคงได้ใจ อีกหน่อยต้องแสดงกิริยาเช่นนี้ให้ได้ขายหน้าคนอื่นแน่ “ถอยไปนะ บอกแล้วว่าฉันไม่ได้ง่าย คุณต้องคิดต้องทำอย่างอื่นบ้างสิ ถ้ายังเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้ยิ่งทำให้ฉันไม่อยากเข้าใกล้”

ลาโคลอฟถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่เข้าหาทำไมเธอถึงได้ต่อต้านนักทั้งที่จริงแล้วเธอก็มีความสุขไปไม่น้อยกว่าเขา ในเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้เธอควรจะเข้ามากอดเขา ซุกซบ นวดคลึงให้คลายจากความเมื่อยล้า หลังจากที่ไม่ได้พักผ่อนมาตั้งแต่วันที่อีวานถูกลักพาตัว!

ปานชีวามองเขาอย่างประหลาดใจเพราะจู่ๆ เขาก็นั่งหลับตานิ่ง กางขาออกกว้างแม้จะไม่ได้กลับไปนั่งที่เดิมแต่ก็ไม่ได้ตามวอแวเธออีก ชั่วอึดใจจึงขยับตัวอย่างระมัดระวัง ชะโงกหน้าสังเกตเพราะท่าทางเขาเหมือนคนที่เหนื่อยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาอยากพักผ่อนหรือเบื่อที่ต้องต่อล้อต่อเถียงกับตน

ทว่าใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบทำให้เธอจ้องมองอย่างเพลินตา ไรหนวดเขียวครึ้มตามโครงหน้าทำให้นึกอยากสัมผัสดูว่ามันจะทิ่มตำหรือให้ความรู้สึกเพลินมือกันนะ?

“ไม่ต้องมาแอบมอง ถ้ายังไม่รู้ว่าควรเอาใจผมแบบไหนก็ไม่ต้องมามองด้วยสายตาอ่อนโยน”

เสียงห้าวที่ดังขึ้นทำลายความเงียบงันทำให้ปานชีวาสะดุ้งตกใจ มองค้อนอย่างหมั่นไส้ ผู้ชายบ้าอะไรอย่างนี้ หลับตาแล้วยังรู้ว่าเธอแอบมอง

โอ... ขายหน้าเป็นที่สุด ไปแอบมองเขาทำไมกันนะ! ปานชีวาก่นด่าตัวเองในใจ

“คุณเหนื่อยเพราะธุระตัวเองแท้ๆ แล้วเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องไปเอาใจคุณด้วย อีกอย่างฉันไม่ได้มองด้วยสายตาอ่อนโยนสักหน่อย” ปานชีวากระอ้อมกระแอ้มตอบ ท้ายประโยคเบาจนคนฟังจับโกหกได้

“ผมไม่ได้นอนมาตั้งแต่วันที่อีวานหายตัวไป ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างมากมายจนทิ้งงานของตัวเองไว้กองโต เหตุผลแค่นี้ก็มากพอที่คุณจะต้องกอดผม อย่างน้อยเราก็ควรนั่งกอดกันไปจนกว่าจะถึงบ้าน” พูดพลางกางแขนทั้งสองออกเป็นเชิงให้เธอเข้าไปกอดเขาเช่นที่เรียกร้อง

ปานชีวาทำหน้าสำนึกผิดความจริงแล้วไม่อยากเชื่อว่ามนุษย์เราจะแข็งแกร่ง อดหลับอดนอนได้เช่นนั้นหรือ เมื่อทบทวนดูแล้วเขาก็ไม่ได้กลับคฤหาสน์พาวิลเชนโกจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ใช้เรียกร้องให้เธอเอาใจด้วยการเข้าไปซุกซบในอ้อมกอดของเขา “ก็หลับไปสิคะ ขืนนั่งกอดกันอย่างที่คุณว่า ฉันคงเชื่อหรอกว่าคุณจะหลับจริงๆ”

แม้จะซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่เขาทำให้แต่ก็ไม่มีวันหลงกลคนเจ้าเล่ห์ซ้ำสองอีกเป็นอันขาด ขนาดต่อต้าน เตือนตัวเองไม่ให้อยู่ใกล้ เขายังหลอกล่อเสียจนเธอเผลอตัวทุกที แล้วนับประสาอะไรกับแนบชิดกันอย่างนั้น

“เฮ้อ... เบื่อคนเล่นตัว” พูดจบก็พลิกตัวเข้าหันหน้าเขาหาเธอ สอดมือเข้ากอดเอวคอดกิ่วแล้ววางศีรษะกับหัวไหล่บอบบาง ยิ้มในใจเมื่อเธอนั่งติดกับประตูรถจึงไม่สามารถขยับตัวหนีไปไหนได้อีก

“อื้อ... ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ บอกแล้วว่าอย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉัน” ปานชีวาบอกแต่ไม่สามารถผลักไสร่างของผู้ชายที่ใหญ่โตกว่าสองเท่าออกไปได้ ทั้งเขายังจงใจทิ้งน้ำหนักลงจนไม่อาจหลบหลีกได้

“อย่ากวนน่า คนจะนอน” บอกพลางขยับศีรษะไปมาไป ราวกับซุกหาบริเวณที่นุ่มนิ่ม สบายสำหรับตัวเองที่สุด

“ไปนอนดีสิ คุณลวนลามฉันแบบนี้ ฉันเสียหายนะ” ปานชีวาถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ เมื่อไม่สามารถผลักเขาออกไปจากตัวเองได้

ลาโคลอฟจับมือข้างหนึ่งของเธอขึ้นมาวางไว้บริเวณโครงหน้าของตน รู้ถึงความคิดของเธอเป็นอย่างดี “ผมกอด คุณจับ เท่านี้ก็ไม่มีใครเสียเปรียบ”

ทั้งที่ตกใจกับคำพูดตรงๆของเขาแต่เธอกลับไม่ชักมือกลับ ปล่อยให้เขาได้ซุกซบอยู่กลางอก สนิทชิดเชื้อกับเพศตรงข้ามเป็นครั้งแรกในชีวิตสาว!

