แค้นรักแค้นเสน่หา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 22.19 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 11.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) แค้นรักแค้นเสน่หา ตอนที่ 11 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่คุณหมอกลับไปตั้งแต่ช่วงเช้า โดยฉีดยานอนหลับและยาบำรุงให้ผู้เป็นพ่อพักผ่อน ท่านหลับไปราวสี่ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาทานข้าวต้มได้ครึ่งชาม ท่านยังตัดพ้อต่อว่าไม่หยุดที่เธอไม่เชื่อฟังคำเตือน จนทำให้ฮาร์คิฟมีโอกาสเข้ามาสร้างความปั่นป่วนเช่นนี้ อภินราก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆให้ตฤณได้รับรู้หลังจากที่ท่านหลับไปอีกครั้งในช่วงบ่าย
“ผมคิดอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องมีจุดประสงค์ร้าย สายตาที่มองพวกเรามันฟ้องว่ามีแผนการชั่วๆในสมอง” ตฤณพูดออกมาเมื่อได้รู้ว่า ฮาร์คิฟวางแผนปั่นป่วนในเรื่องธุรกิจอย่างไร “แต่คุณไม่ต้องกลัวนะเอลก้า เดี๋ยวผมจะจ้างรปภ. มาเฝ้าหน้าบ้าน ถ้ามันคิดจะเข้ามาก่อกวนอีกล่ะก็ ได้เจอดีแน่”
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่สั่งคนในบ้านไว้ว่าไม่ให้เขาเข้ามาอีกก็น่าจะพอแล้ว” อภินราบอกเพราะคิดว่าคงไม่มีใครบุ่มบ่ามหรือกล้าทำอะไรที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางเช่นนั้น
“ก็มันประกาศเองว่าจะแย่งซีโลไปให้ได้” ตฤณแย้ง
“มันก็ใช่ค่ะ แต่ซีโลอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือที่บ้าน ฉันเชื่อว่าเขาคงไม่กล้าทำอันตรายกับซีโล อีกอย่างซีโลติดฉันมาก ถ้าเขาคิดจะเอาตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ฉันคิดว่าคงรับมือไม่ได้หรอกค่ะ”
ตฤณพยักหน้ารับเมื่อคิดตามเหตุผลของเธอ “มันแสดงธาตุแท้ออกมาให้คุณได้เห็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปนี้เรื่องของเราคงจะราบรื่นสักที”
“เขาเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเราคะ คุณหมายถึงเรื่องแต่งงานใช่ไหม” อภินราถามพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ก็ทุกอย่างระหว่างเราก่อนที่มันจะเข้ามาดูราบรื่นไม่มีอุปสรรค แต่พอมีมันเข้ามาก็ทำให้จิตใจคุณไขว้เขว” ตฤณพูดและหยุดเพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของเธอ “แต่ช่างเถอะ ต่อไปนี้เราก็...”
