Sugar Lemon ♥ คุณชายกะล่อน มัดใจ ยัยจอมเพ้อ
10.0
เขียนโดย เมอิ
วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.12 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
8,700 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558 00.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) [Sugar Lemon ♥ 3 : ไอติม]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...วันถอดเฝือก
โรงพยาบาล...สถานที่เดิม ที่ฮิโตกิต้องมาอยู่บ่อยๆเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน เพราะต้องมาดูอาการขาที่หัก จากการตกบันไดจนต้องใส่เฝือก และต้องกลับมาพักที่บ้านของผู้เป็นแม่ จึงเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับเขามาก
แต่วันนี้! เป็นวันที่คุณหมอคอนดะนัดให้ฮิโตกิมาถอดเฝือกได้ จึงสามารถที่จะกลับไปเรียนตามปกติ ถึงจะต้องใส่ผ้าพันแผลและยังต้องใช้ไม้ค้ำก็เถอะ ยังไงก็ดีกว่าอยู่แต่บ้าน ไปไหนก็ไม่ได้ สาวๆก็ไม่มีให้เห็น แถมยังต้องมาเจอแต่ ‘ซาระ’ สาวข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่กี่อาทิตย์ ที่วันๆเอาแต่อ่านการ์ตูน มิหนำซ้ำยังเคยทะเลาะกันถึงขั้นต้องใส่เฝือกใหม่อีก ถึงในบางครั้งเธอจะดูน่ารักบ้าง แต่ความแสบและดื้อรั้นที่ไม่ยอมฮิโตกิง่ายๆนี่สิ เป็นอะไรที่น่าโมโหที่สุด รวมไปถึงในช่วงนี้เธอยังเมินเขาอีก ยิ่งทำให้น่าโมโหไปใหญ่ ฮิโตกิที่เป็นคน ไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆจึงมีความคิดที่จะทำให้ซาระหันมาชอบเขาให้ได้!! และในวันนี้ เหมือนกับว่าอิสรภาพที่เคยโดนกักกันไว้จะได้ปลดปล่อยซักที! (ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นนะ)
...และแล้วเมื่อถอดเฝือกเสร็จ คุณหมอคอนดะก็พูดเกี่ยวกับคำแนะนำและข้อปฏิบัติหลังถอดเฝือกอยู่นานพอควร ฮิโตกิที่นั่งอยู่ตรงหน้าคุณหมอก็ได้แต่ทำหน้าเหม่อลอย เหมือนกับว่า คุณหมอพูดอะไรไปก็ไม่ได้เข้าหูของเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย
“ฮิโตกิ...ฮิโตกิ...เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ให้คุณนายไอบาริรับหน้าที่เป็นคนบอกกับฮิโตกิเองแล้วกันนะครับ แกคงไม่ได้ฟัง”
คุณหมอคอนดะที่เรียกฮิโตกิอยู่หลายครั้งแต่เจ้าตัวไม่มีการตอบรับอะไรมา จึงหันไปพูดกับคุณนายไอบาริที่ยืนอยู่ข้างๆแทน เพราะพูดอะไรไปตอนนี้ฮิโตกิคงไม่อยากรับรู้อะไรต่อ นอกจากการที่จะได้ออกไปข้างนอกเสียที
“ฮิโตกิคงดีใจไปหน่อยน่ะค่ะ เลยดูเหม่อลอยไป ต้องขอโทษแทนคุณหมอคอนดะด้วยนะคะ”
คุณหมอคอนดะไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มแกมหัวเราะเบาๆเพื่อตอบรับคุณนายไอบาริ สมกับเป็นคุณหมอที่ใจดีเอามากๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฮิโตกิรีบเดินขึ้นห้องอย่างทุลักทุเลเพราะพยายามที่จะเดินตามปกติให้ได้ เขาเดินเข้าห้องและเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นเสื้อยืดและกางเกงกีฬาขายาวที่แปลกตาไปจากทุกวัน เพราะก่อนหน้านั้นคุณหมอสั่งห้ามใส่กางเกงขายาว เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จฮิโตกิจึงรีบเดินตรงไปยังประตูทันทีเพื่อที่จะออกไปข้างนอก และตะโกนไปยังหลังบ้าน ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว
“ผมจะไปทำความรู้จักกับน้าข้างบ้านซักหน่อยนะครับ”
พูดเสร็จฮิโตกิจึงเดินออกจากประตูและตรงไปยังบ้านข้างๆทันที ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ที่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรยืนพูดพึมพำขึ้นมา
“ไปบ้านข้างๆเหรอ?...เค้าย้ายมาเกือบเดือนไม่เคยจะอยากไป อะไรของลูกคนนี้ เข้าใจยากจริงๆ”
ฮิโตกิเดินมาถึงหน้าบ้านของคนที่เขากำลังจะไปทักทาย เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้ที่ทาสีน้ำตาลเข้ม ฮิโตกิยืนนิ่งไปซักพักก่อนจะเคาะประตูเบาๆสองครั้ง
ก๊อก ก๊อก
ร่างสูงยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงใสๆตอบรับกลับมาอย่างเป็นมิตร
“ค่า รอแปปนึงนะคะ กำลังไปค่ะ”
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูช้าๆพร้อมหน้าตาที่เป็นมิตรของคนข้างบ้านถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“มาหาใครเหรอคะ?”
หญิงสาวข้างบ้านที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นแม่ของเขา ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่ง คนเป็นมิตรที่สามารถจะเข้ากับทุกคนได้
“เอ่อ...คุณน้าเป็นคุณแม่ของซาระรึป่าวครับ”
หญิงสาวตอบกลับอย่างรวดเร็วพลางคิดในใจ ‘ซาระไปรู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่เห็นเคยจะบอกแม่เลย!’
