D.May Reign - ดี.เมย์ ปริศนาบัลลังก์นักเชิด
9.7
เขียนโดย Tsmit
วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.13 น.
7 ตอน
1 วิจารณ์
9,922 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2558 22.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Episode 4 - เปิดม่าน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความIV
เปิดม่าน
เมย์นั่งมองระเบียงห้องพักของตัวเองผ่านบานประตูกระจกอย่างงงๆ พยายามนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาว่าจริงๆ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ดีพาเธอออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิตในตอนเช้า แล้วก็พาเธอมาส่งบ้านก่อนที่จะหายตัวไป หลายชั่วโมงต่อมาเขาก็โทรมาเรียกให้เธอออกไปหาเขาที่ร้านกาแฟ แล้วก็ตบท้ายด้วยการบอกว่าเธอตายไปแล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้เธอต้องยืนมองโทรศัพท์ในมือค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความมึนงง ได้ยินเสียงตื๊ดลากยาวอยู่พักใหญ่จนกระทั่งไม่มีเสียงอะไรอีกนอกจากความเงียบงัน
พลังงานสำรองที่เธอกักตุนเอาไว้ถูกใช้ไปกับการประมวลผลคำพูดของเขาก่อนหน้านั้นหมดไปแล้วเรียบร้อย ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกอีก หญิงสาวจึงตัดสินใจว่าจะไปถามเขาต่อหน้าเลยดีกว่า
แต่การพูดคุยกันหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้อะไรมากขึ้นอยู่ดี ดีลากตัวเธอขึ้นรถของเขาทันทีที่เห็นเธอก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในร้านกาแฟ จากนั้นเขาก็ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องเพลงบ้างล่ะ เรื่องสัตว์เลี้ยงบ้างล่ะ เหวี่ยงประเด็นไปมาจนเธอจับใจความไม่ได้ว่าเขากำลังพยายามที่จะทำอะไรกันแน่ หรือบางทีเขาอาจจะหลอกถามเรื่องของเธออยู่ก็ได้ เพราะว่าในตอนที่เธอเป็นฝ่ายถามกลับบ้างนั้นเขากลับไม่ยอมตอบอะไรเลย แล้วเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอะไรก็ไม่รู้จนทำให้เธอคิดตามไม่ทัน แต่แล้วเขาก็วกกลับมาถามเรื่องอื่นเกี่ยวกับเธอต่อจนเธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกสอบปากคำอยู่ แถมยังเป็นการสอบปากคำที่ทำให้เสียพลังงานมากกว่าการสอบปากคำจริงๆ เสียอีก
หลังจากขับรถต่อไปอีกสิบกว่านาที พวกเธอก็มาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ดีบอกกับเธอว่าเขาจองห้องพักสองห้องยาวตลอดหนึ่งอาทิตย์ และสั่งให้เธออยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลับไปที่บ้านอีก
เยี่ยม ปริศนางอกขึ้นมาอีกข้อจนได้ บางทีเขาอาจจะเป็นลูกชายคุณหนูของตระกูลไหนสักตระกูล มีเงินมากมายจนถึงกับต้องเอามาโปรยทิ้งเล่นด้วยการไปจ้างคนให้ทำเอกสารปลอมในการปล่อยตัวคนไข้โรคจิตออกมา แล้วก็พาตัวคนไข้คนนั้นมาพักที่โรงแรมยาวเป็นอาทิตย์ ช่างฟังดูไร้สาระสมกับที่เป็นคนไร้สาระไม่ใช่เล่น
หลังจากที่พวกเธอเช็กอินเรียบร้อยและขึ้นลิฟท์มาจนถึงหน้าห้องพัก ดีก็หันมาส่งรอยยิ้มเริงร่าให้เธอพร้อมกับบอกราตรีสวัสดิ์ ขอให้ฝันดี แล้วก็หายตัวเข้าห้องของตัวเองไปทั้งๆ อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังอย่างงงๆ เธอจึงเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงในห้องของตัวเองซึ่งอยู่ติดกันพอดี พลางคิดเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างสับสน
ดีต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
และเธอก็ดันบ้าเสียยิ่งกว่าบ้าที่ดันเสียสติตามคนบ้ามาถึงที่นี่ เธอจะตามเขามาทำไมกันล่ะเนี่ย อ้อ ใช่ บุญคุณต้องทดแทน ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งนึกเจ็บใจเหลือเกินที่ตัวเองต้องมาติดหนี้บุญคุณกับคนอื่นอยู่แบบนี้ แถมยังเป็นคนประหลาดอีกต่างหาก
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอกำลังจะ ‘ชดใช้บุญคุณ’ ที่ว่านั่นอยู่ก็ตาม แต่มันก็ช่างไร้ทิศทางและไร้จุดหมายเสียจนเธอไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เบื่อ
เมย์ถอนหายใจขณะกดรีโมทที่อยู่ในมือไปเรื่อยเปื่อย เนื่องจากไม่มีอะไรทำเธอจึงต้องเปิดทีวีดูเพื่อแก้เบื่อ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่ชอบดูทีวีหรือดูหนังอะไรสักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันเป็นการใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เธอควรที่จะเอาเวลาไปทำงานบ้านหรืองานนอกบ้านดีกว่า แต่การนั่งอยู่เฉยๆ นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาไปอย่างไร้ค่าเสียยิ่งกว่าการดูทีวีเสียอีก เพราะว่าเวลาคือทุนที่คนเราทุกคนมีเหมือนๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้ทุนนั้นอย่างไรถึงจะสามารถสร้างกำไรให้กับชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
สามสิบนาทีต่อมา มื้ออาหารเย็นในวันที่แสนจะงงงวยของเธอวันนี้ก็มาถึง
รูมเซอร์วิส
ดีสั่งอาหารมาให้เธอถึงหกอย่าง เยอะเสียจนทำให้หญิงสาวหลงนึกสงสัยไปว่าเขาจะมากินด้วยกันหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนเขาก็ไม่มาเสียที ดังนั้นเมย์จึงตัดสินใจเดินออกไปเคาะประตูที่หน้าห้องพักของเขา
เงียบ
เธอลองเคาะดูอีกสองสามที
เงียบ
ไม่อยู่งั้นเหรอ
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา เมย์จึงตัดสินใจเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง บางทีการหายตัวไปอย่างปุบปับอยู่เรื่อยๆ แบบนี้อาจจะถือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาก็ได้ล่ะมั้ง
สุดท้ายแล้วอาหารทั้งหกจานก็ต้องถูกทิ้งขว้างไปอย่างน่าเสียดาย
ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่กินเยอะอะไรนัก และยิ่งมาอยู่ในสถานการณ์น่าปวดนี้ยิ่งทำให้ไม่มีความอยากอาหารใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังทำให้นอนไม่หลับอีกต่างหาก
เธอนอนหลับๆ ตื่นๆ ติดต่อกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว ภาพเหตุการณ์ในร้านเค้กเมื่อวันสองอาทิตย์ก่อนยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ เป็นเสมือนสิ่งย้ำเตือนให้เธอคิดสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองสมควรที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปกติแล้วแน่เหรอ ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นต้องตายไปอย่างน่าเศร้า แต่เธอกลับเป็นผู้รอดชีวิต แถมยังออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิตได้แล้วอีกต่างหาก ในหัวของเธอตอนนี้จึงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอตายไปแล้วอะไรนั่น แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าเธอยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ ยังหายใจเป็นปกติดี แล้วในตอนที่เดินเข้าโรงแรมมาเมื่อตอนเย็น พนักงานต้อนรับของโรงแรมก็ยังกล่าวทักทายเธออยู่เลย ถ้าหากว่าเธอตายไปแล้วจริงๆ ล่ะก็ พวกเขาก็ต้องมองไม่เห็นเธอสิ
แต่คนที่กุมคำตอบของคำถามเกือบทั้งหมดเอาไว้ก็ดันหายตัวไปเสียอย่างนั้น เธอไม่รู้ว่าเขาไปไหน ไปทำอะไร หรือจะกลับมาที่ห้องพักเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ
จนกระทั่งยามเช้าของวันถัดมา
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีเรียกให้เมย์ลุกจากเตียงไปที่ประตู แม้ว่าพอจะเดาออกอยู่ในใจว่าคนที่มาเคาะประตูนั้นเป็นใคร แต่เธอก็ยังอยากที่จะมองผ่านตาแมวออกไปดูก่อนเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช่คนที่คิดเอาไว้จริงๆ
“เธอยังอยู่ในชุดนอนอีกเหรอเนี่ย ฉันให้เวลาห้านาทีนะ” ดีพุ่งตัวเข้ามาในห้องทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เขาถือวิสาสะเดินเข้ามาจนถึงหน้าทีวีก่อนที่จะใช้มือซ้ายเหวี่ยงกระเป๋ากีฬาใบโตสีดำสนิทซึ่งเข้ากันกับสีชุดของตัวเองลงไปบนเตียง
นี่เขาเป็นอะไรกับเลขห้าหรือเปล่าน่ะ เมื่อวานก็ห้านาทีไปรอบหนึ่งแล้ว
หญิงสาวมองตามชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โซฟาริมประตูกระจกด้วยสายตาขุ่นเคือง เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอก ยืนจ้องคนตรงหน้าผู้ที่แสนจะไร้มารยาทและไม่เคยอ่านสถานการณ์ในปัจจุบันเลยสักครั้งอย่างไม่พอใจ
“สรุปแล้วนายจะไม่บอกอะไรฉันเลยใช่มั้ย”
“ฉันต้องบอกอะไรเธอด้วยเหรอ” อีกฝ่ายย้อนถามกลับด้วยสีหน้าใสซื่อ
นี่เขากำลังพูดเล่นอยู่ใช่มั้ย จะต้องบอกอะไรเธองั้นเหรอ ก็ต้องบอกมันทุกเรื่องเลยยังไงเล่า! ในเมื่อเขายังไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยแม้แต่อย่างเดียว!