“ตฤณคะ... ความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” อภินราตัดสินใจที่จะสะสางเรื่องหนักใจของตนให้จบสิ้น เมื่อเขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนจึงคิดว่าควรชี้แจงให้เขาเข้าใจด้วยตัวเอง
“เรื่องระหว่างเราสองคน ฉันไม่เคยเอาไปเกี่ยวข้องกับใคร คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า... เมื่อก่อนนี้ฉันคบกับคุณด้วยความรู้สึกจริงใจเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง แต่จู่ๆจะมาทำให้มันเป็นความรักระหว่างหญิงชาย ฉันทำไม่ได้นะคะ”
“หมายความว่ายังไง ทำไมถึงพูดแบบนี้ เอลก้า?” ตฤณส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับ “คุณพูดเหมือนจะล้มการแต่งงานของเราทั้งที่ผมคุยกับพ่อคุณแล้ว”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันอยากจะถามคุณ คุณรักฉัน อยากแต่งงานกับฉัน อยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ทำไมไม่คุยเรื่องนี้กับฉันตรงๆ การอยู่ร่วมกับผู้หญิงคนหนึ่งไปจนตาย เธอต้องรักคุณในแบบเดียวกันกับที่คุณรักเธอ การคุยเรื่องสำคัญแบบนี้ต้องเริ่มที่คนสองคนก่อนไม่ใช่เริ่มที่บุคคลที่สาม” อภินราระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา พยายามพูดกับเขาด้วยเหตุผล “ฉันขี้ขลาดเองและขอยอมรับความผิดที่เกิดขึ้น ฉันน่าจะคุยเรื่องนี้กับคุณตรงๆ แต่ก็ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยมาจนถึงวันนี้”
“ไม่ได้นะเอลก้า ผมรักคุณมาก ผมไม่ยอมให้คุณมายกเลิกการแต่งงานของเรากลางคันแบบนี้แน่ๆ” ตฤณยังไม่ยอมรับในสิ่งที่เธออธิบาย เขากำลังว้าวุ่นใจที่ของรักกำลังจะหลุดลอยไปจากมือ
อภินราตกใจเมื่ออีกฝ่ายจู่โจมเข้ามาเกาะกุมต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้ จึงพยายามใช้มือแกะฝ่ามือของเขาออก “ถอยออกไปก่อนค่ะตฤณ เรานั่งคุยกันดีๆก็ได้ ปล่อยฉันก่อน...”
“ไม่! ผมรักคุณ และจะไม่ยอมเสียคุณไปให้มันแน่ บอกผมมาเอลก้า คุณยังรักมันอยู่ใช่ไหม คุณรักไอ้คนที่มันเข้ามาหลอกลวงรักคนที่ทำให้พ่อคุณต้องนอนซมอย่างนั้นเหรอ” ตฤณเขย่าร่างบางด้วยความเสียใจระคนโมโห
“ปล่อยนะตฤณ ฉันเจ็บ!” อภินราพยายามขัดขืน
“ผมก็เจ็บเหมือนกัน!” ตฤณตวาดกลับเสียงดุจนอภินราตกใจ หยุดการดิ้นรนไปชั่วขณะ “บอกมาเอลก้า ผมไม่ดีตรงไหน สู้มันไม่ได้ตรงไหน แค่คุณเจอหน้ามันไม่กี่วันทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้ผมบ้าง”
“มันคนละเรื่องกัน ปล่อยฉันแล้วสงบสติอารมณ์ ฟังฉันก่อนได้ไหม!” อภินรารวบรวมแรงที่มีอยู่ทั้งหมด ผลักหน้าอกกว้างของตฤณออกไปสุดแรงเกิด จนเจ้าตัวล้มลงไปนั่งอย่างคนหมดกำลังใจอยู่บนโซฟา หากภาพที่เห็นทำให้อภินรารู้สึกผิดไม่น้อย แต่แรงโทสะที่เขาแสดงอออกต่อเธอเมื่อครู่ก็มีมากเสียจนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนใกล้ๆ
“ฉันขอโทษที่ต้องพูดว่าขอยกเลิกการแต่งงาน แต่ฉันไม่อาจฝืนใจหรือทำใจให้รักคุณฉันชู้สาวได้”
“ไม่มีวันเอลก้า ยังไงงานแต่งของเราก็ต้องเกิดขึ้น” ตฤณไม่ยอมรับฟังเหตุผลใดๆ ยังไงเสียเขาก็ต้องแต่งงานกับเธอให้ได้
อภินราส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจในความดื้อดึงของตฤณ หากเธอเองก็ไม่สามารถอดทนอธิบายได้มากกว่านี้ เพราะเรื่องร้ายๆมากมายที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ “ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังโกรธ ฉันเองก็อารมณ์ไม่ปกติเท่าที่ควร เอาไว้ให้เราใจเย็นกว่านี้แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีนะคะ ถึงตอนนี้คุณอาจจะเข้าใจความรู้สึกของฉันบ้างก็ได้”
ตฤณมองผู้หญิงที่พูดจาตัดขาดตนอย่างไร้เยื่อใยด้วยความเจ็บปวด เธอเดินออกไปจากห้องโดยไม่หันกลับมามองเขาสักนิด ไม่เคยเห็นถึงความตั้งใจจริงและสิ่งดีๆที่เขามอบให้ “ผมรักคุณเอลก้า รักคุณได้มากกว่าที่คุณคิดนัก”
เขาย้ำกับตัวเอง นั่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ เริ่มตั้งแต่รู้จักกันทุกอย่างก็ดูสดใส ราบรื่น ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือเกื้อกูล ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็เห็นดีเห็นความกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่... ทุกอย่างกลับกลายเป็นเรื่องผิดหวัง เมื่อไอ้หน้าหล่อนิสัยเลวนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ
แต่เขานี่แหละจะเป็นคนดึงเธอกลับมา จะทำให้เธอเห็นว่าคนที่คู่ควรกับความรักของเธอ คือเขาเพียงผู้เดียว!