“ชู่ว... ผมง่วงจริงๆ ขอหลับสักพัก” บอกเมื่อเธอยังดิ้นขลุกขลัก

“หนักค่ะ หายใจไม่สะดวก” ความจริงแล้วอบอุ่น ยอดเยี่ยมจนไม่รู้จะปฏิเสธเช่นไรต่างหาก

ลาโคลอฟขยับตัวออกมาเล็กน้อย ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงตามปกติ แต่กอดกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีต่อต้าน ทั้งยังไล้ฝ่ามือเข้ากับโครงหน้า แนวสันกรามที่หนวดเริ่มยาวขึ้น อกอวบอิ่มของสาวในอ้อมกอดและสัมผัสแผ่วเบาเหมือนกล่อมให้เขาเข้าสู่นิทราได้อย่างง่ายดาย อ้อมกอดของเธอเหมือนบ้านที่มีทั้งความสุข สงบ อุ่นใจ

ปานชีวารู้สึกได้ถึงจังหวะการหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ เขาซบกับหน้าอกของเธอก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะล่วงเกินไปมากกว่าขอที่เป็นพักชั่วคราว อีกทั้งเสียงครางอย่างมีความสุขรับกับฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามโครงหน้าอย่างเบามือทำให้เธอต้องอมยิ้ม

ความสุข ความอบอุ่นหัวใจที่รายล้อมทั่วตัวประกอบเข้ากับความนุ่มนวลของยนตรกรรมแห่งผู้นำ ซึ่งคนสนิทที่เป็นผู้ขับขี่ตั้งใจประคองความเร็วให้อยู่ในระดับที่ช้ากว่าปกติ รู้อกรู้ใจเจ้านายเป็นอย่างดีเวลาที่เคยใช้เดินทางจึงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมงเต็มเพื่อให้คู่รักหมาดๆได้หลับใหลไปพร้อมรอยยิ้มอันแสนสุขในอ้อมกอดของกันและกัน

 

ชั่วโมงต่อมา... ปานชีวาถูกพาขึ้นมาส่งถึงห้องนอน เธอหลับลึกไปด้วยความเพลียโดยไม่รู้เลยว่า คนอุ้มหากำไรจากการลวนลามเธอทางสายตามาครู่ใหญ่แล้ว เมื่อครู่เขาหลับสนิทอย่างรวดเร็วไปในอ้อมกอดของเธอ ทั้งที่ปกติเป็นคนหลับยากและรู้สึกตัวง่าย มันจะอุ่นสบายแค่ไหนนะหากได้กอดเธอแล้วหลับไปด้วยกันจนถึงเช้า

ลาโคลอฟไม่ปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่ความคิด เขาลุกขึ้นจากเตียงนุ่ม เดินไปยังประตูเชื่อมแล้วจัดการล็อกประตูอย่างเบามือ จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างกายด้วยความเปลือยเปล่าคือชุดนอนที่ทำให้เขานอนสบายที่สุดแล้วจึงก้าวขึ้นเตียง สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกันตอนแรกตั้งใจจะดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่เห็นเธอนอนตาพริ้มอย่างมีความสุขเลยไม่อยากรบกวนความสุขนั้น จึงขยับตัวเข้าไปใกล้ๆตะแคงหนุนหมอนใบเดียวกัน สอดแขนข้างหนึ่งใต้ท้ายทอยได้รูปและตะกายกอดเธอไม่ต่างจากหมอนข้าง

หอมแก้มเธอติดกันหลายๆครั้งแล้วยิ้มราวกับหนุ่มเพิ่งริรัก หากไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่นาที ร่างนุ่มนิ่มอบอุ่นจะทำให้เขาหลับสนิทและเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องพลิกตัวไปมาอยู่นานเหมือนเช่นเคย

 

ในห้วงความฝันปานชีวากำลังต่อสู้กับปีศาจร่างยักษ์ ที่ไล่ต้อนเธอจนมาถึงหน้าปากเหวลึก ความมืดดำถมึงทึงคืบคลานเข้ามาอย่างน่าสะพรึงกลัว หากมีเพียงอาวุธที่แผ่ไอร้อนระอุใกล้มือนี้เท่านั้นที่จะต่อสู้กับปีศาจตนนี้ได้ แต่เธอจะทำเช่นไรเมื่ออาวุธนั้นห้อมล้อมไปด้วยเปลวไฟ หากยื่นมือไปคว้าอาวุธนั้นไว้เปลวไฟต้องลุกไหม้ฝ่ามือ หาไม่เธอต้องถูกปีศาจทำอันตรายถึงชีวิต เมื่อถึงวินาทีคับขันเธอจึงตัดสินใจคว้าอาวุธที่อยู่ในเปลวเพลิงนั้น

ทว่าในความเป็นจริงจิตใต้สำนึกสั่งให้เธอลืมตาตื่น พาตัวเองหลีกหนีจากความฝันอันชั่วร้าย ในขณะเดียวกันฝ่ามือนุ่มนิ่มร้อนชื้นที่คว้าหมับเข้าที่ความแข็งขึงกลางกายก็ทำให้ลาโคลอฟตื่นเต็มตา!