“ก็ใช่น่ะสิ! อธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงจะต้องมาอยู่ที่โรงแรมนี่ ต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหน ต้องทำอะไรบ้าง แล้วยังจะเรื่องที่บอกว่าฉันตายไปแล้วอะไรนั่นอีก มีแต่เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจเต็มไปหมด! แล้วเมื่อวานจู่ๆ นายก็หายตัวไปเลย!” หญิงสาวระเบิดอารมณ์ใส่อย่างหงุดหงิด
ดียักไหล่น้อยๆ ราวกับว่าเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“คำตอบของคำถามเธอก็คือ เธอตายไปแล้วแค่ในนามเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ตายแบบตายไปจริงๆ ซะหน่อย ถ้าเกิดว่าเธอตายไปจริงๆ ล่ะก็ ฉันก็เอาเธอมาใช้งานไม่ได้น่ะสิ”
ช่างเป็นคำตอบที่กวนประสาทชะมัด แต่อย่างน้อยมันก็ยังพอฟังดูเป็นคำตอบมากกว่าอะไรก็ไม่รู้ที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีกว่าไอ้การตายแค่ในนามที่ว่านั่นมันหมายความว่ายังไง ถ้าลองแปลความหมายตรงตามคำเลยก็จะได้ว่ามีแค่ชื่อเท่านั้นที่ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็อาจจะหมายความได้ว่า เมธิภา เนตรฤดี ชื่อของเธอตายไปแล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ ทั้งๆ ที่ตัวเธอยังคงยืนอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ แต่เขาทำได้ยังไงกันล่ะ แล้วทำไปทำไม หรือว่ามันจะเกี่ยวอะไรกันกับการที่เธอหนีออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ ไม่แน่ว่าบางทีดีอาจจะลบชื่อของเธอออกจากระบบข้อมูลของโรงพยาบาลเพื่อพาตัวเธอออกมาหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ห้ามเธอไม่ให้บอกมิว แต่ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นแล้ว ตัวเธอในตอนนี้มีชื่อว่าอะไรกัน
ไม่สิ ตัวเธอในตอนนี้คือใครกันต่างหาก
ฆาตกรโรคจิต? ฆาตกรเฉยๆ? หรือว่าคนปกติธรรมดา? แต่ไม่ว่ายังไงก็คงจะไม่อยู่ในสถานะคนธรรมดาแน่นอน เธอจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไงกัน ในเมื่อตอนนี้เธอกำลังรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองต้องมาอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ยังไงก็ไม่รู้
เมย์กำรีโมทในมือแน่นด้วยความเครียดจัด ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกสับสนจนอยากจะล้มตัวนอนลงบนเตียงเพื่อพักสมองเหลือเกิน แต่พอหันไปที่เตียงแล้วเธอก็ต้องมองกระเป๋ากีฬาใบเบ้อเริ่มตรงหน้าอย่างฉงน เพราะว่ามันดูใหญ่เกินความจำเป็นจนน่าสงสัย เขาเอาอะไรใส่มาในนั้นน่ะ ไอ้การไปล่าวิญญาณนี่มันต้องใช้ของอะไรเยอะแยะขนาดนั้นเลยเหรอไง
“อะไรอยู่ในนี้น่ะ” หญิงสาวเดินไปที่เตียงก่อนที่จะรูดซิบเปิดดูข้างในด้วยความอยากรู้อยากเห็น เผยให้เห็นขวดโหลอะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่ากระเป๋า พร้อมด้วยกระบอกเหล็กสีเงินขนาดสั้นกับกระบอกเหล็กสีดำอีกกระบอกซึ่งมีขนาดยาวกว่ากันเล็กน้อย
ปืน!
“ทำมะ...!?” เมย์สะบัดมือออกจากกระเป๋าด้วยความตกใจทันที แล้วหันขวับไปจ้องผู้เป็นเจ้าของเขม็ง
ชายหนุ่มจ้องเธอกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอคิดว่าเราจะไปล่าวิญญาณกันมือเปล่ารึไง”
หญิงสาวอ้าปากค้าง มองใบหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ นี่มันปืนเชียวนะ! แล้วเธอก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้การล่าวิญญาณนี่มันคืออะไรกันแน่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงมีปืนอยู่ที่นี่ได้ แล้วอาวุธนี่ถูกกฎหมายหรือเปล่าน่ะ เขาไปเอามาได้ยังไง เอามาจากไหน จะเอาไปใช้ยิงอะไร หรือจะใช้ยิงใคร นี่เธอกำลังพัวพันอยู่กับอาชญากรรมอะไรสักอย่างอยู่หรือเปล่า!?
คำถามมากมายในหัวทำให้เมย์รู้สึกหวาดกลัวดีเสียจนอยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้
แต่จะหนีไปที่ไหนได้ล่ะ ไม่ว่าเธอจะหนีไปหลบอยู่ที่ไหน ไม่ช้าก็เร็วเขาก็คงจะหาทางตามจับตัวเธอกลับมาได้อยู่ดี แล้วแพะผู้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลโรคจิตอย่างเธอก็คงจะไม่มีตำรวจที่ไหนให้ความช่วยเหลือแน่
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอควรจะต้องทำเป็นอันดับแรกเลยก็คือการตั้งสติให้ดีเสียก่อน สติสำคัญที่สุด อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ลองเออออไปกับเขาดูก่อน เพราะยังไงเขาก็กำลังกุมชะตาของเธอเอาไว้อยู่จนกว่าที่งานล่าวิญญาณอะไรนั่นจะสิ้นสุด อย่างน้อยเขาก็คงไม่ได้คิดที่จะกำจัดเธอก่อนที่งานจะเสร็จหรอกมั้ง
แต่ว่าดีจะให้เธอไปทำอะไรนี่สิ หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับปืนในกระเป๋านั่นนะ
“นายจะไปล่าวิญญาณ...ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“ใช่” คนถูกถามมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น
“...แต่ว่านี่มันกลางวันอยู่นะ ไม่รอให้มืดก่อนเหรอ”
เขามองสบสายตากับเธอนิ่งๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แสงอาทิตย์ฉายผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาภายในห้อง แม้ว่าจะยังคงเป็นเพียงแค่แสงแดดอ่อนๆ แต่ก็เป็นแสงสว่างยามเช้าที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น แสงเงาของคนตรงหน้าทอดยาวไปกับพื้นเนื่องจากเขานั่งหันหลังให้กับแสงแดด
“เธอนี่ชอบแบ่งแยกดีนะ” ชายหนุ่มตอบกลับมาในที่สุด
หา? แบ่งแยกอะไร กลางวันกับกลางคืนเนี่ยนะ นี่เขาเพี้ยนไปแล้วหรือไง เข้าใจความหมายของคำว่าแบ่งแยกหรือเปล่าน่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าการล่าวิญญาณต้องทำเฉพาะในตอนกลางคืนเท่านั้น แม้แต่เด็กห้าขวบยังรู้เลย
“ฉันไม่ได้แบ่งแยก แต่มันเป็นสิ่งที่ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น”
“แล้วไง” เสียงเรียบย้อนถามกลับด้วยสีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
“แล้วไง!? การล่าวิญญาณนี่ควรจะต้องทำในตอนกลางคืนสิ ไม่ใช่ในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ พร้อมกับมองตรงมาที่เธอด้วยสายตาประหลาด
“เธอไปเอามาจากตำราวิชาการล่าวิญญาณเหรอ”
ฮะ? นี่เขาสงสัยจริงๆ หรือคิดจะกวนประสาทเธอกันแน่น่ะ
“ก็...ไม่รู้...แต่มันก็ควรจะเป็นนั้นไม่ใช่รึไง!”
ดีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม ทั้งที่เขาไม่ได้แย้งอะไรกลับมาทั้งนั้นแต่มันกลับทำให้เธอชักจะรู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขาไม่รู้แล้วเธอจะไปรู้เรอะ จะมาย้อนถามกลับทำไมกัน ยิ่งคุยกับอีกฝ่ายมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งเสียอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงเรื่องไร้สาระนี่อีก
เมย์หันไปคว้าหยิบเสื้อผ้าของตัวเองเดินไปเข้าห้องน้ำ เธอปิดล็อกประตู ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย แต่เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกไปโดยที่เธอยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าพ้นจากพื้นกระเบื้องเลยด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างถูกโยนมาให้ ซึ่งมันกะทันหันมากเสียจนทำให้หญิงสาวเกือบรับเอาไว้ไม่ทัน
“อย่าลืมกล้องซะล่ะ” ดีพาดกระเป๋ากีฬาของตัวเองไว้บนไหล่ซ้ายขณะเดินผ่านหน้าเธอไป เขาหมุนลูกบิดเปิดประตูแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองจึงรู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มโยนมาให้เมื่อครู่นั้นคือแซนวิชทูน่า มีป้ายราคาพร้อมด้วยวันที่หมดอายุแปะีเอาไว้ตัวเบ้อเริ่ม เขาคงจะซื้อมาให้เป็นอาหารเช้าของเธอในวันนี้
น่าหงุดหงิดสิ้นดี
นี่เขาคิดจะเลี้ยงอาหารเธอทุกมื้อเลยหรือไง มีเจตนาดีหรือคิดจะดูถูกกันแน่น่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนเธอก็ไม่ชอบทั้งนั้น เพราะว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจนตรอกมากจนถึงกับไม่มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเอง อาจจะฟังดูเหมือนเป็นการคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียวก็จริง เพราะว่าจริงๆ แล้วเขาอาจจะแค่หวังดีก็ได้ แต่เธอก็มีศักดิ์ศรี มีแขน มีขา ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ เธอไม่ได้ตกต่ำจนถึงขนาดที่ต้องให้คนอื่นมาเลี้ยง แค่เรื่องที่เขาช่วยเธอออกมาจากโรงพยาบาลนั่นก็นับว่าเป็นหนี้บุญคุณมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องทับถมหนี้ให้มันสูงมากไปกว่านี้
ตราบใดที่เธอยังคงใช้ช้อนกินข้าวด้วยตัวเองได้ เธอก็ต้องหาเงินมาซื้อข้าวกินด้วยตัวเองได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องรีบใช้หนี้ให้มันหมดๆ ไป แล้วก็จะได้เป็นอิสระจากคนประหลาดแบบนี้เสียที
นาฬิกาดิจิตอลในรถของดีบอกเวลาแปดโมงสิบนาทีพอดีในตอนที่ทั้งสองออกมาจากโรงแรม เขาช่างเลือกเวลาได้แสนประเสริฐเหลือเกิน รถบนท้องถนนอัดแน่นกันเสียจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนไปข้างหน้าเลยสักนิด ดูจากสภาพในตอนนี้แล้วการจราจรในบริเวณนี้คงจะเป็นอัมพาตไปอีกนานแน่
ทันใดนั้นเองเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว จู่ๆ ดีก็ตัดสินใจหักพวงมาลัยตัดเลนทั้งสี่จากขวาสุดไปเข้าเลนซ้ายสุดเพื่อที่จะเลี้ยวออกไปขึ้นทางด่วน เรียกเสียงบีบแตรดังสนั่นกันไปทั่วทั้งถนนในทันใด
“ฉันไม่ค่อยชินกับการขับรถเท่าไหร่” เสียงเรียบพึมพำข้อแก้ตัวของตัวเองในขณะที่ยังคงมองตรงไปข้างหน้า
ไม่ชินงั้นเหรอ ฟังดูเป็นข้ออ้างที่ทุเรศชะมัด นั่นมันปัญหาของตัวเขาเอง ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาใช้อ้างในการสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้ถนนคนอื่นได้สักหน่อย
“งั้นปกตินายใช้อะไร เฮลิคอปเตอร์งั้นเรอะ” เมย์แขวะใส่คนข้างตัวด้วยความรู้สึกหมั่นไส้
ดียักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยที่ถูกประชด
“ตอนนี้เวลาสำคัญที่สุด เธอเองก็น่าจะรู้นี่ว่าเวลามันสำคัญขนาดไหน”
ใช่ เธอรู้ดีว่าเวลาสำคัญ แต่เธอก็ไม่ได้มองว่าเวลาของตัวเองนั้นสำคัญที่สุดจนถึงกับต้องเอาเปรียบคนอื่นเหมือนอย่างเขา
แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกับดีมาได้แค่ไม่กี่วัน แต่หญิงสาวกลับสามารถเขียนข้อเสียของอีกฝ่ายได้ยาวเป็นพรืดเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความพิลึกพิลั่นที่ดูผิดเพี้ยนไปจากคนปกติทั่วไปนั่น ตรรกะความคิดอันแสนวิบัติ การชอบอมพะนำทุกอย่างเอาไว้ การฝ่าฝืนกฎ แถมยังดูมีลับลมคมในแบบแปลกๆ และดูมีพิรุธยังไงชอบกล
และข้อล่าสุด มารยาทบนท้องถนนห่วยแตกเข้าขั้นวิกฤต
ถ้าจะต้องทนอยู่กับเขาอย่างนี้ต่อไปอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์ล่ะก็ รายการข้อเสียในหัวของเธอคงจะเรียงยาวลงมาเป็นร้อยๆ ข้อแน่
“ถ้าประธานนั่งแท่นผู้บริหารไม่ยอมบริหารงานในบริษัท กลไกการทำงานของห่วงโซ่ทั้งหลายคงจะรวนน่าดู” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ
เมย์หันไปมองคนข้างตัวด้วยสายตางุนงง ไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า จู่ๆ ดีก็โพล่งอะไรก็ไม่รู้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่เขาตั้งใจจะพูดอะไรกับเธอหรือเปล่าน่ะ หรือว่าแค่บ่นเฉยๆ โดยที่ไม่ได้มีประเด็นสำคัญอะไร
“เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นจริงมั้ย พวกเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นคงจะต้องลำบากแน่ แล้วตระกูลอัครพงศ์ไพบูรณ์ก็คงจะต้องย่อยยับ แค่คนคนเดียว กลับทำให้ทั้งตระกูลถึงกับล้มละลายได้นี่น่าทึ่งไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ แต่มันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ เธอเองก็เคยได้ยินชื่อตระกูลนี้อยู่แล้วนี่เนอะ” ดีพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่ ไม่เคย เธอควรที่จะต้องเคยได้ยินชื่อตระกูลอะไรนั่นด้วยเรอะ
หญิงสาวขมวดคิ้วน้อยๆ ให้กับข้อสรุปอันสุดแสนจะมั่วของเขา ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะไปต่อบทสนทนาด้วยดีหรือไม่ในเมื่อเรื่องเล่าของอีกฝ่ายนั้นเป็นแบบประเภทที่หาประเด็นหลักไม่ได้
“สามเดือนก่อนการเงินของบริษัทยังราบรื่นเป็นปกติดีอยู่แท้ๆ แต่แล้วพฤติกรรมของเขาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยไปสนามกอล์ฟทุกๆ อาทิตย์ จู่ๆ ก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ฉันคิดว่าคนในครอบครัวก็คงจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ แต่ก็คงเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เพราะว่าคนที่กุมอำนาจทางการเงินทั้งหมดเอาไว้นั้นก็คือเขา เพราะฉะนั้นจึงยิ่งเป็นทางสะดวกของมันที่จะทำลายบริษัทซะ มันอาจจะคิดว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามปกติเหมือนก่อนหน้านี้ แต่พอมาดูดีๆ แล้วกลับมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอยู่ชัดมาก เขาทำให้กลไกการทำงานต่างๆ ในบริษัทปั่นป่วนไปหมด การเข้าสังคมก็ไม่เหมือนเดิม จากคนที่เคยเข้าสังคมอยู่ประจำ กลับกลายเป็นคนที่ไม่ได้ไปงานสังสรรค์ต่างๆ เลย แม้แต่งานรวมรุ่นเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ไม่ได้ไป พะ...”