อภินราขับรถออกจากบ้านในทันทีที่เดินออกมาจากห้องรับแขกเพราะใกล้เวลาที่ซีโลจะเลิกเรียนเต็มที่แล้ว หากเรื่องหนักๆที่ถาโถมเข้ามาจากผู้ชายสามคนทำให้เธอเหนื่อยทั้งใจเหนื่อยทั้งกาย
พ่อ... ทำให้เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านถึงได้ทำเรื่องผิดพลาดเช่นนั้น หรือถ้ามันไม่ใช่ความจริงทำไมท่านถึงไม่ยอมแก้ต่าง เอาหลักฐานมายืนยันให้ทุกคนได้เห็นว่าไม่ได้เอาทรัพย์สมบัติของวาเรียไปสักชิ้น ถ้ายังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเช่นที่บอกเธอทำไมถึงไม่เอามันออกมายืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง
ตฤณ... เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าเขาเป็นคนมีเหตุผล เป็นเพื่อนที่คอยให้ความช่วยเหลือในยามยากลำบาก แต่ลึกๆแล้วเขาก็ไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมรับฟังเหตุผลของผู้อื่น ถึงนาทีนี้ก็ไม่เคยเสียใจที่ยกเลิกการแต่งงาน มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ฮาร์คิฟ... ผู้ชายที่เธอรู้จักเขาเพียงไม่กี่วัน ดวงตาสีเขียวอมฟ้าเป็นกับดักชั้นเยี่ยมที่ทำให้เธอหลงวนจนหาทางออกไม่เจอ สัมผัสละมุนละไมทว่าแฝงไว้ด้วยความเร่าร้อน น่าค้นหา ความจริงใจ สัมผัสอบอุ่น คำพูดหวานหูที่ทำให้เธออมยิ้มระคนเขินอายนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นจอมปลอม ตลบตะแลง เขาจงใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อตบตาแต่เธอกลับโง่งม หลงเชื่อและมอบหัวใจให้เขาทั้งดวง
การขับรถทั้งที่ในใจมีเรื่องให้คิดมากมายทำให้เธอไม่รู้ตัวว่ามีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับตามในระยะกระชั้นชิด เมื่อเธอพ้นประตูรั้วคฤหาสน์วรโชติไม่ไกลนัก รถยนต์ที่ขับตามมาก็เร่งความเร็วให้แซงรถของเธอและหักเข้าปาดหน้าจนอภินราต้องเหยียบเบรกอย่างแรง หากไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเธอคงได้รับอันตรายเป็นแน่
หากร่างสูงใหญ่ที่ก้าวลงมาจากรถทำให้อภินราทั้งโกรธทั้งตกใจ ท่าทางคุกคามของเขาที่เดินมาค้ำฝ่ามือกับขอบกระจกรถทำให้อภินราไม่สามารถเดาใจเขาได้
“เปิดประตูเอลก้า” ฮาร์คิฟสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน มั่นใจว่าเธอได้ยินอย่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ในรถที่ล็อกประตูไว้อย่างหนาแน่น
“ไม่ เอารถของคุณออกไปไม่งั้นฉันจะ...”