“โอ้ว... คุณจะฆ่าผมหรือไงเบบี้คริสตัล” ลาโคลอฟผงกศีรษะขึ้นถาม เมื่อเธอยังกำมือรัดรอบตัวตนของเขา ลืมตาโพลง หอบหายใจราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย

ปานชีวากะพริบตาถี่ๆ เธอเพิ่งตื่นจากฝันร้ายแล้วทำไมถึงได้ยินเสียงทุ้มของเขากันนะ แล้วยังรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากกายแกร่งพลางกวาดสายตามองรอบตัว แสงไฟสลัวจากโคมไฟหน้าโต๊ะเครื่องแป้งทำให้เธอมองเห็นใบหน้าคร้ามคมของลาโคลอฟ เขาชันตัวชันขึ้นมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอนร้องขออะไรสักอย่าง?

“คุณมานอนบนเตียงฉันได้ยังไง ออกไปนะ!” ปานชีวาตกใจสุดชีวิต ระดุมทุบแผ่นอกกว้างไม่ยั้งมือ หากไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านแต่กลับถอนหายใจ ซูดปากครางราวกับโล่งอก

“อู้ว... ผมเกือบตายเพราะฝ่ามือน้อยๆของคุณแล้วทูนหัว คิดจะลักหลับผมหรือไง ทำไมถึงได้กำลุคจูเนียร์แน่นอย่างนั้น”

จบคำพูดปานชีวาก็นิ่งงันอยู่ชั่วครู่ สมองคิดทบทวนคำพูดของเขาและการกระทำของตัวเอง แล้วยกมือข้างที่เธอคิดว่าคว้าอาวุธไว้ในฝันขึ้นมาดู เพียงเท่านั้นลาโคลอฟก็แทบหูดับ “กรี๊ด... คนบ้า ตัวลามก ไปไกลๆเลยนะ ออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้!”

“ชู่ว... เบาๆหน่อยสิ เดี๋ยวคนก็ได้แห่กันมาดูทั้งบ้าน อยากให้พวกเขาเห็นเราในสภาพแบบนี้หรือไง” ลาโคลอฟยังใช้ท่อนขาพาดคร่อมร่างของเธอเอาไว้ ในขณะที่ชันตัวขึ้นนั่งโดยใช้มือข้างหนึ่งค้ำกับที่นอนนุ่ม อีกข้างเสยผมลวกๆ

“เอาขาออกไปนะ คุณมันคนฉวยโอกาส ทำแบบนี้ได้ยังไง” ปานชีวาบอกพลางใช้มือคำสะเปะสะปะเข้าที่เสื้อและกางเกงของตัวเอง สำรวจตรวจตราว่ายังอยู่ในสภาพเดิมหรือไม่

หากท่าทางของเธอนั่นทำให้เขาคิ้วกระตุก ถ้าเป็นคนฉวยโอกาสอย่างที่เธอว่าจริง ป่านนี้คงพาเธอไปชมสวรรค์หลายรอบ แล้วเธออาจจะเลิกหวงเนื้อหวงตัวเพราะติดใจในรสเสน่หาก็เป็นได้

“บอกว่าให้เอาขาออกไป ออกไปเลยนะ ทำไมไม่รู้จักใส่เสื้อผ้านอน คุณมัน! ฉันอยากจะบ้าตาย” ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดให้เขารู้สำนึกว่าสิ่งที่ทำกับเธอนั้นมันไม่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นสามีภรรยาจะนอนบนเตียงเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญเขายังเปลือยทั้งร่าง ถึงเธอจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายก็ตามที

“ผมไม่เคยใส่เสื้อผ้านอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกอย่างผมไม่ได้ล่วงเกินอะไรคุณเลยนะ มีแต่คุณที่จับลุคจูเนียร์ไม่ยอมปล่อยจนผมเกือบไปแล้ว” ลาโคลอฟบอกพลางชี้นิ้วลงกลางกาย ทำให้เธอได้เห็นว่า ‘ลุคจูเนียร์’ นั้นหมายถึงส่วนใดของร่างกาย

“ฉะ...ฉัน” พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ก็เธอจับมันจริงๆ จับอย่างเต็มไม้เต็มมือ “ก็คนไม่ได้ตั้งใจ ฉันฝัน!”

จบคำสารภาพของเธอลาโคลอฟก็ยิ้มพราย มองเธอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “ถึงกับต้องเก็บเอาไปฝันเลยเหรอเบบี้คริสตัล ความจริงคุณแค่บอกผมตรงๆ ผมยิ่งกว่าเต็มใจให้จับเลยนะ”

“น่าเกลียด ฉันไม่ได้อยากจับสักหน่อย” ปานชีวาอยากจะแทรกแผ่นดินหนีสายตาล้อเลียนนี้นัก หากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องนอนนิ่งอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“อย่าโกหกสิ คุณเพิ่งสารภาพเองนะ”