“อ๋อ...มาหาซาระหรอจ๊ะ เข้ามาข้างในก่อนสิจ๊ะ”
หญิงสาวเดินนำทางเข้ามายังห้องรับแขกทันที ฮิโตกิที่เดินตามมาพร้อมไม้ค้ำยันค่อยๆนั่งลงบนโซฟาสีเขียวอ่อนที่อยู่ตรงหน้าทีวีและค่อยๆหันไปมองรอบๆบ้าน เมื่อมองไปรอบบ้านแล้ว ภายในบ้านแทบจะไม่มีของตกแต่งอะไรมากมาย คงเป็นเพราะเพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เขานั่งอยู่ได้ครู่หนึ่ง คุณน้าข้างบ้านก็เดินมาพร้อมกับชาร้อนถ้วยหนึ่งกับคุ๊กกี้สองชิ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกเช่นเคย
“เดี๋ยวน้าไปเรียกซาระให้นะจ๊ะ” พูดจบคุณน้าที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ก็ต้องหยุดลงเพราะฮิโตกิที่นั่งอยู่ พูดกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะมาทักทาย ผมอยู่บ้านข้างๆนี้เอง ต้องขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านั้นไม่สะดวกมาครับ”
หญิงสาวที่จ้องหน้าฮิโตกิด้วยความสงสัยเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้และถามกลับ
“งั้นเธอคงเป็น ฮิโตกิ ลูกชายคุณไอบาริสินะจ๊ะ...น้าชื่อ อาซายะ มิโดริ เรียกน้าว่า น้าอาซายะก็ได้จ่ะ”
หญิงสาวพูดคุยกับฮิโตกิอยู่พักหนึ่งจนฮิโตกิกลับไป เธอได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของทางบ้านนั้นมาพอสมควร พลางคิดในใจ ‘เป็นเด็กที่มารยาทดี พูดเพราะ และดูจะรู้เรื่องเกี่ยวกับซาระพอสมควรเลย แถมยังหน้าตาดีอีก เราต้องให้ซาระสนิทกับข้างบ้านไว้คงจะดีไม่ใช่น้อย’
คุณอาซายะนั่งคิดอะไรคนเดียวอยู่ซักพัก จึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเย็น ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“แม่คะ เย็นนี้มีอะไรกินบ้าง หิวจังง”
ผู้เป็นแม่ที่กำลังจะทำกับข้าวอยู่ในครัวอย่างอารมณ์ดี หันมาตอบกลับลูกสาวของเธอแกมเหน็บแนมลูกสาวเล็กน้อย
“วันๆเอาแต่อ่านการ์ตูน หันมาใส่ใจคนข้างๆแบบฮิโตกิคุงบ้างสิลูก”
คนที่กำลังยืนงัวเงียอยู่ถึงกับเบิกตากว้างหลังจากได้ยินชื่อนี้ ทำให้หายง่วงไปในทันทีพร้อมทั้งรีบถามกลับผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางสงสัยเป็นอย่างมาก
“แม่รู้จักหมอนั่น! เอ๊ย...ฮิโตกิด้วยหรอคะ”
ซาระถามด้วยท่าทีสงสัยผู้เป็นแม่ ว่าเคยรู้จักฮิโตกิตอนไหน เพราะฮิโตกิยังไม่เคยมาที่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว และแม่ ก็ไม่เคยเห็นหน้าฮิโตกิด้วยซ้ำ
“วันนี้ฮิโตกิแวะมาทักทายที่บ้านเราน่ะ เพราะก่อนหน้านั้นขาเค้าเจ็บอยู่ เลยไม่สะดวกมา ฮิโตกิดูเป็นเด็กที่มารยาทดี พูดจาดีคนนึง แถมยังหน้าตาดีอีก...แม่สิต้องถามลูกต่างหาก รู้จักกับฮิโตกิตอนไหน ไม่เห็นเคยบอกแม่เลย”
ซาระที่ถูกถามกลับ ถึงกับเก้ๆกังๆ ไม่รู้จะตอบผู้เป็นแม่ยังไง เพราะไอ้หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่มารยาทกับการพูดจาไม่ได้ดีแบบที่ผู้เป็นแม่เจอมาเลย ตอนเจอกันครั้งแรกก็มารยาทเสียซะด้วยซ้ำ ซาระไม่รู้จะตอบยังไงจึงตอบปัดๆไป
“ก็ตอนไปบ้านคุณน้าไอบาริ แล้วก็ตอนไปซื้อของ...แค่นั้นแหละค่ะแม่”
ผู้เป็นแม่ทำหน้าประหนึ่งว่าเข้าใจแล้ว แต่ในใจกลับคิดว่าลูกสาวของเธอคงบอกความจริงไม่หมด เพราะตอนที่ฮิโตกิพูดคุยเกี่ยวกับซาระ ฮิโตกิดูเหมือนรู้เกี่ยวกับตัวซาระเป็นอย่างดี ไม่ใช่รู้จักกันแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น และคิดว่าซาระคงอายเลยไม่กล้าที่จะบอกอะไรไปมากกว่านี้
หลังจากนั้นทั้งสองคนแม่ลูกที่ทานอาหารเสร็จแล้ว จึงเดินมานั่งตรงโซฟาในห้องรับแขกตัวเดิม และดูโทรทัศน์ ด้วยกัน ผู้เป็นแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์ไปพักหนึ่ง ได้นึกอะไรบางอย่างออกจึงพูดขึ้นมา
“นี่ซาระ...แม่หาโรงเรียนให้ลูกได้แล้วนะ แม่จัดการทุกอย่างให้แล้ว พรุ่งนี้ลูกก็ไปเรียนได้แล้วนะจ๊ะ”
ผู้เป็นแม่ที่ก่อนหน้านั้นหายไปข้างนอกบ่อยๆ เธอแอบไปจัดการเรื่องเรียนให้กับลูกสาว เพราะถ้าบอกกับซาระตรงๆ ซาระคงไม่อยากไปเรียนแน่ๆ คงจะคิดว่า ถึงไปเรียนยังไงในที่สุดก็ต้องย้ายโรงเรียนอยู่ดี เพราะการที่ต้องย้ายบ้านบ่อยๆ ทำให้ซาระไม่อยากที่จะรู้จักกับใครอีก เธอกลัวการที่จะต้องจากกัน มันทำให้เธอไม่ชอบเอาเสียเลย ผู้เป็นแม่จึงใช้วิธีกึ่งบังคับไปในตัว เพื่อที่จะให้ลูกสาวจอมดื้อรั้นของเธอยอมแต่โดยดี ส่วนซาระที่นั่งอึ้งไปยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร ผู้เป็นแม่ก็เดินขึ้นบันไดไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทำให้รู้สึกว่าต้องมีอะไรแปลกๆแน่ๆ
ซาระที่ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาก็พึมพำขึ้นมา
“แม่นะแม่ เล่นแบบนี้เลยหรอ...โธ่...ถ้าครั้งนี้ไม่ต้องย้ายไปไหนอีกก็คงดีสิ”
...เช้าอันสดใส แสงแดดอ่อนๆทำให้นึกถึงวันที่ต้องตื่นไปเรียนในตอนเช้า พร้อมความเร่งรีบ ซาระก็เช่นกัน เธอถูกปลุกด้วยเสียงใสๆของผู้เป็นแม่แต่เช้า ทำให้ต้องเธอต้อง จำใจตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่โดยดี พร้อมเครื่องแบบนักเรียนตัวใหม่ที่แม่แอบเก็บไว้และนำมาวางไว้บนเตียงทำให้ซาระคิดในใจ ‘จะเตรียมพร้อมเกินไปแล้วนะแม่’
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ไกลจากบ้านพอสมควร เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียนตรงเวลาพอดี ซาระถึงกับประหม่า เพราะโรงเรียนดูกว้างขวางเอามากๆ ทำให้เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อยแต่ก็พยายามเดินเข้าไปอย่างกล้ากลัวๆ เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงห้องของชั้น ม.5 ที่แม่บอกเอาไว้ก่อนออกจากบ้าน เมื่อมาถึงก็มีอาจารย์ ประจำชั้นเดินเข้ามาเรียกและพาไปยังหน้าชั้นเรียน พอเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับอาจารย์ เสียงที่พูดคุยกันเสียงดังก็ค่อยๆหยุดลง
“นักเรียน...วันนี้ห้องเรามีนักเรียนย้ายมาใหม่นะ เธอมีเหตุผลที่ต้องย้ายมากะทันหัน สนิทกันไว้นะ...เอ้า...แนะนำตัวได้เลยอาซายะ”
อาจารย์หันไปยังซาระที่ยืนรออยู่หน้าประตู ซาระจึงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าชั้นเรียนและพูดแนะนำตัวอย่างเก้ๆกังๆ เพราะสายตาคนในห้องที่จ้องมองมาเป็นสายตาเดียวกันทำให้เธอเกิดอายขึ้นมา ถึงแม้เจอจะเคยแนะนำตัวแบบนี้มาอยู่สองสามครั้งแล้ว แต่ก็ยังเขินอยู่ดี
“เอ่อ...ชั้น ชะ ชื่อ อาซายะ ซาระ ค่ะ...ขอฝากเนื้อฝากตะ..”