นั่นเป็นคำตอบที่เขาคาดการเอาไว้แล้วว่าจะได้ยินจากปากเธอ ฮาร์คิฟเอียงศีรษะไปยังรถยนต์ของตัวเองแล้วพูดดักคอเธอในทันที “ซีโลอยู่บนรถ กำลังโวยวายหาคุณอยู่พอดี”
แวบแรกที่ได้ยินเธอตกใจและหลงเชื่อในทันที แต่บทเรียนเกี่ยวกับผู้ชายหลอกลวงคนนี้ทำให้เธอชะงักมือที่กำลังจะยื่นไปกดปุ่มปลดล็อกประตู แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าคร้ามคมผ่านกระจกรถ “อย่าคิดว่าจะหลอกฉันได้ คุณไม่มีทางรับตัวซีโลออกจากโรงเรียนได้แน่”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ผมบริจาคเงินเป็นล้านให้โรงเรียน คุณเองก็เป็นคนอนุญาตให้ผมไปเล่นกับแกได้ แล้วแค่เรื่องรับกลับบ้านนี่มันขี้ผงนะเอลก้า” พูดพลางถอยห่างจากรถของเธอ “ผมแค่หวังดีอยากให้แกได้เห็นหน้าคุณก่อนไปยูเครน”
การเดินถอยหลังอย่างไม่แยแส คำพูดที่อาจจะเป็นไปได้ ความร้อนใจนึกกลัวไปสารพัดทำให้อภินราปลดล็อกและเปิดประตูรถยนต์ก่อนที่เขาจะถอยหลังไปถึงรถที่จอดขวางหน้าอยู่นี้ หากมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุด เพราะแค่ได้ยินเสียงปลดล็อก ประตูเปิดยังเปิดออกได้ไม่กว้างพอที่เธอจะก้าวลงจากรถด้วยซ้ำ ฮาร์คิฟก็เข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว เขาดึงประตูไว้มั่นและสอดตัวเข้าไปเบียดเธอจนต้องถอยไปนั่งเบาะข้างๆ
“ทำบ้าอะไรของคุณ” อภินราผลักไส ทั้งทุบทั้งตีคนที่เบียดตัวเข้ามา “ลงไปจากรถฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“เงียบ! ถ้าไม่อยากให้ผมทำอะไรรุนแรงกว่านี้” ฮาร์คิฟสั่งเสียงดุ
อภินราชะงักงันกับท่าทางขึงขังนั้น นึกเจ็บใจตัวเองที่ยอมให้เขาหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้ายังยอมทำตามคำสั่งเขาง่ายๆก็คงจะโง่เกินไปแล้ว “ช่วยด้วย...”
ฮาร์คิฟรั้งต้นแขนข้างหนึ่งของเธอไว้ เอื้อมมือไปดึงประตูรถที่เธอเปิดออกให้ปิดสนิทและกดล็อกอัตโนมัติทั้งคัน “นั่งนิ่งๆได้ไหมเอลก้า”
อภินรากรีดร้องสุดเสียง ทุบตี หยิกข่วนเขาเป็นพัลวัน “คนชั่ว คนเลวปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! ช่วยด้วย... ช่วยด้วย”
ฮาร์คิฟส่ายหน้าเพราะไม่เพียงเธอจะกรีดร้องลั่นจนหูแทบดับ ยังทุบกระจกรถขอความช่วยเหลือจนต้องตัดสินใจจัดการขั้นเด็ดขาด
อภินราตกใจเมื่อท่อนแขนแข็งแรงเกี่ยวเข้าที่ใต้ทรวงอก ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่อยู่ในฝ่ามืออีกข้างทำให้เธอร้องดังขึ้น ดิ้นรนหนักขึ้น สติเลือนหายไปพร้อมกับความร้าวรานใจ “กรี๊ด... อื้อ ปล่อยนะ ช่วย...”
