ยอดรักจอมเผด็จการ

6.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) ยอดรักจอมเผด็จการ ตอนที่ 11 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งเช้าอารยาเดินมาเคาะประตูห้องนอนของหลานสาว และเปิดประตูเชื่อมเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงหวานดังขึ้น ร่างกะทัดรัดนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำลังมัดผมยาวสลวยไว้กลางกระหม่อมปล่อยปลายเป็นหางม้าระอยู่บริเวณต้นคอ

“เปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์เครื่องนี้นะ ท่านรัฐมนตรีฝากมาให้ อาก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน” อารยาอธิบายต่อเมื่อใบหน้างดงามมองมาด้วยความสงสัย

ปานชีวาลอบถอนหายใจ เข้าใจว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติ ทุกสิ่งต้องทำตามคำบัญชาของรัฐมนตรีจอมเผด็จการ จึงไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ

“เมื่อคืนนี้ลูกปัดไปไหนมา อารออยู่ตั้งนาน” ถามพลางนั่งลงบนเตียง มองหลานสาวที่กำลังอยู่ในวัยสาวสะพรั่งอย่างเพลินตา ผู้หญิงสวยมักตกเป็นเป้าสายตาของผู้ชาย หากผู้ชายที่ว่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่รักหลานสาวเธออย่างจริงใจ ก็คงไม่ต้องทำให้ลำบากใจเช่นนี้

“เอ่อ... พอดีว่าปัดลงไปสอบถามท่านรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องของเจตน์น่ะค่ะ” ปานชีวาวางแปรงในมือลงแล้วหันมาสบสายตาผู้เป็นอาที่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นแต่แววตายังเต็มไปด้วยความกังวลใจ “เจตน์เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ เราไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่เรียนจบ บังเอิญมากที่ได้มาเจอกันที่นี่ แล้วปัดก็คิดว่าเจตน์ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของอีวาน”

“จ้ะ อาก็คิดอย่างนั้น” อารยาพยักหน้ารับเพราะเวลาสองปีที่เจตน์เป็นเลขานุการของสามี ก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบ ตอนแรกที่เห็นท่าทางข่มขู่ของลาโคลอฟก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เมื่อได้คุยกับลาโคลอฟเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาก็พอจะทราบได้ว่าเพราะเหตุใด ลาโคลอฟถึงได้พูดจาข่มขู่เจตน์เช่นนั้น “เมื่อกี้นี้อาเพิ่งวางสายจากเจตน์ เขาถูกปล่อยตัวตอนตีสาม ปลอดภัยดี ไม่ได้รับอันตรายใดๆ”

“จริงเหรอคะ” ปานชีวาถามและยิ้มออกมาอย่างดีใจ โล่งอกที่ได้รู้ว่าเพื่อนปลอดภัย

“ลูกปัดรู้จักกับท่านรัฐมนตรีมาก่อนเหรอ?”

“เคยพบกับเขาครั้งหนึ่งในงานแต่งลูกชายของคุณลุงอีไลย์ค่ะ แล้วมาเจออีกครั้งที่นี่ ปัดไม่คิดว่าเขาจะจำได้ค่ะ”

บทสนทนาเงียบลงเมื่อแม่บ้านยกอาหารเช้าเข้ามาเสิร์ฟในห้อง อารยาอดคิดถึงคำพูดของรัฐมนตรีหนุ่มไม่ได้ นึกชื่นชมกับความจริงใจของเขา การพูดคุยกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ หลังจากที่รัฐมนตรีหนุ่มได้แจ้งข่าวคราวเกี่ยวกับสามีของเธอแล้ว

‘ผมอยากจะขออนุญาต คบหากับปานชีวาครับ’ ลาโคลอฟเอ่ยคำพูดที่ทำให้อารยาต้องประหลาดใจ นิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ ‘ผมพอจะทราบว่าธรรมเนียมชาวไทยแตกต่างกับแอลเมเรียอยู่มาก จึงคิดว่าต้องบอกกล่าวกับญาติผู้ใหญ่ของเธอให้รับทราบก่อน’