ครืนน!!
ซาระที่พูดแนะนำตัวยังไม่ทันจบ ก็ต้องตกใจและหันไปยังเสียงเปิดประตูเลื่อนที่ดังขึ้นมาพร้อมใบหน้าของคนที่เธอไม่ค่อยชอบหน้ามากนัก สาวๆในห้องก็พลันหันไปให้ความสนใจกับคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องแทน
“ฮิโตกิ!! มาสายอีกแล้วนะ!! เมื่อไหร่จะเลิกมาสายซักที!?”
“ขาเจ็บอยู่ ไม่เห็นรึไง...ครับ อาจารย์”
อาจารย์ประจำชั้นที่ตะคอกถามออกไปถึงกับทำหน้าเสียอารมณ์กับนิสัยขวางโลกของฮิโตกิ จนเอือม จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ ส่วนฮิโตกิซึ่งเดินเข้ามาในห้องกำลังจะเดินไปนั่งที่ พร้อมไม้ค้ำและใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนคนไม่ รู้สึกอะไรเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับซาระเป็นอย่างมาก จะแปลกก็ตรงที่ว่า เขาดันมาเรียนห้องเดียวกันกับเธอ พลางคิดในใจ ‘ที่แม่ไม่บอกอะไร คงเป็นเพราะแบบนี้สินะ...แม่นะแม่!’
ซาระยังคงยืนอยู่ตรงหน้าชั้นเรียนเพราะอาจารย์ยังไม่ได้บอกให้ไปนั่งที่ได้ เธอจึงยืนอยู่นิ่งๆและพยายามที่จะไม่สบตากับฮิโตกิ ในความเงียบของห้อง ทันใดนั้นคนที่จ้องมองเธออย่างมีเลศนัยอยู่ก็พูดขึ้นมา
“นี่ซาระ! เธอชอบชั้นถึงขั้นต้องตามมาเรียนที่เดียวกันเลยหรอ!?”
อย่าว่าแต่ซาระที่ยืนอึ้งกับการที่ฮิโตกิกำลังยั่วโมโหเธออยู่หน้าห้องเลย ทุกคนในห้องโดยเฉพาะสาวๆพากันอึ้งไป ตามกันๆและพร้อมใจกันหันมาถามฮิโตกิ
“ฮิโตกิคุงรู้จักเด็กใหม่ด้วยหรอ?, ยัยนั่นเป็นใคร?, ยัยนั่นตามตื๊อฮิโตกิคุงอยู่หรอ?,นายคิดจะงาบเด็กใหม่หรอ?”
ผู้หญิงและผู้ชายในห้องต่างพากันรุมถามฮิโตกิ แต่เจ้าตัวกลับนั่งเงียบและมองไปยังซาระที่ดูท่าทางแล้วคงจะโมโหและอายน่าดู ด้วยความพอใจ
“เงียบๆกันได้แล้ว!!...อาซายะ เธอไปนั่งติดหน้าต่างนะ ข้างหลังหัวหน้าห้อง”
ซาระพยักหน้าและเดินไปนั่งที่ตามที่อาจารย์บอกพร้อมกับสายตาคนในห้องที่มองเธอด้วยความหมายต่างๆนาๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงคงไม่ได้มองเธอไปในแง่บวกมากนัก เธอนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังถัดจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อาจารย์เรียกว่าหัวหน้าห้อง เขาหันมาเธอและยิ้มให้เธอพร้อมพูดคุยกับซาระอย่างเป็นมิตร
“หวัดดี...ชั้นชื่อ ‘เคียวสึเกะ ยูตะ’ เรียกยูตะก็ได้นะ ง่ายดี...มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ”
ยูตะยิ้มให้ซาระอย่างเป็นมิตร ทำให้ซาระรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย คนที่มองเธอในแบบที่ดูจะเป็นมิตรก็คงมีแต่ ‘เคียวสึเกะ ยูตะ’ นี่แหละนะเพราะหลังจากนั้นตั้งแต่เธอเข้ามานั่งจนถึงพักเที่ยง ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักซาระแม้แต่คนเดียว
......
เมื่อถึงพักเที่ยงซาระรีบเดินตรงไปหาฮิโตกิเพื่อจะต่อว่าที่ฮิโตกิทำไปเมื่อตอนเช้าแต่รอบตัวฮิโตกิดันล้อมรอบไปด้วยสาวๆทั้งต่างห้องและสาวห้องเดียวกันที่ดูจะเป็นห่วงเขาเกินเหตุ เพราะการที่ฮิโตกิไม่ได้มาโรงเรียนหลายอาทิตย์ทำให้สาวๆยิ่งพากันเข้าหา ซาระไม่กล้าที่จะเข้าไปถามจึงหันกลับเพื่อที่จะเดินกลับห้องทันที
ฮิโตกิเห็นดังนั้นจึงเดินตามซาระเข้ามาในห้องและถามด้วยความหงุดหงิด
“เธอไม่คิดจะทักทายกันหน่อยรึไง!?”
ซาระได้ยินดังนั้นยิ่งทำให้เธอโมโหกับเรื่องที่ฮิโตกิทำเมื่อตอนเช้าเข้าไปใหญ่ จึงตะโกนถามออกไป
“นานจะแกล้งชั้นทำไมนักหนา!!?...นายคงจะทำแบบนั้นเพื่อไม่ให้มีใครคบชั้นสินะ!!”
