ดวงใจในสงคราม [Yaoi]
เขียนโดย Metzine
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.39 น.
แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 20.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ผู้ส่งสาส์น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ธงสีแดงเข้มตัดกับลายปักสิงโตสีทองโบกสะบัดไปมาจังหวะการเคลื่อนไหวของคนบนหลังม้า
ทหารในอาภรณ์แปลกตาสามนาย ค่อยๆชะลอฝีเท้าของม้าลงเมื่อเข้ายังเขตพระราชวัง
......สภาพบ้านเมืองที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย ดูเงียบสงบ ทอดผ่านสายตาของคนทั้งสามตลอดการเดินทางก่อนจะมาถึงยังประตูเหล็กบานใหญ่ที่กั้นระหว่างตัวพระราชวังกับหมู่บ้านรอบๆ
กระนั้นประตูเหล็กบานใหญ่ก็มิได้ถูกปิดไว้ แต่กลับเปิดกว้างราวกับอยากต้อนรับแขกทุกคนที่มาเยือน
"หยุดดดด" หนึ่งในกลุ่มคนทั้งสามเอ่ยขึ้น ทั้งม้าและบุรุษอีกสองคนหยุดชะงักอยู่เบื้องหลังคนออกคำสั่ง
"พ..พวกท่านมาทำอะไรกันรึ" เสียงนายทหารเฝ้าประตูเอ่ยถามคนบนหลังม้าด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย
"ข้ามาขอเข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งคาร์มาร์ แต่เรื่องอะไรนั้นข้าไม่ขอบอกทหารเช่นเจ้าก็แล้วกัน" ชายวัยกลางคนที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนปกติ จนดูราวกับยักษ์ก็ไม่ปาน ตอบด้วยท่าทีเรียบเฉย
"ง..งั้น ข..ข้า คงให้พวกท่านเข้าพบองค์กษัตริย์ไม่ได้หรอก พ ..พวกท่านกลับไปซะเถอะ" นายทวารที่ดูราวกับทหารฝึกหัด พูดจาตะกุกตะกัก
"เจ้าบังอาจขับไล่ผู้ส่งสาส์นแห่ง 'เฮลรัส' งั้นรึ" ชายผอมแห้งอีกคนที่ดูราวกับคนป่วยหนัก เนื้อหนังที่แทบจะติดกระดูก ดวงตาที่จมลึกยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก ตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่ดุดัน
"ข้าว่าพวกท่านใจเย็นๆก่อนดีกว่า ตอนนี้กษัตริย์ของเราทรงออกไปราชการ ซักพักถึงจะเสด็จกลับ" เสียงชายสูงวัยที่บังเอิญเดินผ่ามาเอ่ยขึ้นขัดคนทั้งสาม
"ท่านเป็นใครกัน" ชายผอมแห้งถามขึ้นก่อน
"ข้าก็แค่ตาแก่คนนึงเท่านั้นแหละฮ่าๆๆ" ชายสูงวัยผมเรียบแปร้ในอาภรณ์สะอาดตาเอ่ยติดตลก
"เอาเป็นว่าตอนนี้พวกท่านไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถอะ เดินทางมาไกล พวกท่านจะได้พักเหนื่อย"
ชายสูงวัยเอ่ยตัดบท ก่อนจะชักชวนแขกทั้งสามเข้าสู่พระราชวังตรงหน้า โดยไม่เปิดโอกาสให้เหล่าผู้มาเยือนได้ถามอะไรเพิ่มเติม
หลังจากถูกชักชวน ชายสูงวัยได้ส่งนางกำนัลสาวมานำทางคนทั้งสามไปยังห้องรับรอง ก่อนที่ตนจะเดินจากไปอีกทาง
ภายในพระราชวังถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ก็วิตรงดงาม เครื่องเรือนที่ถูกคัดสรรและจัดเรียงอย่างพิถีพิถันบ่งบอกถึงรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ อากาศที่เย็นแทบจะตลอดทั้งปี ทำให้แทบจะทุกห้องของพระราชวังมีเตาผิงทั้งเล็กและใหญ่ตามขนาดของแต่ละห้อง และนั่นทำให้คนทั้งสามไม่แปลกใจเลยที่ทำไมชาวคาร์มาร์ถึงได้มีผิวพรรณที่ขาวราวหิมะ ก็เพราะคนพวกนี้แทบจะไม่เคยโดนแดดเลยไงล่ะ
หลังจากที่ถูกชักชวนจากชายสูงวัย ทั้งสามก็เดินตามนางกำนัลมายังโถงรับรองเพื่อรอจะส่งสาส์นสำคัญที่ตนได้รับมอบหมายมาให้ถึงมือของกษัตริย์แห่งคาร์มาร์โดยตรง
...แอ๊ดดดด
เสียงประตูห้องรับรองดังขึ้น ผู้ส่งสาส์นทั้งสามหันไปทางต้นเสียง แต่กลับไม่พบผู้ใด มีเพียงประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นความว่างเปล่าของโถงทางเดินด้านนอกเท่านั้น
"นี่ก็ล่วงเลยเวลามาซักพักแล้ว ทำไมท่านเรดมอนด์ยังไม่กลับอีก" คนตัวใหญ่กล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
"เฮ้อออ ..เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องส่งคนระดับพวกเรามาก็ได้แท้ๆ ให้ตายสิ" คนผอมแห้งที่มาด้วยกันเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย
"อืมมม" บุรุษคนที่สามพยักหน้าเห็นด้วยพลางงึมงำในลำคอ
"ฝ่าบาทคงมีแผนการบางอย่าง ถึงได้ส่งพวกเรามา" คนตัวโตเอ่ยถึงคนออกคำสั่ง
"แผนอะไรกันหรอ ข้ารู้ได้รึเปล่า?" เสียงเด็กน้อยเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาขัดจังหวะคนทั้งสาม
"เฮ้ยยยย" บุรุษทั้งสามตกใจ เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กที่ดูท่าทางจะยืนฟังพวกตนคุยมาซักระยะนึง
"เจ้าเป็นใครเข้ามาได้ยังไง เจ้าเปี๊ยก"คนผอมแห้งที่สุดในกลุ่มพูดน้ำเสียงตื่นตระหนก
"ข้าเซเรน "เด็กน้อยที่มีดวงตาสีฟ้ากลมโตเป็นประกายต่างกับสีผมที่ดำราวกับสีแห่งรัตติกาลเอ่ยแนะนำตัวกับกลุ่มบุรุษตรงหน้า
"พวกท่านมาจากเฮลรัสงั้นหรอ" เด็กน้อยพูด แต่สายตากับเพ่งมองไปทางสัมภาระแปลกตาของผู้มาเยือน
"ใช่ เจ้ารู้ได้ยังไง" คนตัวผอมเริ่มจะรำคาญคนตัวเล็กที่โผล่มาขัดจังหวะ
"ใครๆก็รู้จัก ทั้งธงราชสีห์นั่น ทั้งการแต่งกายด้วยอาภรณ์เช่นนั้น" เด็กน้อยพูดจาราวกับผู้มีความรู้พลางลูบธงสีแดงเข้มที่วางเด่นข้างกองสัมภาระภายในห้อง
"เจ้าต้องการอะไรรึเด็กน้อย" คนตัวใหญ่ถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขัดกับในหน้าดุดัน
"เอิ่มมมม ข้าาาาา" เด็กน้อยอึกอัก จนบุรุษทั้งสามเริ่มงงกับท่าที
"อะไร?!" ชายร่างผอมเริ่มรำคาญคนตรงหน้าเต็มที