‘ดิฉันรับทราบค่ะ แต่ไม่ทราบจริงๆว่าหลานสาวของดิฉัน ชอบพออยู่กับท่าน’

‘เด็กขี้ขลาดนั่นไม่ยอมรับใจตัวเองง่ายๆหรอกครับ เธอเหมือนกลัวที่จะเปิดใจคบหากับเพศตรงข้าม ซึ่งนั่นสร้างปัญหาให้ผมพอสมควร’ ลาโคลอฟบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ อันที่จริงเด็กบ้านแตกที่เติบโตขึ้นมาอย่างขาดความอบอุ่น นั่นแค่ปัญหาเล็กน้อยสำหรับเขา รับรองว่าเขาจะเป็นคนทลายกำแพงความกลัวที่โอบล้อมหัวใจเธอ ทำให้เด็กบ้านแตกได้รับความอบอุ่นจนเร่าร้อนเชียวล่ะ

‘ค่ะ ดิฉันหวังว่าท่านคงจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่นั่นก็ต้องหมายความว่า หลานสาวของดิฉันเต็มใจคบหาท่านด้วยนะคะ’ อารยาแบ่งรับแบ่งสู้

‘ครับ รับรองว่าจะไม่มีการฝืนใจเธอเป็นอันขาด ผมออกจะมั่นใจในความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างเรา’ ลาโคลอฟบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะแยกไปทำธุระส่วนตัว ยังฝากโทรศัพท์เครื่องใหม่และข้อความมาถึงหลานสาวอีกด้วย ‘อ้อ... ฝากบอกเธอด้วยว่า ผมรอที่รถสักเจ็ดโมงครึ่งนะครับ’

ปานชีวาเอียงหน้ามองผู้เป็นอาอย่างแปลกใจเพราะแม่บ้านออกจากห้องไปได้สักพักแล้ว ก็ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม “อายาคะ อายา...”

“จ้ะ ว่าไงนะ” อารยาหลุดออกจากห้วงความคิดของตนพลางมองไปยังโต๊ะอาหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง จึงรีบชวนหลานสาวไปรับประทานอาหารเพราะอีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาที่รัฐมนตรีหนุ่มนัดแล้ว “ทานอาหารเช้ากันเถอะ เดี๋ยวลูกปัดจะไปเรียนสาย”

“ค่ะ...” ปานชีวารับคำอย่างว่าง่าย เดินตามหลังไปนั่งยังโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้สองที่ “มีใครมาแจ้งข่าวอีวานบ้างไหมคะ”

“อาคุยกับท่านรัฐมนตรีเมื่อตอนตีห้า หน่วยข่าวกรองของแอลเมเรียยืนยันมาแล้วว่ากลุ่มLONA จับอีวานไปเป็นตัวประกัน แต่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร” อารยาบอกพลางรับประทานอาหาร

ปานชีวาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะสุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่รอกลุ่มLONA ติดต่อกลับมาเท่านั้น “สรุปว่าการจะชิงตัวอีวานระหว่างทางก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ”

“ยากนะ ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยลงมือในสถานที่ที่คนพลุกพล่านขนาดนี้ นั่นก็แปลว่าต้องมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี”

“อายาคิดว่าท่านรัฐมนตรีเต็มใจช่วยเราจริงๆหรือมีนัยยะอย่างอื่นแอบแฝง” ปานชีวาถามด้วยน้ำเสียงกระซิบ หันรีหันขวางราวกับว่ากลัวคนของเขาได้ยิน

“ท่านประธานาธิบดีอยากให้อีวานลงเล่นการเมือง เคยเปรยมากกว่าสองครั้งแต่อีวานก็แบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด อาคิดว่าการยื่นมือเข้ามาช่วยในครั้งนี้ก็คงเพราะเหตุผลนั้น”

ปานชีวาพยักหน้ารับช้าๆ กลอกสายตาไปมาอย่างคนกำลังใช้ความคิด “คิดเอาไว้แล้วเชียว ต้องมีอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ช่วยเหลือเราเป็นพิเศษอย่างนี้”

