The Sun and Satan..ดุจตะวันกับซาตาน
9.2
เขียนโดย kinkmj
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 09.50 น.
10 chapter
1 วิจารณ์
16.40K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) The Sun and Satan ดุจตะวันกับซาตาน Ch.7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- Chapter 7 -
:: วิชาการต่อสู้ ::
ลาออกได้ไหมเนี่ย
ความคิดที่ดังให้หัวของซันเป็นรอบที่สิบ
ในอ้อมแขนของจิ้งจอกสาวมีเอกสารปึกหนาที่เธอกำลังวิ่งรอกจากป้อมลำดับที่หนึ่งเพื่อนำเอกสารที่อาจารย์เอลลี่สั่งให้ไปส่งยังอะกริปป้า อาจารย์วิชายาพิสดารและสมุรไพรในโลกปีศาจที่ป้อมลำดับที่หก ซึ่งอยู่ห่างไปเกือบหนึ่งกิโลเมตรสำหรับการไปกลับรอบเดียว
ซันเข้าเรียนในเทลไฟร์ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว และนับตั้งแต่วันเปิดภาคเรียน เธอก็ไม่ได้เจอกับซาตานอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ปราสาทในเขตพระราชวัง หรือในสถาบันแห่งนี้
จะมีก็เพียงเจ้ากริฟฟินสีดำมายืนรอรับเธอหน้าปราสาทในยามรุ่งเพื่อพามาส่ง และจะมายืนรอรับกลับในยามย่ำหลังเลิกเรียนของทุก ๆ วันซึ่งถือเป็นความใจดีมากแล้วของจ้าวปีศาจ
ถ้าให้พูด...มันก็เป็นได้ทั้งสัปดาห์ที่ดี และ สัปดาห์ที่ทรหดสำหรับซันเลยทีเดียว เด็กสาวได้เรียนวิชาแปลกประหลาดต่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วเพราะการเรียนที่นี่กับโลกมนุษย์ต่างกันลิบลับ
ตารางเรียนของปีหนึ่งจะแบ่งเป็นครึ่งวันรุ่งและครึ่งวันย่ำ เหมือนคาบเช้าบ่ายของมนุษย์ ในครึ่งวันรุ่งของทุก ๆ วัน คือการเรียนในภาคทฤษฎีโดยจะเวียนวิชาไปในแต่ละวัน ส่วนครึ่งวันย่ำจะเป็นการเรียนวิชาภาคปฏิบัติ ซึ่งปีหนึ่งจะเรียนในขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ก็เป็นพื้นฐานที่ซันไม่เคยรู้มาก่อนสักนิด
นอกจากการเรียนตามปกติแล้ว ดูเหมือนจิ้งจอกสาวเป็นที่นิยมของเหล่าอาจารย์ไม่น้อย เพราะในแต่ละวัน หลังจากเลิกเรียนแล้ว อาจารย์หลายคนชอบให้เธอช่วยทำงานมากมาย
อย่างเช่น อะกริปป้าขอให้ช่วยประทับตราจดหมายเวียนเพื่อขอรายชื่อสนับสนุนของบประมาณจัดสร้างสวนปลูกแมนเดรก ต้นไม้ประหลาดที่มีฤทธิ์แก้พิษได้แทบทุกชนิด รากของมันอยู่ในดินและมีรูปร่างเหมือนคน แต่เมื่อดึงออกมาจะกรีดร้องเสียงแหลมสูงจนทำให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ช็อกตายได้
โอเค แม้ว่ามันจะมีประโยชน์มาก แต่มันก็อันตรายเกินกว่าที่ซันจะอยากให้มีสวนของมันกระจายอยู่ทั่วเมืองปีศาจ…เลยแอบประทับตราผิด ๆ ถูก ๆ ไปบ้างนิดหน่อย
หรือช่วยอาจารย์โซโลมอนเขียนจดหมายปฏิเสธการอนุมัติผลิตวงเวทชนิดใหม่ที่เปลี่ยนจากมนุษย์ใช้วงเวทเรียกปีศาจ เป็นปีศาจใช้วงเวทเรียกมนุษย์มาเสียแทน นั่นเป็นเรื่องดีมากที่มันไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะซันแทบไม่อยากนึกว่าพวกปีศาจจะอยากเรียกมนุษย์มาทำไมหรือเรียกมาทำอะไร
ถ้าให้พูดรวม ๆ จิ้งจอกสาวไม่ได้รำคาญหรือเบื่อกับเรื่องเหล่านี้แต่อย่างใด เพราะได้เรียนรู้เรื่องในโลกปีศาจไปด้วย แต่บางครั้งก็เหนื่อยกับการกลายเป็นแมสเซนเจอร์ส่งเอกสารข้ามอาคารแบบนี้แถมยังเป็นเวลาอาหารกลางวันของเธอเสียด้วย
เด็กสาวเร่งฝีเท้าไปจนถึงป้อมปราการหมายเลขหก ส่งเอกสารให้อะกริปป้าผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่นและเคราสีเทายาวพันลำคอ เมื่อเห็นชายชราพยักหน้ารับรู้ เด็กสาวจึงบอกลาอย่างสุภาพทันทีด้วยกลัวว่าจะมีงานเข้าเพิ่มอีก
พอออกมาจากป้อมหมายเลขหก ซันก็รีบมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารที่อยู่ชั้นล่างสุดของป้อมหมายเลขสาม พลางเงยหน้ามองนาฬิกาขนาดยักษ์ซึ่งฝังอยู่บนยอดของทุกอาคาร เด็กสาวขมวดคิ้ว รู้ตัวว่าเหลือเวลาพักกลางวันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แถมช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงที่พีคที่สุดในการแย่งกันซื้ออาหารเสียด้วย
“ซัน! ซัน! ทางนี้” เสียงร่าเริงอันคุ้นเคยดังขึ้นทันทีที่เธอเหยียบเข้าไปในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยปีศาจหลากหลายเผ่าพันธุ์กำลังง่วนอยู่กับการจัดการอาหารตรงหน้าก่อนจะไปเรียนต่อช่วงย่ำ จิ้งจอกสาวหันซ้ายขวาจนสายตาไปสะดุดเข้ากับปีศาจหน้าตาเกาหลี ผู้มีหูตั้งบนศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนฟู ๆ สีน้ำตาล
นิค ไลแคน ปีศาจหมาป่า เพื่อนร่วมชั้นของเธอนั่นเอง เขาทำมือทำไม้ชี้ให้ดูว่าซื้ออาหารไว้เผื่อเธอเรียบร้อยแล้ว พอเห็นแบบนั้นซันก็ยิ้มกว้าง มุ่งหน้าไปยังโต๊ะที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่
“ฉันซื้อเสต็กเซ็ทเอมาเผื่อแล้ว นี่กำลังกะว่าถ้าอีกสามนาทีเธอไม่โผล่จะกินเสียเอง โผล่มาเร็วไปนิดเดียวเองนะเธอน่ะ” นิคบอก ในขณะที่จิ้งจอกสาวตวัดขาข้ามเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณมากนะ นิค ฉันนึกว่าจะไม่ได้กินข้าวแล้วนะเนี่ย” ซันว่า สายตาจ้องอยู่ที่ชิ้นเนื้อหมูบนจาน ส่วนมือหยิบเหรียญเงินส่งให้เพื่อน “ค่าอาหาร”
“ไม่เป็นไรน่ะ นิดหน่อยเอง”
“เอาไป ๆ นายต้องต่อแถวสองรอบเพื่อซื้อเผื่อฉันใช่ไหมล่ะ แค่นี้ก็มีน้ำใจมากแล้ว ไม่ต้องซื้อให้ฉันฟรีหรอกน่า” เด็กสาวตอบ ยัดเงินใส่ฝ่ามือหนาของมนุษย์หมาป่า
“ฉันว่าเธอรีบกินดีกว่านะ อีกสิบห้านาทีจะถึงชั่วโมงเรียนแล้ว มาโซเชียสคงไม่ฟังข้ออ้างในการเข้าสายสักเท่าไหร่” เพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึ่งที่นั่งข้างนิคบอกห้วน ๆ
เธอคนนั้นคือ เจน ปีศาจแมวดำ เธอไว้ผมบ๊อบเทดูคล่องตัว ผิวสีแทนน้ำผึ้ง รูปร่างเพรียวสูง ทุกอย่างบนตัวของเจนส่งให้เด็กสาวดูปราดเปรียวสมกับเผ่าพันธุ์
เจนเป็นคนค่อนข้างหยิ่งและมักทำตัวเหมือนกับหงุดหงิดไปเสียทุกเรื่อง ดวงตาสีอำพันชอบมองรอบข้างเหยียด ๆ พูดจาขวานผ่าซากห้วนสั้น ซึ่งซันตัดสินใจคิดว่ามันคงเป็นนิสัยของเผ่าพันธุ์แมว
ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าหากสังเกตสักนิดจะพบว่าเจนเพียงแค่พูดจาหวานหูไม่เป็นเท่านั้น แต่ลึก ๆ แล้วไม่ได้เลวร้ายอะไร ทั้งยังเป็นคนที่จริงใจไร้การเสแสร้งแบบที่ซันไม่เคยเจอด้วยซ้ำไป
ส่วนสาเหตุที่ทั้งสามมารวมตัวกัน…ก็เพราะนับตั้งแต่วันเปิดเรียน นิคกับเจนคงสนใจ หรือไม่ก็คงถูกใจในตัวซันพอสมควร ทั้งคู่จึงเลือกนั่งเรียนขนาบสองข้างของจิ้งจอกสาวเสมอ ๆ และกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนละจากเจน หันไปมองทางเด็กหนุ่มข้าง ๆ แมวสาวบ้าง ส่วนมือก็ยังจัดการตักอาหารเข้าปากไปด้วย
นิค ไลแคน ปีศาจหมาป่า หรือที่มนุษย์เรียกว่า มนุษย์หมาป่า นิคเป็นคนร่าเริง มีอัธยาศัยดี ชอบมีเรื่องขำมาเล่าให้ฟัง หรือทำให้คนรอบข้างได้หัวเราะอยู่เสมอ แต่กลับมีบางอย่างที่ทำให้ซันไม่เคยสนิทใจกับเพื่อนคนนี้...ยังไม่รวมกับว่า...หลายครั้งที่เธอบังเอิญสังเกตเห็นรอยยิ้มของเขาเป็นการแค่นยิ้มมากกว่ายิ้มจริง ๆ
ถึงแม้มีข้อสงสัยในใจ แต่จิ้งจอกสาวก็ไม่เคยถามออกไป เพราะไม่คิดว่าเขาจะบอกหรืออาจบอกไม่ได้
เมื่อจัดการกับเสต็กหมูจานใหญ่เสร็จเรียบร้อย สองมือของซันก็รวบช้อนส้อมวางลงบนจานแล้วยันตัวลุกขึ้นยืน
“เสร็จแล้ว ๆ ไปกันเถอะ” บอกพร้อมกับยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
ทั้งสามคนนำภาชนะไปเก็บและรีบมุ่งหน้าไปยังลานกว้างหลังป้อมหมายเลขสาม ซึ่งเป็นสถานที่เรียนในช่วงย่ำของพวกเธอ
โชคดีที่ทั้งสามมาทันเวลาอย่างเฉียดฉิว พอเหยียบเข้าไปบริเวณลานกว้างที่มีเด็กปีหนึ่งเกือบทั้งหมดมาถึงก่อนแล้ว เสียงระฆังบอกเวลาเข้าเรียนก็ดังพอดี
“ไง หัวหน้าชั้น” ออเดรย์ เด็กหนุ่มเผ่าพันธุ์แวมไพร์ ผู้มีใบหน้าเสี้ยมแหลมแต่ดูดีกับผิวขาวซีดไร้เลือดฝาดเดินเข้ามาทัก แถมด้วยแสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยวสีขาวคม ๆ
“กับลูกหมาและแม่แมวสาว”
คำทักยียวนนั้นทำเอานิคแยกเขี้ยว คำรามในคอเสียงต่ำ ส่วนเจนใช้ดวงตาสีเหลืองเรืองรองมองเขาอย่างเหยียด ๆ รูม่านตาเรียวเป็นเส้นตรงของเธอขยายวาบราวข่มขู่
แต่แทนที่จะกลัว ผีดูดเลือดกลับมีท่าทีรื่นเริงยิ่งกว่าเดิม เขายกยิ้มกวนพร้อมกับยักคิ้วเป็นการท้าทาย
“ไง ออเดรย์” ซันทักกลับแทนการห้ามทัพ “ไปนั่งนู่นไป เดี๋ยวอาจารย์จะมาแล้ว” เธอออกปากไล่ ก่อนจะลากเพื่อนทั้งสองให้มานั่งอีกมุมหนึ่งของลานโล่งเสียแทน ซึ่งโชคดีที่ออเดรย์ยอมถอยไปแต่โดยดีไม่หาเรื่องยั่วทั้งคู่ต่อ จึงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากยิ่งขึ้น
“สักวันฉันจะขย้ำคอมัน” นิคพูดอย่างหัวเสียขณะที่หย่อนตัวนั่งบนพื้นคอนกรีตแข็ง ๆ ดังตุ้บ
“เอาน่า เรายังอยู่ในโรงเรียนนะ” จิ้งจอกสาวบอก “เขาก็กวนไปงั้นแหละ อย่าไปสนใจเลย”
“ฮึ” เจนส่งเสียงในลำคอ ตามมาด้วยเสียงพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
ในระหว่างที่กำลังพยายามพูดให้เพื่อนสงบลงนั้นซันก็ไล่สายตานับจำนวนของนักเรียนคนอื่น ๆ รอบลานกว้างไปด้วย หนึ่ง สอง สาม...จนครบสิบห้า
พอนับเสร็จจิ้งจอกสาวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะเวลามีคนขาดเรียนมักจะเป็นเธอที่ต้องรับหน้าที่ตอบว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นหายไปไหน ลาหยุด ลาป่วย ลากิจ หรือโดดเรียน
ใครมันจะไปรู้เล่า นึกจะหายก็หายไปเลยกันทั้งนั้น
“มาโซเชียสมาแล้ว” นิคกระซิบบอก
ซันหันขวับไปมองบริเวณทางเข้าด้านหน้าของลานกว้างทันที พบว่าร่างสูงผอมกำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าเดินที่…เป็นเอกลักษณ์สุด ๆ ซึ่งซันเองก็บอกไม่ถูก รู้เพียงแค่ให้ความรู้สึกชวนหาเรื่องมาก ๆ ก็เท่านั้น
มาโซเชียสเป็นอาจารย์ประจำวิชาการต่อสู้ ซึ่งซันต้องเรียนกับเขาตลอดทั้งเทอม เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมแห้ง ใบหน้าเสี้ยมแหลม ดวงตาเรียวชี้สูง ริมฝีปากมักแสยะยิ้มน่าระแวงตลอดเวลา ผมสีเขียวเข้มยาวทิ้งตัวไปด้านหลัง ในทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว จะมาพร้อมบรรยากาศน่าขนลุกที่ซันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
“มากันพร้อมแล้วสินะ คุคุคุ” ดวงตาเรียวรีกวาดมองใบหน้าของเด็กปีหนึ่งทุกคนที่รีบเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งกันอย่างพร้อมเพรียง “ใช่ไหม คุณดุจตะวัน”
“ค่ะ อาจารย์”
“ดีมาก ดีมาก เพราะว่าวันนี้บทเรียนของเราจะพิเศษกว่าเดิม คุคุคุ” เสียงสูงน่าสยองผสมกับเสียงหัวเราะน่าขนลุกทำเอาขนอ่อนหลังคอของซันตั้งชัน
“ในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันให้พวกเธอได้ฝึกโจมตีกับพวกหุ่นฟาง ซึ่งมันน่าเบื่อมาก…ก” เขาลากเสียงยาว “เพราะฉะนั้นตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป ฉันจะให้พวกเธอฝึกการใช้อาวุธประจำตัว”
อาวุธประจำตัว ! ซันอุทานในใจ หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม
เสียงเฮดังขึ้นรอบ ๆ ตัวของจิ้งจอกสาวต่างกับความรู้สึกของเธออย่างแรง เด็กปีหนึ่งคนอื่นคงเบื่อเต็มทีกับการต้องต่อยตีพวกหุ่นฟางไปวัน ๆ พอจะได้ใช้อาวุธเป็นจริงเป็นจังเลยดีใจไปตาม ๆ กัน
ยกเว้นก็แต่ซันเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่ง หน้าซีดเผือด
อาวุธประจำตัวของปีศาจสาวคือลูกแก้ว ซึ่งคงเอามาสู้ไม่ได้ แถมยังใช้ไม่เป็นอีกด้วย…อีกทั้งตัวเธอยังไม่อยากบอกใครว่ามีลูกแก้วอาถรรพ์ในตำนานเป็นอาวุธประจำตัว
“ถ้าไม่มีใครขัดข้อง งั้นก็เริ่มจาก” มาโซเชียสถูฝ่ามือ นัยน์ตาดุร้ายสอดส่ายไปมา เขาไล่มองใบหน้าตื่นเต้นของนักเรียนปีหนึ่งแต่ละคนแล้วก็หยุด...ในจุดที่ซันไม่อยากให้หยุดที่สุด “เธอแล้วกันนะ คุณดุจตะวัน หัวหน้าชั้นปีหนึ่ง คุคุคุ”
ทำไมต้องเธอ!!