ฮาร์คิฟผ่อนแรงรัดร่างอ่อนระทวยที่อยู่ในอ้อมแขน เธอแน่นิ่งคอพับคออ่อนอยู่ในอ้อมกอดของเขาในขณะที่รถยนต์คันข้างหน้าขับออกไป ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เขาวางเอาไว้แม้ว่าการโปะยาสลบเธอจะเป็นสิ่งที่เขาหนักใจที่สุด แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธอสงบและเดินทางไปกับเขาอย่างไม่เกิดปัญหา
ราวสี่สิบห้านาทีต่อมา... ซีโลก็ขึ้นมาอยู่บนรถของอภินราที่มีเขาเป็นคนขับ สติกเกอร์ที่มีสัญลักษณ์ของโรงเรียนติดอยู่หน้ากระจก เป็นเครื่องหมายผ่านทางให้เขาเข้าไปจอดรถตรงจุดนัดพบที่โรงเรียนจัดทำขึ้น เขาลดกระจกลงแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรให้คุณครูที่จับแขนซีโลไว้และก้มตัวมองเข้ามาในรถ
“บ่นว่าปวดหัวน่ะครับ ทานยาแล้วเพิ่งหลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง” ฮาร์คิฟเอ่ยขึ้นก่อนที่คุณครูจะไถ่ถามด้วยซ้ำ เขาหันไปทักทายหลานชาย “ขึ้นรถเร็วเข้าซีโล”
“สวัสดีครับมิส”
ฮาร์คิฟมองหลานชายที่เปิดประตูขึ้นมานั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วหันไปก้มศีรษะให้คุณครูเป็นการขอบคุณก่อนที่จะขับรถออกไปจากโรงเรียนอย่างเป็นปกติ ไม่มีพิรุธและไร้ซึ่งข้อกังใดๆ
“เราจะไปไหนกันฮะฮาร์คิฟ” ซีโลถามด้วยความดีใจหลังจากที่พนมมือทำความเคารพคุณลุงแล้ว หนุ่มน้อยยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของคุณอาซึ่งนอนหลับอยู่เบาะนั่งด้านหน้า “เอลก้าเป็นอะไรฮะ ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”
“บ่นว่าปวดหัว ลุงเลยให้กินยาไปสองเม็ด แล้วก็หลับปุ๋ยเชียว” ฮาร์คิฟตอบพลางคิดหาเรื่องคุย เบี่ยงเบนความสนใจจากหญิงสาว “เมื่อกี้นี้ถามว่าจะไปไหนกันใช่ไหม”
“คร้าบบบ แต่ตอนนี้ซีโลหิวมากๆ” จบคำพูดก็ชะโงกมาเปิดคอนโซลข้างเกียร์ ที่จะมีของว่างหรือขนมเตรียมไว้ให้ทุกวัน “ว้า... แปลกจัง ทำไมวันนี้เอลก้าไม่ซื้อไส้กรอกกับซาลาเปาเอาไว้”
“เดี๋ยวไปกินบนเครื่องบินก็ได้ ของกินเยอะแยะ อร่อยๆทั้งนั้นเลย”
ซีโลทำตาโตมองผู้เป็นลุงเพราะยังไม่เคยนั่งเครื่องบินเลยสักครั้ง “โห! เราจะไปไหนกันฮะ ได้นั่งเครื่องบินด้วย”
“ไปเที่ยวไง ลุงจะพาซีโลไปหาคุณตาคุณยายที่ยูเครน” ฮาร์คิฟบอกแล้วต้องรีบหาแรงจูงใจหลานอย่างเร่งด่วนเมื่อหนุ่มน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไปเที่ยวบ้านลุง เดี๋ยวจะสอนว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ คาราเต้ ชกมวยด้วย สอนทุกอย่างที่ซีโลอยากเล่น”
ฮาร์คิฟฉลาดพอที่จะใช้คำว่าเล่นดึงดูดความสนใจของเด็ก เพราะคำว่าเรียนช่างน่าเบื่อ ไร้แรงดึงดูดไม่เว้นแม้กับเด็กโต เพียงแค่มีอภินราเดินทางไปด้วยเขาก็สามารถแก้ปัญหาการโยเยของหลานชายได้อย่างเรียบร้อย เขาเหลือบสายตามองคนที่นั่งหลับสนิทอยู่ข้างๆแล้วต้องเผลอยิ้มออกมาด้วยความพอใจพลางหันมาตั้งใจขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบิน ซึ่งรามานได้เตรียมการทุกสิ่งไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว
ฮาร์คิฟส่ายหน้าด้วยความเหนื่อย มองหลานชายเจ้าปัญหาที่กว่าจะหลับสนิทได้เช่นนี้ก็เล่นเอาเขาหมดแรง ร้อยแปดคำถามเกี่ยวสิ่งรอบตัว
‘ทำไมเอลก้าหลับนานจังฮะ?’