“ฉันไม่ได้โกหก ไม่ได้ฝันลามกอย่างที่คุณเข้าใจด้วย” ปานชีวาตวาดกลับไปอย่างเหลืออด หากไม่กล้าพูดว่าไอร้อนจากร่างกายของเขาทำให้ในความฝันคิดว่าตัวเองอยู่ใกล้กับเปลวไฟ แถมยังคว้าเข้าที่... อ้าย!... ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ น่าอายชะมัด คิดในใจอย่างอับอาย

“งั้นฝันว่าอะไร บอกผมมาสิ ถึงได้บีบรัดจนผมแทบแตกกระจาย”

แตกกระจาย! สวรรค์ช่วยลูกที ทำไมเขาถึงได้พูดจาตรงไปตรงมา ดิบๆห่ามๆแบบนี้ จนไม่เหลือความนิ่งขรึมเหมือนที่วางตัวต่อหน้าสาธารณชน “หยุดพูดจากำกวมกับฉันสักทีได้ไหม แล้วถอยออกไปไกลๆ กลับห้องของคุณไปเลยนะ”

ลาโคลอฟทำตรงข้ามกับคำสั่งของเธอทุกอย่าง เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อยก็ทาบทับร่างนุ่มนิ่มไว้ทั้งตัว ก้มหน้าลงไปหา ถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าจนคนฟังใจเต้นโครมคราม “แล้วถ้าผมพูดตรงๆคุณจะรับได้ไหม ผมแทบจะแตกกระจายคามือน้อยๆของคุณแล้วเบบี้คริสตัล ทำให้ผมตื่นแล้วต้องรับผิดชอบผมด้วยล่ะ”

“บ้าน่ะสิ ถอยไปนะ คนน่ารังเกียจ” บอกพลางยกฝ่ามือทั้งสองข้างดันแผงอกกว้าง ไม่ให้เข้ามาแนบชิดกับตนนัก

“เชื่อยากนะ รังเกียจจริงคงไม่ต้องเก็บเอาไปฝัน”

ปานชีวาอยากจะข่วนใบหน้าหล่อเหลาที่ตีคิ้วใส่ตาเธออย่างสู่รู้ หากต้องเบิกตากว้าง ร้องห้ามเสียงหลงเมื่อรู้สึกถึงตัวตนอันอลังการที่ปัดป่ายอยู่บริเวณหน้าท้อง “กรี๊ด... ไม่นะ อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

“ผมแค่ต้องการความรับผิดชอบ คุณปลุกผมให้ตื่น ประทุษร้ายลุคจูเนียร์ ผมก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้มันบ้าง” บอกอย่างยั่วเย้า ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง เหยียดขยายอย่างรวดร้าวเพราะได้แนบชิดกับสาวในฝัน อีกทั้งลำพองใจเมื่อรู้ว่าเธอปลาบปลื้มจนต้องเก็บเอาไปฝัน ยิ่งทำให้เขารวดร้าวไปด้วยความปรารถนา

คำพูดและตัวตนอันน่าพรั่นพรึงทำให้ป่านชีวารู้ว่ากำลังจะจูบเธออีกแล้ว จึงรีบยกมือปิดปากตัวเอง เบี่ยงหน้าหนีใบหน้าคร้ามคมที่ก้มลงมาหา “อื้อ... อ่อยอะ (ปล่อยนะ)”

ลาโคลอฟยิ้มพรายอยู่กับซอกคอหอมกรุ่น การต่อต้านเล็กน้อยไม่ได้เป็นอุปสรรคกับชายชาญโลกอย่างเขา ปากและจมูกที่ซุกไซร้ซอกคอเลื่อนลงมากลางแอ่งชีพจร เคลื่อนต่ำลงมาจนถึงอกอิ่ม “ผมอยากจูบคุณทั้งตัว ไม่ใช่แค่ปากอย่างเดียวหรอกทูนหัว”

“โอ... ไม่นะ อย่าทำอย่างนี้” ปานชีวาส่ายหน้าปฏิเสธ ใช้สองมือดันศีรษะของเขาออกจากหน้าอก เขาผงกหัวขึ้นตามแรงของเธอก็จริง แต่มือหนากลับดึงชายเสื้อยืดขึ้นมากองไว้เหนือทรวงอกอย่างรวดเร็ว “ไม่... อย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

ลาโคลอฟไม่สนใจเสียงห้ามปรามใดๆอีกแล้ว ความคิดถึง โหยหาอยากสัมผัสเนื้อตัวของเธอมันเหมือนระเบิดเวลา ทรวงอกอิ่มที่อยู่ภายใต้กรวยลูกไม้สีสะอาดนี้ทำให้เขาหมดความอดทน เส้นประสาทในร่างกายตื่นตัว เรียกร้องให้สัมผัสเธออย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้

“อย่านะ! อย่า...” ปานชีวาร้องห้าม ตกใจสุดขีดเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นชื้นของริมฝีปากที่ครอบครองยอดทรวงของตน เขาเลื่อนบราเซียขึ้นไปกองกับชายเสื้อยืดแล้วคลุกเคล้าทั้งใบหน้าลงกับหน้าอกของเธอ ดูดดึงปลายยอดที่หดเกร็ง ใช้ปลายลิ้นกวัดแกว่งยอดทรวงอย่างหยอกล้อ ทำให้เธอขนลุกเกรียวกราวทั้งร่าง หากสติสัมปชัญญะที่เหลือยังสั่งให้ผลักศีรษะเขาออกไปด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด “โอ... ไม่ อย่าทำอย่างนี้กับฉันเลย”