“ลูกปัดคิดว่าท่านรัฐมนตรีเป็นยังไง” อารยาถามอย่างอยากรู้ เมื่อได้เห็นสีหน้าแปลกใจของหลานสาวจึงรีบอธิบายเพิ่มเติม “อาหมายถึง... ลูกปัดมองว่าเขาเป็นคนดีไหมหรือเป็นพวกปากกับใจไม่ตรงกัน ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์เหมือนนักการเมืองส่วนมาก”

“ก่อนที่จะทราบเหตุผลว่าเขาอยากให้อีวานลงเล่นการเมืองก็คิดว่าเขาเป็นคนใช้ได้ค่ะ” ปานชีวาตอบพลางยิ้มแหยๆ “แต่ช่างเถอะ ขอให้เขาช่วยอีวานกลับมาอย่างปลอดภัยเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

“ลูกปัดยังไม่ได้บอกแม่ใช่ไหมว่ามาอยู่กับอา” อารยาเอ่ยถึงอดีตพี่สะใภ้

“ยังค่ะ แต่ล่าสุดที่คุยกันก่อนปัดจะเดินทางสักสัปดาห์ ท่านก็ทราบว่าจะมาเรียนต่อที่แอลเมเรีย คิดว่าคงจะเดาได้ว่าปัดต้องมาพักกับอายา”

หลังกลับจากสเปนเมื่อสองปีที่แล้ว แม่ก็ติดต่อเธอบ่อยขึ้นไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่สม่ำเสมอ ทั้งยังออกปากชวนให้ไปอยู่ที่อิตาลีด้วยกัน แต่ปานชีวาไม่สามารถทิ้งผู้เป็นพ่อไปได้แม้จะรู้ดีว่า การที่ตนไม่อยู่ขวางหูขวางตาแม่เลี้ยงและน้องสาวจะทำให้ทั้งคู่สบายใจ และอดทนมาตลอด แต่คำพูดที่ว่า... ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดเสมอนั้นเป็นเรื่องจริง เมื่อท้ายที่สุดเธอก็ต้องปล่อยวางความเป็นห่วงที่มีต่อผู้เป็นพ่อ เพราะไม่สามารถอดทนต่อคำเสียดสีของแม่เลี้ยงได้อีกต่อไป

การเดินทางมาศึกษาต่อต่างประเทศสักระยะ คงจะทำให้เธอได้หลุดพ้นจากความอึดอัดทั้งปวง มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น แน่นอนว่าแม่เลี้ยงก็คงจะเบิกบานใจขึ้นเพราะไม่ต้องทนเห็นหน้าลูกเลี้ยงแสนชังอย่างเธอ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าต้องกลับไปดูแลพ่อในยามแก่ชรา

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลูกปัดอย่าลืมโทรฯหาแม่นะ จะโกรธ คับข้องใจแค่ไหนนั่นก็คือแม่ผู้ให้กำเนิด” อารยาเตือนเพียงเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าหลานสาวเป็นคนรู้จักคิดแต่ความไม่เข้าใจที่สะสมมาตั้งแต่เยาว์วัยอาจจะทำให้ดูเฉยเมยกับผู้ให้กำเนิดไปบ้าง “อ้อ... รถจอดรออยู่ด้านล่าง รีบทานเถอะ เดี๋ยวท่านรัฐมนตรีจะรอนาน”

“หืม... ต้องรบกวนเขาอย่างนั้นเลยเหรอคะ?” ปานชีวาถามพลางทำตาโต ตั้งแต่ที่เขาผลุนผลันออกไปเมื่อคืนก็ตั้งใจว่าจะไม่รบกวนเขาเกินความจำเป็นอีก อีกอย่างเขาน่าจะรำคาญเธอถึงที่สุดแล้ว

“อาว่าลูกปัดให้ท่านรับส่งจะดีกว่านะ สถานการณ์ช่วงนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถ้าจะมองกันตามตรงแล้วอยู่ใกล้ๆท่านรัฐมนตรีคงไม่มีใครกล้าทำอะไร ถ้าลูกปัดไปไหนมาไหนเอง อาคงไม่สบายใจ” อารยาบอกด้วยความสัตย์จริง ไม่ใช่เพราะอยากประเคนหลานสาวใส่พานให้ลาโคลอฟ