“เดี๋ยว เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อนนะ นี่นายกำลังพูดถึงใครอยู่น่ะ” อีกฝ่ายเอาแต่พล่ามอะไรก็ไม่รู้ยาวเหยียดอยู่ได้ ในที่สุดเมย์ก็ต้องโพล่งถามออกไปด้วยความรำคาญเพราะทนฟังทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ต่อไปไม่ไหว
“เอกสิทธิ์ อัครพงศ์ไพบูรณ์ไง เจ้าของบริษัทอัคราน่ะ เธอไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย แต่เอาเถอะ ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหนมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาเป็นว่าเอกสิทธิ์มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด ดังนั้นพวกเราจึงต้องไปจัดการมันยังไงล่ะ”
“หมายถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคุณเอกสิทธิ์เปลี่ยนไปน่ะเหรอ แล้วจัดการมันที่ว่านี่คือจัดการอะไรกันล่ะ”
“เมื่อก่อนเขาจะพาครอบครัวไปภัตตาคารเวิร์ลฟร้อนเป็นประจำทุกเย็นวันพุธ แต่จู่ๆ เขาก็เลิกไปโดยสิ้นเชิง แล้วก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนอีกเลยนอกจากไปบริษัท แถมกำหนดการประจำวันของเขาก็ยังเปลี่ยนไปอีกด้วย ตามปกติแล้วเอกสิทธิ์มักจะออกจากบ้านตอนสิบเอ็ดโมงและออกจากบริษัทตอนประมาณสองทุ่ม เวลาในแต่ละวันยืดหยุ่นไม่เหมือนกัน แต่ตลอดสามเดือนที่ผ่านมานี้ เขาออกจากบ้านตอนหกโมงเช้าและออกจากบริษัทตอนห้าทุ่มตรงเหมือนกันทุกวัน แล้วก็ปิดไฟห้องนอนตอนตีหนึ่งพอดีอีกต่างหาก”
รายการชีวิตประจำวันของคุณเอกสิทธิ์ที่คนข้างกายสาธยายมาให้ฟังนั้นทำให้หญิงสาวต้องตกตะลึง มองชายหนุ่มข้างกายอย่างอึ้งๆ นี่เขาไปเอารายละเอียดยิบย่อยพวกนี้มาจากไหนกัน ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ แถมยังไม่ใช่แค่รู้คร่าวๆ เท่านั้น แต่กลับสามารถระบุเวลาชัดเจนได้อีกด้วย ฟังดูเหมือนกับว่าเขาไปตามสืบชีวิตของคุณเอกสิทธิ์อะไรนี่มาไม่มีผิดเลย
สตอล์กเกอร์
ดีต้องเป็นสตอล์กเกอร์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง
“...นายเป็นสตอล์กเกอร์ใช่มั้ย”
คนถูกถามยกมุมปากขึ้นนิดๆ ปรือตาลงเล็กน้อยขณะเหลือบสายตามาทางเธอ
“ถือว่าเป็นโชคดีของเธอนะที่ได้มาอยู่ฝั่งเดียวกันกับฉัน เพราะว่าฉันรู้ทุกอย่าง” ประโยคหยิ่งผยองนั้นให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อต้องการโอ้อวดหรือต้องการที่จะกวนประสาทแต่อย่างใด
“แล้วที่ว่าไป ‘จัดการมัน’ อะไรนั่นล่ะ”
“เธอลองมองไปที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้านะ แล้วบอกฉันมาสิว่าตรงนั้นมีคนยืนอยู่กี่คน” ชายหนุ่มเมินคำถามของเธอโดยสิ้นเชิง
เปลี่ยนเรื่องกันดื้อๆ อย่างนี้เลยนะ
หญิงสาวนิ่วหน้าน้อยๆ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
ตอนนี้เป็นช่วงที่รถติดไฟแดงพอดีจึงทำให้เมย์สามารถนับคนตรงป้ายรถเมล์ได้ตามที่อีกฝ่ายบอกให้ทำ แต่เธอก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาจะให้ทำไปทำไม เบี่ยงประเด็นอีกแล้วงั้นเหรอ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะไม่ยอมตอบคำถามของเธอเลยหรือไง
“สิบสามคน” หญิงสาวตอบอย่างเซ็งๆ ขณะมองคนเหล่านั้นใช้ชีวิตของตัวเองกันไปตามปกติ รู้สึกรำคาญที่ดีเอาแต่เปลี่ยนเรื่องไปมาอยู่ได้
มีอยู่สี่คนที่ยืนชิดขอบมากเสียจนแทบจะลงมายืนรอบนถนน และอีกสี่คนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน มีห้าคนกำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้โดยที่สามในห้านั้นเอาแต่นั่งนิ่งๆ ก้มหน้ามองพื้น แววตาเหม่อลอยราวกับว่าทั้งสามคนนั้นไม่ได้กำลังรอรถเมล์อยู่ ดูแล้วชักจะให้ความรู้สึกหม่นหมองและห่อเหี่ยวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ต่างจากอีกสองคนที่นั่งพูดคุยกันอย่างร่าเริงอยู่ตรงริมสุดของเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง ยิ่งมองเทียบกันก็ยิ่งทำให้สังเกตเห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นขยับเขยื้อนดูเป็นธรรมชาติ
ดู ‘มีชีวิต’
“จริงๆ แล้วมีอยู่แค่สิบคนเท่านั้นแหละ”
ทันทีที่ได้ยินดีแย้งกลับมาแบบนั้นเมย์ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พร้อมกับจ้องเขม็งตรงไปยังกลุ่มคนตรงป้ายรถเมล์อย่างงุนงง
สิบคน? มันจะมีแค่สิบคนไปได้ยังไงกัน ในเมื่อก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีทั้งหมดสิบสามคน
นี่เขามีปัญหาทางสายตาหรือว่านับเลขไม่ถูกกันแน่
“อีกสามคนที่เธอเห็นเกินมานั้นไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นวิญญาณที่ปะปนอยู่รวมกับมนุษย์ในสังคมปกติน่ะ”
หา!?
“เดี๋ยวนะ นี่นายกำลังพูดเล่นอยู่ใช่มั้ย ก็ฉันเห็นอยู่ว่ามันมีสิบสามคน แล้วทุกคนก็ดูเป็นคนจริงๆ จะบอกว่าฉันกำลังเห็นผีอยู่งั้นเหรอ ตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้เนี่ยนะ”
“แบ่งแยกอีกแล้ว” เสียงเรียบบ่นพึมพำเบาๆ
แบ่งแยกบ้าอะไร! มีใครเขาเห็นผีในตอนกลางวันกันบ้าง เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มาหาว่าเธอเห็นผี แถมยังมาพูดพล่อยๆ กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นผีอีกต่างหาก!
“คนธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็นพวกมันหรอก มีแค่เธอเท่านั้นแหละที่สามารถมองเห็นพวกมันได้ แต่ก็มีวิธีที่สามารถทำให้คนทั่วไปมองเห็นได้เหมือนกันล่ะนะ” ดีพูดต่อขณะเข้าเกียร์เตรียมเคลื่อนรถตามคันข้างหน้า “เธอไม่เชื่อฉันล่ะสิ”
หญิงสาวแค่นหัวเราะออกมาทันควัน
มันแน่อยู่แล้ว! เขาก็แค่จงใจพูดหลอกเธอเท่านั้น เธอไม่หลงเชื่ออะไรไร้สาระแบบนี้แน่ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว
ทันใดนั้นเองดีก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในตึกแห่งหนึ่งทั้งๆ ที่ขับมาด้วยความเร็วสูง
การเลี้ยวอย่างกะทันหันก่อให้เกิดแรงเหวี่ยงจนแขนซ้ายของหญิงสาวอัดเข้ากับประตูรถ แรงกระแทกทำให้เมย์รู้สึกเจ็บตรงแขนซ้ายแต่ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก หลังจากนั้นดีก็ผ่อนความเร็วของรถลงก่อนที่จะเลื่อนกระจกลงเพื่อแลกบัตร ขับต่อไปได้อีกประมาณสิบกว่าเมตรเขาก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปในอาคารจอดรถ แล้วขับขึ้นชั้นบนไปเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นสี่
“สิ่งที่ทำให้สังคมตัดสินว่าเธอ ‘แตกต่าง’ หรือ ‘มีอาการทางจิต’ ก็คือการเห็นภาพหลอน ซึ่งสิ่งที่เธอเห็นนั้นมีอยู่จริง แต่คนส่วนมากกลับใช้ความเป็นส่วนมากของพวกเขามาขีดเส้นแบ่งกั้น พร้อมกับตัดสินตัวเธอว่าแปลกแยกและไม่ปกติ โดยที่ไม่ได้คิดย้อนกลับกันเลยว่าพวกเขาอาจจะเป็นฝ่ายผิดปกติที่มองไม่เห็นเองก็ได้” ชายหนุ่มหันมาส่งรอยยิ้มเร็วๆ ให้กับเธอหนึ่งทีพร้อมกับเข้าเกียร์ถอยหลังเพื่อถอยรถเข้าซอง “เหมือนอย่างคดีร้านเค้กนั่นไง”
“นายจะบอกว่าฉันปกติ แต่คนอื่นๆ รวมทั้งตัวนายเองกลับเป็นพวกผิดปกติงั้นสิ”
“เธอนี่ชอบแบ่งแยกจริงๆ เลยนะ” ดีกลอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ ก่อนที่จะหันไปดับเครื่องยนต์
คำว่าแบ่งแยกของเขาทำให้เธอรู้สึกเคืองทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเขาจะพูดบ่นอะไรกันนักกันหนา เธอไม่ได้แบ่งแยก เธอก็แค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้น
“บางทีเธออาจจะปกติ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะผิดปกติ ความเป็นปกติของเธอไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคนที่แตกต่างออกไปนั้นผิดปกติ ถ้าเธอลองพยายามไม่ไปคิดแบ่งแยกดูสักห้าวิ มันอาจจะทำให้เธอรู้ก็ได้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ได้มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจนเสมอไป แต่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว เหมือนกับถนนสองเส้นที่ลาดยาวขนานกัน ไม่ได้ตัดผ่านกันเหมือนอย่างที่เธอกำลังพยายามคิดว่ามันเป็น”
ประโยคยาวเหยียดนั้นฟังดูสวยหรูอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะยึดตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินอะไรทั้งนั้น เธอไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการตัดสินค่านิยมอะไรทั้งสิ้น ผู้ที่มีอำนาจก็คือสังคม ไม่ใช่คนเพียงแค่คนเดียวสักหน่อย
“ถ้านายอยากจะให้ฉันเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ นายก็ต้องมีหลักฐานมาพิสูจน์” หญิงสาวยกสองแขนขึ้นกอดอกพร้อมกับเชิดคางขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย
ดีไม่ตอบอะไรโดยที่ยังคงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้ จากนั้นเขาก็หันไปเปิดประตูลงไปจากรถโดยที่ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ
เมย์ตัดสินใจลงมาจากรถด้วยเช่นกัน อากาศภายในอาคารจอดรถค่อนข้างอบอ้าวและไม่ค่อยถ่ายเทสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังมืดสลัวทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวันแท้ๆ นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและอันตรายอีกต่างหาก คงจะเป็นเพราะว่ารูปแบบกำแพงของอาคารจอดรถแห่งนี้ไม่ค่อยมีช่องว่างที่จะทำให้แสงแดดลอดผ่านเข้ามาได้สักเท่าไหร่นัก
เสียงล็อกประตูรถดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเอง จากนั้นก็เดินอ้อมหน้ารถเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นสิ่งของที่อยู่ในมือส่งมาให้เธอ
อะไรน่ะ? แท่งเหล็กบางๆ สีเงิน
“คันริมสุดโน่น” ดีพะเยิดหน้าไปยังรถเบนซ์สีดำหรูคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามติดกับทางขึ้นไปยังชั้นบน ก่อนที่จะหันมาส่งรอยยิ้มไร้อารมณ์ให้เธอหนึ่งที
หญิงสาวก้มมองแท่งเหล็กสีเงินที่อยู่ในมือสลับกับรถเบนซ์คันนั้นอย่างงงงวย นี่เขาต้องการจะให้เธอทำอะไรกันล่ะเนี่ย
“จะให้ฉันทำอะไรน่ะ” เมย์ชูแท่งเหล็กในมือขึ้นอย่างงงๆ
“รถคันนั้นไง รถของคุณเอกสิทธิ์ แล้วที่นี่ก็เป็นอาคารจอดรถของบริษัทอัครา” เสียงเรียบเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างเขาคงจะขอคุยด้วยยากหน่อย เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องทำแบบนี้ไง”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเห็นวิญญาณของเธอน่ะ? หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดขณะพยายามคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้กับเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน
เขาต้องการให้เธอทำอะไรสักอย่างกับรถเบนซ์คันนั้น แล้วไอ้แท่งเหล็กนี่มันคืออะไรกันล่ะ
เดี๋ยวนะ หรือว่ามันจะเอาไว้ใช้...
เฮ้ย! นี่เขาต้องการจะให้เธองัดรถเหรอเนี่ย!?
“นายจะบ้ารึไง! ฉะ...” เมย์เริ่มร้องโวยวาย แต่แล้วก็เห็นอีกฝ่ายยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบริมฝีปากเป็นการบอกใบ้ว่าให้พูดเสียงเบาๆ ดังนั้นเธอจึงต้องเปลี่ยนไปใช้การขยับปากเป็นคำโดยที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแทน
‘ฉัน ไม่ ทำ’
ชายหนุ่มทำหน้าสลดด้วยความผิดหวัง แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการเสแสร้งเสียมากกว่า ชั่วพริบตาเดียวต่อมาใบหน้าหม่นหมองก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าราบเรียบ ประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ ดูไร้อารมณ์เหมือนทุกที
ดีแบมือขอแท่งเหล็กคืนแล้วเดินตรงไปยังรถเบนซ์คันเป้าหมาย เมย์เห็นเขาหยุดยืนอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับ ก้มลงไปทำอะไรสักอย่างกับประตูรถซึ่งเธอมองไม่เห็นเพราะว่าตัวรถบังพอดี แต่อีกไม่ถึงสองนาทีต่อมาเขาก็ยืดตัวขึ้น เหลือบสายตามองมาทางเธอพร้อมกับพยักหน้าเรียกให้เธอเข้าไปหา
หญิงสาวได้แต่ยืนขาแข็งอยู่กับที่ ไม่กล้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย เธอไม่รู้ว่าดีคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คือเขาเพิ่งจะงัดรถของคนอื่นต่อหน้าต่อตาเธอ เขาคิดจะขโมยรถงั้นเหรอ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับการคุยกับคุณเอกสิทธิ์ตรงไหนกัน ไม่สิ เรื่องพวกนี้มันไปเกี่ยวอะไรกับการมองเห็นผีของเธอต่างหาก เธอต้องมาทำอะไรที่นี่กันแน่ เขาต้องการให้เธอมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักทรัพย์หรือไง
ในระหว่างที่เมย์กำลังคิดสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเอง ดีก็เดินเข้ามายืนตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จึงทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ ดีเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เป็นเชิงถาม แต่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบกลับไปยังไงดี
“...นายคิดจะทำอะไรน่ะ”
“ดักรอ”
“แค่ดักรอ ถึงกับต้องมางัดรถของเขาเลยเหรอไง”
“เพราะดักรอ พวกเราถึงต้องมางัดรถของเขาต่างหาก” เขาแย้งกลับมาในทันที
หลังจากนั้นดีก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เขายืนมองเธอด้วยสีหน้าเรียบๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเขาจึงเดินกลับไปยังรถเบนซ์สีดำคันเดิม
ตั้งสติ
เธอต้องตั้งสติก่อน มัวแต่ยืนคิดโน่นคิดนี่อยู่อย่างนี้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยากมีส่วนร่วมอะไรกับภารกิจบ้าๆ ของเขานี่เลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็สัญญาไปแล้วว่าจะให้ความร่วมมือด้วย แล้วเธอก็ไม่ได้หนีออกมาจากโรงพยาบาลนั่นได้อย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเธอในตอนนี้จึงเป็นเพียงแค่อาชญากรหลบหนีคนหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้เธออยากจะหนีไปจากเขามากแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะยังไงเธอก็คงยังทำไม่ได้อยู่ดี
ยัง ทำไม่ได้
ดีหันหลังกลับมามอง ก่อนที่จะยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าไปหา
ชายหนุ่มเดินกลับมาสมทบกันครึ่งทาง แล้วบอกให้เธอกลับไปเอากล้องและขาตั้งมาวางเตรียมเอาไว้ตรงท้ายกระโปรงรถซึ่งเป็นจุดที่หลบอยู่ในมุมมืดพอดี หญิงสาวทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะเอากล้องมาถ่ายอะไรในที่แบบนี้กัน
จากนั้นดีก็ให้เธอตั้งเวลาถ่ายวิดีโอล่วงหน้าพร้อมกับบอกว่าคุณเอกสิทธิ์จะออกมาใช้รถตอนเก้าโมงครึ่งเพื่อไปคุยงานกับลูกค้า แล้วก็ออกคำสั่งให้เธอเข้าไปแอบซ่อนตัวตรงเบาะหลัง ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงยี่สิบกว่านาทีแล้วจึงเหลืออีกแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้เธอได้ข้อสรุปแน่ชัดแล้วว่าดีเป็นสตอล์กเกอร์แน่นอน
เวลาของการรอคอยช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนานเหลือเกิน คงจะเป็นเพราะว่าเธอต้องซุกตัวหลบอยู่ตรงหลังพนักที่นั่งคนขับ นั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำทั้งนั้น ยิ่งไม่มีอะไรทำเธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
ดีบอกว่าเขาจะเป็นคนดูต้นทางเอง แต่เมย์ก็ไม่เห็นเขาอีกเลยหลังจากที่ละสายตาจากเขาไปได้เพียงแค่แวบเดียว
หรือว่าดีจะพาเธอที่นี่เพื่อให้เธอถูกจับหรือเปล่านะ เขาบอกให้เธองัดรถเมื่อกี้นี้เพราะว่าต้องการจะใส่ร้ายเธอหรือเปล่า แต่เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ดีอยู่แล้วด้วย หรือว่าเขาจะตั้งใจพาเธอมาที่นี่เพื่อที่จะทำร้ายเธอ หรือว่า หรือว่าเขาจะเป็นตำรวจที่ต้องการเอาตัวเธอไปดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่พอเธอเป็นคนไข้โรคจิตเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพาเธอหนีออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อที่จะทำให้เธอเป็นอาชญากรหลบหนี แล้วก็จะได้เพิ่มข้อหาในการจับเธอหรือเปล่า เธอไม่รู้ว่าทำแบบนั้นได้มั้ย แต่ยิ่งไม่รู้มันก็ยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่ หรือว่าเขาจะกุเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้น เธอกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวมันจะเป็นเรื่องจริง แต่เธอก็ไม่กล้าหนีออกไปจากรถ เพราะไม่รู้ว่าดีวางกับดักอะไรไว้หรือเปล่า เขาอาจจะเห็นเธอเป็นหนูทดลองอะไรสักอย่างก็ได้ ไม่แน่ว่าคุณเอกสิทธิ์อะไรนี่ก็อาจจะเป็นพวกเดียวกับเขาในการทำร้ายเธอด้วยก็ได้
เสียงเปิดประตูรถทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับรีบซุกตัวเองเข้าไปในมุมมืดมากขึ้นอีกโดยอัตโนมัติ
กระเป๋ากีฬาของดีถูกโยนเข้ามาข้างใน
เขาคิดจะฆ่าเธอในนี้งั้นเหรอ!?
แต่แล้วชายหนุ่มก็ปิดประตู เมย์มองผ่านกระจก เห็นเขาเดินไปยืนนิ่งอยู่ข้างๆ กล้องซึ่งวางอยู่ตรงกระโปรงหลังรถโดยที่ไม่ได้แอบซ่อนตัวหรือทำอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกสงสัยและยิ่งจ้องเขาไม่วางตาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
เสียงเปิดประตูรถดังขึ้นอีกครั้งในอีกไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมา พร้อมกับที่มีใครสักคนเข้ามานั่งข้างในตรงที่นั่งคนขับ หญิงสาวมองไม่เห็นอีกฝ่ายเนื่องจากเธอกำลังหลบอยู่หลังพนักเบาะของฝั่งคนขับพอดี แต่ที่แน่ๆ คือใครคนนั้นต้องไม่ใช่ดี เพราะว่าเธอยังเห็นเขายืนอยู่ที่เดิมอยู่เลย
บุคคลปริศนาสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่แล้วเมย์ก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายดึงสายเข็มขัดไปคาดโดยที่มีเส้นผมของเธอเข้าไปเกี่ยวอยู่ด้วย
“ใครน่ะ!?” เสียงโวยวายด้วยความตกใจดังขึ้นทันที “เธอเข้ามาในนี้ได้ยังไง!?”