จบคำขอร้องลาโคลอฟก็ผงกศีรษะขึ้น ละริมฝีปากจากยอดทรวงหวานล้ำ สบสายตาเป็นประกายพร้อมย้ำให้เธอได้รู้ว่าเขาไม่อาจตัดใจจากเนื้อตัวของเธอได้ในเวลานี้ “รู้ไหมว่าผมคิดถึงภาพของคุณแบบนี้จนแทบบ้า อย่าต่อต้านผมเลยนะเบบี้คริสตัล”

เขาแค่บอกให้เธอรับรู้ ไม่ได้หยุดการล่วงเกินอย่างที่เธอร้องขอเลยสักนิด เมื่อจบคำพูดเขาก็ก้มลงเสาะหาความหวานจากทรวงอกอีกข้าง ในขณะที่ยอดทรวงอีกข้างซึ่งยังเปียกชื้นถูกฝ่ามือใหญ่เคล้นคลึง หนักบ้างเบาบ้างอย่างรู้จังหวะว่าจะล่อลวงให้สาวด้อยประสบการณ์หลวมตัวได้อย่างไร “อย่าค่ะ ฉันขอร้อง”

หากแต่เขาไม่ได้หยุด เพราะตั้งใจจะสอนให้เธอได้รู้ว่า สัมผัสทางกายระหว่างกันนั้นไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าอาย แต่เป็นเรื่องที่คู่รักพึงกระทำต่อกันอย่างรู้รับผิดชอบ

“โอ... ลุค! หยุดค่ะ” ปานชีวากัดฟันห้ามด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น เธอแทบสิ้นสติเมื่อเขาดูดดึงทรวงอกแล้วระรัวปลายลิ้นเข้ากับยอดทรวงที่หดตัวตอบรับสัมผัสอย่างน่าอาย ความซ่านสยิวที่เคยได้รับจากจุมพิต มันเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อเขาทั้งดูดดึง เคล้นคลึง ฟอนเฟ้นอย่างตั้งใจกระตุ้นเร้า จนเธอหลุดครางออกไปอย่างซ่านใจ

“ปล่อยตัวให้ผมสิทูนหัว แล้วคุณจะรู้ว่าเรามีความสุขกันมากแค่ไหน” ลาโคลอฟยิ้มพรายถอนปากออกอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้เธอได้หายใจหายคอ เพราะเสียงครางหลุดออกมาทำให้รู้ว่าเธอกำลังเรียนรู้สัมผัสแปลกใหม่อันน่าพิศวง ทุกอย่างที่ประกอบเป็นเธอช่างเร้าอารมณ์ กระตุ้นให้เดือดพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงรูปร่างกะทัดรัดจะมีทรวงอกอันอวบอิ่ม ผิวเนื้อเนียนละเอียดของเธอทำให้นึกถึงครีมสดเนื้อนุ่ม มันจะวิเศษสักเพียงใดหากได้ซุกซบอยู่กับความเนียนลออนี้ ไวเท่าความคิดเขาใช้ฝ่ามือดันทรวงอกทั้งสองข้างให้เข้ามาชิดกันแล้วซุกทั้งใบหน้าลงกลางร่องอก จูบซับก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นอย่างพิถีพิถัน ชนิดที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีตารางนิ้วใดรอดพ้นจากริมฝีปากร้อนชื้น

“คุณฝันถึงเราแบบนี้ใช่ไหม ทูนหัว ฝันว่าผมกำลังตีตราจองตรงนี้”

ปานชีวาหูอื้อตาลาย ไม่รับรู้เรื่องรอบตัวเพราะจิตใจกำลังจดจ่ออยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว มองเห็นเขากำลังบดจูบลงบนทรวงอกราวกับการันตีคำพูด หนัก... เบา... สลับกันอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เจ็บปวด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกได้ถึงอารมณ์อันลึกซึ้งที่เขาสื่อออกมาด้วยภาษากาย หากคำพูดต่อต้านที่เป็นเพียงลมปากที่เอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่อยากยอมรับว่าจิตใจโอนอ่อนผ่อนตามเขาจนหมดสิ้น

“ไม่... ถอยไป คุณต้องเสียใจ ที่ทำกับฉันแบบนี้”

“เราเข้ากันได้วิเศษอย่างนี้ มีอะไรที่ต้องเสียใจ” ลาโคลอฟพูดพลางเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว มอบจุมพิตเร่าร้อนให้เธอราวกับจะย้ำให้รู้ว่า... ที่ควรเสียใจคือปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้

“อื้อ...” เสียงครางประท้วงหายเข้าไปในลำคอหนา เขาจูบเธอด้วยอารมณ์ปรารถนาที่อัดแน่นในร่างกาย จูบเธอด้วยความโหยหา ให้เธอได้เข้าใจและยอมรับว่ามันเลิศเลอและดีเยี่ยมทุกครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมาจนเธอไม่อาจปฏิเสธได้

ปานชีวาแทบขาดใจกับจุมพิตสูบวิญญาณ เขาดูดดึง และเล็มอย่างเชี่ยวชำนาญ จุมพิตหวานล้ำที่เคยได้รับในสองครั้งที่ผ่านมามันเพิ่มดีกรีความซ่านใจ ถึงอารมณ์ให้เธอได้มัวเมาไปกับลิ้นหนาที่ตวัดอยู่ในโพรงปาก หากโลกเหมือนพลิกกลับเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือใหญ่ซึ่งละจากทรวงอกเลื่อนต่ำไปยังหน้าท้องแบนราบ เธอเบิกตามองเขา รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เบี่ยงหน้าหนีจากจุมพิตเร่าร้อน

“ไม่นะ! โอ...” ปานชีวาส่ายหน้าไปมากับหมอนใบใหญ่ เมื่อฝ่ามือหนาเคลื่อนต่ำลงไปกว่าหน้าท้อง!