สายตาและสีหน้าเป็นกังวลทำให้ปานชีวาพูดไม่ออก ได้แต่รับคำอย่างแผ่วเบาและหันมาจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองต่อเพราะไม่อยากให้เขาต้องรอนาน

 

ราวสิบห้านาทีต่อมาปานชีวาก็ก้าวเข้าไปในคาดิแลคคันยาวที่จอดรออยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านในมีร่างสูงของลาโคลอฟ เขาดูหล่อเหลาอย่างร้ายกาจในชุดสูทสากลสีน้ำเงินเข้ม เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีฟ้าเฉดที่อ่อนที่สุด ปลดกระดุมสองสามเม็ดบนออกและมีเนกไทสีเงินมันวับวางอยู่บนเบาะนั่งตรงกันข้าม

ลาโคลอฟยิ้มที่มุมปากให้เธอเป็นการทักทาย ตบมือลงบนเบาะนั่งข้างกายเป็นเชิงบอกให้เธอเข้ามานั่งใกล้ๆ แน่นอนว่าเด็กบ้านแตกไม่ยอมทำตามคำสั่ง แต่กลับทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้าม กอดหนังสือเรียนเล่มใหญ่ มองออกไปด้านนอกทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน

“วันนี้เลิกเรียนกี่โมง” ลาโคลอฟถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก

“บ่ายสามครึ่งค่ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่ได้มองหน้าเขาจึงได้ยินเพียงแค่เสียงถอนหายใจออกมาหนักๆราวกับรำคาญใจหนักหนา ต่อจากนั้นชั่วอึดใจเขาก็เคลื่อนตัวเข้ามานั่งข้างๆอย่างรวดเร็ว

“อะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัด” ถามพลางจงใจเบียดตัวเข้าหาเธอ

ปานชีวาหันกลับไปมองคนสนิทของทั้งสองแล้วต้องโล่งอก เมื่อทั้งคู่ไม่ได้สนใจมองการกระทำของเจ้านาย พลางหันกลับมาจ้องเขาตาเขียวปัด รู้ว่าเขาได้ยินอย่างชัดเจน “บ่ายสามครึ่งค่ะ เขยิบไปหน่อยสิคะที่นั่งมีตั้งกว้าง จะมานั่งเบียดดิฉันทำไม”

“ก็ไม่ยอมไปนั่งด้วยกันแต่แรก อีกอย่างนั่งเบียดกันอย่างนี้อุ่นดี แถมยังได้ยินคุณพูดชัดๆด้วย” คนที่มีร่างกายแข็งแกร่ง ถูกฝึกฝนมาอย่างทรหดในอากาศติดลบมากกว่ายี่สิบองศา กำลังอ้างตัวว่าอากาศราวสามองศาเซลเซียสจะทำให้หนาวเหน็บจนต้องหาไออุ่นจากเรือนกายสาว

มุกจีบหญิงของเจ้านายที่ทำเอามารัตและอลันกลั้นหัวเราะจนปวดกราม ติดตามท่านมาหลายปีก็เพิ่งจะเห็นว่าท่านยิ้มกว้างได้จริงๆ เมื่อมีสาวไทยแสนสวยเข้ามาในชีวิต รอยยิ้มสุขใจที่บ่งบอกว่ามีความสุขทั้งกายและใจ เป็นรอยยิ้มเดียวกับที่เคยเห็นเมื่อสองปีที่ผ่านมา

“หนาวอย่างนี้น่าจะปล่อยผม อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ช่วงคออุ่นขึ้น แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ คุณดูเหมือนสาวเนิร์ด” ลาโคลอฟพูดเองเออเองเสร็จสรรพ นึกชอบการแต่งตัวของเธอเป็นอย่างมาก เสื้อคาร์ดิแกนสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงสกินนี่สีดำ บูทยาวสีน้ำตาลเข้มกว่าเสื้อสองเฉด เธอน่ามองซึ่งไม่ใช่ในแบบที่หลุดออกมาจากแคทวอล์กหรือในคอลเล็กชั่นล่าสุดของแบรนด์เสื้อหรู แต่เธอดูดีรู้จักมิกซ์แอนด์แมตช์ทุกอย่างให้เข้ากับรูปร่างของตัวเอง