"พวกท่านนน ...เล่าเรื่องอาณาจักรเฮลรัสให้ข้าฟังทีสิ" เด็กน้อยแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"ทำไมพวกข้าจะต้องเล่าให้เด็กอย่างเจ้าฟังด้วย" คนตัวผอมแห้งพูดพลางกอดอก เป็นเชิงปฏิเสธ
"เอาน่าเฮริง ยังไงซะก็ดีกว่านั่งรออยู่เฉยๆ" คนตัวใหญ่ท่าทางใจดีขัดกับรูปลักษณ์ พูดกับชายร่างผอมแห้งที่ยืนบึ้งตึงอยู่ข้างกาย
"นั่นสิ" ประโยคสั้นๆที่ออกมาจากปากคนที่ไม่ค่อยพูดจาตั้งแต่ออกเดินทางมา
"เบรส นี่เจ้าก็เป็นไปอีกคนเรอะ?" ช่ายร่างผอมพูดพลางจ้องไปยังบุรุษที่นิ่งเงียบมาตลอดการเดินทาง
"...ข้าจะไปสูดอากาศข้างนอก พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่อย่าได้ทำอะไรนอกเหนือจากคำสั่งที่ได้รับมาล่ะ" คนตัวผอมที่ดูหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาเอ่ย ก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองไป ทิ้งบุรุษเพื่อนร่วมทางทั้งสองให้อยู่กับเด็กน้อยขี้สงสัย
"ข้าบอกชื่อของข้าแล้ว แล้วท่านล่ะ" เด็กน้อยเอ่ยถามต่อ
"ข้าทีมัส คนที่ไม่ค่อยพูดตรงนั้นคือเบรส ส่วนคนที่เหมือนจะหงุดหงิดตลอดเวลานั่น เฮริง" ชายร่างใหญ่ตอบเด็กน้อย โดยไม่ลืมที่จะแนะนำคนเจ้าอารมณ์ที่เพิ่งเดินออกห้องไป
เมื่อไม่มีคนตัวผอมขี้หงุดหงิดคอยขัดตลอดเวลาแล้ว เด็กน้อยจึงเริ่มบทสนทนากับชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาทันที
....ดวงอาทิตย์ที่บัดนี้เริ่มคล้อยต่ำลงแสดงถึงเวลาใกล้ค่ำ ....
เสียงฝีเท้าหลายคู่เดินตรงมายังห้องรับรอง ประตูไม้หนาถูกเปิดออกเพื่อจะพบกับผู้มาเยือนภายในห้อง
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องมายังที่นั่งกลางห้องเผยให้เห็นบุรุษสองคนที่กำลังพูดคุยกับคนตัวเล็กเสียงเจื้อยแจ้วอย่างออกรสออกชาติราวกับเป็นสหายรุ่นเดียวกัน
"ฝ่าบาท" บุรุษสองคนภายในห้องคำนับลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพต่อบุรุษหนุ่มที่เพิ่งเข้ามา
"ท่านพ่อ" เด็กน้อยเอ่ยขึ้นเมื่อใบหน้าของคนที่มาใหม่เป็นคนที่คุ้ยเคย
"ลูกมาทำอะไรที่นี่ ผู้เป็นบิดาตรัสกับบุตรชายพลางตอบรับการคำนับของชายผู้มาเยือนทั้งสอง
"ข้าแค่มาอยู่เป็นเพื่อนท่านลุงทั้งสองก็เท่านั้น" เด็กน้อยตอบโดยไม่สนใจผู้เป็นบิดาที่เดินเข้ามาใกล้ตน
"เมลวิน พาเซเรนกลับห้องที" สิ้นเสียง บุรุษสูงวัยผมเรียบแปร้ที่ผู้มาเยือนสงสัยในตอนแรก ก็ก้าวมาหาเด็กน้อย ก่อนจะพาออกจากห้องไป
"เดี๋ยวสิท่านพ่อ ข้ายัง...." เด็กน้อยยังคงดื้อดึงอยู่ตรงหน้าประตู
"เซเรน!!" ผู้เป็นบิดามีท่าทีดุดันใส่เด็กน้อยตรงหน้า
...เมลวินชายสูงวัยที่ถูกเรียก ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยมีเด็กน้อยผมดำขลับหน้าตาบูดบึ้งเดินตามออกไปติดๆ