“ที่ผมเสียใจคือปล่อยให้เวลาของเราสูญหายไปสองปี” ลาโคลอฟพูดชิดริมฝีปากอิ่ม เมื่อแนบทั้งฝ่ามือเข้ากับความอ่อนไหวของอิสตรี ปลายนิ้วเกลี่ยเสาะหาจุดศูนย์รวมแห่งความรู้สึกที่ซ่อนตัวอยู่อย่างมิดชิด หากความชุ่มชื้นของเธอที่รินรดออกมานี้ทำให้เขารวดร้าวไปด้วยความต้องการ เนื้อตัวเรียกหาการปลดปล่อยตามธรรมชาติแต่สิ่งที่ทำได้คือต้องอดทน

“มะ...ไม่นะ ลุค อย่า” ปานชีวาหอบหายใจห้าม มองเขาด้วยความหวาดกลัวเพราะยังไม่พร้อมที่จะมีสัมพันธ์ทางกายกับใครสักคน แม้ว่าจะเผลอมอบใจให้เขาก็ตาม

ลาโคลอฟไม่หยุดการกระตุ้นเร้า จูบซับไปทั่ววงหน้ารูปหัวใจอย่างปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัวนะคนดี จำได้ไหมว่าผมเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่คุณควรไว้ใจ”

“แต่ฉัน อ๊ะ!...” หลุดอุทานออกมาอย่างน่าอาย เมื่อปลายนิ้วแข็งแรงเร่งสะบัดเข้าหาจุดอ่อนไหว เร็วรี่ไม่ต่างจากปลายลิ้นที่เขาสัมผัสยอดทรวง

“อย่าต่อต้าน คุณต้องรู้จักกับมัน แล้วจะเข้าใจว่าผมอดทนรอด้วยความทรมานชนิดไหน” พึมพำชิดริมหูบาง จูบซับเธอไปตามแก้มนุ่ม ปลายคางราวกับจะใช้มันปลอบใจตัวเอง บรรเทาความรวดร้าวที่เดือดพล่านในร่างกายด้วยกลิ่นเฉพาะตัวของเธอ

เธอหวานฉ่ำ นุ่มร้อน สัมผัสเพียงแค่เพียงภายนอกก็เกร็งตัวพร้อมกระถดหนี คับแคบจนไม่อยากคิดว่าครั้งแรกระหว่างกันจะทำให้เธอเจ็บปวดสักปานใด หากเรื่องนั้นยังเป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึงหรืออาจจะมาถึงในอีกไม่ช้า เขาก็ไม่อยากจะคิด ตอนนี้เพียงแค่อยากส่งให้เธอได้มีโอกาสดื่มด่ำกับรสสัมผัสอันหวานแหลม แม้จะไม่ใช่การร่วมรักอันสมบูรณ์แต่ก็มั่นใจว่าประสบการณ์ชีวิตอันสุดเหวี่ยงจะทำให้เธอพบพานความหฤหรรษ์ได้เช่นกัน

“ลุค! ฉัน...” ปานชีวาเรียกชื่อเขาอย่างไม่รู้ว่าต้องการให้เขาหยุดหรือกระทำการทรมานอันหวานแหลมนี้ต่อไป รู้แต่เพียงว่าความเสียวซ่านที่ได้รับมันเริ่มจากปลายนิ้วที่เขากระตุ้นเร้า ยิ่งเขาเร่งสะบัด ถี่ระรัว คลื่นความเสียวซ่านก็แผ่ไปทั่วร่าง มันไหลเวียนไปตามเส้นเลือด วูบวาบ ปั่นป่วนทั้งจิตใจและความรู้สึก

“จูบผมที่รัก...”

สิ้นเสียงพร่าจัด เธอก็จูบเขาด้วยความรัญจวนใจ ตกใจตัวเองไม่น้อยที่ทำตามคำสั่งน่าอายอย่างง่ายดาย ทั้งยังเอื้อมมือขึ้นมาประคองใบหน้าคร้ามคม รั้งเขาให้แนบชิดราวกับกลัวว่าเขาจะผละหนีไปไกล หากความรู้สึกซาบซ่านที่ร่างกายกำลังซึมซับ มันฉุดให้เธอลอยสูงขึ้นๆ จนวินาทีสุดท้ายต้องถอนจูบหอบหายใจ ร่างกายเก็บกักความเสียวซ่านไว้แน่นจนมันแตกกระจายราวกับพลุไฟหลากสี เส้นประสาทตื่นตัวรับกับความสุขสมที่ไม่เคยพานพบมาก่อน

“อย่างนั้นล่ะทูนหัว โอว... พระเจ้า คุณสวยอะไรอย่างนี้” ลาโคลอฟพึมพำด้วยเสียงพร่าจัด ปลายนิ้วยังเร่งเร้าเธอต่อเนื่อง เสพภาพผู้หญิงเกือบเปลือยที่เนื้อตัวบิดเกร็ง ตาลอย ริมฝีปากเผยอขึ้นอย่างเซ็กซี่ หากยอดทรวงที่ลอยเด่นตรงหน้ายั่วเย้าให้เขาก้มลงครอบครองมันอีกครั้ง ระรัวลิ้นในจังหวะเดียวกันกับปลายนิ้วให้เธอได้อยู่บนจุดสูงสุดของความสุขสมเนิ่นนานยิ่งขึ้น