“ขยับไปหน่อยสิคะ ดิฉันอึดอัด”

เสียงหวานที่ดังขึ้นทำให้ลาโคลอฟหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง แต่ไม่ได้ทำตามที่เธอร้องขอ ทั้งยังถามไปอีกเรื่องซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด

“ปกติคุณใส่แว่นด้วยรึเปล่าจ้ะ” ถามเพราะคิดว่าในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอน่าจะมีทั้งของจิปาถะ รวมไปถึงแว่นสายตา

ปานชีวาหน่ายใจกับคนที่พูดไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็ต้องตอบออกมาอย่างเสียมิได้ “ใส่เฉพาะตอนที่ต้องเพ่งอะไรนานๆ หรือตอนอ่านหนังสือค่ะ”

“อืม... แสดงว่าสายตาไม่ได้สั้นมาก” พูดยังไม่จบประโยคดีด้วยซ้ำ เธอก็ลุกขึ้นหนีไปนั่งฝั่งตรงข้าม แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเขาก็เข้าไปนั่งเบียดเธอเช่นเดิม คราวนี้ยังพาดแขนไว้หลังพนักพิงกอดเธอกลายๆ กางขาออกกว้างจนเบียดขาเธอไปติดกับประตูรถ กันไม่ให้เธอหนีไปไหนได้อีก “เวียนหัวล่ะสิ ผมบอกให้มานั่งฝั่งนี้แต่แรกก็ไม่เชื่อ”

“เวียนหัวเพราะคุณมากกว่า ทำไมถึงได้ทำแบบนี้นะ” ปานชีวาขึ้นเสียงอย่างคนหมดความอดทน เปลี่ยนสรรพนามเรียกขานเขาอย่างลืมตัว

ลาโคลอฟเลิกคิ้วมองนางฟ้าแสนสวยเจ้าอารมณ์ เธอแสดงสีหน้าได้เซ็กซี่บาดใจ แสร้งถามหน้าตายจงใจยั่วโทสะให้เธอลืมตัวมากขึ้น “แบบนี้น่ะแบบไหน?”

“ก็แบบที่คุณกำลังทำ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบให้ผู้ชายมาถึงเนื้อถึงตัว ฉันไม่ต้องการทำความรู้จักคุ้นเคยกับคุณในทำนองนี้ ที่ผ่านมาคุณอาจจะแค่กระดิกนิ้วก็มีผู้หญิงคลานเข้ามาหา แต่สำหรับฉันไม่ใช่ ฉันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น!”

“แล้วไงอีก?” ลาโคลอฟถามพลางขยับตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเธอให้ถนัดตาขึ้น

“ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะอยู่ในประเทศฟรีเซ็กส์ แต่ฉันก็ยังเป็นผู้หญิงที่เติบโตและยึดถือวัฒนธรรมในแบบที่คุณไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะอธิบายยังไงคุณก็ไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกอันดีงามนั้นได้ ฉันมีครอบครัว มีญาติพี่น้องที่ต้องให้เกียรติ หญิงชายจะคบกันต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ไม่ใช่ปากว่ามือถึงอย่างที่คุณทำกับฉันมานับครั้งไม่ถ้วน และขอเตือนว่าให้หยุดการกระทำนั้นเสีย” ปกติเธอเป็นคนที่มีความอดทนสูง ไม่เคยขึ้นเสียง โมโหใครง่ายๆ ยิ่งกับคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยด้วยแล้วยิ่งมีความอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาคงเป็นคนแรกที่เธอยังต้องพึ่งพาและขึ้นเสียงใส่เช่นนี้!