ซาระพูดทั้งน้ำตาที่รื้นขอบตาทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าถึงกับหน้าเสียและเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา ฮิโตกิไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เพราะซาระวิ่งออกจากห้องไปเสียแล้ว ปล่อยให้ฮิโตกิยืนนิ่ง อยู่อย่างนั้น แทนที่ฮิโตกิจะรู้สึกสะใจ แต่กลับไม่ เพราะใบหน้าที่มีน้ำตาที่คลอเบ้าของซาระแบบนั้น ทำให้ฮิโตกิอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
‘นี่ชั้นแกล้งแรงไปสินะ’
ฝั่งซาระที่แอบขึ้นมาบนดาดฟ้า เธอนั่งพิงกำแพงพร้อมกับใบหน้าที่เสียใจปนกับความโมโห
.....
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา ซาระคิดว่าคงจะเป็นฮิโตกิเดินตามขึ้นมาจึงลุกขึ้นพร้อมที่จะทำสงครามต่อ แต่คนที่เดินขึ้นมากลับเป็น ยูตะ หัวหน้าห้องแทน เธอรู้สึก แปลกใจกับตัวเอง เพราะแทนที่จะรู้สึกดีใจที่เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่ฮิกิโตกิ แต่กลับต่างกัน
“เธอ...เป็นอะไรรึป่าว?...ชั้นเห็นเธอทะเลาะกับฮิโตกิ เลยเป็นห่วง...แต่เอ่อ...ไม่ได้จะทำให้กลัวนะ สบายใจได้”
ซาระเห็นใบหน้าและท่าทางที่จริงใจของยูตะจึงรู้สึกสบายใจและกลับไปนั่งพิงกำแพงพร้อมกับยูตะที่นั่งเงียบข้างๆอยู่ซักพัก
...ซาระยื่นกล่องข้าวที่เปิดอยู่ของตัวเองให้กับยูตะ ซึ่งเป็นข้าวกล่องที่แม่ของซาระตื่นมาทำให้แต่เช้า
“ชั้นแบ่งให้...ยูตะคุงคงจะยังไม่ได้กินอะไรสินะ”
ยูตะยิ้มให้ซาระแต่ก็ไม่ได้รับข้าวกล่องนั้นมา
“ได้นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเธอแบบนี้ มันรู้สึกสบายใจจนลืมหิวไปแล้วล่ะ”
ซาระหันไปมองยูตะที่พูดจบแล้วโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ยูตะกลับกังวลกับคำพูดของตัวเองขึ้นมา จึงถามซาระ ออกไป
“เอ่อ...ชั้นคงไม่ได้พูดอะไรแปลกๆออกไปใช่มั้ย”
ซาระส่ายหน้าปฏิเสธและยิ้มให้กับท่าทางที่ดูเป็นกังวลของยูตะ ทำให้ยูตะที่นั่งข้างๆยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่บนดาดฟ้า และอยู่ๆยูตะก็ถามอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ซาระจังกับฮิโตกิคบกันอยู่รึป่าว?...คือ...ที่ฮิโตกิพูดเมื่อเช้า ดูเหมือนคบกันอยู่ เลยถามน่ะ”
ฮิโตกิที่เดินขึ้นมาพร้อมกับถือไอติมแท่งหนึ่ง เขาหยุดอยู่ตรงหน้าซาระที่กำลังนั่งอยู่กับยูตะ และหันไปมองหน้ายูตะด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่แฝงด้วยความหงุดหงิด ยูตะจึงค่อยๆลุกขึ้นและยิ้มให้ ฮิโตกิด้วยท่าทางที่เป็นมิตรก่อนจะพูดและเดินออกไป จึงทำให้ซาระยังไม่ทันที่จะตอบกลับคำถามของยูตะไป
“ทั้งสองคนคงมีเรื่องที่จะคุยกัน...งั้นชั้นไม่รบกวนจะดีกว่า ไว้เจอกันนะซาระจัง”
เพราะคิดว่าคงรบกวนทั้งสองคน ยูตะจึงเดินออกจากตรงนั้นไป เพื่อที่จะปล่อยให้ทั้งสองคนเคลียกันให้เรียบร้อย ‘ถ้าซาระจังไม่ได้คบกับฮิโตกิก็คงดีสินะ’ ยูตะคิดในใจพลางมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า
...ฮิโตกิที่ยืนนิ่งทำให้ซาระรู้สึกหงุดหงิด เธอยืนขึ้นและกำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น ทันใดนั้นก็มีมือเรียวคว้าแขนของเธอไว้เหมือนกับตอนแรกที่เจอกันแต่ครั้งนี้กลับดูอ่อนโยน พร้อมกับยื่นไอติมสีหวานที่กำลังจะละลายให้กับเธอ
“เอ้านี่...ไอติม...แทนคำขอโทษ...ที่แกล้งเธอไปหน่อย”
ซาระมองด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเล็กน้อยและตอบกลับฮิโตกิไป
“แค่ไอติมแท่งเดียว...มันเทียบกับที่นายแกล้งชั้นต่างๆนาๆไม่ได้หรอก!!!”
ซาระโมโหเพราะคิดว่าฮิโตกิคงจะแกล้งเธออีกครั้งจึงก้าวเท้าวิ่งลงบันไดไปและกลับไปที่ห้องทันที ทิ้งให้ฮิโตกิ ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อมาถึงในห้องก็มีเสียงพูดคุยกันเรื่องฮิโตกิของผู้หญิงในห้องที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ เธอจึงแอบฟังด้วยความสงสัย
ญ 1 “นี่พวกเธอรู้มั้ย เมื่อกี้ฮิโตกิคุงต่อคิวซื้อไอติมสวีทด้วยแหละ...น่าแปลกมั้ยล่ะ เพราะปกติฮิโตกิเคยเข้าไปใน โรงอาหารซะที่ไหนกัน...แล้วคนอย่างฮิโตกิคงไม่ไปยืนต่อคิวแน่ๆ”
ญ 2 “ไอติมที่มีขายเดือนละครั้งนั่นอ่ะหรอ?!”
ญ 3 “เอ๋!!...ฮิโตกิคุงเนี่ยนะ!? เค้าเอาไปกินเองหรอ หรือเอาไปให้ใครกันนะ”
ญ 4 “คงไม่กินเองหรอก เพราะฮิโตกิไม่ชอบของหวาน...ยัยผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครกันนะ!!?”
ซาระที่แอบฟังอยู่จึงเกิดความรู้สึกหลายๆอย่างขึ้นมา ทั้งดีใจ แอบปลื้ม แปลกใจ ความรู้สึกผิดและอีกหลายความรู้สึก
เธอจึงรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าและโชคดีที่ฮิโตกิยังอยู่บนดาดฟ้าพร้อมกับกำลังจ้องมองไอติมในมือที่กำลังละลาย ซาระเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮิโตกิที่กำลังนั่งอยู่เธอค่อยๆ ย่อเข่าลงตรงหน้าฮิโตกิ พร้อมยืนมือบางๆออกไป
“ชั้นรับไว้ก็แล้วกัน...คำขอโทษของนายน่ะ”
โรงพยาบาล...สถานที่เดิม ที่ฮิโตกิต้องมาอยู่บ่อยๆเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน เพราะต้องมาดูอาการขาที่หัก จากการตกบันไดจนต้องใส่เฝือก และต้องกลับมาพักที่บ้านของผู้เป็นแม่ จึงเป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับเขามาก
แต่วันนี้! เป็นวันที่คุณหมอคอนดะนัดให้ฮิโตกิมาถอดเฝือกได้ จึงสามารถที่จะกลับไปเรียนตามปกติ ถึงจะต้องใส่ผ้าพันแผลและยังต้องใช้ไม้ค้ำก็เถอะ ยังไงก็ดีกว่าอยู่แต่บ้าน ไปไหนก็ไม่ได้ สาวๆก็ไม่มีให้เห็น แถมยังต้องมาเจอแต่ ‘ซาระ’ สาวข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่กี่อาทิตย์ ที่วันๆเอาแต่อ่านการ์ตูน มิหนำซ้ำยังเคยทะเลาะกันถึงขั้นต้องใส่เฝือกใหม่อีก ถึงในบางครั้งเธอจะดูน่ารักบ้าง แต่ความแสบและดื้อรั้นที่ไม่ยอมฮิโตกิง่ายๆนี่สิ เป็นอะไรที่น่าโมโหที่สุด รวมไปถึงในช่วงนี้เธอยังเมินเขาอีก ยิ่งทำให้น่าโมโหไปใหญ่ ฮิโตกิที่เป็นคน ไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆจึงมีความคิดที่จะทำให้ซาระหันมาชอบเขาให้ได้!! และในวันนี้ เหมือนกับว่าอิสรภาพที่เคยโดนกักกันไว้จะได้ปลดปล่อยซักที! (ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นนะ)
...และแล้วเมื่อถอดเฝือกเสร็จ คุณหมอคอนดะก็พูดเกี่ยวกับคำแนะนำและข้อปฏิบัติหลังถอดเฝือกอยู่นานพอควร ฮิโตกิที่นั่งอยู่ตรงหน้าคุณหมอก็ได้แต่ทำหน้าเหม่อลอย เหมือนกับว่า คุณหมอพูดอะไรไปก็ไม่ได้เข้าหูของเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย
“ฮิโตกิ...ฮิโตกิ...เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ให้คุณนายไอบาริรับหน้าที่เป็นคนบอกกับฮิโตกิเองแล้วกันนะครับ แกคงไม่ได้ฟัง”
คุณหมอคอนดะที่เรียกฮิโตกิอยู่หลายครั้งแต่เจ้าตัวไม่มีการตอบรับอะไรมา จึงหันไปพูดกับคุณนายไอบาริที่ยืนอยู่ข้างๆแทน เพราะพูดอะไรไปตอนนี้ฮิโตกิคงไม่อยากรับรู้อะไรต่อ นอกจากการที่จะได้ออกไปข้างนอกเสียที
“ฮิโตกิคงดีใจไปหน่อยน่ะค่ะ เลยดูเหม่อลอยไป ต้องขอโทษแทนคุณหมอคอนดะด้วยนะคะ”
คุณหมอคอนดะไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มแกมหัวเราะเบาๆเพื่อตอบรับคุณนายไอบาริ สมกับเป็นคุณหมอที่ใจดีเอามากๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฮิโตกิรีบเดินขึ้นห้องอย่างทุลักทุเลเพราะพยายามที่จะเดินตามปกติให้ได้ เขาเดินเข้าห้องและเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นเสื้อยืดและกางเกงกีฬาขายาวที่แปลกตาไปจากทุกวัน เพราะก่อนหน้านั้นคุณหมอสั่งห้ามใส่กางเกงขายาว เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จฮิโตกิจึงรีบเดินตรงไปยังประตูทันทีเพื่อที่จะออกไปข้างนอก และตะโกนไปยังหลังบ้าน ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว
“ผมจะไปทำความรู้จักกับน้าข้างบ้านซักหน่อยนะครับ”
พูดเสร็จฮิโตกิจึงเดินออกจากประตูและตรงไปยังบ้านข้างๆทันที ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ที่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรยืนพูดพึมพำขึ้นมา
“ไปบ้านข้างๆเหรอ?...เค้าย้ายมาเกือบเดือนไม่เคยจะอยากไป อะไรของลูกคนนี้ เข้าใจยากจริงๆ”
ฮิโตกิเดินมาถึงหน้าบ้านของคนที่เขากำลังจะไปทักทาย เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้ที่ทาสีน้ำตาลเข้ม ฮิโตกิยืนนิ่งไปซักพักก่อนจะเคาะประตูเบาๆสองครั้ง
ก๊อก ก๊อก
ร่างสูงยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงใสๆตอบรับกลับมาอย่างเป็นมิตร
“ค่า รอแปปนึงนะคะ กำลังไปค่ะ”
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูช้าๆพร้อมหน้าตาที่เป็นมิตรของคนข้างบ้านถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“มาหาใครเหรอคะ?”
หญิงสาวข้างบ้านที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นแม่ของเขา ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่ง คนเป็นมิตรที่สามารถจะเข้ากับทุกคนได้
“เอ่อ...คุณน้าเป็นคุณแม่ของซาระรึป่าวครับ”
หญิงสาวตอบกลับอย่างรวดเร็วพลางคิดในใจ ‘ซาระไปรู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่เห็นเคยจะบอกแม่เลย!’
“อ๋อ...มาหาซาระหรอจ๊ะ เข้ามาข้างในก่อนสิจ๊ะ”
หญิงสาวเดินนำทางเข้ามายังห้องรับแขกทันที ฮิโตกิที่เดินตามมาพร้อมไม้ค้ำยันค่อยๆนั่งลงบนโซฟาสีเขียวอ่อนที่อยู่ตรงหน้าทีวีและค่อยๆหันไปมองรอบๆบ้าน เมื่อมองไปรอบบ้านแล้ว ภายในบ้านแทบจะไม่มีของตกแต่งอะไรมากมาย คงเป็นเพราะเพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน เขานั่งอยู่ได้ครู่หนึ่ง คุณน้าข้างบ้านก็เดินมาพร้อมกับชาร้อนถ้วยหนึ่งกับคุ๊กกี้สองชิ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกเช่นเคย
“เดี๋ยวน้าไปเรียกซาระให้นะจ๊ะ” พูดจบคุณน้าที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ก็ต้องหยุดลงเพราะฮิโตกิที่นั่งอยู่ พูดกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะมาทักทาย ผมอยู่บ้านข้างๆนี้เอง ต้องขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านั้นไม่สะดวกมาครับ”
หญิงสาวที่จ้องหน้าฮิโตกิด้วยความสงสัยเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้และถามกลับ
“งั้นเธอคงเป็น ฮิโตกิ ลูกชายคุณไอบาริสินะจ๊ะ...น้าชื่อ อาซายะ มิโดริ เรียกน้าว่า น้าอาซายะก็ได้จ่ะ”
หญิงสาวพูดคุยกับฮิโตกิอยู่พักหนึ่งจนฮิโตกิกลับไป เธอได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของทางบ้านนั้นมาพอสมควร พลางคิดในใจ ‘เป็นเด็กที่มารยาทดี พูดเพราะ และดูจะรู้เรื่องเกี่ยวกับซาระพอสมควรเลย แถมยังหน้าตาดีอีก เราต้องให้ซาระสนิทกับข้างบ้านไว้คงจะดีไม่ใช่น้อย’
คุณอาซายะนั่งคิดอะไรคนเดียวอยู่ซักพัก จึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารเย็น ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“แม่คะ เย็นนี้มีอะไรกินบ้าง หิวจังง”
ผู้เป็นแม่ที่กำลังจะทำกับข้าวอยู่ในครัวอย่างอารมณ์ดี หันมาตอบกลับลูกสาวของเธอแกมเหน็บแนมลูกสาวเล็กน้อย
“วันๆเอาแต่อ่านการ์ตูน หันมาใส่ใจคนข้างๆแบบฮิโตกิคุงบ้างสิลูก”
คนที่กำลังยืนงัวเงียอยู่ถึงกับเบิกตากว้างหลังจากได้ยินชื่อนี้ ทำให้หายง่วงไปในทันทีพร้อมทั้งรีบถามกลับผู้เป็นแม่ด้วยท่าทางสงสัยเป็นอย่างมาก
“แม่รู้จักหมอนั่น! เอ๊ย...ฮิโตกิด้วยหรอคะ”
ซาระถามด้วยท่าทีสงสัยผู้เป็นแม่ ว่าเคยรู้จักฮิโตกิตอนไหน เพราะฮิโตกิยังไม่เคยมาที่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว และแม่ ก็ไม่เคยเห็นหน้าฮิโตกิด้วยซ้ำ
“วันนี้ฮิโตกิแวะมาทักทายที่บ้านเราน่ะ เพราะก่อนหน้านั้นขาเค้าเจ็บอยู่ เลยไม่สะดวกมา ฮิโตกิดูเป็นเด็กที่มารยาทดี พูดจาดีคนนึง แถมยังหน้าตาดีอีก...แม่สิต้องถามลูกต่างหาก รู้จักกับฮิโตกิตอนไหน ไม่เห็นเคยบอกแม่เลย”
ซาระที่ถูกถามกลับ ถึงกับเก้ๆกังๆ ไม่รู้จะตอบผู้เป็นแม่ยังไง เพราะไอ้หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่มารยาทกับการพูดจาไม่ได้ดีแบบที่ผู้เป็นแม่เจอมาเลย ตอนเจอกันครั้งแรกก็มารยาทเสียซะด้วยซ้ำ ซาระไม่รู้จะตอบยังไงจึงตอบปัดๆไป
“ก็ตอนไปบ้านคุณน้าไอบาริ แล้วก็ตอนไปซื้อของ...แค่นั้นแหละค่ะแม่”
ผู้เป็นแม่ทำหน้าประหนึ่งว่าเข้าใจแล้ว แต่ในใจกลับคิดว่าลูกสาวของเธอคงบอกความจริงไม่หมด เพราะตอนที่ฮิโตกิพูดคุยเกี่ยวกับซาระ ฮิโตกิดูเหมือนรู้เกี่ยวกับตัวซาระเป็นอย่างดี ไม่ใช่รู้จักกันแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น และคิดว่าซาระคงอายเลยไม่กล้าที่จะบอกอะไรไปมากกว่านี้
หลังจากนั้นทั้งสองคนแม่ลูกที่ทานอาหารเสร็จแล้ว จึงเดินมานั่งตรงโซฟาในห้องรับแขกตัวเดิม และดูโทรทัศน์ ด้วยกัน ผู้เป็นแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์ไปพักหนึ่ง ได้นึกอะไรบางอย่างออกจึงพูดขึ้นมา
“นี่ซาระ...แม่หาโรงเรียนให้ลูกได้แล้วนะ แม่จัดการทุกอย่างให้แล้ว พรุ่งนี้ลูกก็ไปเรียนได้แล้วนะจ๊ะ”
ผู้เป็นแม่ที่ก่อนหน้านั้นหายไปข้างนอกบ่อยๆ เธอแอบไปจัดการเรื่องเรียนให้กับลูกสาว เพราะถ้าบอกกับซาระตรงๆ ซาระคงไม่อยากไปเรียนแน่ๆ คงจะคิดว่า ถึงไปเรียนยังไงในที่สุดก็ต้องย้ายโรงเรียนอยู่ดี เพราะการที่ต้องย้ายบ้านบ่อยๆ ทำให้ซาระไม่อยากที่จะรู้จักกับใครอีก เธอกลัวการที่จะต้องจากกัน มันทำให้เธอไม่ชอบเอาเสียเลย ผู้เป็นแม่จึงใช้วิธีกึ่งบังคับไปในตัว เพื่อที่จะให้ลูกสาวจอมดื้อรั้นของเธอยอมแต่โดยดี ส่วนซาระที่นั่งอึ้งไปยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร ผู้เป็นแม่ก็เดินขึ้นบันไดไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทำให้รู้สึกว่าต้องมีอะไรแปลกๆแน่ๆ
ซาระที่ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาก็พึมพำขึ้นมา
“แม่นะแม่ เล่นแบบนี้เลยหรอ...โธ่...ถ้าครั้งนี้ไม่ต้องย้ายไปไหนอีกก็คงดีสิ”
...เช้าอันสดใส แสงแดดอ่อนๆทำให้นึกถึงวันที่ต้องตื่นไปเรียนในตอนเช้า พร้อมความเร่งรีบ ซาระก็เช่นกัน เธอถูกปลุกด้วยเสียงใสๆของผู้เป็นแม่แต่เช้า ทำให้ต้องเธอต้อง จำใจตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่โดยดี พร้อมเครื่องแบบนักเรียนตัวใหม่ที่แม่แอบเก็บไว้และนำมาวางไว้บนเตียงทำให้ซาระคิดในใจ ‘จะเตรียมพร้อมเกินไปแล้วนะแม่’
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ไกลจากบ้านพอสมควร เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียนตรงเวลาพอดี ซาระถึงกับประหม่า เพราะโรงเรียนดูกว้างขวางเอามากๆ ทำให้เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อยแต่ก็พยายามเดินเข้าไปอย่างกล้ากลัวๆ เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงห้องของชั้น ม.5 ที่แม่บอกเอาไว้ก่อนออกจากบ้าน เมื่อมาถึงก็มีอาจารย์ ประจำชั้นเดินเข้ามาเรียกและพาไปยังหน้าชั้นเรียน พอเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับอาจารย์ เสียงที่พูดคุยกันเสียงดังก็ค่อยๆหยุดลง
“นักเรียน...วันนี้ห้องเรามีนักเรียนย้ายมาใหม่นะ เธอมีเหตุผลที่ต้องย้ายมากะทันหัน สนิทกันไว้นะ...เอ้า...แนะนำตัวได้เลยอาซายะ”
อาจารย์หันไปยังซาระที่ยืนรออยู่หน้าประตู ซาระจึงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าชั้นเรียนและพูดแนะนำตัวอย่างเก้ๆกังๆ เพราะสายตาคนในห้องที่จ้องมองมาเป็นสายตาเดียวกันทำให้เธอเกิดอายขึ้นมา ถึงแม้เจอจะเคยแนะนำตัวแบบนี้มาอยู่สองสามครั้งแล้ว แต่ก็ยังเขินอยู่ดี
“เอ่อ...ชั้น ชะ ชื่อ อาซายะ ซาระ ค่ะ...ขอฝากเนื้อฝากตะ..”
ครืนน!!
ซาระที่พูดแนะนำตัวยังไม่ทันจบ ก็ต้องตกใจและหันไปยังเสียงเปิดประตูเลื่อนที่ดังขึ้นมาพร้อมใบหน้าของคนที่เธอไม่ค่อยชอบหน้ามากนัก สาวๆในห้องก็พลันหันไปให้ความสนใจกับคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องแทน
“ฮิโตกิ!! มาสายอีกแล้วนะ!! เมื่อไหร่จะเลิกมาสายซักที!?”
“ขาเจ็บอยู่ ไม่เห็นรึไง...ครับ อาจารย์”
อาจารย์ประจำชั้นที่ตะคอกถามออกไปถึงกับทำหน้าเสียอารมณ์กับนิสัยขวางโลกของฮิโตกิ จนเอือม จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ ส่วนฮิโตกิซึ่งเดินเข้ามาในห้องกำลังจะเดินไปนั่งที่ พร้อมไม้ค้ำและใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนคนไม่ รู้สึกอะไรเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับซาระเป็นอย่างมาก จะแปลกก็ตรงที่ว่า เขาดันมาเรียนห้องเดียวกันกับเธอ พลางคิดในใจ ‘ที่แม่ไม่บอกอะไร คงเป็นเพราะแบบนี้สินะ...แม่นะแม่!’
ซาระยังคงยืนอยู่ตรงหน้าชั้นเรียนเพราะอาจารย์ยังไม่ได้บอกให้ไปนั่งที่ได้ เธอจึงยืนอยู่นิ่งๆและพยายามที่จะไม่สบตากับฮิโตกิ ในความเงียบของห้อง ทันใดนั้นคนที่จ้องมองเธออย่างมีเลศนัยอยู่ก็พูดขึ้นมา
“นี่ซาระ! เธอชอบชั้นถึงขั้นต้องตามมาเรียนที่เดียวกันเลยหรอ!?”
อย่าว่าแต่ซาระที่ยืนอึ้งกับการที่ฮิโตกิกำลังยั่วโมโหเธออยู่หน้าห้องเลย ทุกคนในห้องโดยเฉพาะสาวๆพากันอึ้งไป ตามกันๆและพร้อมใจกันหันมาถามฮิโตกิ
“ฮิโตกิคุงรู้จักเด็กใหม่ด้วยหรอ?, ยัยนั่นเป็นใคร?, ยัยนั่นตามตื๊อฮิโตกิคุงอยู่หรอ?,นายคิดจะงาบเด็กใหม่หรอ?”
ผู้หญิงและผู้ชายในห้องต่างพากันรุมถามฮิโตกิ แต่เจ้าตัวกลับนั่งเงียบและมองไปยังซาระที่ดูท่าทางแล้วคงจะโมโหและอายน่าดู ด้วยความพอใจ
“เงียบๆกันได้แล้ว!!...อาซายะ เธอไปนั่งติดหน้าต่างนะ ข้างหลังหัวหน้าห้อง”
ซาระพยักหน้าและเดินไปนั่งที่ตามที่อาจารย์บอกพร้อมกับสายตาคนในห้องที่มองเธอด้วยความหมายต่างๆนาๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงคงไม่ได้มองเธอไปในแง่บวกมากนัก เธอนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังถัดจากเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อาจารย์เรียกว่าหัวหน้าห้อง เขาหันมาเธอและยิ้มให้เธอพร้อมพูดคุยกับซาระอย่างเป็นมิตร
“หวัดดี...ชั้นชื่อ ‘เคียวสึเกะ ยูตะ’ เรียกยูตะก็ได้นะ ง่ายดี...มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ”
ยูตะยิ้มให้ซาระอย่างเป็นมิตร ทำให้ซาระรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย คนที่มองเธอในแบบที่ดูจะเป็นมิตรก็คงมีแต่ ‘เคียวสึเกะ ยูตะ’ นี่แหละนะเพราะหลังจากนั้นตั้งแต่เธอเข้ามานั่งจนถึงพักเที่ยง ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักซาระแม้แต่คนเดียว
......
เมื่อถึงพักเที่ยงซาระรีบเดินตรงไปหาฮิโตกิเพื่อจะต่อว่าที่ฮิโตกิทำไปเมื่อตอนเช้าแต่รอบตัวฮิโตกิดันล้อมรอบไปด้วยสาวๆทั้งต่างห้องและสาวห้องเดียวกันที่ดูจะเป็นห่วงเขาเกินเหตุ เพราะการที่ฮิโตกิไม่ได้มาโรงเรียนหลายอาทิตย์ทำให้สาวๆยิ่งพากันเข้าหา ซาระไม่กล้าที่จะเข้าไปถามจึงหันกลับเพื่อที่จะเดินกลับห้องทันที
ฮิโตกิเห็นดังนั้นจึงเดินตามซาระเข้ามาในห้องและถามด้วยความหงุดหงิด
“เธอไม่คิดจะทักทายกันหน่อยรึไง!?”
ซาระได้ยินดังนั้นยิ่งทำให้เธอโมโหกับเรื่องที่ฮิโตกิทำเมื่อตอนเช้าเข้าไปใหญ่ จึงตะโกนถามออกไป
“นานจะแกล้งชั้นทำไมนักหนา!!?...นายคงจะทำแบบนั้นเพื่อไม่ให้มีใครคบชั้นสินะ!!”
ซาระพูดทั้งน้ำตาที่รื้นขอบตาทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าถึงกับหน้าเสียและเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา ฮิโตกิไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เพราะซาระวิ่งออกจากห้องไปเสียแล้ว ปล่อยให้ฮิโตกิยืนนิ่ง อยู่อย่างนั้น แทนที่ฮิโตกิจะรู้สึกสะใจ แต่กลับไม่ เพราะใบหน้าที่มีน้ำตาที่คลอเบ้าของซาระแบบนั้น ทำให้ฮิโตกิอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
‘นี่ชั้นแกล้งแรงไปสินะ’
ฝั่งซาระที่แอบขึ้นมาบนดาดฟ้า เธอนั่งพิงกำแพงพร้อมกับใบหน้าที่เสียใจปนกับความโมโห
.....
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินขึ้นบันไดมา ซาระคิดว่าคงจะเป็นฮิโตกิเดินตามขึ้นมาจึงลุกขึ้นพร้อมที่จะทำสงครามต่อ แต่คนที่เดินขึ้นมากลับเป็น ยูตะ หัวหน้าห้องแทน เธอรู้สึก แปลกใจกับตัวเอง เพราะแทนที่จะรู้สึกดีใจที่เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่ฮิกิโตกิ แต่กลับต่างกัน
“เธอ...เป็นอะไรรึป่าว?...ชั้นเห็นเธอทะเลาะกับฮิโตกิ เลยเป็นห่วง...แต่เอ่อ...ไม่ได้จะทำให้กลัวนะ สบายใจได้”
ซาระเห็นใบหน้าและท่าทางที่จริงใจของยูตะจึงรู้สึกสบายใจและกลับไปนั่งพิงกำแพงพร้อมกับยูตะที่นั่งเงียบข้างๆอยู่ซักพัก
...ซาระยื่นกล่องข้าวที่เปิดอยู่ของตัวเองให้กับยูตะ ซึ่งเป็นข้าวกล่องที่แม่ของซาระตื่นมาทำให้แต่เช้า
“ชั้นแบ่งให้...ยูตะคุงคงจะยังไม่ได้กินอะไรสินะ”
ยูตะยิ้มให้ซาระแต่ก็ไม่ได้รับข้าวกล่องนั้นมา
“ได้นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเธอแบบนี้ มันรู้สึกสบายใจจนลืมหิวไปแล้วล่ะ”
ซาระหันไปมองยูตะที่พูดจบแล้วโดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ยูตะกลับกังวลกับคำพูดของตัวเองขึ้นมา จึงถามซาระ ออกไป
“เอ่อ...ชั้นคงไม่ได้พูดอะไรแปลกๆออกไปใช่มั้ย”
ซาระส่ายหน้าปฏิเสธและยิ้มให้กับท่าทางที่ดูเป็นกังวลของยูตะ ทำให้ยูตะที่นั่งข้างๆยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่บนดาดฟ้า และอยู่ๆยูตะก็ถามอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ซาระจังกับฮิโตกิคบกันอยู่รึป่าว?...คือ...ที่ฮิโตกิพูดเมื่อเช้า ดูเหมือนคบกันอยู่ เลยถามน่ะ”
ฮิโตกิที่เดินขึ้นมาพร้อมกับถือไอติมแท่งหนึ่ง เขาหยุดอยู่ตรงหน้าซาระที่กำลังนั่งอยู่กับยูตะ และหันไปมองหน้ายูตะด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่แฝงด้วยความหงุดหงิด ยูตะจึงค่อยๆลุกขึ้นและยิ้มให้ ฮิโตกิด้วยท่าทางที่เป็นมิตรก่อนจะพูดและเดินออกไป จึงทำให้ซาระยังไม่ทันที่จะตอบกลับคำถามของยูตะไป
“ทั้งสองคนคงมีเรื่องที่จะคุยกัน...งั้นชั้นไม่รบกวนจะดีกว่า ไว้เจอกันนะซาระจัง”
เพราะคิดว่าคงรบกวนทั้งสองคน ยูตะจึงเดินออกจากตรงนั้นไป เพื่อที่จะปล่อยให้ทั้งสองคนเคลียกันให้เรียบร้อย ‘ถ้าซาระจังไม่ได้คบกับฮิโตกิก็คงดีสินะ’ ยูตะคิดในใจพลางมีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า
...ฮิโตกิที่ยืนนิ่งทำให้ซาระรู้สึกหงุดหงิด เธอยืนขึ้นและกำลังจะเดินออกไปจากตรงนั้น ทันใดนั้นก็มีมือเรียวคว้าแขนของเธอไว้เหมือนกับตอนแรกที่เจอกันแต่ครั้งนี้กลับดูอ่อนโยน พร้อมกับยื่นไอติมสีหวานที่กำลังจะละลายให้กับเธอ
“เอ้านี่...ไอติม...แทนคำขอโทษ...ที่แกล้งเธอไปหน่อย”
ซาระมองด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเล็กน้อยและตอบกลับฮิโตกิไป
“แค่ไอติมแท่งเดียว...มันเทียบกับที่นายแกล้งชั้นต่างๆนาๆไม่ได้หรอก!!!”
ซาระโมโหเพราะคิดว่าฮิโตกิคงจะแกล้งเธออีกครั้งจึงก้าวเท้าวิ่งลงบันไดไปและกลับไปที่ห้องทันที ทิ้งให้ฮิโตกิ ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อมาถึงในห้องก็มีเสียงพูดคุยกันเรื่องฮิโตกิของผู้หญิงในห้องที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ เธอจึงแอบฟังด้วยความสงสัย
ญ 1 “นี่พวกเธอรู้มั้ย เมื่อกี้ฮิโตกิคุงต่อคิวซื้อไอติมสวีทด้วยแหละ...น่าแปลกมั้ยล่ะ เพราะปกติฮิโตกิเคยเข้าไปใน โรงอาหารซะที่ไหนกัน...แล้วคนอย่างฮิโตกิคงไม่ไปยืนต่อคิวแน่ๆ”
ญ 2 “ไอติมที่มีขายเดือนละครั้งนั่นอ่ะหรอ?!”
ญ 3 “เอ๋!!...ฮิโตกิคุงเนี่ยนะ!? เค้าเอาไปกินเองหรอ หรือเอาไปให้ใครกันนะ”
ญ 4 “คงไม่กินเองหรอก เพราะฮิโตกิไม่ชอบของหวาน...ยัยผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครกันนะ!!?”
ซาระที่แอบฟังอยู่จึงเกิดความรู้สึกหลายๆอย่างขึ้นมา ทั้งดีใจ แอบปลื้ม แปลกใจ ความรู้สึกผิดและอีกหลายความรู้สึก
เธอจึงรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าและโชคดีที่ฮิโตกิยังอยู่บนดาดฟ้าพร้อมกับกำลังจ้องมองไอติมในมือที่กำลังละลาย ซาระเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฮิโตกิที่กำลังนั่งอยู่เธอค่อยๆ ย่อเข่าลงตรงหน้าฮิโตกิ พร้อมยืนมือบางๆออกไป
“ชั้นรับไว้ก็แล้วกัน...คำขอโทษของนายน่ะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