ปานชีวารู้สึกว่าถูกฉุดออกไปในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เธอไม่เคยรู้ว่ามันสวยงาม เต็มตื้นในทุกความรู้สึก ไม่สามารถควบคุมร่างกายและจิตใจ เพราะถูกเขาครอบงำเอาไว้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งเสียงหวีดร้องที่ดังขึ้นอย่างคนรัญจวนใจยังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของตนหรือไม่

ลาโคลอฟหยุดการทรมานอันแสนหวานปล่อยให้เธอได้กลับลงมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง แต่ไม่อาจหยุดความรวดร้าวที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้จึงจุมพิตผิวเนื้อเนียนอย่างปลอบใจตัวเอง เบียดความแข็งแกร่งที่เหยียดขยายกับต้นขาเรียวราวกับขอร้องให้เธอได้เมตตา ปลดปล่อยตนบ้าง “มีความสุขใช่ไหม เบบี้คริสตัล”

“ค่ะ...” เธอและรับอย่างง่ายดาย หากต้องอับอายเมื่อเห็นใบหน้าคร้ามคมยิ้มพรายราวกับภูมิใจเหลือหลายที่ทำให้เธอสุขสมเช่นนี้

“รู้ตัวไหมว่าสวยเหลือเกิน หวานอะไรอย่างนี้นะทูนหัว”

เขาต้องบ้าไปแล้วที่จูบเลียมือของตัวเอง มองมันและเธอสลับกันด้วยสีหน้าและแววตาเทิดทูน! แต่เมื่อสมองทำการประมวลผล ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้เธอเกือบกลั้นใจตาย เพราะเขากำลังสำราญอารมณ์กับความชุ่มฉ่ำที่เธอผลิตมันออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “ตัวลามก!”

ลาโคลอฟระเบิดเสียงหัวเราะกับคำผรุสวาทของเธอ ผู้หญิงคนแรกที่เขาตั้งใจเล้าโลม ใช้เวลากับเธอเนิ่นนานโดยไม่ได้คิดถึงตัวเอง อันที่จริงเมื่อเธอพบพานกับจุดสูงสุดของอารมณ์แล้วก็ควรจะกระตือรือร้น ปลดปล่อยให้เขาได้พบกับจุดสูงสุดของอารมณ์เช่นกัน “รู้ไหมว่า... ตัวลามกอยากดื่มชิมน้ำหวานจากตัวคุณ ไม่ใช่ต้องผ่านมือแบบนี้”

โอ! ฆ่าเธอให้ขาดใจตายไปนาทีนี้เลย ทำไมเขาถึงไม่มีความละอายบ้างนะ ปานชีวาคิดในใจ หากคำต่อว่าที่หลุดออกจากปากเป็นเพียงประโยคสั้นๆเพราะกำลังรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดหลีกหนีจากเขา “พูดมาได้ไม่รู้จักอาย โรคจิตจริงๆ”

“อายอะไรล่ะ นี่คือขั้นตอนสำคัญเชียวนะ บอกให้รู้ไว้ว่าผมไม่พลาดที่จะจูบคุณทั้งตัวแน่” จบคำพูดที่ผุดลุกขึ้นนั่งกลางเตียงอย่างรวดเร็ว ด้วยท่านั่งที่ทำให้เธอต้องเบือนหน้าหนีจากความอลังการอันน่าพรั่นพรึง “ช่วยผมที เบบี้คริสตัล”

ปานชีวาไม่เข้าใจในคำพูดเท่าไหร่นักแต่ก็อดสงสารไม่ได้ เพราะน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่ากำลังเผชิญความปวดร้าวอย่างแสนสาหัส เธอชันตัวลุกขึ้นตามแรงรั้งของมือใหญ่เข้าไปนั่งพับเพียบอย่างคนหมดแรงตรงหน้าเขา ในขณะที่เขานั่งกางขาออกกว้าง เปิดเปลือยตัวเองอย่างหมดจด!

                “จะทำอะไร!” ถามไม่ทันขาดคำ มือทั้งสองข้างก็ถูกดึงไปทาบไว้กับแก่นกายชาย โดยมีฝ่ามือของเขาประคองซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง ปานชีวาเบิกตากว้างพยายามดึงมือออกจากความร้อนผ่าวที่ดิ้นขยับราวกับดีใจเมื่อได้อยู่ในฝ่ามือของเธอ “ไม่เอานะ ฉันไม่ทำนะ!”