“แปลว่าถ้าผมจะคบผู้หญิงไทยสักคน ผมต้องขออนุญาตผู้ปกครองเธอก่อน”

ปานชีวาหลับตาลงอย่างระงับสติอารมณ์ ไม่น่าเชื่อว่าต้องมาอธิบายในสิ่งที่คิดว่าพูดไปอย่างชัดเจนแล้ว “ถ้าคุณคิดจะจริงจังกับเธอก็ควรต้องเป็นอย่างนั้น”

“อืม... แล้วถ้าครอบครัวเธอแตกสลาย พ่อไปทางแม่ไปทางล่ะ” คนถามถามต่อไปโดยที่คนตอบโมโหจัดจนไม่ทันคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือตัวเอง

“ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กบ้านแตกแต่ก็ต้องมีผู้ปกครอง คุณน่าจะรู้ว่าเด็กคนหนึ่งไม่สามารถโตขึ้นมาตัวคนเดียวได้”

“รู้สิ ผมถึงได้คิดอยู่เสมอว่าน่าจะเจอเธอเร็วกว่านี้ จะได้รับมาอยู่ด้วยกันเสียเลย อย่างน้อยก็ไม่ต้องโตมาแบบขาดๆหายๆเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นที่ไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อแม่ว่าเพราะเหตุใดต้องแยกทางกัน รับรองว่าอยู่กับผมจะได้รับความรักความอบอุ่นจนร้อนเลยล่ะ”

ปานชีวาหัวเราะพรืดออกมาเพราะรู้ว่าความรักที่เขาว่าอุ่นจนร้อนนั้นหมายถึงการแสดงความรักเชิงชู้สาว ซึ่งนั่นไม่ใช่ความต้องการของเด็ก จริงสินะ! เธอลืมคิดไปว่าตัวเองคุยอยู่กับเพลย์บอยเต็มขั้น เขาจะมาเข้าใจความต้องการอันละเอียดอ่อนเช่นนั้นได้อย่างไร “นั่นคงไม่ใช่ความรักในแบบที่เด็กทั่วไปต้องการ”

คำตอบของเธอทำให้ผู้ชายที่ใช้ชีวิตมาสุดเหวี่ยงหน้าคว่ำ “คุณคงคิดว่าวันๆผมมั่วอยู่กับผู้หญิง ในสมองมีแต่เรื่องเซ็กส์ถึงไม่รู้ว่าเด็กต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ที่พูดนั่นเป็นแค่การเปรียบเปรย เพราะเท่าที่รู้มาคุณเติบโตมาไม่ต่างจากพลเมืองชั้นสองของครอบครัว ความรักความอบอุ่นที่ควรได้ก็ถูกน้องสาวต่างแม่แย่งชิงไปเสียหมด”

ปานชีวาอ้าปากค้าง มองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึงเพราะรู้สึกตัวว่าเขากำลังเอาเรื่องส่วนตัวของเธอมาประจาน “คุณกำลังว่าฉันเป็นเด็กมีปัญหา เป็นเด็กขาดความอบอุ่นอย่างนั้นเหรอ!?”

“จากที่คุยกันแล้ว ผมสรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ” ลาโคลอฟพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ โคลงศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

“หึ! ถึงฉันจะเป็นเด็กบ้านแตกแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีบุญอยู่มากที่ไม่ได้เจอคุณในตอนเด็ก ถ้าเจอตั้งแต่ตอนนั้นป่านนี้จากเด็กบ้านแตกคงกลายเป็นสาวใจแตกไปแล้วก็ได้”

ลาโคลอฟหัวเราะร่วนสอดมือเข้าไปโอบไหล่เธอไว้อย่างปลอบประโลม “ไม่หรอกน่า... ถ้าใจแตกก็คงแตกกับผมคนเดียว แต่รับรองว่าคุณจะไม่กลายเป็นคนมองความรักความสัมพันธ์ชายหญิงติดลบแบบนี้แน่”

“ฉันไม่ใช่เด็กมีปัญหาอย่างที่คุณเข้าใจ” ปานชีวาย้ำด้วยเสียงดุอีกครั้ง

“ไม่เห็นต้องอายเลย ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าแม่ จำความรู้สึกจากกอดของพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยมองความรักในแง่ลบ ไม่เคยสร้างกำแพงหนาเพื่อปกป้องตัวเองจากความรักอันสวยงาม นั่นต่างหากที่ผมต้องการบอกคุณ”