"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่" ราชาแห่งคาร์มาเริ่มบทสทนากับผู้มาเยือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ทำไมท่านดูเหมือนไม่อยากต้อนรับพวกเราเลยล่ะราชาเรดมอนด์" คนตัวใหญ่เอ่ยต่อเป็นเชิงตัดพ้อ
"ถ้าเป็นไปได้ข้าไม่อยากพบเจ้าในสถานการณ์เช่นนี้หรอกทีมัส" เสียงราชาหนุ่มตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
"เข้าเรื่องกันดีกว่า"ราชาหนุ่มเอ่ยตัดบท
" ..ข้านำสาส์นจากกษัตริย์จาฟาแห่งเฮลรัสมาส่ง" ทีมัสไม่รีรอ รีบหยิบกระดาษสีน้ำตาลม้วนเล็กในกระเป๋าสัมภาระส่งให้กษัตริย์เรดมอนด์ทันที
"พวกเจ้าออกไปก่อน" กษัตริย์หันไปตรัสกับผู้ติดตามสามสี่คนที่ยังคงยืนอยู่ภายในห้อง
"พะยะค่ะ" ผู้ติดตามโค้งคำนับกษัตริย์ของตนก่อนจะพากันเดินออกจากห้องรับรอง ทิ้งไว้เพียงชายสามคนที่มีบรรยากาศตึงเครียดอยู่รอบกาย
......ม้วนกระดาษในมือถูกคลี่ออกช้าๆ สายตาของกษัตริย์หนุ่มจ้องมองตัวอักษร บรรทัดต่อบรรทัดอย่างละเอียด พลางนึกถึงเจ้าของลายมือที่เคยเป็นคู่แค้นกันในวัยเยาว์ เมื่ออ่านมาถึงช่วงกลางของจดหมายนั้น มือราชาหนุ่มสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธจัด
แคว่กกกก!
กระดาษสีน้ำตาลที่คนถือยังอ่านไม่จบด้วยซ้ำถูกฉีกออกอย่างไม่ใยดี
"ข้าก็คิดเหมือนกันว่ามันต้องเป็นแบบนี้" เสียงคนมาใหม่เดินเข้ามาภายในห้องรับรอง
"เจ้าก็มางั้นรึเฮริง" กษัตริย์หนุ่มที่โกรธจนหน้าคมคายแดงก่ำ ตรัสกับคนผอมแห้งที่เพิ่งก้าวมายังห้องรับรอง
"ใช่ กษัตริย์จาฟาส่งพวกเรามาเพราะกลัวว่าท่านจะไม่รับข้อเสนอนั้น" เฮริงเอ่ยพลางมองไปยังสาส์นที่ถูกฉีกทึ้งไม่เป็นชิ้นดี
"ข้าอยากให้พระองค์ทรงคิดดูอีกนิดก่อนตัดสินพระทัยนะพะยะค่ะ"ทีมัสชายร่างใหญ่พยายามสงบอารมณ์ของบุรุษหนุ่มตรงหน้า
"ข้าคิดว่าการที่พวกเจ้าสามคนมานี่ คงไม่ได้มาเพื่อฟังคำปฏิเสธจากปากข้าหรอกใช่มั้ย" ราชาเรดมอนด์เอ่ยราวกับรู้ทัน
"งั้นท่านก็ควรทำตามที่กษัตริย์ข้าเสนอจะดีกว่า ...เพื่อเลี่ยงสงคราม" ชายร่างกายผอมแห้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่เป็นต่อ
"ออกไปให้พ้นนน!!!!!!!!!" กษัตริย์เรดมอนด์ที่อดกลั้นมานานอารมณ์ขาดผึง
"ข้าอยากให้ท่านไตร่ตรองดูก่อนเรดมอนด์ ในฐานะคนเคยเป็นสหาย ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่" ทีมัสเอ่ยในฐานะสหายเก่าที่เป็นห่วงคนตรงหน้า ก่อนจะเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าใบโต
"ข้าว่าสงครามก็ไม่เลวนะพระองค์" ชายตัวผอมเอ่ยน้ำเสียงเยาะเย้ยก่อนจะเดินนำออกมาก่อน
"ฝ่าบาท" คนที่นั่งเงียบมาตลอดเหตุการณ์เอ่ยคำลาสั้นๆ พร้อมการโค้งคำนับให้คนสูงศักดิ์ตรงหน้า ก่อนจะตามคนตัวผอมออกไปติดๆ
"ข้าไม่เคยประสงค์จะให้เป็นเช่นนี้ เรดมอนด์" คนตัวใหญ่ที่ตอนนี้ดูอึดอัดกับเหตุการณ์ตรงหน้าพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินพ้นประตูห้องรับรองไป
ประตูห้องรับแขกปิดลงทิ้งให้ราชาหนุ่มที่กำกระดาษในมือแน่นได้ครุ่นคิดบางอย่าง
....ผู้ส่งสาส์นทั้งสามเดินตรงไปยังม้าของตนเพื่อนเดินทางกลับ ท้องฟ้าที่บัดนี้มืดสนิท ทำให้คนทั้งสามขนสัมภาระอย่างทุลักทุเลในความมืด
"พวกท่านจะกลับแล้วรึ" เสียงเด็กชายผมดำขลับดังขึ้นเบื้องหลัง ก่อนที่ฝีเท้าเล็กจะก้าวตรงมายังคนทั้งสาม
"พะยะค่ะ ...พวกกระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วยที่ไม่ทราบว่าพระองค์คือองค์ชายในตอนแรก" คนตัวใหญ่เอ่ยขอโทษเด็กมอมแมมตรงหน้าที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย
"ช่างเถอะ เอาเป็นว่าซักวัน พวกท่านพาข้าไปเที่ยวเฮลรัสบ้างได้ไหม" องค์ชายน้อยตรัสถาม
"ได้สิองค์ชาย ซักวันนึง" คนตัวใหญ่โค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการกล่าวลาก่อนจะกระโดดขึ้นม้าคู่ใจ
"อีกไม่นานเกินรอ องค์ชาย" คนตัวผอมแห้งยิ้มมุมปาก ก่อนจะกระโดดขึ้นม้าและควบตามคนตัวโตไป
"แล้วเจอกันองค์ชาย" เสียงของชายที่ดูท่าทางลึกลับที่สุดในกลุ่มเอ่ยพลางคำนับเพื่อกล่าวลา ก่อนจะควบม้าตามสองคนที่ล่วงหน้าไปติด
"ลาก่อนนน" เด็กน้อยที่ยืนท่ามกลางความมืด โบกมือลาให้กลุ่มคนที่ควบม้าห่างออกไปจนลับตา
"เจ้ามาทำอะไรตรงนี้คนเดียว ..เซเรน" เสียงเล็กๆดังขึ้นทำให้พูดที่ถูกเรียกต้องหันไปทางต้นเสียง
"ข้าออกมาเดินเล่น มีอะไรรึป่าว" คนตัวเล็กเลี่ยงที่จะตอบความจริง ก่อนจะถามคนผมทองตรงหน้าบ้าง
"ท่านแม่ให้ข้ามาตามเจ้าไปเสวยมื้อค่ำพร้อมกันก็เท่านั้น" เด็กน้อยผมทองพูดพลางหันกลับไปทางที่ตนเดินมา
"เจ้าเป็นห่วงกลัวข้าจะหิวใช่มั้ยล่ะ" เด็กชายตัวแสบกอดคอเชษฐาที่ตัวเล็กกว่าด้วยท่าทีสนิทสนม
"ข้าแค่รำคาญที่เจ้าชอบลากข้ามาหาอะไรกินตอนดึกก็เท่านั้น" เด็กน้อยพูดพลางปัดมือคนที่ยังกอดคอไม่ปล่อย
"เจ้าเป็นเชษฐาที่ไม่น่ารักเอาซะเลย" คนผมดำยังคงแหย่คนตัวเล็กกว่า
"ข้าหิวแล้ว ถ้าไม่มาก็อย่ามา" เชษฐาตัวน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญก่อนจะเดินล่วงหน้ามาก่อน ทิ้งเด็กน้อยขี้แกล้งไว้เบื้องหลัง
"รอข้าด้วยเอวาน"
ภาพเด็กน้อยสองคนที่เย้าแหย่กันตลอดโถงทางเดินที่ทอดยาว เป็นภาพที่ทำให้คนพบเห็นต่างก็อดยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งคู่ไม่ได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