“หนู...หนูไม่มีอาวุธประจำตัวค่ะ อาจารย์” ลูกแก้วไม่นับนะคะ ก็มันใช้เป็นอาวุธไม่ได้นี่นา…
“หืม...ม ลืมเอามาหรือไง แม่เด็กน้อย” มาโซเชียสแค่นถาม ใบหน้าแหลม ๆ โคลงไปมาอยู่ตรงหน้า
“ไม่ใช่ค่ะ...คือหนู ไม่มีน่ะค่ะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คุณดุจตะวัน เธอเลือกเอาสักชิ้นจากของพวกนั้นแล้วกันนะ” เขาให้ทางออก ชี้นิ้วไปบริเวณที่โล่ง ไม่กี่วินาทีกองอาวุธหลากหลายชนิดก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า “ฉันเข้าใจว่าเธออาจจะไม่ได้ใส่ใจกับอาวุธของเธอมากนัก คุคุคุ” อาจารย์หนุ่มบอกอย่างมีน้ำใจ แต่ท้ายประโยคนั่นช่างประชดประชันจนซันหน้าชา
“ขอบคุณค่ะ” ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเอ่ยขอบคุณตามมารยาทและความเคยชิน
ซันเดินไปยังกองอาวุธของมาโซเชียส หยุดยืนนิ่ง ใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดไปมาอย่างลังเล ตัวเธอเองนั้นใช้อาวุธไม่เป็นเลยสักอย่าง ไอ้ที่อันตรายสุดเท่าที่เคยจับคงไม่พ้นมีดอีโต้ในห้องครัวที่บ้าน ถ้าจะให้ใช้พวกหอกดาบก็คงไม่ไหว สุดท้ายเลยตัดสินใจหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นมีดด้ามสีทองปลายประดับทับทิมเม็ดใหญ่
อันนี้แล้วกัน เหมาะมือพอดี...แถมยังไซส์พอ ๆ กับอีโต้ที่บ้าน แต่เบากว่าเยอะ น่าจะใช้คล่องมือได้ง่าย
“เลือกได้แล้วก็รีบเดินกลับมา อย่าชักช้า” เสียงสูง ๆ ให้ความรู้สึกเย็นเยียบจากมาโซเชียสดังมาจากด้านหลัง ทำให้ซันตัดสินใจได้ในทันที จิ้งจอกสาวกำมีดสั้นไว้ในมือแน่นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาเข้าแถวอีกครั้ง
“วันนี้พวกเธอจะต้องใช้อาวุธประจำตัวประลองกัน คงไม่มีใครที่ไม่มีอาวุธแล้วสินะ” มาโซเชียสพูด ตาเรียวรีหรี่มองนักเรียนในคลาสทุกคน ริมฝีปากแสยะยิ้มอันไม่น่าไว้วางใจ
ซันใจเต้นรัวเร็ว ภาวนาในใจขอให้มาโซเชียสเปลี่ยนไปเลือกคนอื่นออกไปประลองแทน
ประลองเลยหรือ ไม่ไหวนะ !!
เพราะจิ้งจอกสาวไม่เคยสู้ ไม่เคยฝึกการต่อสู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียวก่อนจะมายังเทลไฟร์ การต่อสู้จึงถือเป็นอะไรที่ไกลตัวและน่ากลัวมากในความรู้สึกของซัน
“เริ่มจากเธอ หัวหน้าชั้นปี” คำภาวนานั้นช่างไร้ผล เมื่ออาจารย์ประจำวิชาเจาะจงเรียกเธอเป็นครั้งที่สอง
“คู่ต่อสู้เป็นเธอแล้วกัน คุณนาเดีย”เขาชี้นิ้วไปยังเพื่อนร่วมชั้นของซันคนหนึ่งในแถว “และอย่าลืมว่าชั่วโมงของฉันงดใช้เวทมนตร์ อาวุธล้วน ๆ จะบาดเจ็บขนาดไหนก็ได้ สู้กันให้เต็มที่ นี่คือสนามรบ อย่าได้อ่อนข้อให้แม้ว่าจะเป็นคนรู้จัก เข้าใจใช่ไหม คุคุคุ”
“ค่ะ อาจารย์” เด็กสาวคนนั้นรับคำ พร้อมก้าวออกมาจากแถว ทำให้ซันต้องก้าวออกมาด้วยเช่นกัน
นาเดียเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อย ผมยาวหยักศกสีน้ำตาล นัยน์ตาสีเขียวเข้ม สวมหมวกปลายแหลมและเสื้อคลุมทับชุดยูนิฟอร์มของเทลไฟร์อีกชั้นเพื่อบ่งบอกเผ่าพันธุ์ ในมือของเธอมีคทาแบบยาวที่สูงเหนือศีรษะเจ้าของ
แม่มดสาวหันมาส่งยิ้มให้ซันอย่างเป็นมิตร “เต็มที่เลยนะ” เมื่อสิ้นเสียง คทาในมือของนาเดียก็หดเล็กลงแล้วม้วนตัวแปรสภาพกลายเป็นกริชยาวประมาณท่อนแขนสีดำเมี่ยม
ซันพยายามรวบรวมสติและความกล้า สูดหายใจเข้าเต็มปอด ตื่นเต้นและเครียดจนพูดอะไรไม่ออก จึงทำเพียงพยักหน้ารับคำเท่านั้น
จากนั้นมาโซเชียสก็เริ่มร่ายคาถาบางอย่าง นาทีต่อมาจากลานกว้างโล่ง ๆ ก็มีแท่นหินหยาบ ๆ ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสยกสูงขึ้นมาจากพื้นสูงราว 50 เซนติเมตรปรากฏขึ้นมา ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคือลานประลองแบบชั่วคราวอย่างแน่นอน
“ปีหนึ่งทุกคนไปนั่งดูข้าง ๆ ซะ” มาโซเชียสออกคำสั่ง ทำให้ทุกคนในที่นั้นนอกจากซันกับนาเดียรีบพากันไปนั่งรวมกันตรงมุมหนึ่งด้านข้างของเวทีทันที รวมถึงนิคกับเจนด้วย ทั้งคู่ดูเป็นกังวลเพราะรู้ว่าจิ้งจอกสาวตัวเล็กโตในโลกมนุษย์ และไม่มีพื้นฐานในการต่อสู้เลยสักนิด
“คุคุคุ เธอสองคนขึ้นไปบนนั้นซะ” มาโซเชียสบอก “หากคนใดคนหนึ่ง หมดสติ หรือยอมแพ้ อีกฝ่ายจะเป็นผู้ชนะทันที แต่ถ้ายังไม่มีใครแพ้ชนะ ก็จะออกมาจากเวทีไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม”
ปีศาจสาวทั้งสองพยักหน้า แล้วก้าวขาขึ้นไปบนเวทียกสูงตามคำสั่ง
“ผู้ชนะจะได้ห้าแต้ม ส่วนผู้แพ้จะถูกติดลบห้าแต้ม เพราะฉะนั้นถ้าเธอแพ้หลาย ๆ ครั้ง คงรู้ดีว่าการขอสอบซ่อมกับฉันมันไม่สนุกนักแน่นอน คุคุคุคุ” เขาอธิบายอย่างรื่นเริง ดวงตาหรี่มองซันกับนาเดียบนเวทีประลอง
อาจารย์ประจำวิชาการต่อสู้ยื่นแขนไปตรงหน้าขนานกับพื้น แล้วตวัดยกขึ้นหนึ่งครั้ง ก่อให้เกิดแสงสีเขียววิ่งวาบไปรอบบริเวณของลานประลอง
นั่นคือเวทสร้างอาณาเขตที่ทำให้คนภายนอกไม่สามารถเข้าไปแทรกระหว่างการต่อสู้ได้ จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้หรือหมดสติ เขตแดนจึงจะสลายไป
“เริ่มได้” เสียงเย็น ๆ ให้สัญญาณแทนระฆังเริ่มต้นยก
บริเวณรอบ ๆ เงียบสงัดเมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น ทั้งซันและนาเดียยืนนิ่ง สบตากันเพื่อหยั่งเชิง ฝ่ายจิ้งจอกสูดหายใจยาว พยายามตั้งสมาธิ ข่มใจที่เต้นรัวแรงให้ค่อย ๆ สงบลงจนกลับเป็นปกติ
ฟุ่บ !!
นาเดียเปิดฉากก่อน เธอฟันกริชใส่จิ้งจอกเป็นแนวทแยง ด้วยความตกใจและไม่ทันตั้งตัวซันจึงยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ
ซึ่งนั่นเท่ากับเอาเนื้อไปรับอาวุธอย่างโง่ ๆ เลยทีเดียว
“โอ๊ย ! ” เธอร้องลั่น ปลายกริชกรีดท่อนแขนเป็นทางยาว เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาทันที ซันสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ อยากจะขอยอมแพ้ขึ้นมาเนือง ๆ ให้สิ้นเรื่อง แต่เพราะมีคะแนนค้ำคออยู่จึงเลือกสู้ต่อ
ถ้าแพ้ติดลบห้าคะแนน ให้ตายเถอะ …ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยยอมแพ้ละกัน แต่ว่า…เจ็บชะมัด !!
จิ้งจอกกำมีดสั้นในมือ จ้องมองคู่ต่อสู้ สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว
นาเดียถอยห่างออกไปเมื่อได้ยินเสียงร้องของเธอ แปลว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากไปกว่ากัน งั้นคงพอมีโอกาส
ซันวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายตรง ๆ พอได้ระยะก็จ้วงมีดเข้าใส่
ควับ ! เสียงมีดแหวกอากาศ แต่นั่นไม่เร็วพอ
แม่มดเบี่ยงตัวหลบได้ง่ายดาย และตอบโต้ด้วยการใช้ข้อศอกแทงปั้กเข้ากลางท่อนแขนของซัน แค่นั้นก็แรงพอให้ชาไปตลอดแนวแขน
บ้าจริง ! ซันสบถในใจ
พอเห็นจังหวะ นาเดียก็ใช้ด้ามกริชกระแทกเข้าที่ข้อมือของซันแล้วปัดให้ดีดขึ้นสูงเต็มแรง
แกร๊ง !!
มีดหลุดกระเด็นจากมือของจิ้งจอกในทันที มันลอยหวือไปหล่นลงบนพื้นห่างไปหลายเมตร
ซันเริ่มตระหนกเพราะไม่มีอาวุธในมือ แถมเจ็บไปหมดทั้งแขน รู้ตัวว่าฝีมือตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้สักนิด แต่ก็ยังไม่ยอมถอย จิ้งจอกสับขาเข้าไปใกล้คู่ต่อสู้ ตวัดฟาดมือซ้ายเพื่อตบออกไปเต็มแรง
นาเดียเอี้ยวตัวหลบโดยไม่ต้องคิด
ซันยกยิ้มบาง ชะงักมือกลางอากาศ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ ยกขาเตะใส่นาเดียเต็มแรงในทันที
พลั่ก !
ส้นรองเท้าหนากระแทกใส่ท้องน้อยของแม่มดจนกระเด็นล้มลง นาเดียมีสีหน้าขุ่นเคือง หมวกปลายแหลมยังคงติดอยู่กับศรีษะได้อย่างน่าประหลาด เธอยันตัวลุกขึ้นแล้วพุ่งกลับมาใส่ กริชสีดำแหวกผ่านอากาศมาด้วยโทสะ
เวรละ โกรธรึเนี่ย
ซันถอยหนี พยายามหาจังหวะที่จะถีบให้โดนอีกครั้งพร้อม ๆ กับหาทางเข้าใกล้มีดที่ตกอยู่ แต่นาเดียไม่ยอมปล่อยให้มีโอกาสอีกต่อไป แม่มดเข้าประชิดตัวตลอด และไม่เปิดช่องว่างใด ๆ อีก โลหะคมโค้งดำสนิทเฉือนเอาเนื้อของจิ้งจอกซ้ำ ๆ เรียกเลือดแดงฉานให้ไหลออกมาทั่วแขน
ห้านาทีต่อมา สถานการณ์ก็ย่ำแย่ยิ่งขึ้น เมื่อนาเดียเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีที่ขา เพียงฉัวะเดียวที่ต้นขาถูกฟันอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้ซันล้มลงไปกองกับพื้น
จิ้งจอกกัดฟันแน่นไม่ให้ร้องออกมา น้ำตาคลอ ทั้งเจ็บทั้งแสบไปทั้งตัว
“ยอมแพ้เสียทีสิ” นาเดียบอก เธอยืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ “จะได้เลิกสู้แล้วไปทำแผล ท่าทางจะเจ็บน่าดูเลย”
ซันเม้มปาก ชำเลืองมองรอบ ๆ หาสิ่งที่ต้องการ เมื่อพบว่ามันอยู่ไม่ไกลก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ แววตาวาวโรจน์อย่างไม่ยอมแพ้
จากนั้นเงยหน้าสบตากับคู่ต่อสู้แล้วให้คำตอบ
“ไม่ล่ะ”
จิ้งจอกสาวกัดฟันฝืนความเจ็บจากบาดแผล รวบรวมกำลังตวัดขาเกี่ยวข้อเท้าของศัตรู นาเดียเสียหลักล้มคว่ำกระแทกพื้น เปิดโอกาสให้ซันมีเวลาถอยห่าง เธอใช้สองมือช่วยกระเถิบตัวให้เร็วที่สุดไปยังมีดสั้นบนพื้น เพราะรู้ตัวว่าการลุกขึ้นยืนในสภาพขาเจ็บจะกินเวลามากเกินไป
เม็ดเหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากด้วยความเครียด แสบแปลบไปทั่วผิวหนัง ข้อมือชาดิกจากการใช้ยันพื้น แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการประลองเก็บคะแนนซึ่งไม่จริงจังอะไร …แต่เธอไม่อยากแพ้ ยังไงก็ไม่อยากแพ้
ในที่สุดฝ่ามือก็สัมผัสโดนโลหะเย็นด้านหลัง ซันแทบโห่ร้องด้วยความโล่งใจที่ได้อาวุธกลับมาอยู่ในมือ แต่ระหว่างที่พลิกตัวเพื่อลุกขึ้นยืน
พลั่ก !
“โอ๊ย!” ซันร้อง เสียหลักหน้าคว่ำล้มลงไปอีกรอบ พร้อมความปวดแปลบวิ่งไปทั่วแผ่นหลัง
“ทำกันได้นะ” เสียงเย็น ๆ ดังขึ้นอย่างโกรธ ๆ ซันหันขวับไปมอง พบนาเดียกำลังยืนกอดอก หมวกปลายแหลมยังวางอยู่บนศีรษะ ถ้าเทียบกันแล้วสภาพของแม่มดดีกว่าเธอมาก ๆ
จิ้งจอกขมวดคิ้วเครียด ยันตัวลุกขึ้นยืนให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ประจันหน้ากับแม่มด ยกมือที่กำมีดสั้นไว้แน่นขึ้นขนานกับพื้น ตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้มันหลุดมือไปอีกเด็ดขาด
“เข้ามาสิ” นาเดียท้า
ซันเม้มปากอย่างไม่พอใจ อะไรบางอย่างในใจกำลังกรีดร้อง มันตะกุยอยู่ภายใต้จิตสำนึกที่มี มันเป็นพลังบางอย่างที่ซันไม่เคยรู้จักมาก่อน อะไรที่กำลังหลุดออกมาเพราะการต่อสู้ครั้งแรกในชีวิตของเธอ
จิ้งจอกจ้วงแทงมีดสั้นโจมตีใส่คู่ต่อสู้ตรง ๆ อย่างไร้แบบแผน
แต่แทนที่แม่มดจะหลบมันได้สบาย ๆ กลับถูกคมมีดเฉือนต้นแขนเข้าอย่างจัง เรียกเลือดของเธอได้เป็นครั้งแรก ดวงตาของนาเดียเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
การโจมตีนั้นไร้แบบแผนก็จริง แต่มันดันเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไม่เคยเจอมาก่อน นั่นทำให้ความหวาดหวั่นพุ่งวูบเข้ามาไม่ทันให้ตั้งตัว คุกคามจนเคลื่อนไหวไม่ออก
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของจิ้งจอกแข็งกร้าวขึ้น ท่ายืนเปลี่ยนไปยืนด้วยปลายเท้าโดยไม่รู้ตัว ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคนสัญชาตญาณบางอย่างในตัวกำลังกลืนเอาสติของเด็กสาวหายไปเรื่อย ๆ
ทำไมรู้สึกแปลก ๆ กันนะ… ซันคิด
แล้วจากที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ แม่มดสาวกลับต้องเป็นคนถอยออกห่างอย่างตื่นตระหนก รู้สึกได้ถึงอันตรายของจริง
ฉัวะ !
มีดสั้นฟันเข้าที่ไหล่ของนาเดียอย่างไร้การออมแรงด้วยความเร็วต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ทั้ง ๆ ที่แขนขาได้รับบาดเจ็บ
คมมีดบาดลึกถึงกระดูก แม่มดเบิกตากว้าง เหลือกตามองแผลเหวอะหวะที่ไหล่อย่างตกใจสุดขีด เลือดสีดำสาดกระเซ็น
ยังไม่ทันจะได้ร้อง มีดเล่มเดิมก็ถูกกระชากออกไปแล้วโจมตีซ้ำมาอีก นาเดียยกกริชขึ้นป้องกัน คราวนี้เป็นเธอที่ต้องน้ำตาคลอจากความเจ็บเสียแทน ความทรมานวิ่งปราดจากบ่าไล่ลงมาตลอดแนวแขน เด็กสาวกัดฟันแน่น พยายามใช้กริบปัดป้องการปะทะจากมีดของจิ้งจอกสุดกำลัง แต่แล้ว…
“กรี๊ดดด !!!”
เสียงกรีดร้องดังลั่น ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่ดูอยู่ด้านนอก
มีดสั้นฟันเข้าที่ข้อมือของนาเดีย แต่คราวนี้มันลึกมาก มากจนข้อมือเกือบหลุดจากแขน เส้นเอ็นและกระดูกสีขาวโผล่ทะลุเนื้อหนังอันชุ่มไปด้วยเลือดออกมาให้เห็นอย่างน่าหวาดเสียว กริชดำหลุดจากมือของแม่มดทันที เด็กสาวทำได้เพียงใช้มืออีกข้างกุมข้อมือที่บาดเจ็บแน่น น้ำตาไหลพราก เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยความตกตะลึง หวาดผวา และ หวาดหวั่น
จิ้งจอกยืนนิ่ง ดวงตาว่างเปล่าแต่จิตคุกคามยังเต็มเปี่ยม นาเดียถอยหลังหนี แต่ทุกก้าวที่ถอยไป อีกฝ่ายก็จะก้าวตามมาประชิดด้วยเช่นกัน กดดันจนแม่มดแทบสติแตก
“เฮ้ย ! ซัน หยุด ! พอได้แล้ว !” นิคตะโกนมาจากข้างเวที แต่ไม่เป็นผล
เพราะนี่เป็นเพียงการประลองที่รู้กันอยู่ว่าสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะ แต่ไม่มีการต่อสู้รุนแรงจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส ซึ่งหมายความว่าแบบนี้มันผิดปกติ…
นิคจ้องมองบนลานประลองด้วยความเครียด ตอนนี้ซันกำลังยกมีดจ่อตรงหน้าของนาเดีย แม่มดหน้าซีดเผือด ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
“อย่าเข้ามานะ !! อย่า !!!” แม่มดกรีดร้องอย่างน่าเวทนา
ยังดีที่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของนาเดียสั่งให้เธอวิ่งหนีทั้ง ๆ ที่สติแตกไปแล้ว แต่จิ้งจอกที่ดูจะไม่เป็นปกติแล้วในตอนนี้ก็ไล่ตามเหมือนนายพรานล่าเหยื่อ
“บ้าจริง ! อาจารย์ บอกให้หยุดสิครับ” หมาป่าหันบอกมาโซเชียส แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า ดวงตาเรียวชี้จับจ้องไปบนเวที สีหน้าไม่รื่นเริงอีกแล้ว
ถึงเขาชอบการต่อสู้ แต่หากเกิดอะไรกับเด็กนักเรียน ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่อะไรที่เขาต้องการนัก
“ไม่ได้ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ถึงออกจากเขตประลองได้”
“นาเดีย ! ยอมแพ้สิ ยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเธอตายแน่” เจนตะโกนขึ้นไปบนเวที แต่นาเดียที่ขวัญหายไปสิ้นในตอนนี้ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น การต่อสู้…หรือการถูกไล่ล่าอันโหดร้ายจึงต้องดำเนินต่อไป
ตอนนี้ปีหนึ่งทั้งหมดต่างก็มายืนออกันชิดเวทีประลอง บางคนมีสีหน้าเหมือนอยากเข้าไปสู้เสียเอง บางคนก็เบือนหน้าหนีให้กับความโหดร้าย บางคนมีสีหน้าโกรธจัด ซึ่งกลุ่มหลังคือกลุ่มเพื่อนสนิทของนาเดียนั่นเอง
ซันไม่ได้บ้าคลั่งแบบต้องการฆ่าอีกฝ่าย เธอทำเหมือนกับกำลังแหย่สัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่ทำให้อีกฝ่ายกลัวจนแทบบ้า และนั่นก็ทำให้นาเดียสติแตกจนลืมกระทั่งพูดคำว่ายอมแพ้…การประลองบ้า ๆ นี่จึงต้องดำเนินต่อไป
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด มาโซเชียสถูฝ่ามือไปมา กรณีนี้เขาเองก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน และด้วยกฎของเขตอาคมทำให้มันไม่มีทางหายไปได้นอกเสียจากใช้พลังของ…
“เกิดอะไรขึ้น”
เกือบทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียงทันทีที่ได้ยิน แล้วก็ต้องตะลึงไปเมื่อเห็นร่างสูงสง่าของราชาปีศาจปรากฏสู่สายตา บางคนถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว
เด็กปีหนึ่งทั้งหมดกุลีกุจอแหวกออกสองฝั่งเพื่อเปิดทางให้ซาตานเดินตรงเข้าไปหน้าลานประลองอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมสีทองมองตรงขึ้นไปยังจิ้งจอกสาวบนเวทีที่ยังถือมีดวิ่งไล่ฟันแม่มดอย่างสนุกสนาน นั่นทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่นคล้ายไม่พอใจนัก
จอมมารชำเลืองทางมาโซเชียส นัยน์ตาดุทิ่มแทงจนอาจารย์วิชาการต่อสู้หลบวูบ มือชุ่มเหงื่อยังคงถูไปมา
“ท…ทั้งสองคนยังไม่มีใครยอมแพ้หรือหมดสติ เขตอาคมจึงไม่หายไปขอรับ…ฝ่าบาท” มาโซเชียสบอกเสียงสั่น
ร้อยวันพันปีซาตานผู้นี้แทบไม่เคยปรากฏตัวให้ได้พบเจอ นอกจากในวันเปิดการศึกษา
โดยปกติแล้วหากมีเรื่องใดจะต้องส่งสาส์นผ่านแอสทารอธเพื่อนัดพบเสียก่อน ซึ่งตอนนี้ปีศาจคนสนิทของราชาไม่อยู่มาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงแทบจะไม่มีใครพบเห็นเขาเท่าไรนัก นอกเสียจากว่ามีเรื่องสำคัญจริง ๆ
แต่คราวนี้คนที่เจอตัวยากดันปรากฏตัวออกมาเสียเอง…ในจังหวะที่ไม่ดีเอาเสียเลย
ผู้สูงศักดิ์ละสายตาจากมาโซเชียส เขายกแขนขึ้นขนานกับพื้น ทาบฝ่ามือลงบนเขตแดนของลานประลอง เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกคนในที่นั้นก็ได้ยินเสียงเพล้ง ! เหมือนกระจกแตก
เขตอาคมถูกทำลายลงแล้ว
จอมมารก้าวเข้าไปในลานประลอง เขาหันไปทางนาเดียที่อยู่ในสภาพย่ำแย่ เสื้อผ้าขาดลุ่ย หมวกปลายแหลมเอียงกระเท่เร่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและสะเก็ดเลือด มือข้างหนึ่งที่เหลือยังกุมข้อมือที่เกือบขาดจากแขนไว้แน่น ของเหลวข้นเหนียวสีดำยังไหลออกมาไม่หยุด ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและคราบน้ำตา
แม่มดก้าวขาถอยหนีแข้งขาสั่น ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ปรานี จิ้งจอกควงมีดพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง นาเดียหมดเรี่ยวแรง รู้ว่าหนียังไงก็คงไม่พ้น เธอหลับตาแน่นอย่างยอมรับชะตากรรม
หมับ !
หลายวินาทีต่อมา เมื่อพบว่าคมมีดมาไม่ถึงตัวเสียที แม่มดสาวจึงค่อย ๆ ลืมตา แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อพบกับแผ่นหลังกว้าง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเส้นผมสีดำสนิทที่ปลิวสไวอยู่ตรงหน้า เมื่อตระหนักได้ว่านั่นคือใครก็ยิ่งทำให้ตกใจกว่าเดิม
ยอมแพ้เสีย เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นในหัว แต่เพราะนาเดียยังอยู่ในภาวะตะลึงลานจึงเอาแต่ยืนนิ่งไม่ตอบรับ
ยอมแพ้ แล้วไปซะ ! เสียงเดิมย้ำชัดด้วยน้ำเสียงหนักขึ้น ทำเอาแม่มดสะดุ้งเฮือก สติสตังที่แตกซ่านเริ่มหวนกลับมาและในที่สุดก็นึกได้ว่าเป็นโทรจิตจากบุคคลที่ช่วยเธอไว้…บุคคลที่สูงส่งมากเสียด้วย
“ย…ยอมแพ้” นาเดียพูดออกมาในที่สุด เธอยืนลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงตัดสินใจวิ่งออกไปจากลานประลอง
ซาตานเหลือบมองแม่มดสาวเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาทางซันที่ถูกมือแข็งแกร่งของเขาล็อกจับข้อมือข้างที่กำมีดเอาไว้แน่น จิ้งจอกดิ้นไปมา พยายามสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล
นัยน์ตาสีทองเรืองรองสบตรงเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนชั่วครู่ จากนั้นแววตาอันว่างเปล่าของเด็กสาวก็ค่อย ๆ กลับมามีประกายอีกครั้ง นาทีต่อมาร่างเล็กก็ทรุดฮวบลงไป
สิ่งสุดท้ายที่ซันรับรู้ได้คือวงแขนแข็งแรงที่โอบรับตัวเธอไว้และกลิ่นหอมของดอกโมกอันคุ้นเคย
ราชาปีศาจช้อนตัวปีศาจสาวไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกมาด้านนอกของลานประลองยกสูงท่ามกลางสายตาอึ้ง ๆ ของเด็กปีหนึ่งที่ยืนกระจายตัวกันอยู่รอบบริเวณด้านล่าง
เขาปรายตามองกลุ่มของนักเรียนหลายคนที่ยืนมุงกันอยู่รอบตัวของนาเดีย
หนึ่งในนั้นคือ เอสคลีฟีอัส เด็กหนุ่มผมสีฟางผู้ที่มีกล่องพยาบาลใบย่อมติดตัวอยู่เสมอ ผู้ที่เกิดและเติบโตในตระกูลแพทย์ที่มีชื่อเสียงในโลกปีศาจ เขากำลังใช้คทาร่ายเวทเชื่อมเส้นเอ็นและรักษาเนื้อเยื่อที่ขาดจากกันบริเวณข้อมือของแม่มดสาวอย่างเอาเป็นเอาตาย
พอเห็นดังนั้น ซาตานก็ละสายตาแล้วเลื่อนไปมองทางอาจารย์ประจำวิชาการต่อสู้แทน
“มาโซเชียส”
“ข…ขอรับ”
“หวังว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก” น้ำเสียงราบเรียบหากแต่เย็นเยียบจนมาโซเชียสเหงื่อตก แต่ไม่ทันได้หาคำใดมาตอบ จ้าวปีศาจก็หายวับไปพร้อมกับปีศาจสาวที่ยังไม่ได้สติในอ้อมแขน
พอคล้อยหลังซาตาน เขาก็สั่งให้เลิกเรียนทันทีอย่างหัวเสีย
จากนั้นเอสคลีฟีอัสและเด็กหนุ่มอีกคนก็ช่วยกันพานาเดียไปห้องพยาบาลเพื่อทำการรักษาขั้นต่อไป ส่วนคนที่เหลือนั้นใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการจับกลุ่มคุยเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างสนุกปาก
มีเพียงนิคกับเจนที่หันหน้ามองกันอย่างไม่ได้นึกสนุกเหมือนคนอื่น
เธอคงต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองนะซัน พวกฉันคงช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ
---
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