“ฉันไม่ได้อายแล้วก็ไม่ใช่เด็กมีปัญหา ไม่เคยทำอะไรอย่างที่คุณพูดมาด้วย” ปานชีวาตอบออกมาด้วยความเหลืออด ไม่รู้จะพูดอย่างไรเมื่อข้อโต้เถียงยืดยาวที่ผ่านมานั้นเขาหมายถึงตน แล้วนี่เขาไปสืบประวัติเธอมาหรืออย่างไรถึงได้รู้ว่าถูกน้องสาวต่างแม่แย่งชิงความรักไปเสียหมด

ลาโคลอฟหัวเราะพร้อมโคลงศีรษะอย่างหยอกเย้า “เอาน่า... เรามาเริ่มต้นรักษาอาการทางใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ รับรองว่าคุณจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปในชีวิต แล้วคุณจะรู้สึกว่าชีวิตนี้มีอะไรที่สนุกสวยงาม ไม่ต้องกักขังตัวเองอยู่อีกโลกทั้งที่ความจริงแล้วคุณแอบชอบโลกที่ก่อกำแพงกั้นเอาไว้”

“คุณ! คุณมันคนเหลือทน กำลังจะบอกว่าฉันชอบโลกในแบบคาวโลกีย์ของคุณอย่างนั้นเหรอ” ยิ่งคุยกับเขาก็ยิ่งทำให้เธอโมโห

“อ้า... ผมชอบตรงที่คุณฉลาดนี่แหละ คราวหลังจะได้พูดตรงๆ ไม่ต้องเดินอ้อมโลกแบบนี้” ลาโคลอฟบอก หากนึกอยากเปลี่ยนคำว่าคาวโลกีย์ของเธอซึ่งมันเป็นเรื่องจริงของชีวิตลูกผู้ชายที่ผ่านมา แต่กับเธอแล้วต้องใช้คำว่าโลกแห่งความปรารถนาน่าจะเหมาะกว่า

หากทั้งคู่ยังโต้เถียงกันจนไม่รู้สึกว่าตอนนี้ รถยนต์คันยาวแล่นเข้ามาในตัวเมืองแล้ว อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะถึงมหาวิทยาลัยแอลเมเรีย

“ต่อให้คุณหว่านล้อมแค่ไหนฉันก็รู้ค่ะว่าจุดประสงค์ที่พูดมาทั้งหมดคือต้องการลากฉันเข้าไปเป็นผู้หญิงในคอลเล็กชั่น แต่จะบอกให้รู้เอาไว้นะคะว่าฉันขอปฏิเสธ ไม่ว่าคุณจะพูดอ้อมๆหรือขอตรงๆ อีกอย่างถ้าฉันว่าการที่คุณเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ว่างเป็นต้องคิดแต่เรื่องบนเตียง แท้จริงแล้วจิตใจคงมีปัญหาเพราะขาดความรักความอบอุ่นในวัยเด็ก จนต้องหมกมุ่นหาความรักฉาบฉวยมาทดแทน มีปมในใจมากกว่าฉันเสียอีก เผลอๆอาจจะอาการหนักจนควรต้องเข้าพบจิตแพทย์” ปานชีวาตอกกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ จนมารัตที่เพิ่งจอดรถยนต์หน้าอาคารเรียนในมหาวิทยาลัย หันมาสบตากับคู่หูไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครกล้าวิจารณ์เจ้านายตนถึงขนาดนี้ “เด็กมีปัญหา!”

“โอเค้... มีปัญหาก็มีปัญหา อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขี้ขลาดจนไม่กล้ายอมรับพฤติกรรมของตัวเอง” ลาโคลอฟยอมรับพลางยกมือขึ้นลูบปลายคางของตัวเองอย่างกำลังใช้ความคิด “ลองคิดดูสิ ถ้าเด็กมีปัญหากับเด็กบ้านแตกมาคบกัน จะสนุกแค่ไหน”

“ความจริงดูจากอายุแล้วคงเรียกเด็กไม่ได้ แต่ที่ต้องเป็นเด็กมีปัญหาเพราะพูดไม่รู้ฟัง ฉันคิดว่าไม่ได้ใช้ภาษาจากนอกโลกคุยกับคุณ แต่ก็ยังทำเป็นไม่เข้าใจ อยากสนุกก็ไปหาผู้หญิงใจแตกคนอื่นมาสนุกด้วยแล้วกัน ฉันขอลา” พูดจบปานชีวาก็ตั้งท่าจะก้าวลงจากรถ แต่กลับถูกมือใหญ่ยึดข้อมือไว้แน่น