หญิงสาวค่อยๆ เขยิบตัวกลับขึ้นมานั่งอยู่บนเบาะพลางก้มหน้ามองไปที่เท้าของตัวเอง เบิกตากว้างด้วยความตื่นกลัวเมื่อต้องตกอยู่ในสภาวะทำอะไรไม่ถูก เสียงของอีกฝ่ายฟังดูตกใจมากที่เห็นเธอ แสดงว่าเขาต้องไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับดี ถ้าอย่างนั้นเธอควรที่จะตอบกลับไปว่าอย่างไรกันล่ะ มาดักรองั้นเหรอ แต่เธอก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะทำไปทำไม หรือว่าจะบอกว่ามาซ่อนตัว แต่ว่านี่มันเป็นรถของเขานะ เธอจะมาซ่อนตัวอยู่ในรถของเขาทำไม ไม่สิ เธอไม่ควรที่จะเข้ามาข้างในได้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
เมย์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของรถพร้อมกับพยายามคิดหาคำตอบในหัวอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วก็ต้องคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะทันทีที่เห็นใบหน้าของคนตรงหน้า
ไม่จริง
ปีศาจ!
นัยน์ตาสีเลือดสดเหลือบขึ้นมามองสบตากับเธอ ก่อนจะแยกเขี้ยวเผยให้เห็นแผงฟันแหลมคมสีดำสนิทเรียงกันระเกะระกะ น้ำลายค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากปาก จมูกแบนราบไปกับหนังหุ้มกระโหลกบนใบหน้า ผิวหนังสีเทาแก่มีคราบหรือเมือกอะไรบางอย่างชะโลมไปบนผิวแห้งติดกระดูกทั่วทั้งตัวอย่างน่าสะอิดสะเอียน แขนขาเก้งก้างเกาะไขว้พันธการอยู่บนลำตัวของชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคุณเอกสิทธิ์
หญิงสาวเบิกตากว้าง มองภาพสยดสยองเบื้องหน้าพร้อมกับกรีดร้องเสียงลั่น เธอพยายามออกคำสั่งให้เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงมา แต่ความหวาดผวากลับทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นอัมพาต นั่งตัวแข็งค้างอยู่กับที่ ไม่สามารถแม้แต่จะกระพริบตาได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน ถึงดีจะบอกว่ามันเป็นวิญญาณร้ายที่กลายเป็นปีศาจ แต่เจ้า ‘สัตว์ประหลาด’ ตรงหน้ากลับทำให้เธอนึกสภาพที่เคยเป็นมนุษย์ของมันไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“เปิดกระเป๋า” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างตัวทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ จู่ๆ ดีก็เข้ามานั่งอยู่ข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เปิดกระเป๋าสิ!” ชายหนุ่มตะโกนย้ำคำสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังคงนั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก
คนถูกสั่งหันรีหันขวาง มองหากระเป๋าก่อนที่จะคว้ามันมาเปิดออกอย่างรีบร้อน ข้างในยังคงเป็นปืนสองกระบอกและขวดโหลยักษ์อีกใบหนึ่ง
เมย์หลับตาปี๋ด้วยความหวาดเสียวทันควันเมื่อคิดเชื่อมโยงสถานการณ์ในปัจจุบันเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านเค้กนั่น
ไม่นะ!
ทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นหอมของใบชาลอยฟุ้งเข้ามาแตะจมูก กลิ่นของมันตลบอบอวลไปทั่วทั้งรถจนทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย
ดีออกไปจากรถแล้ว แต่ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง
เจ้าสัตว์ประหลาดกำลังบิดตัวไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดโดยมีชายวัยกลางคนกำลังฉีกร่างของมันอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งคู่ถูกปกคลุมไปด้วยใบชาแห้งจำนวนมหาศาลขณะกำลังฉีกกระชากเนื้อรวมทั้งอวัยวะของกันและกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากชิ้นเนื้อที่ถูกกระชากออกนั้นกลับเข้ามารวมกันได้ใหม่อีกครั้ง
เสียงฉีกขาดฟังคล้ายเสียงยามที่เธอกัดชิ้นเนื้อไก่ แต่ดังก้องกว่านั้นหลายเท่านัก คล้ายกับเสียงตอนที่เธอกำลังฉีกเนื้อไก่ร้อยๆ ชิ้นพร้อมกัน และมีเนื้อหรือไม่ก็มันไก่ซึ่งติดอยู่ตรงกระดูกได้กระเด็นออกมาหลังจากนั้น ภาพความทรงจำในหัวฉายปรากฏให้เห็นรายละเอียดทุกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกระดูกขาวๆ ของเนื้อไก่ หรือจะเป็นเนื้อสีแดงสดของมัน
แต่แล้วไก่บนจานของเธอก็ถูกซ้อนทับด้วยร่างของชายต่างวัยทั้งสองตรงหน้า ซึ่งถูกฉีกแหวะออกจากกันจนเห็นเนื้อดิบภายใน รวมทั้งกระดูกและเลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทั่วทั้งคันรถ
เป็นเสียงและภาพอันน่าสยดสยองที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอาเจียนขึ้นมาในทันใด
เมย์สะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆ ที่กระเด็นมาโดนบริเวณใบหน้า เป็นการกระตุ้นให้สติของเธอกลับคืนมาและได้กลิ่นเผาไหม้ลอยปะปนมากับกลิ่นใบชา หญิงสาวเผลอมองไปยังใบชาบนร่างเนื้อทั้งสองจึงสังเกตเห็นว่าใบชามีฤทธิ์ทำให้เลือดและเนื้อสีแดงสดค่อยๆ สลายเป็นผุยผงไปกับอากาศทีละนิด
การต่อสู้ตรงหน้าสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเป็นฝ่ายที่ต้องแยกตัวออกมา ก่อนที่จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
รวมทั้งเศษเนื้อและรอยเลือดที่สาดกระจายไปทั่วทั้งรถด้วยเช่นกัน
“วิญญาณร้ายออกไปจากร่างแล้วล่ะ” ประตูรถทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับที่ดีก้มตัวลงมา พะเยิดหน้ามายังกระเป๋ากีฬาของตัวเองที่วางอยู่ข้างๆ เธอ “ปิดกระเป๋าเลย ไม่ต้องใช้แล้ว”
หญิงสาวค่อยๆ หันไปรูดซิปปิดกระเป๋าตามคำสั่งอย่างงงงวยราวกับคนขาดสติ ก่อนจะเผลอเหลือบมองเข้าไปในกระเป๋าเล็กน้อยจึงเห็นว่าขวดโหลปริศนานั้นถูกเปิดฝาออก เผยให้เห็นว่าภายในขวดมีใบชาแห้งหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง
ภาพอันน่าสยองขวัญเมื่อครู่ปรากฏชัดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
เมย์รีบพุ่งตัวออกไปจากรถทันที โก่งตัวอาเจียนอยู่ข้างล้อรถโดยที่ไม่มีอะไรออกมาอย่างน่าสมเพช
“เมื่อกี้เป็นการไล่วิญญาณร้ายให้ออกไปจากร่างของเอกสิทธิ์น่ะ ก็เลยต้องใช้ใบชาแห้งเยอะ แต่ถ้าเธอแพ้มันถึงขนาดนี้ก็น่าจะบอกกันสักหน่อย ฉันก็นึกว่าเธอตกใจกลัวตอนที่เปิดกระเป๋าดูเมื่อเช้าเพราะเห็นว่าขวดมันใหญ่” เสียงเรียบของดีดังขึ้นข้างๆ ตัว
นี่เขาประสาทกลับรึไง เธออยากจะหันไปตะโกนใส่เขาให้สุดเสียงเหลือเกินว่าเธอไม่ได้แพ้ใบชาแห้ง แล้วสาเหตุที่ตกใจก็เป็นเพราะว่าเห็นปืนต่างหากเล่า แต่ความรู้สึกพะอืดพะอมและอาการอ่อนเพลียจากการอาเจียนกลับทำให้เมย์ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วยทั้งนั้น จึงได้แต่คิดแย้งกลับไปในใจอย่างหงุดหงิดอยู่ฝ่ายเดียว
“แล้วเธอยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกมั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะหันกลับไปมอง ‘คุณเอกสิทธิ์’ ที่กำลังหมดสติอยู่ในรถ
คำถามของเขาฟังดูกวนประสาทจนน่าโมโห แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะชวนทะเลาะอะไรไร้สาระ
“นาย...” เสียงพึมพำพูดเกริ่นพร้อมกับพยายามคิดเรียบเรียงคำพูดออกมา “...นายรู้ได้ไงว่าวิญญาณร้ายออกไปจากร่างแล้วน่ะ”
ดีมองไม่เห็นวิญญาณ
เขาต้องมองไม่เห็นวิญญาณสิ เขาถึงได้ต้องการให้เธอมาเป็นผู้ช่วยล่าวิญญาณ แถมอีกฝ่ายก็ยังเคยบอกก่อนหน้านี้เลยด้วยว่า เป็นเพราะเธอสามารถมองเห็นวิญญาณได้ เขาถึงได้พาตัวเธอออกมาจากโรงพยาบาลบ้า
...ไม่ใช่เหรอ?
คนถูกถามหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย เขายกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆ โดยที่ไม่พูดตอบอะไร ความเงียบงันของอาคารจอดรถทำให้เมย์ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองดังระรัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันกำลังจะทะลุออกมาจากอก
เปิดม่าน
เมย์นั่งมองระเบียงห้องพักของตัวเองผ่านบานประตูกระจกอย่างงงๆ พยายามนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาว่าจริงๆ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ดีพาเธอออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิตในตอนเช้า แล้วก็พาเธอมาส่งบ้านก่อนที่จะหายตัวไป หลายชั่วโมงต่อมาเขาก็โทรมาเรียกให้เธอออกไปหาเขาที่ร้านกาแฟ แล้วก็ตบท้ายด้วยการบอกว่าเธอตายไปแล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้เธอต้องยืนมองโทรศัพท์ในมือค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความมึนงง ได้ยินเสียงตื๊ดลากยาวอยู่พักใหญ่จนกระทั่งไม่มีเสียงอะไรอีกนอกจากความเงียบงัน
พลังงานสำรองที่เธอกักตุนเอาไว้ถูกใช้ไปกับการประมวลผลคำพูดของเขาก่อนหน้านั้นหมดไปแล้วเรียบร้อย ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกอีก หญิงสาวจึงตัดสินใจว่าจะไปถามเขาต่อหน้าเลยดีกว่า
แต่การพูดคุยกันหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้อะไรมากขึ้นอยู่ดี ดีลากตัวเธอขึ้นรถของเขาทันทีที่เห็นเธอก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในร้านกาแฟ จากนั้นเขาก็ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องเพลงบ้างล่ะ เรื่องสัตว์เลี้ยงบ้างล่ะ เหวี่ยงประเด็นไปมาจนเธอจับใจความไม่ได้ว่าเขากำลังพยายามที่จะทำอะไรกันแน่ หรือบางทีเขาอาจจะหลอกถามเรื่องของเธออยู่ก็ได้ เพราะว่าในตอนที่เธอเป็นฝ่ายถามกลับบ้างนั้นเขากลับไม่ยอมตอบอะไรเลย แล้วเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอะไรก็ไม่รู้จนทำให้เธอคิดตามไม่ทัน แต่แล้วเขาก็วกกลับมาถามเรื่องอื่นเกี่ยวกับเธอต่อจนเธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกสอบปากคำอยู่ แถมยังเป็นการสอบปากคำที่ทำให้เสียพลังงานมากกว่าการสอบปากคำจริงๆ เสียอีก
หลังจากขับรถต่อไปอีกสิบกว่านาที พวกเธอก็มาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ดีบอกกับเธอว่าเขาจองห้องพักสองห้องยาวตลอดหนึ่งอาทิตย์ และสั่งให้เธออยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลับไปที่บ้านอีก
เยี่ยม ปริศนางอกขึ้นมาอีกข้อจนได้ บางทีเขาอาจจะเป็นลูกชายคุณหนูของตระกูลไหนสักตระกูล มีเงินมากมายจนถึงกับต้องเอามาโปรยทิ้งเล่นด้วยการไปจ้างคนให้ทำเอกสารปลอมในการปล่อยตัวคนไข้โรคจิตออกมา แล้วก็พาตัวคนไข้คนนั้นมาพักที่โรงแรมยาวเป็นอาทิตย์ ช่างฟังดูไร้สาระสมกับที่เป็นคนไร้สาระไม่ใช่เล่น
หลังจากที่พวกเธอเช็กอินเรียบร้อยและขึ้นลิฟท์มาจนถึงหน้าห้องพัก ดีก็หันมาส่งรอยยิ้มเริงร่าให้เธอพร้อมกับบอกราตรีสวัสดิ์ ขอให้ฝันดี แล้วก็หายตัวเข้าห้องของตัวเองไปทั้งๆ อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังอย่างงงๆ เธอจึงเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงในห้องของตัวเองซึ่งอยู่ติดกันพอดี พลางคิดเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างสับสน
ดีต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
และเธอก็ดันบ้าเสียยิ่งกว่าบ้าที่ดันเสียสติตามคนบ้ามาถึงที่นี่ เธอจะตามเขามาทำไมกันล่ะเนี่ย อ้อ ใช่ บุญคุณต้องทดแทน ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งนึกเจ็บใจเหลือเกินที่ตัวเองต้องมาติดหนี้บุญคุณกับคนอื่นอยู่แบบนี้ แถมยังเป็นคนประหลาดอีกต่างหาก
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอกำลังจะ ‘ชดใช้บุญคุณ’ ที่ว่านั่นอยู่ก็ตาม แต่มันก็ช่างไร้ทิศทางและไร้จุดหมายเสียจนเธอไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เบื่อ
เมย์ถอนหายใจขณะกดรีโมทที่อยู่ในมือไปเรื่อยเปื่อย เนื่องจากไม่มีอะไรทำเธอจึงต้องเปิดทีวีดูเพื่อแก้เบื่อ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่ชอบดูทีวีหรือดูหนังอะไรสักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันเป็นการใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ เธอควรที่จะเอาเวลาไปทำงานบ้านหรืองานนอกบ้านดีกว่า แต่การนั่งอยู่เฉยๆ นั้นก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาไปอย่างไร้ค่าเสียยิ่งกว่าการดูทีวีเสียอีก เพราะว่าเวลาคือทุนที่คนเราทุกคนมีเหมือนๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้ทุนนั้นอย่างไรถึงจะสามารถสร้างกำไรให้กับชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
สามสิบนาทีต่อมา มื้ออาหารเย็นในวันที่แสนจะงงงวยของเธอวันนี้ก็มาถึง
รูมเซอร์วิส
ดีสั่งอาหารมาให้เธอถึงหกอย่าง เยอะเสียจนทำให้หญิงสาวหลงนึกสงสัยไปว่าเขาจะมากินด้วยกันหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนเขาก็ไม่มาเสียที ดังนั้นเมย์จึงตัดสินใจเดินออกไปเคาะประตูที่หน้าห้องพักของเขา
เงียบ
เธอลองเคาะดูอีกสองสามที
เงียบ
ไม่อยู่งั้นเหรอ
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา เมย์จึงตัดสินใจเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง บางทีการหายตัวไปอย่างปุบปับอยู่เรื่อยๆ แบบนี้อาจจะถือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาก็ได้ล่ะมั้ง
สุดท้ายแล้วอาหารทั้งหกจานก็ต้องถูกทิ้งขว้างไปอย่างน่าเสียดาย
ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่กินเยอะอะไรนัก และยิ่งมาอยู่ในสถานการณ์น่าปวดนี้ยิ่งทำให้ไม่มีความอยากอาหารใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังทำให้นอนไม่หลับอีกต่างหาก
เธอนอนหลับๆ ตื่นๆ ติดต่อกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว ภาพเหตุการณ์ในร้านเค้กเมื่อวันสองอาทิตย์ก่อนยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ เป็นเสมือนสิ่งย้ำเตือนให้เธอคิดสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองสมควรที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปกติแล้วแน่เหรอ ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นต้องตายไปอย่างน่าเศร้า แต่เธอกลับเป็นผู้รอดชีวิต แถมยังออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิตได้แล้วอีกต่างหาก ในหัวของเธอตอนนี้จึงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอตายไปแล้วอะไรนั่น แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าเธอยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ ยังหายใจเป็นปกติดี แล้วในตอนที่เดินเข้าโรงแรมมาเมื่อตอนเย็น พนักงานต้อนรับของโรงแรมก็ยังกล่าวทักทายเธออยู่เลย ถ้าหากว่าเธอตายไปแล้วจริงๆ ล่ะก็ พวกเขาก็ต้องมองไม่เห็นเธอสิ
แต่คนที่กุมคำตอบของคำถามเกือบทั้งหมดเอาไว้ก็ดันหายตัวไปเสียอย่างนั้น เธอไม่รู้ว่าเขาไปไหน ไปทำอะไร หรือจะกลับมาที่ห้องพักเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ
จนกระทั่งยามเช้าของวันถัดมา
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีเรียกให้เมย์ลุกจากเตียงไปที่ประตู แม้ว่าพอจะเดาออกอยู่ในใจว่าคนที่มาเคาะประตูนั้นเป็นใคร แต่เธอก็ยังอยากที่จะมองผ่านตาแมวออกไปดูก่อนเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช่คนที่คิดเอาไว้จริงๆ
“เธอยังอยู่ในชุดนอนอีกเหรอเนี่ย ฉันให้เวลาห้านาทีนะ” ดีพุ่งตัวเข้ามาในห้องทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เขาถือวิสาสะเดินเข้ามาจนถึงหน้าทีวีก่อนที่จะใช้มือซ้ายเหวี่ยงกระเป๋ากีฬาใบโตสีดำสนิทซึ่งเข้ากันกับสีชุดของตัวเองลงไปบนเตียง
นี่เขาเป็นอะไรกับเลขห้าหรือเปล่าน่ะ เมื่อวานก็ห้านาทีไปรอบหนึ่งแล้ว
หญิงสาวมองตามชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โซฟาริมประตูกระจกด้วยสายตาขุ่นเคือง เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอก ยืนจ้องคนตรงหน้าผู้ที่แสนจะไร้มารยาทและไม่เคยอ่านสถานการณ์ในปัจจุบันเลยสักครั้งอย่างไม่พอใจ
“สรุปแล้วนายจะไม่บอกอะไรฉันเลยใช่มั้ย”
“ฉันต้องบอกอะไรเธอด้วยเหรอ” อีกฝ่ายย้อนถามกลับด้วยสีหน้าใสซื่อ
นี่เขากำลังพูดเล่นอยู่ใช่มั้ย จะต้องบอกอะไรเธองั้นเหรอ ก็ต้องบอกมันทุกเรื่องเลยยังไงเล่า! ในเมื่อเขายังไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยแม้แต่อย่างเดียว!
“ก็ใช่น่ะสิ! อธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงจะต้องมาอยู่ที่โรงแรมนี่ ต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหน ต้องทำอะไรบ้าง แล้วยังจะเรื่องที่บอกว่าฉันตายไปแล้วอะไรนั่นอีก มีแต่เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจเต็มไปหมด! แล้วเมื่อวานจู่ๆ นายก็หายตัวไปเลย!” หญิงสาวระเบิดอารมณ์ใส่อย่างหงุดหงิด
ดียักไหล่น้อยๆ ราวกับว่าเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“คำตอบของคำถามเธอก็คือ เธอตายไปแล้วแค่ในนามเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ตายแบบตายไปจริงๆ ซะหน่อย ถ้าเกิดว่าเธอตายไปจริงๆ ล่ะก็ ฉันก็เอาเธอมาใช้งานไม่ได้น่ะสิ”
ช่างเป็นคำตอบที่กวนประสาทชะมัด แต่อย่างน้อยมันก็ยังพอฟังดูเป็นคำตอบมากกว่าอะไรก็ไม่รู้ที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีกว่าไอ้การตายแค่ในนามที่ว่านั่นมันหมายความว่ายังไง ถ้าลองแปลความหมายตรงตามคำเลยก็จะได้ว่ามีแค่ชื่อเท่านั้นที่ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็อาจจะหมายความได้ว่า เมธิภา เนตรฤดี ชื่อของเธอตายไปแล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ ทั้งๆ ที่ตัวเธอยังคงยืนอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ แต่เขาทำได้ยังไงกันล่ะ แล้วทำไปทำไม หรือว่ามันจะเกี่ยวอะไรกันกับการที่เธอหนีออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ ไม่แน่ว่าบางทีดีอาจจะลบชื่อของเธอออกจากระบบข้อมูลของโรงพยาบาลเพื่อพาตัวเธอออกมาหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ห้ามเธอไม่ให้บอกมิว แต่ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นแล้ว ตัวเธอในตอนนี้มีชื่อว่าอะไรกัน
ไม่สิ ตัวเธอในตอนนี้คือใครกันต่างหาก
ฆาตกรโรคจิต? ฆาตกรเฉยๆ? หรือว่าคนปกติธรรมดา? แต่ไม่ว่ายังไงก็คงจะไม่อยู่ในสถานะคนธรรมดาแน่นอน เธอจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไงกัน ในเมื่อตอนนี้เธอกำลังรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองต้องมาอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ยังไงก็ไม่รู้
เมย์กำรีโมทในมือแน่นด้วยความเครียดจัด ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกสับสนจนอยากจะล้มตัวนอนลงบนเตียงเพื่อพักสมองเหลือเกิน แต่พอหันไปที่เตียงแล้วเธอก็ต้องมองกระเป๋ากีฬาใบเบ้อเริ่มตรงหน้าอย่างฉงน เพราะว่ามันดูใหญ่เกินความจำเป็นจนน่าสงสัย เขาเอาอะไรใส่มาในนั้นน่ะ ไอ้การไปล่าวิญญาณนี่มันต้องใช้ของอะไรเยอะแยะขนาดนั้นเลยเหรอไง
“อะไรอยู่ในนี้น่ะ” หญิงสาวเดินไปที่เตียงก่อนที่จะรูดซิบเปิดดูข้างในด้วยความอยากรู้อยากเห็น เผยให้เห็นขวดโหลอะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่ากระเป๋า พร้อมด้วยกระบอกเหล็กสีเงินขนาดสั้นกับกระบอกเหล็กสีดำอีกกระบอกซึ่งมีขนาดยาวกว่ากันเล็กน้อย
ปืน!
“ทำมะ...!?” เมย์สะบัดมือออกจากกระเป๋าด้วยความตกใจทันที แล้วหันขวับไปจ้องผู้เป็นเจ้าของเขม็ง
ชายหนุ่มจ้องเธอกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอคิดว่าเราจะไปล่าวิญญาณกันมือเปล่ารึไง”
หญิงสาวอ้าปากค้าง มองใบหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ นี่มันปืนเชียวนะ! แล้วเธอก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้การล่าวิญญาณนี่มันคืออะไรกันแน่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงมีปืนอยู่ที่นี่ได้ แล้วอาวุธนี่ถูกกฎหมายหรือเปล่าน่ะ เขาไปเอามาได้ยังไง เอามาจากไหน จะเอาไปใช้ยิงอะไร หรือจะใช้ยิงใคร นี่เธอกำลังพัวพันอยู่กับอาชญากรรมอะไรสักอย่างอยู่หรือเปล่า!?
คำถามมากมายในหัวทำให้เมย์รู้สึกหวาดกลัวดีเสียจนอยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้เสียเดี๋ยวนี้
แต่จะหนีไปที่ไหนได้ล่ะ ไม่ว่าเธอจะหนีไปหลบอยู่ที่ไหน ไม่ช้าก็เร็วเขาก็คงจะหาทางตามจับตัวเธอกลับมาได้อยู่ดี แล้วแพะผู้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลโรคจิตอย่างเธอก็คงจะไม่มีตำรวจที่ไหนให้ความช่วยเหลือแน่
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอควรจะต้องทำเป็นอันดับแรกเลยก็คือการตั้งสติให้ดีเสียก่อน สติสำคัญที่สุด อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ลองเออออไปกับเขาดูก่อน เพราะยังไงเขาก็กำลังกุมชะตาของเธอเอาไว้อยู่จนกว่าที่งานล่าวิญญาณอะไรนั่นจะสิ้นสุด อย่างน้อยเขาก็คงไม่ได้คิดที่จะกำจัดเธอก่อนที่งานจะเสร็จหรอกมั้ง
แต่ว่าดีจะให้เธอไปทำอะไรนี่สิ หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับปืนในกระเป๋านั่นนะ
“นายจะไปล่าวิญญาณ...ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“ใช่” คนถูกถามมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น
“...แต่ว่านี่มันกลางวันอยู่นะ ไม่รอให้มืดก่อนเหรอ”
เขามองสบสายตากับเธอนิ่งๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แสงอาทิตย์ฉายผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาภายในห้อง แม้ว่าจะยังคงเป็นเพียงแค่แสงแดดอ่อนๆ แต่ก็เป็นแสงสว่างยามเช้าที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น แสงเงาของคนตรงหน้าทอดยาวไปกับพื้นเนื่องจากเขานั่งหันหลังให้กับแสงแดด
“เธอนี่ชอบแบ่งแยกดีนะ” ชายหนุ่มตอบกลับมาในที่สุด
หา? แบ่งแยกอะไร กลางวันกับกลางคืนเนี่ยนะ นี่เขาเพี้ยนไปแล้วหรือไง เข้าใจความหมายของคำว่าแบ่งแยกหรือเปล่าน่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าการล่าวิญญาณต้องทำเฉพาะในตอนกลางคืนเท่านั้น แม้แต่เด็กห้าขวบยังรู้เลย
“ฉันไม่ได้แบ่งแยก แต่มันเป็นสิ่งที่ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้น”
“แล้วไง” เสียงเรียบย้อนถามกลับด้วยสีหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
“แล้วไง!? การล่าวิญญาณนี่ควรจะต้องทำในตอนกลางคืนสิ ไม่ใช่ในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ พร้อมกับมองตรงมาที่เธอด้วยสายตาประหลาด
“เธอไปเอามาจากตำราวิชาการล่าวิญญาณเหรอ”
ฮะ? นี่เขาสงสัยจริงๆ หรือคิดจะกวนประสาทเธอกันแน่น่ะ
“ก็...ไม่รู้...แต่มันก็ควรจะเป็นนั้นไม่ใช่รึไง!”
ดีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม ทั้งที่เขาไม่ได้แย้งอะไรกลับมาทั้งนั้นแต่มันกลับทำให้เธอชักจะรู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขาไม่รู้แล้วเธอจะไปรู้เรอะ จะมาย้อนถามกลับทำไมกัน ยิ่งคุยกับอีกฝ่ายมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งเสียอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงเรื่องไร้สาระนี่อีก
เมย์หันไปคว้าหยิบเสื้อผ้าของตัวเองเดินไปเข้าห้องน้ำ เธอปิดล็อกประตู ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย แต่เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกไปโดยที่เธอยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าพ้นจากพื้นกระเบื้องเลยด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างถูกโยนมาให้ ซึ่งมันกะทันหันมากเสียจนทำให้หญิงสาวเกือบรับเอาไว้ไม่ทัน
“อย่าลืมกล้องซะล่ะ” ดีพาดกระเป๋ากีฬาของตัวเองไว้บนไหล่ซ้ายขณะเดินผ่านหน้าเธอไป เขาหมุนลูกบิดเปิดประตูแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองจึงรู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มโยนมาให้เมื่อครู่นั้นคือแซนวิชทูน่า มีป้ายราคาพร้อมด้วยวันที่หมดอายุแปะีเอาไว้ตัวเบ้อเริ่ม เขาคงจะซื้อมาให้เป็นอาหารเช้าของเธอในวันนี้
น่าหงุดหงิดสิ้นดี
นี่เขาคิดจะเลี้ยงอาหารเธอทุกมื้อเลยหรือไง มีเจตนาดีหรือคิดจะดูถูกกันแน่น่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนเธอก็ไม่ชอบทั้งนั้น เพราะว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจนตรอกมากจนถึงกับไม่มีปัญญาหาเลี้ยงตัวเอง อาจจะฟังดูเหมือนเป็นการคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียวก็จริง เพราะว่าจริงๆ แล้วเขาอาจจะแค่หวังดีก็ได้ แต่เธอก็มีศักดิ์ศรี มีแขน มีขา ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ เธอไม่ได้ตกต่ำจนถึงขนาดที่ต้องให้คนอื่นมาเลี้ยง แค่เรื่องที่เขาช่วยเธอออกมาจากโรงพยาบาลนั่นก็นับว่าเป็นหนี้บุญคุณมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องทับถมหนี้ให้มันสูงมากไปกว่านี้
ตราบใดที่เธอยังคงใช้ช้อนกินข้าวด้วยตัวเองได้ เธอก็ต้องหาเงินมาซื้อข้าวกินด้วยตัวเองได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องรีบใช้หนี้ให้มันหมดๆ ไป แล้วก็จะได้เป็นอิสระจากคนประหลาดแบบนี้เสียที
นาฬิกาดิจิตอลในรถของดีบอกเวลาแปดโมงสิบนาทีพอดีในตอนที่ทั้งสองออกมาจากโรงแรม เขาช่างเลือกเวลาได้แสนประเสริฐเหลือเกิน รถบนท้องถนนอัดแน่นกันเสียจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนไปข้างหน้าเลยสักนิด ดูจากสภาพในตอนนี้แล้วการจราจรในบริเวณนี้คงจะเป็นอัมพาตไปอีกนานแน่
ทันใดนั้นเองเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว จู่ๆ ดีก็ตัดสินใจหักพวงมาลัยตัดเลนทั้งสี่จากขวาสุดไปเข้าเลนซ้ายสุดเพื่อที่จะเลี้ยวออกไปขึ้นทางด่วน เรียกเสียงบีบแตรดังสนั่นกันไปทั่วทั้งถนนในทันใด
“ฉันไม่ค่อยชินกับการขับรถเท่าไหร่” เสียงเรียบพึมพำข้อแก้ตัวของตัวเองในขณะที่ยังคงมองตรงไปข้างหน้า
ไม่ชินงั้นเหรอ ฟังดูเป็นข้ออ้างที่ทุเรศชะมัด นั่นมันปัญหาของตัวเขาเอง ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาใช้อ้างในการสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้ถนนคนอื่นได้สักหน่อย
“งั้นปกตินายใช้อะไร เฮลิคอปเตอร์งั้นเรอะ” เมย์แขวะใส่คนข้างตัวด้วยความรู้สึกหมั่นไส้
ดียักไหล่ทีหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ เหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยที่ถูกประชด
“ตอนนี้เวลาสำคัญที่สุด เธอเองก็น่าจะรู้นี่ว่าเวลามันสำคัญขนาดไหน”
ใช่ เธอรู้ดีว่าเวลาสำคัญ แต่เธอก็ไม่ได้มองว่าเวลาของตัวเองนั้นสำคัญที่สุดจนถึงกับต้องเอาเปรียบคนอื่นเหมือนอย่างเขา
แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกับดีมาได้แค่ไม่กี่วัน แต่หญิงสาวกลับสามารถเขียนข้อเสียของอีกฝ่ายได้ยาวเป็นพรืดเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความพิลึกพิลั่นที่ดูผิดเพี้ยนไปจากคนปกติทั่วไปนั่น ตรรกะความคิดอันแสนวิบัติ การชอบอมพะนำทุกอย่างเอาไว้ การฝ่าฝืนกฎ แถมยังดูมีลับลมคมในแบบแปลกๆ และดูมีพิรุธยังไงชอบกล
และข้อล่าสุด มารยาทบนท้องถนนห่วยแตกเข้าขั้นวิกฤต
ถ้าจะต้องทนอยู่กับเขาอย่างนี้ต่อไปอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์ล่ะก็ รายการข้อเสียในหัวของเธอคงจะเรียงยาวลงมาเป็นร้อยๆ ข้อแน่
“ถ้าประธานนั่งแท่นผู้บริหารไม่ยอมบริหารงานในบริษัท กลไกการทำงานของห่วงโซ่ทั้งหลายคงจะรวนน่าดู” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบภายในรถ
เมย์หันไปมองคนข้างตัวด้วยสายตางุนงง ไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า จู่ๆ ดีก็โพล่งอะไรก็ไม่รู้ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่เขาตั้งใจจะพูดอะไรกับเธอหรือเปล่าน่ะ หรือว่าแค่บ่นเฉยๆ โดยที่ไม่ได้มีประเด็นสำคัญอะไร
“เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นจริงมั้ย พวกเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นคงจะต้องลำบากแน่ แล้วตระกูลอัครพงศ์ไพบูรณ์ก็คงจะต้องย่อยยับ แค่คนคนเดียว กลับทำให้ทั้งตระกูลถึงกับล้มละลายได้นี่น่าทึ่งไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ แต่มันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ เธอเองก็เคยได้ยินชื่อตระกูลนี้อยู่แล้วนี่เนอะ” ดีพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่ ไม่เคย เธอควรที่จะต้องเคยได้ยินชื่อตระกูลอะไรนั่นด้วยเรอะ
หญิงสาวขมวดคิ้วน้อยๆ ให้กับข้อสรุปอันสุดแสนจะมั่วของเขา ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะไปต่อบทสนทนาด้วยดีหรือไม่ในเมื่อเรื่องเล่าของอีกฝ่ายนั้นเป็นแบบประเภทที่หาประเด็นหลักไม่ได้
“สามเดือนก่อนการเงินของบริษัทยังราบรื่นเป็นปกติดีอยู่แท้ๆ แต่แล้วพฤติกรรมของเขาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยไปสนามกอล์ฟทุกๆ อาทิตย์ จู่ๆ ก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ฉันคิดว่าคนในครอบครัวก็คงจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ แต่ก็คงเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้เพราะว่าคนที่กุมอำนาจทางการเงินทั้งหมดเอาไว้นั้นก็คือเขา เพราะฉะนั้นจึงยิ่งเป็นทางสะดวกของมันที่จะทำลายบริษัทซะ มันอาจจะคิดว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามปกติเหมือนก่อนหน้านี้ แต่พอมาดูดีๆ แล้วกลับมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอยู่ชัดมาก เขาทำให้กลไกการทำงานต่างๆ ในบริษัทปั่นป่วนไปหมด การเข้าสังคมก็ไม่เหมือนเดิม จากคนที่เคยเข้าสังคมอยู่ประจำ กลับกลายเป็นคนที่ไม่ได้ไปงานสังสรรค์ต่างๆ เลย แม้แต่งานรวมรุ่นเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ไม่ได้ไป พะ...”
