The Sun and Satan..ดุจตะวันกับซาตาน
เขียนโดย kinkmj
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 09.50 น.
แก้ไขเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) The Sun and Satan ดุจตะวันกับซาตาน Ch.4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- Chapter 4 -
:: บ้านหลังใหม่ ::
ที่นี่ที่ไหน ?
คำถามที่ซันเริ่มรู้สึกว่าชักจะได้ถามตัวเองบ่อยเกินไปเสียแล้ว
จิ้งจอกสาวลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าเธอกำลังอยู่บนเตียงขนาดควีนไซส์สีแดงเข้มในห้องที่ตกแต่งสไตล์โกธิค โทนสีดำแดง พอทำท่าจะขยับตัวลงจากเตียง เสียงหวานแต่แฝงความเจ้าระเบียบก็ดังขึ้น
"ได้สติแล้วหรือเจ้าคะ" หญิงสาวในชุดสาวใช้ดั้งเดิมสีขาวดำก้าวเข้ามาใกล้ ในมือมีถาดที่วางชุดน้ำชาพร้อมเมอแรงก์สไตล์ฝรั่งเศส[1] เธอวางถาดลงบนโต๊ะข้างเตียง ยกการินน้ำชาใส่แก้วใบเล็กแสนสวยด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะส่งให้ซันโดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือจับที่ปลายจานรองเอาไว้
"ชาเฮอร์บี้นี้ดีต่อการฟื้นฟูร่างกายหลังเสียพลังเจ้าค่ะ อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลธาตุภายในได้ด้วย"
"ขอบคุณค่ะ" ซันรับมาอย่างไม่อิดออด ยกถ้วยชาขึ้นจิบตามมารยาท เมื่อน้ำชาอุ่นร้อนไหลผ่านลำคอ ก็เกิดความรู้สึกคล้ายมีกระแสพลังวิ่งไปทั่วร่างกาย แขนขาอันหนักอึ้งเบาขึ้นอย่างน่าทึ่ง จิ้งจอกสาวยกดื่มอีกครั้งจนหมด ก่อนจะเอ่ยคำถาม
"ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนหรือคะ"
"เทลไฟร์ ในส่วนของพระราชวังเจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินคำตอบ ทำเอาแก้วชาใบสวยเกือบจะหลุดจากมือเล็กเลยทีเดียว
"พระราชวัง! แล้วทำไมซันมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะเนี่ย"
"ท่านจ้าวเป็นผู้พาคุณมา และท่านสั่งไว้ว่าหากคุณฟื้นแล้วกรุณารอจนกว่าท่านจะกลับมาเจ้าค่ะ"
พอได้ยินคำตอบ ซันรีบเค้นความทรงจำก่อนหมดสติออกมาทันที ถึงแม้ว่ายังปวดหัวจี๊ด ๆ แต่ก็พอจะค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ว่า…
ตอนแรกเธอเดินออกจากห้องพักในโรงแรม…ได้ยินเสียงประหลาด จากนั้นรู้ตัวอีกทีก็หายไปโผล่ยังสถานที่ประหลาด แถมยังเจอเรื่องประหลาด...แบบว่าเทพกับปีศาจสู้กันอยู่ แล้วดันมีเด็กผู้หญิงงี่เง่ากระโดดไปขวางทางปืนก่อนจะเป็นลมไปอย่างน่าอายที่สุด
เมื่อนึกขึ้นได้ ซันรีบพาดเส้นผมสีเพลิงมาด้านหน้า ใช้มือสางผมยาวที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงเพราะเพิ่งตื่นนอน เกี่ยวเอาปลายเส้นผมขึ้นมาดู ซึ่งนั่นทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น
ดูเหมือนว่าสีเงินที่ปลายผมจะลดลงไปจริง ๆ ...กำแพงไฟนั่นคงใช้พลังธาตุร้อนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ต้องพยายามอย่าเผลอใช้อีก
จะว่าไปแล้วเมื่อกี๊เพิ่งได้ยินคำว่าท่านจ้าวจากปากคุณเมดสาวหน้าหวานคนนี้...อืม...ท่านจ้าว? น่าจะหมายถึงจ้าวปีศาจหรือเปล่า เอ...คนเดียวกับเจ้าแห่งปีศาจล่ะสิถ้าอย่างนั้น เจ้าแห่งปีศาจก็คือราชาปีศาจ
ราชาปีศาจ เดี๋ยวนะ…งั้นก็…ซาตาน[2]น่ะสิ!!
"เอ่อ…ขอโทษนะคะ ท่านจ้าวที่ว่านี่คือ 'ซาตาน' รึเปล่าคะ" ซันถามออกไปอย่างมึนงง รู้สึกเหมือนกำลังเอาขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในอีกโลกที่เธอไม่รู้จัก แถมยังเป็นโลกที่ไม่น่าจะเดินปลูกผักทำสวนอย่างเรียบง่ายไปวัน ๆ แน่นอน
"ถ้าใช่ แล้วจะทำไมรึ" เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นจากทิศทางหนึ่งแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาคนถูกย้อนถามสะดุ้งโหยง หันขวับตามต้นเสียง พบร่างสูงสง่าในชุดทรงสีดำกำลังเดินเข้ามาจากบริเวณหน้าห้อง ทั้งที่เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยสักแอะ
ตายแน่ฉัน จิ้งจอกเครียดในใจ กังวลจนเผลอกัดริมฝีปากล่าง ก้มหน้างุดแต่สายตาก็อดเหลือบขึ้นมองใบหน้าของผู้มาใหม่ไม่ได้
เมื่อผู้เป็นนายปรากฏตัว สาวใช้ผู้นำชามาให้ก็ค้อมตัวทำความเคารพแล้วถอยฉากออกไปยืนห่าง ๆ อย่างรู้หน้าที่ เห็นอย่างนั้นซันก็แทบจะกระโดดไปดึงกระโปรงสีดำนั่นเอาไว้ ด้วยไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มตรง ๆ เพียงลำพัง
จ้าวปีศาจก้าวเดินมาใกล้ เขานั่งลงบนเก้าอี้บุนวมสีดำสนิทที่มาตั้งอยู่ข้างเตียงของจิ้งจอกสาวเมื่อไรก็ไม่รู้
"โดโรธี ออกไปก่อน" เป็นคำสั่งที่ทำให้ซันรู้ว่าสาวใช้หน้าตาน่ารักนั้นมีชื่อว่าโดโรธี
"เจ้าค่ะ" เมดสาวรับคำ ค้อมศรีษะลงต่ำแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองซันที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือแบบโจ่งแจ้ง
พออยู่กันตามลำพัง ปีศาจสาวก็ได้แต่นั่งนิ่งบนเตียง เพราะท่านจ้าวปีศาจดูไม่เห็นมีอะไรต้องคุยกับเธอ เขาเอาแต่เงียบจนเธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยได้แต่ก้มหน้างุด พลางใช้นิ้วเรียวม้วนปลายผมเล่นแก้เก้อ
และสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นเด็กสาวที่ต้องยอมแพ้กับสงครามเย็นรอบนี้
"เอ่อ...คุณมีอะไรรึเปล่าคะ" ซันถามออกไป และลืมตัวเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายด้วยนิสัยที่เคยชิน
อ๊าย พ่อกับแม่ไม่น่าสอนไว้ว่าเวลาคุยกับใครให้สบตาเลย บ้าจริง ๆ
ดวงตาสีทองสว่าง เส้นผมยาวสีดำสนิทถูกรวบหลวม ๆ ไว้ด้านหลัง จมูกโด่งเรียว คางมนสวยได้รูป ใบหน้านั้นงดงามไร้ที่ติราวสวรรค์ปั้นแต่งมาอย่างปราณีต ดูสวยงามมากกว่าแข็งกร้าว แต่เจ้าตัวนั้นดูเหมือนจะชอบสร้างบรรยากาศให้น่าเกรงกลัวเข้าไว้ ด้วยอาภรณ์สีดำสนิททั้งตัว และสีหน้าที่ดูเย็นชาอยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งหมดนั่นช่างรวมกันออกมาเป็นความสมบูรณ์แบบอันลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แถมเจ้าของความสมบูรณ์แบบที่ว่านั่นกำลังเอาแต่จ้องหน้าเธอตาไม่กะพริบอีกต่างหาก
"ถ้าฉันคือซาตาน แล้วจะทำไมงั้นรึ" เสียงเย็นเอ่ยสวนขึ้นมาทันที
นั่นไง เธอไม่น่าเปิดปากถามเลย ยายบ้าซันเอ๊ย
"ก็...ก็ไม่ได้ทำไมค่ะ แค่..." ซันกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ จ้องมา
"แค่อะไร ฉันไม่ชอบคนที่อ้ำอึ้ง จะพูดก็จงพูดออกมา"
"ก็แค่ คุณดูใจดีจนไม่น่าจะเป็นซาตานนี่คะ" ซันโพล่งออกไป
คำตอบที่ได้รับ ทำเอาคนเค้นเอาคำตอบเงียบไป คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่เดิมอ่อนลงโดยที่คู่สนทนาไม่รู้ตัวเพราะไม่กล้ามองตรง ๆ
"ก็...คุณเสี่ยงชีวิตไปช่วยต้นแอปเปิ้ล แล้วยังมาช่วยขวางฉันจากพวกเทวดานั่นด้วย"
แถมยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้บางอย่างชวนให้ผ่อนคลายแบบนี้อีก ซันละไว้ในใจ เพราะตั้งแต่ที่ชายหนุ่มปรากฏตัว ก็มาพร้อมกลิ่นหอมจางเช่นนี้แล้ว
ใบหน้าของคนเสี่ยงชีวิตคลายลง มุมปากยกยิ้มบางขึ้นชั่ววูบหนึ่ง และเป็นวูบเดียวที่หายากนัก…สำหรับคนอื่น
"เธอไม่ใช่หรือที่เป็นฝ่ายเข้ามาขวางโดยไม่เกี่ยวข้องสักนิด"
"อ่า...ขอโทษจริง ๆ นะคะที่เข้าไปยุ่งเรื่องของคุณ …ตอนนั้นก็โดดเข้าไปโดยไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง"
“ที่จริงฉันคงต้องขอบคุณเธอเสียมากกว่า”เสียงทุ้มเจือความอ่อนโยนเบาบางตอบ
ซันเลิกคิ้ว ยิ้มกว้างแบบไม่ได้ติดใจอะไร
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้เอง” คำตอบรับง่าย ๆ หลุดออกจากริมฝีปาก ทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสูงอีกครั้ง
เพราะการเข้าขวางกระสุนของเทพสงคราม มันคือการเสี่ยงชีวิตที่น้อยคนนักจะรอดมาได้ แต่เด็กสาวตรงหน้ากับพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ด้วยคำว่า แค่นี้เอง
เด็กสาวที่ว่านั้นกำลังมุ่นหัวคิ้วราวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอช้อนสายตาขึ้นมองปีศาจหนุ่มแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาเหมือนรอให้เธอเอ่ยคำถาม
“ซันอยากรู้ว่า ทำไมซันถึงไปโผล่ที่นั่นได้คะ” เด็กสาวตัดสินใจถามออกไปด้วยความคาใจ
“ฉันก็อยากถามเธอเช่นกัน”
คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ซันนิ่งเงียบ...ก็นั่นสินะ ตอนที่เธอโผล่ไปก็ดูเขาจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน แปลว่าเขาก็คงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
ความเงียบงันกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นซาตานที่ทำลายมันลงก่อน
"ชื่อเต็มของเธอคืออะไร...และเธอพักที่ไหน"
ซันแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามเรียบง่ายตรงไปตรงมาจากอีกฝ่าย และคงจะต้องแปลกใจยิ่งกว่านี้ถ้าได้รู้ว่าตนเองเป็นคนแรกในรอบหลายสิบปีที่ราชาปีศาจเอ่ยคำถามนี้ด้วย
"ซันค่ะ ดุจตะวัน มณีรัตน์…ถ้ายังไงคงต้องขออนุญาตกลับไปเก็บของที่โรงแรมเลยนะคะ พรุ่งนี้ก็ต้องย้ายมาเข้าอยู่ในหอพักที่นี่แล้ว"
“เธอเข้าเรียนเทลไฟร์ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ทำไมหรือคะ”
"ดุจตะวัน เธอไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น"
"คะ?"
"นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอต้องพักอยู่ที่นี่…เพื่อความปลอดภัยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดโรธีจะคอยดูแลเธอเอง"
"หา ! จะดีหรือคะ" เด็กสาวร้องถามอย่างตกใจ สำหรับเธอมันต้องดีอยู่แล้ว แต่ไอ้การเข้ามาอยู่ในปราสาทนี่…มันจะง่ายดายขนาดนั้นเลยรึไง
"มีปัญหาอะไรรึ" เสียงทุ้มห้วนเล็กน้อยแต่ซันก็จับกระแสเสียงได้ว่าเขาไม่ค่อยพอใจนักกับคำตอบของเธอ
"คือว่ามันจะไม่เป็นการรบกวนหรือคะ แล้วค่าใช้จ่าย ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟอีก…ซันคงต้องปรึกษาพ่อกับแม่ก่อนนะคะ"
ถึงกับเงียบกริบ...ถ้ามองไม่ผิด เหมือนเธอจะเห็นคิ้วของราชาปีศาจยกขึ้นสูงอย่างประหลาดใจ
อะไรกัน มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องคิดเลยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงดูแปลกใจขนาดนั้น นี่คือความคิดของจิ้งจอกสาวผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด
"เธอไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรทั้งนั้น ถือว่าตอบแทนกับการเข้ามารับปืนแทนฉัน” เขาตอบกลับเรียบ ๆ เมื่อเห็นคนฟังขมวดคิ้วจึงระบายลมหายใจแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าหากต้องการช่วย เวลาว่างก็ไปช่วยงานของโดโรธีเสีย"
คราวนี้แม่สาวจิ้งจอกกลับมีสีหน้าสดใสขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"ได้เลยค่ะ ซันจะตั้งใจทำงานนะคะ" ตอบรับหนักแน่น ส่งยิ้มกว้างให้กับราชาปีศาจที่ในสายตาของเธอตอนนี้ดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด ถึงจะเย็นชาไปหน่อยก็เถอะ
"ฉันหมดธุระเท่านี้" ประโยคสั้น ๆ ที่ใช้แทนการบอกลา เพราะจบคำ ร่างสูงสง่าของจอมปีศาจก็จางหายไป
"ขอบคุณนะคะ" ซันเอ่ยเสียงแผ่วด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน แต่เป็นเธอเองที่ไม่ได้ยินคำตอบรับแผ่วเบาในอากาศ
"ฉันก็เช่นกัน ดุจตะวัน"
ค่ำวันนั้นข้าวของของเธอก็มาตั้งอยู่ในห้อง พร้อมกับการปรากฏตัวอีกครั้งของโดโรธีผู้ซึ่งกลายเป็นพี่เลี้ยงของเธอไปโดยปริยาย แต่นั่นก็เป็นข้อดี เพราะมีคนให้ซันได้ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในโลกปีศาจ โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันเทลไฟร์ที่เธอกำลังจะไปเข้าเรียน แต่ดันฟลุคข้ามขั้นเข้ามาอยู่ในเขตพระราชวังก่อนเขตโรงเรียนเสียได้
โดโรธีอยู่คุยเป็นเพื่อนจนลืมเวลา รู้อีกทีก็ดึกมากแล้ว ซันจึงเอ่ยลาเพื่อให้หญิงสาวได้ไปพักผ่อน เมื่อเธอออกจากห้องไปแล้ว ซันก็นอนเล่นบนเตียงพลางทบทวนความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับในวันนี้อีกครั้ง
จากที่โดโรธีเล่านั้นซันได้รู้ว่า หลายร้อยปีก่อนโลกปีศาจไม่ได้เจริญอย่างตอนนี้ มีศึกสงครามระหว่างเทพและปีศาจแทบไม่เว้นวัน
ปีศาจมากมายอยู่อย่างหวาดกลัวเหล่าเทพที่บุกโจมตีมาเสมอ หรือปีศาจด้วยกันฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ เหตุการณ์นองเลือดมากมายเกิดขึ้นจนเป็นเหมือนเรื่องปกติ จนเมื่อซาตานขึ้นเป็นราชาแห่งเหล่าปีศาจ ดินแดนที่มีแต่การฆ่าฟันก็เริ่มเปลี่ยนไป
เขาล้างบางกฎเดิม ๆ เสียสิ้น เมินการประท้วงของพวกหัวรุนแรงที่ต้องการทำศึกกับพวกเทพ เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง หันไปพัฒนาเมืองและออกกฎห้ามปีศาจฆ่ากันเองเว้นแต่มีผู้กระทำผิด และทุกครั้งที่พวกเทพบ้าสงครามบุกเข้ามา จ้าวแห่งปีศาจหรือเหล่าเจ็ดบาป ปีศาจชั้นสูงที่ขึ้นตรงต่อเขาจะออกมาจัดการด้วยตนเอง
ซาตานเป็นจ้าวปีศาจที่รักสันโดษมากนัก เขาไม่ต้องการใครคุ้มกัน ไม่ต้องการองครักษ์มากมายติดตามไปทุกหนแห่ง ทำทุกอย่างด้วยตนเอง พูดน้อยคำ และมีใบหน้าเย็นชาอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่ปีศาจทุกคนรู้ เว้นเพียงแต่ปีศาจคนหนึ่งที่ปรากฎตัวขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้เดียวที่เขาปล่อยให้ติดตามใกล้ชิด...แอสทารอธ
ต่อมาซาตานเริ่มสร้างสถาบันเทลไฟร์ จ้าวปีศาจต้องการให้ปีศาจทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องกลัวเหล่าเทพเทวดา มีความรู้มากกว่าการตีรันฟันแทงหรือกัดกันแย่งอำนาจไปวัน ๆ ที่เทลไฟร์แห่งนี้มีการเรียนการสอนวิธีการต่อสู้ การป้องกันตัว การปรุงยา การใช้เวท การควบคุมพลังเวทแต่ละธาตุ การแปลงร่าง การจำศีล การพัฒนาความสามารถเฉพาะคนของปีศาจแต่ละเผ่า
รวมไปถึงศาสตร์การใช้ชีวิตแบบมนุษย์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่ควรรู้ สำหรับพวกปีศาจที่อยากไปอยู่ในโลกมนุษย์ ซึ่งสำหรับปีศาจนั้นเปิดกว้างมาก สามารถเข้าออกระหว่างสองโลกได้ตามสบาย หรือแม้แต่พามนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยก็ทำได้ แค่ขอเดวิลวีซ่าที่ทางเข้า หากมนุษย์คนนั้นผ่านการทดสอบก็สามารถเข้าออกทั้งสองโลกได้ทันที
แต่มีเงื่อนไขคือปีศาจหนึ่งคนสามารถพามนุษย์เข้ามาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และมนุษย์คนนั้นจะต้องดื่มเลือดของอีกฝ่ายเพื่อปรับสภาพร่างกายให้สามารถอยู่ในโลกปีศาจได้โดยไม่โดนไอปีศาจกัดกร่อนวิญญาณจนตาย
ส่วนถ้าหากว่าปีศาจคนไหนต้องการออกไปอยู่ที่โลกมนุษย์นั้นก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องคอยระวังพวกเทพที่จ้องจะฆ่าปีศาจเพื่อสร้างผลงานเอาเอง
ส่วนมากปีศาจจะไม่ค่อยออกไปที่โลกมนุษย์มากนัก จะออกไปก็เพราะมีพวกมนุษย์ที่พยายามใช้ศาสตร์มืดเรียกหาให้ช่วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ปีศาจในสมัยก่อนส่วนมากจะออกล่ามนุษย์เพื่อเป็นอาหาร แต่ในช่วงหลังนี้ ซาตานได้สั่งให้มีการทำปศุสัตว์ ทำฟาร์ม เพราะจริง ๆ แล้วปีศาจนั้นก็สามารถกินเนื้อสัตว์ได้มาตั้งแต่อดีต แต่การล่ามนุษย์ที่มีจำนวนมากนั้นง่ายกว่า แต่เมื่อมีการสร้างฟาร์ม ก็ไม่จำเป็นต้องออกล่ามนุษย์ให้เสียแรงเปล่าอีกต่อไป เพราะรสชาติของเนื้อก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก จริง ๆ แล้วเนื้อวัวเวลาปรุงดี ๆ อร่อยกว่าเนื้อมนุษย์เสียด้วยซ้ำไป
แต่ก็ยังมีบ้างในพวกที่จำเป็นต้องออกล่า เช่น พวกแวมไพร์[3] เพราะเผ่าพันธุ์นี้อ้างว่า ดื่มเลือดสัตว์แล้วทำให้ท้องเสีย แต่โดยมากแล้วแวมไพร์ที่ออกไปล่ามักจะได้คู่ชีวิตที่พร้อมจะให้ดื่มเลือดไปตลอดกลับมาจากโลกมนุษย์ ซาตานก็เลยไม่ได้สั่งห้ามเผ่าพันธุ์นี้ออกล่าแต่อย่างใด
ถึงอย่างไรก็ตาม ปีศาจก็คือปีศาจ ยังมีพวกดุร้ายและหัวรุนแรงอยู่อีกมาก ปีศาจบางพวกนั้นควบคุมได้ยาก หัวโบราณ และยังชอบออกล่ามนุษย์เพื่อความสะใจ หรือเพื่อกัดกินดวงวิญญาณเพื่อเสริมพลังชีวิตของตนเอง ซึ่งปีศาจพวกนั้นจะถูกเรียกว่า ‘กบฎ หรือ อีวิล’
กบฎในโลกปีศาจ มีความอันตรายมาก ถ้าหากโชคร้ายไปเจอเข้านั้นโอกาสรอดจะมีน้อยมาก พวกนั้นฆ่าทั้งมนุษย์และปีศาจ ทำทุกอย่างอย่างไร้เหตุผล และมีความเชื่อว่าซาตานนั้นทำให้โลกปีศาจอ่อนแอลง
เพราะเหตุนี้ซาตานจึงได้ส่งเหล่าบาปเจ็ดประการออกไปดูแลยังจุดต่าง ๆ ในแดนปีศาจโดยครอบคลุมบริเวณเดียวกันในฝั่งโลกมนุษย์ด้วยเพื่อคอยจัดการกับพวกอีวิล
ซันบันทึกข้อมูลทุกอย่างไว้ในสมองอย่างแน่นหนา มือล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อ ลูบลูกแก้วจิตทิพย์ในนั้นอย่างเผลอตัว แล้วต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อสัมผัสความรู้สึกบางเบาบางอย่างจากของวิเศษนี้ได้
เป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับตอนที่เธออยู่ใกล้กับจ้าวแห่งปีศาจ
“หรือที่ฉันโผล่ไปที่นั่นได้จะเป็นเพราะนายกันนะ...ลูกแก้วจิตทิพย์”
--------------------------------------------
[1] เมอแร็งก์ (ฝรั่งเศส: meringue) เป็นขนมของสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส ทำจากไข่ขาวที่ตีกับน้ำตาลป่นจนขึ้นฟู และเติมตัวช่วยขึ้นรูป เมอแรงก์ของฝรั่งเศสจะมีความแห้งและเบามากกว่า
[2] เทพผู้ทรยศต่อพระเจ้า จึงถูกขับไล่จากสวรรค์และกลายเป็นราชาปีศาจ ในคัมภีร์ฮิบรูไบเบิลและคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ซาตานเป็นผู้ต่อต้านอำนาจจากพระเจ้า เป็นความชั่วร้ายซึ่งมีคุณสมบัติที่เรียกว่าปีศาจ ในบางตำนานกล่าวว่าลูซิเฟอร์กับซาตานเป็นคนเดียวกัน และเป็น1ในบาป7ประการ แต่ในที่นี้จะเป็นคนละคน และซาตานไม่ได้อยู่ในบาป7ประการ
[3] ตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง คือผีดิบที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหาร เป็นอมตะ แพ้แสงแดดและไม้กางเขน และคนที่ถูกแวมไพร์กัดจะกลายเป็นแวมไพร์เช่นกัน แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ เคาท์แดร็กคูล่า
-----------------------------------------------------
คอมเม้นท์ทักทายกันได้น้า ^^
ตอนนี้หนังสือออกจบแล้วนะคะ 4 เล่มจบจ้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ www.kinkmjwriter.com ค่ะ
ตามข่าวทางเพจได้นะคะ ;D
http://www.facebook.com/kinkmjwriter
ขอบคุณมากค่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