อลันที่ลงจากรถไปรอเปิดประตูให้หญิงสาวต้องเปิดประตูเก้อเมื่อได้ยินเสียงห้าวของเจ้านายสนทนากับเธอต่อไป

“ก็บอกแล้วว่าติดใจคนนี้ อยากทำอะไรสนุกๆกับคนนี้ จะไปหาคนอื่นให้ลำบากทำไม”

“ปล่อย ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว” ปานชีวาพูดห้วนๆ คนพูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทด้วยแล้ว

“เรียนให้เข้าใจนะเด็กบ้านแตก อย่ามัวใจลอยคิดถึงเด็กมีปัญหาให้มากนัก” ลาโคลอฟบอกพลางดึงข้อมือเล็กที่กำมือแน่นขึ้นไปจูบหนักๆ ตีคิ้วใส่ตาเธออย่างท้าทายเมื่อเจ้าตัวมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด “กู๊ดเดย์ เบบี้คริสตัล”

“ตอนบ่ายผมจะมารอรับที่หน้าตึกเรียนนะครับ” อลันบอกอย่างสุภาพ

ปานชีวาก้าวลงจากรถก้าวฉับๆ โดยไม่สนใจคำพูดคนสนิทของเขา ดูเหมือนว่ายิ่งหลีกหนีชีวิตก็ต้องผูกติดกับเขามากขึ้น ‘อีวาน... อีวาน... ขอให้คุณปลอดภัยกลับมาหาเราเร็วด้วยเถอะ’ ปานชีวาคิดในใจ หากอาเขยของเธอกลับมาโดยสวัสดิภาพ ชีวิตของเธอคงไม่มีเรื่องต้องเข้าไปพัวพันกับผู้ชายแสนอันตรายคนนี้

กู๊ดเดย์ อย่างนั้นเหรอ!? ตั้งแต่เจอหน้าเขาไม่กี่วันเธอต้องเสียจูบไปสองครั้ง ถูกขโมยหอมแก้มไม่น้อยกว่าสองครั้ง เปลืองเนื้อเปลืองตัวมากที่สุดตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบหกปี มันคงเป็นช่วงเวลาที่ยอดแย่มากกว่าจะเป็นวันที่ดีเยี่ยมอย่างคำอวยพรของเขา!

ปานชีวาเลื่อนมือมาลูบหลังมือของตนเพราะยังรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนรินรด สัมผัสเล็กน้อยที่ทำให้เธอใจสั่นไหวไม่กี่นาทีที่จากกันก็เผลอใจคิดถึงคนมีปัญหานับครั้งไม่ถ้วน คงมีเพียงอดัม หนุ่มอเมริกันเบนความสนใจของเธอจากลาโคลอฟได้ชั่วครู่ การพยายามไถ่ถามถึงการหายตัวไปของอาเขยรวมไปถึงความคืบหน้า เชฟเฮาส์ที่เธอย้ายไปพักอาศัย หากแต่ปานชีวาไม่สามารถตอบอะไรได้มากนักและกล่าวได้เพียงคำขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่ชายหนุ่มมอบให้

 

ยอดรักจอมเผด็จการ ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วนะคะ  

นักอ่านที่รักสามารถหิ้วคุณลุคและลุคจูเนียร์ไปครอบครองได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ก ร้านนายอินทร์ เว็บสำนักพิมพ์อินเลิฟ เว็บบุ๊กสไมล์ และสามารถพูดคุยกับศิริพาราได้ตามช่องทางดังนี้

1 แฟนเพจศิริพารา รายาฤดี

2อีเมลฺ์ siripara2writer@gmail.com

ติชมหรือแสดงความคิดเห็นได้ตามสบายค่า เม้ามอยหอยขมกันได้ไม่เฉพาะเรื่องนิยายจ้า

 

จุ๊บๆๆ

ศิริพารา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา