ดวงใจในสงคราม [Yaoi]
เขียนโดย Metzine
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.39 น.
แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 20.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) มื้อค่ำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเล่ห์รัตติกาล ตอน 4 มื้อค่ำ
กลิ่นหอมอบอวลจากอาหารค่ำที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่ทำให้เด็กน้อยทั้งสองที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในห้องแอบลอบกลืนน้ำลายก่อนที่ต่างคนต่างแยกไปนั่งยังที่ประจำของตน
"เซเรนลูกไม่รู้เวลาอาหารค่ำรึไง ทำไมต้องให้พี่เค้าไปตามทุกครั้ง หืม?" ผู้เป็นมารดาที่นั่งรอมาซักพัก เอ่ยกับเด็กน้อยราวกับเป็นเรื่องปกติ
"ข้าก็กำลังเดินมาพอดีนี่ไงท่านแม่ ..แล้วอีกอย่างเอวานก็ไม่ได้ไปตามข้าทุกครั้งซะหน่อย บางทีก็เป็นบาเทสส์ต่างหาก" เด็กน้อยยังคงเถียงมารดาต่อ โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยพาดพิงถึงองค์รักษ์คนสนิทที่ตอนนี้กำลังเตรียมเสิร์ฟอาหารต่างๆใส่จานของคนตัวเล็ก
"แล้วท่านพ่อล่ะครับ?" เด็กน้อยอีกคนเอ่ยถามเมื่อเห็นเก้าอี้ตัวใหญ่หัวโต๊ะว่างเปล่า
"วันนี้ท่านพ่อมีงานต้องทำ เลยให้พวกเราทานกันไปก่อนน่ะจ่ะ" มารดาตอบเด็กน้อยก่อนจะตักอาหารบนโต๊ะใส่จานของคนตัวเล็กที่ผมสีเดียวกันกับตน
"พวกเราทานอาหารกันดีกว่า ดูสิเซเรนคงจะหิวแย่แล้วล่ะ" ผู้เป็นมารดาตรัสกับเด็กทั้งสอง ก่อนจะพูดถึงเด็กน้อยผมดำที่จ้องอาหารบนโต๊ะไม่วางตา
บทสนทนาต่างๆของเด็กน้อยทั้งสองที่ผลัดกันเล่าเรื่องราวของตนตั้งแต่เช้าจรดเย็นให้ผู้เป็นมารดาฟังในระหว่างมื้ออาหารนั้นทำให้มารดาที่มีสีหน้าตึงเครียดในตอนแรกค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง
"บาเทสส์ถ้าองค์ชายทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เจ้าช่วยพาองค์ชายทั้งสองขึ้นห้องบรรทมทีนะ" เสียงหญิงสูงศักดิ์ที่ดูจะเสวยอาหารในจานเสร็จเรียบร้อยแล้วสั่งการคนหนุ่มที่ยืนรออยู่ไม่ไกล
"ข้ายังไม่ง่วงเลยท่านแม่" เด็กน้อยผมสีเข้มที่ยังคงเคี้ยวขนมปังชิ้นโตไว้ในปากพูดขัดขึ้นด้วยเสียงอู้อี้
"แต่พอถึงห้องทีรัยข้าก็เห็นเจ้าหลับก่อนทุกที" เด็กน้อยผมทองเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะหันไปจ้องตาคนตัวเล็กที่นั่งตรงข้าม
"นั่นไม่เหมือนกันนะ ก็ทุกทีท่านแม่จะเล่านิทานแล้วก็ส่งข้าเข้านอนนี่" เด็กผมเข้มกว่างอแง
"งั้นเอาเป็นว่าพรุ่งนี้แม่จะเล่านิทานทดแทนคืนนี้ก็แล้วกัน ..ดีมั้ยเซเรน?" ผู้เป็นมารดาต่อรองกับเด็กน้อยแสนดื้อตรงหน้า
"ก็ได้.. งั้นพรุ่งนี้นิทานสองเรื่อง ...แล้วก็เค้กช็อคโกแลตนะครับ" องค์ชายตัวน้อยมีข้อต่อรองกับมารดา
"ได้จ๊ะ ..ราตรีสวัสดิ์นะเด็กๆ" ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นโดยไม่ลืมที่จะลุกไปจุมพิตหน้าผากเล็กๆของเหล่าองค์ชายน้อยตรงหน้า
"ครับ ท่านแม่ก็เช่นกัน" เด็กน้อยทั้งสองเอ่ย
.. ร่างบางของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์เดินพ้นบานประตูห้องเสวยโดยมีนางกำนัลอีกสองคนเดินตามไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงจานอาหารที่แทบไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย..
"นี่เจ้ายังกินอยู่ได้ยังไง เป็นหมูรึไงกัน"เด็กตัวน้อยผมทองที่อิ่มก่อนแล้วเอ่ยทักอีกคนที่ยังเอาแต่หยิบนั่นนี่เข้าปากอย่างต่อเนื่อง
"ก็ข้าเสียดายนี่ ยังเหลืออีกตั้งเยอะแยะ" คนผมเข้มกว่าไม่ได้สะทกสะท้านกับประโยคตัดพ้อแม้แต่น้อย
"เจ้าไม่สังเกตหรอเซเรน?" คนตัวเล็กที่เพียงแค่นั่งเขี่ยอาหารในจานไปมา ถามขึ้น
"สังเกตอะไร?" คนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอ่ยถามกลับ พลางเอื้อมมือไปหยิบขนมจากจานคนตรงหน้าที่เอาแต่เขี่ยไปมา
"ก็สีหน้าท่านแม่ไง ดูแปลกไป" คนผมทองยังคงตั้งข้อสงสัย
"แปลกยังไง ท่านแม่อาจจะแค่ไม่หิวก็เท่านั้น" เด็กน้อยที่ท่าทางไม่สนใจอะไรเลยยังคงหยิบขนมเข้าปาก
"แล้วท่านพ่อล่ะเจ้าจะว่าไง?" คนตัวน้อยผมทองยังคงตั้งคำถาม
"ท่านพ่อก็คงไม่หิวเช่นกัน ....นี่ถ้าเจ้าจะไม่กินนั่นล่ะก็ข้าขอนะ" องค์ชายน้อยที่ดูจะไม่สนใจกับคำถามต่างๆของเด็กอีกคนคนตรงหน้าเท่าไหร่เอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือยาวออกไปหยิบบางอย่างในจานคนตรงข้าม
"บางทีเจ้าน่าจะเป็นหมูไปซะจริงๆเซเรน!" พูดจบเด็กน้อยก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีหงุดหงิดก่อนจะเดินออกจากห้องอาหาร ทิ้งให้คนตัวเล็กอีกคนที่ยังคงถืออาหารเต็มมือนั่งงงกับการกระทำของเชษฐาตน
"นี่ข้าทำอะไรผิดเนี่ยบาเทสส์?" เด็กผมสีเข้มหันไปเอ่ยกับองค์รักษ์ของตนที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน
"ไม่ผิดหรอกพะย่ะค่ะ" องค์รักษ์ตอบเด็กน้อย พลางคิดในใจถึงความใจเย็นหรือจะเป็นความซื่อบื้อของคนตรงหน้าที่ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลยกันแน่
"ข้ากินอะไรไม่ลงแล้ว เจ้าให้มาคนเก็บโต๊ะซะ" พูดจบเด็กน้อยที่มือยังคงถือคุกกี้สามสี่ชิ้นก็เดินอย่างสบายอารมณ์ออกจากห้องนั้นไป
"นี่ถ้าท่านหิวล่ะก็ กระหม่อมว่ากระหม่อมคงไม่ต้องเก็บจานแล้วกระมัง" องค์รักษ์หนุ่มเอ่ยกับตนเองเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเดินออกไปแล้ว
.....................
เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนตามโถงทางเดินดังเป็นจังหวะตามการก้าวของเจ้าของเรียวขาสวยที่ก้าวสลับไปมาราวกับรีบร้อน หยุดลงตรงบานประตูใหญ่ ก่อนที่เจ้าของเสียงฝีเท้าจะเคาะประตูพอเป็นพิธีโดยไม่รอเสียงตอบกลับจากคนภายในห้องนั้นด้วยซ้ำ
"ท่านพี่ทรงเป็นอะไรรึเพคะ ทำไมถึงไม่ลงไปทานอาหารค่ำกับลูกๆ" เสียงของหญิงสาวผมทองเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนพร้อมบานประตูที่ถูกเปิดออก แต่มิได้ทำให้คนที่ยืนเหม่อราวกับครุ่นคิดบางอย่างที่ริมหน้าต่างหันมามองเลยซักนิด
"ท่านพี่" หญิงสาวเอ่ยอีกครั้งเพื่อเรียกสติคนตรงหน้า
"อภัยข้าด้วยน้องหญิง ...เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรรึ?" คนที่ถูกเรียกหันมองทางต้นเสียง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"ตั้งแต่คนของเฮลรัสกลับไป ท่านพี่ทรงอยู่แต่ในห้องไม่ยอมให้ใครเข้าพบ แล้วนี่ยังไม่ลงไปทานอาหารค่ำกับข้าและลูกๆอีก ท่านพี่ทรงเป็นอะไรรึป่าวเพคะ?" หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนตรงหน้า
"ไม่มีอะไรหรอกน้องหญิง ..." กษัตริย์หนุ่มตอบ พลางทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง
"เรดมอนด์" หญิงสาวยืนกอดอกราวกับต้องการคำตอบ เอ่ยเสียงเข้มเรียกคนตรงหน้า
"ไหนท่านบอกว่าจะไม่มีเรื่องปิดบังข้ามิใช่รึ" หญิงสาวยังคงเค้นความจริง
....ฟู่วววววว
เสียงพ่นลมหายใจยาวของกษัตริย์หนุ่มดังขึ้นพลางคิดว่าตนไม่เคยปิดบังเรื่องใดๆจากหญิงสาวตรงหน้าได้แม้แต่ครั้งเดียว ก่อนที่เรื่องราวต่างๆจะพรั่งพรูออกมาราวกับอัดอั้นมานาน
"อะไรนะ!! ส่งผลผลิตของคาร์มาร์ให้แก่เฮลรัส ..ทุกเดือน!?" ร่างบางที่นั่งฟังมาตลอดเอ่ยอย่างตกใจกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยินจากปากของสวามี
"อืมมม ..เพื่อแลกกับความปลอดภัยของประชาชนทุกคน และหลีกเลี่ยงสงคราม" คนหนุ่มที่ตอนนี้เผลอทำคิ้วขมวดเข้มโดยไม่รู้ตัวเอ่ย
"สงครามหรอ ..เช่นนี้มันก็ราวกับประกาศสงครามอยู่แล้วนี่เพคะ ท่านพี่ก็รู้ว่าคาร์มาร์มีฤดูหนาวแทบจะตลอดทั้งปี ผลผลิตต่างๆก็หามาได้อย่างยากลำบาก" ร่างบางที่บัดนี้ยืนคิ้วขมวดแทนคนหนุ่มตรงหน้าเอ่ยอย่างหงุดหงิด
"ข้ารู้อลิเซียแต่กำลังทหารของเราเทียบเฮลรัสไม่ได้ซักนิด แล้วอีกเรื่องนึง...." กษัตริย์หนุ่มตรัสกับหญิงสาวด้วยสีหน้าที่ไม่อาจปิดความกังวลบางอย่าง
"อีกเรื่อง?" ร่างบางสงสัยท่าทีของบุรุษตรงหน้า
"มีข้อตกลงอีกข้อจากเฮลรัส" บุรุษหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียดกว่าเดิม
"ข้อตกลงอะไรกันเพคะ" ร่างบางเริ่มสงสัยในท่าทีวิตกกังวลของคนตรงหน้า
"เราจะต้องส่งบุตรชายทั้งสองไปอยู่เฮลรัสเพื่อศึกษาวัฒนธรรมของที่นั่น" กษัตริย์หนุ่มเอ่ยถึงข้อตกลงในสาส์นที่ทำให้ตนต้องโกรธจัดเมื่อได้อ่าน
"ศึกษางั้นรึ ...นี่มันเชลยชัดๆเลยนะเพคะ! " หญิงสาวที่ยืนกอดอกแน่นราวกับกำลังกลั้นอารมณ์โกรธไว้ภายใน
"เฮลรัสทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันเพคะท่านพี่" หญิงสาวที่ตอนนี้ทั้งโกรธทั้งสับสนเอ่ย
"เพราะในวันหนึ่งข้างหน้าไม่เซเรนก็เอวานบุตรของเราจะต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป ดังนั้นถ้าเฮลรัสได้ตัวรัชทายาททั้งสองของคาร์มาร์ไว้ในกำมือตั้งแต่ตอนนี้ล่ะก็ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการจะที่ต่อรองเรื่องต่างๆกับคาร์มาร์" กษัตริย์หนุ่มเอ่ยถึงความเป็นไปได้
"เฮลรัสเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้คิดว่าเราจะส่งเด็กๆให้" ราชินีที่ตอนนี้เริ่มโกรธระคนสงสัยในความคิดของกษัตริย์ฝ่ายตรงข้าม
"ตอนนี้ข้าไม่อาจเดาอะไรได้เลยน้องหญิง" กษัตริย์หนุ่มส่ายศีรษะเล็กน้อย
"ท่านพี่จะทรงทำเช่นไรต่อไปเพคะ?" หญิงสาวที่ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้วเอ่ยถามความคิดอีกคนอย่างร้อนรน
"ข้าจะปรึกษาเหล่าผู้อาวุโสของคาร์มาร์ในเรื่องนี้" กษัตริย์หนุ่มตอบพลางเดินมายังร่างบางตรงหน้า
"ข้าไม่อยากให้คำตอบที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเลือกคือการส่งดวงใจทั้งสองของข้าไปยังเฮลรัส" หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ
"ข้าจะไม่มีวันส่งลูกของเราไปที่นั่น..ข้าสัญญา" น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจนของกษัตริย์หนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะคว้าร่างบางที่ตอนนี้ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้เข้ามากอดเพื่อปลอบประโลม
...เสียงสะอื้นเป็นระยะลอดผ่านประตูมายังโถงภายนอก ซึ่งมีเด็กน้อยผมสีอ่อนท่าทีเต็มไปด้วยความสงสัยเอาหูแนบบานประตูเพื่อให้ได้ยินเสียงคนภายในห้องคุยกัน
"อย่างงี้เองสินะ" เด็กน้อยผมดำที่เดินผ่านมาเอ่ยขึ้น
"เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เซเรน?" เด็กผมทองตกใจที่เห็นว่าอนุชาของตนมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
"ซักพักแล้วแหละ ก็เห็นท่าทางเจ้าลับๆล่อๆ ข้าเลยเดินมาดูน่ะ" คนผมดำที่มีท่าทีสบายๆกับเหตุการณ์ตอบ
"แล้วนี่เจ้าแอบฟังท่านพ่อกับท่านแม่คุยกันรึ" คนผมดำชวนคุยก่อนเพราะเห็นว่าเชษฐาตนไม่ได้เอ่ยอะไรตอบนอกจากความเงียบ
"ข้าได้ยินท่านพ่อตรัสว่าเฮลรัสต้องการจะทำสงครามกับเรา" คนผมทองที่จดจ่อกับบทสทนาของคนภายในห้องเอ่ยกับคนตัวเล็กที่เขยิบมานั่งฟังข้างๆ
"คนจากเฮลรัสน่ะเหรอ"คนผมสีเข้มมีทีท่าสงสัยมากกว่าจะตกใจในคำพูดของอีกคน
"เจ้าไม่แปลกใจรึ??" เด็กน้อยผมทองเอ่ยถาม
"แปลกใจทำไม....เมื่อกลางวันข้าได้เจอคนของเฮลรัสแล้ว แต่..." เด็กน้อยยังคงตรัสต่อ
"แต่ ..อะไรรึ" ร่างเล็กสงสัยกับคำพูดคนตรงหน้า
"ก็ คนพวกนั้นไม่ได้ดูเลวร้ายเลยสักนิด ข้าคิดว่าพวกเค้าจะเป็น'เพื่อน'ซะอีก" เด็กน้อยผมดำขลับหลุบตาต่ำลงราวกับผิดหวัง
"เพื่อน?! เจ้าคิดว่าทุกคนที่เจ้าคุยด้วยจะไว้ใจได้งั้นหรอ" ร่างเล็กกว่าเอ่ยกับคนซื่อบื้อตรงหน้า
"แบบนี้ไงเจ้าถึงได้ไม่มีเพื่อนซักคน" เด็กน้อยผมเข้มพึมพำ
"ถ้าข้าต้องมีเพื่อนแปลกๆแบบที่เจ้ามีล่ะก็ข้าอยู่กับหนังสือยังสบายใจกว่า" คนตัวเล็กเอ่ยพลางเชิดหน้าใส่คนกวนอารมณ์ตรงหน้าอย่างลืมตัวว่าตนกำลังแอบฟังเรื่องสำคัญอยู่
"นี่ลูกมาทำอะไรกันตรงนี้?" หญิงสาวที่เปิดประตูออกมาจนเกือบจะชนเข้ากันเด็กน้อยทั้งสอง เอ่ยถาม
"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะท่านแม่ เอวานนั่นแหละลากข้ามา" คนผมสีเข้มแก้ตัวก่อนจะหันไปโบ้ยให้เชษฐาตน
"ข้าเนี่ยนะจะลากเจ้ามา เจ้ามาเองต่างหากเซเรน" เด็กน้อยที่ถูกแอบอ้างเถียงขึ้นบ้าง
"เอาล่ะๆ วันนี้ท่านแม่ของพวกเจ้าเหนื่อยแล้ว เจ้าหยุดทะเลาะกันแล้วไปนอนก่อนนะเด็กๆ" ผู้เป็นบิดาที่เดินตามออกมาห้ามทัพเด็กทั้งสอง
"ก็ได้ท่านพ่อ ข้าเริ่มง่วงแล้วด้วยสิ" เด็กน้อยผมสีเข้มแกล้งหาวก่อนจะก้าวไปตามโถงทางเดินยาวตรงหน้า
"แล้วเจ้าล่ะเอวาน ไม่ง่วงรึ?" ผู้เป็นบิดาถามคนตัวเล็กอีกคนที่ยังยืนจ้องตนตาไม่กระพริบ
"ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเล่าเรื่องที่พวกท่านคุยกันให้ข้าฟัง" เด็กน้อยที่ตอนนี้ยืนนิ่งราวกับจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้คำตอบเอ่ยกับคนตรงหน้า
เห้อออออ ..ผู้เป็นบิดาถอนหายใจยาวก่อนจะลูบหัวคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
"เอาล่ะ พ่อจะเล่าให้เจ้าฟังเพราะมันก็เป็นเรื่องของเจ้าเช่นกัน" ผู้เป็นบิดาเอ่ยก่อนจะเดินนำเข้าไปภายในห้องโดยมีคนตัวเล็กเดินตามหลังไป
"ท่านพี่..." หญิงสาวที่ยืนนิ่งดูเหตุการณ์ต่างๆอยู่นานเอ่ยขึ้นราวกับไม่อยากให้บุตรของตนต้องฟังเรื่องราวต่างๆ
"ข้าไม่อยากจะปิดบังพวกเค้า อลิเซีย.." กษัตริย์หนุ่มเอ่ยกับคนรักตนที่ตอนนี้เดินเข้ามานั่งเงียบอยู่มุมห้อง
ผู้เป็นบิดาค่อยๆคลายความสงสัยให้กับเด็กน้อยที่ยังคงนั่งฟังอยู่ไม่ไกล พลางทำหน้าเคร่งขรึมเป็นจังหวะ
"พ่อกับแม่จะไม่มีวันส่งลูกสองคนไปที่นั่นเด็ดขาด พ่อสัญญา" กษัตริย์หนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อยพลางลูบเกศาสีทองนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน
"เซเรนลูกเข้ามาได้แล้วล่ะ" เสียงมารดาที่เอ่ยราวกับรู้ว่ามีเด็กชายตัวน้อยอีกคนยืนแอบฟังอยู่หน้าประตู
"ท่านแม่รู้ได้ไงว่าข้าอยู่ตรงนี้" คนตัวเล็กที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาถามขึ้น
"มันจะเป็นเรื่องแปลกมากกว่าถ้าเจ้าไม่มาแอบฟังน่ะ เซเรน" มารดาตอบพลางอมยิ้ม ด้วยรู้ถึงนิสัยบุตรชายคนเล็กของตนว่าช่างสอดรู้สอดเห็นแค่ไหน
"จริงหรือเปล่าท่านแม่ ที่ข้ากับเอวานจะต้องไปอยู่เฮลรัสเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม" บุตรชายคนเล็กเอ่ยถามตรงประเด็น
ผู้เป็นมารดาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบข้อสงสัยคนตัวเล็ก
"แต่พวกเราจะไม่มีวันส่งลูกๆไปแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม แม่และพ่อของเจ้าจะปกป้องประชาชนและพวกเจ้าทั้งสองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จำไว้" ยังมิทันได้เอ่ยต่อเด็กทั้งสองก็โผเข้ากอดมารดาตนก่อนจะร้องไห้ฟูมฟาย จนผู้เป็นบิดาต้องเข้ามาปลอบ
"เด็กๆ พ่อว่าเราเข้านอนกันดีกว่านะ"หลังจากที่ร้องไห้กันพักใหญ่เด็กน้อยทั้งสองก็ดูอิดโรยจนผู้เป็นบิดาต้องเอ่ยชวนไปยังห้องบรรทม
"ครับ" คำตอบเพียงสั้นๆ พร้อมกับการพยักหน้าเล็กน้อยทำให้ผู้เป็นบิดาเข้าใจได้ว่าเด็กน้อยทั้งสองต้องการจะพักผ่อนเต็มที่แล้ว
"คืนนี้พ่อจะไปส่งพวกเจ้าเข้านอนก็แล้วกัน" ผู้เป็นบิดาอาสาก่อนจะเดินไปแตะบ่าร่างบางของหญิงคนรักที่ดูอ่อนเพลียไม่แพ้กัน "เจ้าก็พักผ่อนซะน้องหญิง ราตรีสวัสดิ์" กษัตริย์หนุ่มโน้มตัวลง กระซิบแผ่วเบาข้างหูของหญิงสาวก่อนจะจุมพิตหน้าผากอย่างอ่อนโยน
....บุรุษในร่างสูงโปร่งเดินก้าวยาวไปตามทางเดินพร้อมกับเด็กน้อยผมทองที่ตอนนี้หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง และเด็กน้อยแสนซนที่เกาะราวกับเป็นลูกลิงอบู่บนแผ่นหลังอีกคน ซึ่งบัดนี้เข้าสู่นิทราแล้วเช่นกัน..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