‘ฮาร์คิฟ... ลุงน่าจะไปปลุกเอลก้ามาทานข้าวด้วยกัน’
และคำถามอีกมากมายที่เกิดจากความสงสัยของหลานเจ้าปัญหา หนึ่งร้อยคำถามน่าจะมีคำถามเกี่ยวกับอภินราเกินกว่าครึ่ง แม้ว่าจะตื่นเต้นกับเครื่องเจ็ตส่วนตัวที่อำนวยความสะดวกได้ไม่ต่างจากการพักผ่อนในวิลล่าหรูๆสักแห่ง สุดท้ายก็ยังต้องวกกลับไปหาอภินราเช่นเดิม แม้จะชี้แจงว่าเธอไม่สบายและต้องการพักผ่อน ซีโลก็ยังแอบเปิดประตูเข้าไปส่องดูคุณอาอยู่บ่อยครั้ง และไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนสักนิด
ฮาร์คิฟชวนหลานชายซ้อมออกหมัด ตั้งการ์ดป้องกัน ตีลังกา กระโดดโลดเต้น หวังว่าการออกแรงจะทำให้เหนื่อย เพลียและหลับไปในที่สุด
‘ซีโลนอนไม่หลับ อยากกอดเอลก้า’ เป็นคำพูดที่ดังขึ้นในตอนที่เขาคิดว่าหลานเจ้าปัญหาหลับไปแล้ว ฮาร์คิฟกลอกสายตาขึ้นฟ้าอย่างระอาใจ เพิ่งรู้ว่าการกล่อมเด็กคนหนึ่งให้หลับสนิทไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา
‘ไม่เอา ไม่ให้กอดแล้ว ตัวไม่นุ่มเหมือนเอลก้าเลย เกาหลังดีกว่าฮะ’ สั่งด้วยน้ำเสียงติดรำคาญพลางพลิกตัวหันหลังให้ ถ้าไม่ใช่หลานฮาร์คิฟคงปล่อยทิ้งไว้คนเดียวแล้ว ทั้งที่อุทิศตัวให้กอดแล้วยังจะเรื่องเยอะแต่สุดท้ายก็ยอมเกาหลังให้โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เพราะมาคิดๆดูแล้วใช่ว่ามีแค่เด็กที่อยากกอดเธอเสียเมื่อไหร่ ผู้ใหญ่อย่างเขายังอยากหลับไปพร้อมกับความนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมละมุนที่เป็นกลิ่นเฉพาะจากตัวเธอ รู้ดีว่าการซุกมือไว้กับอกนุ่มเป็นการขอความอบอุ่นที่เด็กๆมักทำกับแม่
แต่คิดถึงภาพนั้นทีไรเขาก็เปรี้ยวปาก น้ำลายสอ อยากซุกมือไว้กับทรวงอกนุ่มหยุ่นของเธอ เธอคนเดียวไม่มีภาพหน้าอกของผู้หญิงคนอื่นในสมอง โอ! แม่คุณเอ๊ย... ตื่นขึ้นมาเสียทีเถอะ เขายอมให้เธอด่าว่า มองด้วยสายตาประณามยังดีกว่าต้องเห็นเธอนอนนิ่งๆ ไม่ไหวติงทั้งที่ยาควรจะหมดฤทธิ์ไปตั้งสามสิบนาทีแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