                “นะ... ทูนหัว ผมทรมานจนจะบ้าตายอยู่แล้ว” ลาโคลอฟขอร้องพร้อมมองใบหน้างดงามแดงก่ำ ส่ายหน้าเร็วๆปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น แต่ตอนนี้เขาต้องการปลดปล่อยตัวเองในฝ่ามือน้อยๆของเธอเท่านั้น ไม่ได้คิดจะล่วงล้ำเข้าไปในร่างกายก่อนเวลาอันควร “พลีส... มันน่าสงสารที่สุดแล้ว”

                เป็นครั้งแรกที่เพลย์บอยเต็มขั้นอย่างเขาต้องออกปากอ้อนวอนให้ผู้หญิงด้อยประสบการณ์เมตตา ‘ลุคจูเนียร์’ ที่เคยถูกปรนเปรอมาตลอดดิ้นขยับรับฝ่ามือนุ่มนิ่มอย่างตื่นเต้น เหยียดขยายได้มากกว่าทุกครั้งแม้ไม่ได้อยู่ในปลอกเนื้อหวานฉ่ำ

                ปานชีวามองเนื้อตัวของเขาที่เคลื่อนไหวในฝ่ามือของตัวเองราวกับไม่เชื่อสายตา เขาเลื่อนมือทั้งสองข้างออกแล้วค้ำยันกับที่นอน ขยับสะโพกสอบดันตัวเข้าหาฝ่ามือเธอ กล้ามเนื้ออันแน่นตึงของผู้ชายที่ถูกฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง หดเกร็งเป็นคลื่นน่ามองยิ่งนัก เขาหลับตาแหงนหน้าไปข้างหลังราวกับกำลังอดทนจากความเจ็บปวด เสียงครางกระหึ่มที่ลอดออกจากริมฝีปากบางเฉียบ ทำให้เธอรู้สึกตัว ตกใจกับการกระทำของตัวเอง “ไม่ ไม่... ฉันทำไม่ได้!”

                จังหวะที่เขากำลังก้าวไปถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ ฝ่ามือน้อยๆกลับผละออกไปกลางคัน ไม่ใช่แค่หยุดชั่วคราวแต่เธอเดินแกมวิ่งอย่างไม่มั่นคงหนีหายไปต่อหน้าต่อตา “โอว... ไม่นะ อย่าทำกับผมแบบนี้”

                ปานชีวาปิดประตูห้องน้ำพร้อมลงกลอนอย่างหนาแน่น ยืนพิงประตูหอบหายใจ ขวัญหนีดีฝ่อกับสิ่งที่ทำเมื่อครู่ แต่เสียงสบถและประตูห้องน้ำที่ถูกเคาะอย่างแรงทำให้สะดุ้งตกใจ

                “เปิดประตูเดี๋ยวนี้ คุณจะฆ่าผมให้ตายใช่ไหม ยัยตัวร้าย!”

                เสียงที่ดังลอดเข้ามาทำให้รู้ว่าเขากำลังทรมานเพียงใด แต่เธอก็ละอายใจตัวเองเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของเขา แค่เห็นสภาพตัวเองในกระจกเงาก็ต้องหลับตาลงอย่างละอาย...

                คำสอนของผู้เป็นย่าที่เคยพร่ำบอกมาตั้งแต่เล็กจนโต หลั่งไหลเข้ามาให้รู้สึกผิดชอบชั่วดี คำสอนที่ให้รักนวลสงวนตัวต่างดังขึ้นในสมองแข่งกับเสียงต่อว่าต่อขานของคนด้านนอก มือทั้งสองข้างค่อยๆเลิกชายเสื้อขึ้นมองเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยร่องรอยพิศวาส ย้ำเตือนให้ได้ละอายใจที่เผลอไผลกับเขาไปอย่างง่ายดาย

ปานชีวาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เสียงเอะอะด้านนอกถึงเงียบลง เธอกักตัวอยู่ในห้องน้ำ อย่างรู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองทั้งที่ร่างกายยังซาบซ่าน ส่วนลึกในจิตใจยังเต็มตื้นไปด้วยความสุขสม อิ่มเอมแตกต่างกับคนที่ชักนำให้รู้จักกับความลับของชายหญิง เขาเดินออกไปจากห้องของเธอด้วยอารมณ์เดือดดาล เป็นครั้งแรกในชีวิตหนุ่มที่ต้องเสียรู้ให้กับสาวไม่ประสา สวรรค์ล่มถล่มลงตรงหน้า ความรวดร้าวแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ใครจะเชื่อถ้าบอกว่าลาโคลอฟถูกผู้หญิงทิ้งกลางคัน!

ให้ตายเถอะ! เขาต้องตอบแทนยัยตัวร้ายอย่างสาสม เธอช่างเห็นแก่ตัว มีความสุขอยู่คนเดียวทิ้งให้เขาต้องเจ็บร้าวไปทั้งร่างกายและจิตใจ

ดีล่ะ... เมื่อเธอใจดำกับเขานัก ต่อไปนี้ก็อย่าได้ถามหาความปรานีจากความต้องการที่เขาเก็บมันไว้ในใจ เขาจะเริ่มล่อลวงเธอจนกว่าจะสมความปรารถนา ลาโคลอฟคิดอย่างแค้นใจ ทว่ามันกลับเป็นความแค้นอันแสนหวานที่ต้องการจากเธอเพียงผู้เดียว

 

ศิริพาราลงยอดรักจอมเผด็จการตอนนี้ให้อ่านเป็นตอนสุดท้ายนะคะ ครบ50%ของเนื้อเรื่องทั้งหมดตามที่ตกลงกันไว้

ยอดรักจอมเผด็จการ ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วนะคะ ขอบคุณนักอ่านที่รักที่ติตามและแสดงความคิดเห็น

นักอ่านที่รักสามารถหิ้วคุณลุคและลุคจูเนียร์ไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้

  1. siripara2writer@gmail.com

ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยายจ้า ทั้งยังมีเกมกติกาแสนง่าย แจกรางวัลเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบแทนนักอ่านที่รัก อย่าลืมกดlikefanpage ศิริพารา รายาฤดี นะคะ

 

จุ๊บๆๆ

ศิริพารา

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา