แค้นรักแค้นเสน่หา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 12 50%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอภินราค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องหลับตาลงอีกครั้งยกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับหนักศีรษะราวกับมีหินก้อนใหญ่วางทับ หากการเคลื่อนไหวร่างการของเธอทำให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ละสายตาจากเอกสารในมือ
“ตื่นแล้วเหรอ เอลก้า” วางเอกสารอย่างไม่ใส่ใจแล้วขยับตัวชะโงกมองคนที่สะลึมสะลือเหมือนยังตื่นไม่เต็มตาดีนัก
“ปวดหัว ไม่... หนักหัว” บอกความรู้สึกของตัวเองออกมา ยังไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่มีสติครบถ้วน เพียงแค่จบคำพูดก็มีมือคู่หนึ่งเลื่อนเข้ามาคลึงขมับทั้งสองข้าง หว่างคิ้ว เรื่อยไปจนทั่วทั้งศีรษะอย่างรู้จังหวะทั้งน้ำหนักก็ยังพอดีที่สามารถขับไล่อาการหนักอึ้งนั้นให้ทุเลาลงได้
เสียงครางอย่างพึงพอใจที่รอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มทำให้ฮาร์คิฟมองอย่างเสน่หา เขาเคยลิ้มลองรสชาติความหอมหวานของริมฝีปากคู่นี้มาแล้ว รู้ดีว่ามันอดเยี่ยมเพียงใด หากตอนนี้ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ดิบเถื่อนที่เกิดขึ้นในร่างกายเพราะอยากรู้ว่าเธอรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ “ค่อยยังชั่วไหมเอลก้า จะเอายาดมรึเปล่า หืม?...”
หากตัดหรือลืมเรื่องบาดหมางที่เกิดขึ้น พูดได้เต็มปากว่าเขาไม่เคยพูดคุย ถามไถ่ผู้หญิงหน้าไหนด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ห่วงใยเช่นนี้
“ค่ะ...” อภินราตอบรับน้ำเสียงอบอุ่นหัวใจนั้นทันที แม้ว่าอาการเหล่านั้นมันจะไม่ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งแต่เธอก็สามารถลืมตาขึ้นมองฝ้าเพดานจากนั้นก็กวาดมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากห้องที่เห็นช่างดูแปลกตาและไม่ใช่ที่ที่เธอเคยอยู่อาศัยมาก่อน เมื่อกะพริบตาถี่ๆมองใบหน้าคร้ามคมที่ชะโงกเข้ามาใกล้ก็ทำให้อภินราอ้าปากค้าง เหตุการณที่เกิดขึ้นระหว่างกันไหลบ่าเข้ามาจนสามารถลำดับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี “ถอยไปไกลๆนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
ฮาร์คิฟผงะตามแรงผลักเล็กน้อยแต่ก็ยังขยับเข้าไปไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าเธอล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง “พอดีขึ้นหน่อยก็แผลงฤทธิ์เชียวนะ”
“ฉันน่าจะตายๆไปด้วยซ้ำ คุณจะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้” ประชดเขาพลางชันตัวขึ้นพิงกับหัวเตียง กวาดสายตามองผนังด้านข้างที่โค้งไปจนถึงด้านบน หน้าต่างทรงเดียวกันกับเครื่องบิน เพียงเท่านี้ก็ทำให้อภินราจุดประสงค์ที่เขาใช้ยาสลบแล้ว
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ผมเลวแค่ไหนผมก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน” โต้กลับทันควัน
“ลักพาตัวฉันมาแบบนี้ คุณมันก็อาชญากรดีๆนั่นแหละ”
“อา... ขอบคุณอีกครั้งที่ยังเห็นว่าผมดีอยู่บ้าง” ฮาร์คิฟไม่อยากทำให้บรรยากาศตึงเครียด เพราะรู้ว่าเธอยังมึนหัวอยู่
อภินราร้อนใจเกินกว่าจะมาต่อปากต่อคำเรื่องไร้สาระกับเขานัก “จะพาฉันไปไหน คุณทำอย่างนี้ทำไมฮาร์คิฟ ไหนบอกว่าจะให้เวลาฉันคุยกับคุณพ่อค้นหาความจริง”
“ความจริงก็เห็นๆกันอยู่ พ่อคุณพูดเองว่าไม่มีทางยอมรับ ผมก็ต้องจัดการตามวิธีการของผม”
อภินรายังไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เธอต้องการคำตอบที่ชัดเจนถึงจุดหมายของเครื่องบินลำนี้เท่านั้น “จะพาฉันไปไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ยูเครน” ฮาร์คิฟตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน”
“คุณมาแล้วเอลก้า อีกหกชั่วโมงเราจะถึงยูเครน” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจ้องเธอนิ่งราวกับจะบอกว่าความต้องการของเธอมันช้าไปราวสี่ชั่วโมงที่เครื่องเทกออฟเหนือน่านฟ้าประเทศไทยแล้ว
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน ไปถึงยูเครนเมื่อไหร่ฉันจะแจ้งความ ฉันจะบอกตำรวจว่าคุณลักพาตัวฉันมา คุณพาฉันออกนอกประเทศมาแบบผิดกฎหมาย ฉันจะไม่มีวันให้คุณทำเรื่องบ้าบอแบบนี้แน่ๆ” อภินรารวบแรงเรี่ยวแรงที่มีอยู่ลุกขึ้นจากเตียงควีนไซส์ซึ่งนับว่ากว้างมากถ้าอยู่บนเครื่องบินลำหนึ่ง หากมือยังไม่ได้แตะคันโยกประตู ท่อนแขนแข็งแรงก็รัดเข้าที่เอวคอดยกเธอจนเท้าลอยเหนือพ้นแล้วทิ้งลงบนเตียงเช่นเดิม
“อย่าโวยวายนักได้ไหม ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามนี้ เราจะอยู่ยูเครนด้วยกันสักระยะหนึ่ง”
“ไม่!” อภินราตวาดกลับอย่างไม่เกรงกลัว “คุณลักพาตัวฉันออกนอกประเทศแบบนี้จะให้อยู่นิ่งๆได้ไง มันผิดกฎหมาย”
“เปล่าเลย ผมพาคุณออกจากประเทศไทยอย่างถูกต้อง หลักฐานทุกอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” คำพูดของเขาหยุดการอาละวาดของเธอได้พักหนึ่ง หากการส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อก็ทำให้ฮาร์คิฟต้องย้ำให้ชัดเจนอีกครั้ง “เงินมันซื้ออะไรๆได้เกือบทั้งโลกนั่นแหละ เอลก้า คุณน่าจะรู้ว่าเงินของผมมันทำให้เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องขี้ผง”
“หึ! ทั้งรวยทั้งเห็นแก่ตัวสินะ” พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หากคนฟังไหวไหล่รับอย่างไม่ยี่หระ
“ก็ธรรมดา... ดูอย่างพ่อคุณสิ ฮุบได้กระทั่งสมบัติหลาน อยากรวยจนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนอื่นไง”
เพียะ!...
คำพูดที่เขาตอกกลับมาทำให้อภินราโกรธจัดจนใช้ความรุนแรง เธอตบหน้าเขาสุดแรงเกิดและคิดขั้นมาได้ว่าพ่อของเธอยังไม่แข็งแรงดี จิตใจก็ยังไม่เป็นปกติ
“ฮาร์คิฟๆ ฉันขอร้อง พาฉันกลับบ้านเถอะนะ” อภินราเข้าไปเกาะแขนเขา อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “พ่อฉันไม่สบาย ตอนที่ฉันออกมารับซีโลท่านก็ยังหลับไปเพราะฤทธิ์ยา แล้วไหนจะซีโลอีก ป่านนี้แกคงร้องไห้หาฉันแล้ว”
ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเธอทำให้คนที่โกรธจัดเพราะถูกผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรกต้องหัวใจอ่อนยวบเพราะดวงตาที่มองมาอย่างขอความเห็นใจ เขาจะโกรธก็โกรธไม่ลง “ซีโลหลับอยู่ห้องข้างๆ เสียงเอะอะของคุณอาจจะทำให้แกตื่น”
“อะไรนะ?” อภินราตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าหลานชายอยู่ห้องข้างๆ
ฮาร์คิฟถอนหายใจ ไม่ได้พูดย้ำในสิ่งที่รู้ว่าเธอได้ยินอย่างชัดเจน “ส่วนพ่อคุณก็มีหมอคอยดูแลอยู่แล้ว คนเจ้าเล่ห์ ขี้โกงแบบนั้นไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
“คนปากพล่อย นั่นพ่อของฉันนะ คุณจะเกลียดจะแค้นเห็นว่าท่านเป็นคนเลวร้ายยังไงมันก็เรื่องของคุณ แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าให้พ่อฉันแบบนี้ ถอนคำพูดแล้วขอโทษฉันเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่าแต่ยังระดมทุบที่อกกว้างหนักๆไม่ยั้ง
หากเขายังคงยืนนิ่งให้เธอระบายความโกรธจนหนำใจ “ไม่ คุณต้องไปเห็นมาร่ากับตาตัวเองแล้วจะรู้ว่าสภาพของมาร่าเมื่อเทียบกับพ่อของคุณแล้ว ใครน่าสงสารกว่ากัน”
อภินราหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน การปะทะกับคนที่ร่างกายใหญ่โตกว่าตนเป็นสองเท่าสูบเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมดสิ้น “คุณยังรักยังเป็นห่วงพ่อแม่ตัวเอง ทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันบ้าง ทิ้งท่านให้อยู่คนเดียวแบบนั้นได้ยังไง ไหนจะหน้าที่การงานของฉันอีก ซีโลก็ต้องเรียนหนังสือ คุณรู้ไหมว่ากำลังทำลายทุกคนเพราะความแค้นบ้าๆนั่น”
“หยุดบ้าได้แล้วเอลก้า” ฮาร์คิฟดุเสียงเข้ม เพราะเธอเสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง เขาบีบต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น เขย่าราวกับจะเรียกสติ “ลองไปดูให้เห็นกับตาว่าภาพน่าเวทนาที่มาร่ากอดรูปของวาเรียมันบีบคั้นหัวใจยังไง ลองไปฟังหน่อยเถอะว่ามาร่ายังเทิดทูนพูดถึงพ่อคุณยังไงทั้งที่พ่อคุณทำร้ายความรู้สึกของมาร่าแบบนั้น”
“แต่ฉันทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่ได้ ท่านจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล จะร้อนใจแค่ไหนที่ฉันกับซีโลหายมาไม่บอกกล่าวแบบนี้” เมื่อเธอยกเอาเหตุผลของตัวเองขึ้นมาบ้างเขาก็เงียบไปชั่วอึดใจ สุดท้ายก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินทั้งประชดและพานพาโลจนน่าโมโห
“ก็... ไอ้ตฤณคนโปรดไง ตอนคุณออกมาผมก็เห็นรถมันจอดอยู่ในบ้านนี่ ก็ให้มันนั่นแหละดูแล”
“พูดอะไรไม่เข้าท่า ตฤณเขาก็มีงานต้องทำมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ พ่อฉันไม่ใช่พ่อเขาสักหน่อย เขาจะมาดูแลแทนได้ยังไง” อภินราพยายามข่มอารมณ์ชี้แจง
“ไม่ดีหรือไง จะได้พิสูจน์ด้วยว่ามันรักคุณจริงแค่ไหน”
“พูดบ้าๆ ฉันไม่อยู่เขาจะไปหาพ่อทำไม”
ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดถึงไอ้บ้านี่ทีไรเขาเลือดขึ้นหน้าทุกที “ทำไม มันจะไปหาพ่อคุณเฉพาะตอนที่คุณอยู่เท่านั้นเหรอ ถ้ามันรักคุณจริงมันก็ต้องดูแลพ่อคุณแทนได้ ถ้าไม่หวังเคลมอย่างเดียว”
อภินราผลักเขาออกไปสุดแรง ทั้งโกรธทั้งอายที่เขาพูดในทำนองนั้น “ตฤณเขาไม่ใช่คนร้ายกาจที่จะคิดแต่เรื่องพรรค์นั้นหรอก อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเทียบกับคนอื่นหน่อยเลย”
“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เชียวนะ ถ้ารักมันมากแล้วไอ้ที่เผลอมีใจให้ผมเนี่ย เรียกว่าอะไร” หน็อย! มันชักจะมากไปแล้ว พูดถึงนิดๆหน่อยๆนี่ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกัน
อภินรากำมือแน่น ความใจง่ายที่เผลอไผลไปกับเขา มันกำลังย้อนกลับมาทำให้เจ็บใจแต่ต้องกลั้นใจตอบออกไปด้วยต้องการเอาชนะ “ก็เผลอให้ทุกคนนั่นแหละ คุณคิดว่าฉันจะหลงเสน่ห์คุณจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แค่หลง แต่จูบวันนั้นมันฟ้องว่าคุณหลงรักเลยล่ะ อย่ามาพูดจาเหมือนผู้หญิงกร้านโลกเพราะอยากเอาชนะผมหน่อยเลย” ฮาร์คิฟโต้ มันคือความรู้สึกที่เขารับรู้ได้แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดของเธอทำให้ความมั่นใจหดหายไปจนสิ้น
อภินรายิ้มเยาะและมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “ฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว จะแต่งงานอยู่อีกไม่กี่วัน คุณคิดว่าฉันเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ทำงานเลี้ยงหลานไปวันๆอย่างนั้นเหรอ?”
“อภินรา” ฮาร์คิฟกดเสียงต่ำปรามเธออย่างคนกำลังระงับอารมณ์อย่างหนัก
“คุณมันก็แค่ผู้ชายหลอกลวงคนหนึ่งที่เข้ามาหว่านเสน่ห์ให้ฉันหลงกล แต่แค่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่แผนการเลวร้าย ฉันก็แทบจะลืมจูบไร้รสชาติของคุณไปแล้ว” อภินราโต้กลับด้วยคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึก โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการจุดระเบิดไฟโทสะของเขาให้ลุกไหม้ ดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่มองมาอย่างเกรี้ยวกราดทำให้อภินรารู้ตัวว่าต้องพาตัวเองออกไปให้ไกลเขาที่สุด “กรี้ด... ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