“เดี๋ยว เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อนนะ นี่นายกำลังพูดถึงใครอยู่น่ะ” อีกฝ่ายเอาแต่พล่ามอะไรก็ไม่รู้ยาวเหยียดอยู่ได้ ในที่สุดเมย์ก็ต้องโพล่งถามออกไปด้วยความรำคาญเพราะทนฟังทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ต่อไปไม่ไหว
“เอกสิทธิ์ อัครพงศ์ไพบูรณ์ไง เจ้าของบริษัทอัคราน่ะ เธอไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย แต่เอาเถอะ ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหนมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เอาเป็นว่าเอกสิทธิ์มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด ดังนั้นพวกเราจึงต้องไปจัดการมันยังไงล่ะ”
“หมายถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคุณเอกสิทธิ์เปลี่ยนไปน่ะเหรอ แล้วจัดการมันที่ว่านี่คือจัดการอะไรกันล่ะ”
“เมื่อก่อนเขาจะพาครอบครัวไปภัตตาคารเวิร์ลฟร้อนเป็นประจำทุกเย็นวันพุธ แต่จู่ๆ เขาก็เลิกไปโดยสิ้นเชิง แล้วก็ไม่ได้ออกไปที่ไหนอีกเลยนอกจากไปบริษัท แถมกำหนดการประจำวันของเขาก็ยังเปลี่ยนไปอีกด้วย ตามปกติแล้วเอกสิทธิ์มักจะออกจากบ้านตอนสิบเอ็ดโมงและออกจากบริษัทตอนประมาณสองทุ่ม เวลาในแต่ละวันยืดหยุ่นไม่เหมือนกัน แต่ตลอดสามเดือนที่ผ่านมานี้ เขาออกจากบ้านตอนหกโมงเช้าและออกจากบริษัทตอนห้าทุ่มตรงเหมือนกันทุกวัน แล้วก็ปิดไฟห้องนอนตอนตีหนึ่งพอดีอีกต่างหาก”
รายการชีวิตประจำวันของคุณเอกสิทธิ์ที่คนข้างกายสาธยายมาให้ฟังนั้นทำให้หญิงสาวต้องตกตะลึง มองชายหนุ่มข้างกายอย่างอึ้งๆ นี่เขาไปเอารายละเอียดยิบย่อยพวกนี้มาจากไหนกัน ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ แถมยังไม่ใช่แค่รู้คร่าวๆ เท่านั้น แต่กลับสามารถระบุเวลาชัดเจนได้อีกด้วย ฟังดูเหมือนกับว่าเขาไปตามสืบชีวิตของคุณเอกสิทธิ์อะไรนี่มาไม่มีผิดเลย
สตอล์กเกอร์
ดีต้องเป็นสตอล์กเกอร์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง
“...นายเป็นสตอล์กเกอร์ใช่มั้ย”
คนถูกถามยกมุมปากขึ้นนิดๆ ปรือตาลงเล็กน้อยขณะเหลือบสายตามาทางเธอ
“ถือว่าเป็นโชคดีของเธอนะที่ได้มาอยู่ฝั่งเดียวกันกับฉัน เพราะว่าฉันรู้ทุกอย่าง” ประโยคหยิ่งผยองนั้นให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อต้องการโอ้อวดหรือต้องการที่จะกวนประสาทแต่อย่างใด
“แล้วที่ว่าไป ‘จัดการมัน’ อะไรนั่นล่ะ”
“เธอลองมองไปที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้านะ แล้วบอกฉันมาสิว่าตรงนั้นมีคนยืนอยู่กี่คน” ชายหนุ่มเมินคำถามของเธอโดยสิ้นเชิง
เปลี่ยนเรื่องกันดื้อๆ อย่างนี้เลยนะ
หญิงสาวนิ่วหน้าน้อยๆ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
ตอนนี้เป็นช่วงที่รถติดไฟแดงพอดีจึงทำให้เมย์สามารถนับคนตรงป้ายรถเมล์ได้ตามที่อีกฝ่ายบอกให้ทำ แต่เธอก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาจะให้ทำไปทำไม เบี่ยงประเด็นอีกแล้วงั้นเหรอ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็จะไม่ยอมตอบคำถามของเธอเลยหรือไง
“สิบสามคน” หญิงสาวตอบอย่างเซ็งๆ ขณะมองคนเหล่านั้นใช้ชีวิตของตัวเองกันไปตามปกติ รู้สึกรำคาญที่ดีเอาแต่เปลี่ยนเรื่องไปมาอยู่ได้
มีอยู่สี่คนที่ยืนชิดขอบมากเสียจนแทบจะลงมายืนรอบนถนน และอีกสี่คนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน มีห้าคนกำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้โดยที่สามในห้านั้นเอาแต่นั่งนิ่งๆ ก้มหน้ามองพื้น แววตาเหม่อลอยราวกับว่าทั้งสามคนนั้นไม่ได้กำลังรอรถเมล์อยู่ ดูแล้วชักจะให้ความรู้สึกหม่นหมองและห่อเหี่ยวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ต่างจากอีกสองคนที่นั่งพูดคุยกันอย่างร่าเริงอยู่ตรงริมสุดของเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง ยิ่งมองเทียบกันก็ยิ่งทำให้สังเกตเห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นขยับเขยื้อนดูเป็นธรรมชาติ
ดู ‘มีชีวิต’
“จริงๆ แล้วมีอยู่แค่สิบคนเท่านั้นแหละ”
ทันทีที่ได้ยินดีแย้งกลับมาแบบนั้นเมย์ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พร้อมกับจ้องเขม็งตรงไปยังกลุ่มคนตรงป้ายรถเมล์อย่างงุนงง
สิบคน? มันจะมีแค่สิบคนไปได้ยังไงกัน ในเมื่อก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีทั้งหมดสิบสามคน
นี่เขามีปัญหาทางสายตาหรือว่านับเลขไม่ถูกกันแน่
“อีกสามคนที่เธอเห็นเกินมานั้นไม่ใช่คนจริงๆ แต่เป็นวิญญาณที่ปะปนอยู่รวมกับมนุษย์ในสังคมปกติน่ะ”
หา!?
“เดี๋ยวนะ นี่นายกำลังพูดเล่นอยู่ใช่มั้ย ก็ฉันเห็นอยู่ว่ามันมีสิบสามคน แล้วทุกคนก็ดูเป็นคนจริงๆ จะบอกว่าฉันกำลังเห็นผีอยู่งั้นเหรอ ตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้เนี่ยนะ”
“แบ่งแยกอีกแล้ว” เสียงเรียบบ่นพึมพำเบาๆ
แบ่งแยกบ้าอะไร! มีใครเขาเห็นผีในตอนกลางวันกันบ้าง เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มาหาว่าเธอเห็นผี แถมยังมาพูดพล่อยๆ กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นผีอีกต่างหาก!
“คนธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็นพวกมันหรอก มีแค่เธอเท่านั้นแหละที่สามารถมองเห็นพวกมันได้ แต่ก็มีวิธีที่สามารถทำให้คนทั่วไปมองเห็นได้เหมือนกันล่ะนะ” ดีพูดต่อขณะเข้าเกียร์เตรียมเคลื่อนรถตามคันข้างหน้า “เธอไม่เชื่อฉันล่ะสิ”
หญิงสาวแค่นหัวเราะออกมาทันควัน
มันแน่อยู่แล้ว! เขาก็แค่จงใจพูดหลอกเธอเท่านั้น เธอไม่หลงเชื่ออะไรไร้สาระแบบนี้แน่ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว
ทันใดนั้นเองดีก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในตึกแห่งหนึ่งทั้งๆ ที่ขับมาด้วยความเร็วสูง
การเลี้ยวอย่างกะทันหันก่อให้เกิดแรงเหวี่ยงจนแขนซ้ายของหญิงสาวอัดเข้ากับประตูรถ แรงกระแทกทำให้เมย์รู้สึกเจ็บตรงแขนซ้ายแต่ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก หลังจากนั้นดีก็ผ่อนความเร็วของรถลงก่อนที่จะเลื่อนกระจกลงเพื่อแลกบัตร ขับต่อไปได้อีกประมาณสิบกว่าเมตรเขาก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปในอาคารจอดรถ แล้วขับขึ้นชั้นบนไปเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นสี่
“สิ่งที่ทำให้สังคมตัดสินว่าเธอ ‘แตกต่าง’ หรือ ‘มีอาการทางจิต’ ก็คือการเห็นภาพหลอน ซึ่งสิ่งที่เธอเห็นนั้นมีอยู่จริง แต่คนส่วนมากกลับใช้ความเป็นส่วนมากของพวกเขามาขีดเส้นแบ่งกั้น พร้อมกับตัดสินตัวเธอว่าแปลกแยกและไม่ปกติ โดยที่ไม่ได้คิดย้อนกลับกันเลยว่าพวกเขาอาจจะเป็นฝ่ายผิดปกติที่มองไม่เห็นเองก็ได้” ชายหนุ่มหันมาส่งรอยยิ้มเร็วๆ ให้กับเธอหนึ่งทีพร้อมกับเข้าเกียร์ถอยหลังเพื่อถอยรถเข้าซอง “เหมือนอย่างคดีร้านเค้กนั่นไง”
“นายจะบอกว่าฉันปกติ แต่คนอื่นๆ รวมทั้งตัวนายเองกลับเป็นพวกผิดปกติงั้นสิ”
“เธอนี่ชอบแบ่งแยกจริงๆ เลยนะ” ดีกลอกตาขึ้นอย่างเซ็งๆ ก่อนที่จะหันไปดับเครื่องยนต์
คำว่าแบ่งแยกของเขาทำให้เธอรู้สึกเคืองทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเขาจะพูดบ่นอะไรกันนักกันหนา เธอไม่ได้แบ่งแยก เธอก็แค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้น
“บางทีเธออาจจะปกติ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะผิดปกติ ความเป็นปกติของเธอไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคนที่แตกต่างออกไปนั้นผิดปกติ ถ้าเธอลองพยายามไม่ไปคิดแบ่งแยกดูสักห้าวิ มันอาจจะทำให้เธอรู้ก็ได้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ได้มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจนเสมอไป แต่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว เหมือนกับถนนสองเส้นที่ลาดยาวขนานกัน ไม่ได้ตัดผ่านกันเหมือนอย่างที่เธอกำลังพยายามคิดว่ามันเป็น”
ประโยคยาวเหยียดนั้นฟังดูสวยหรูอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะยึดตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินอะไรทั้งนั้น เธอไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการตัดสินค่านิยมอะไรทั้งสิ้น ผู้ที่มีอำนาจก็คือสังคม ไม่ใช่คนเพียงแค่คนเดียวสักหน่อย
“ถ้านายอยากจะให้ฉันเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ นายก็ต้องมีหลักฐานมาพิสูจน์” หญิงสาวยกสองแขนขึ้นกอดอกพร้อมกับเชิดคางขึ้นน้อยๆ อย่างท้าทาย
ดีไม่ตอบอะไรโดยที่ยังคงรอยยิ้มจางๆ เอาไว้ จากนั้นเขาก็หันไปเปิดประตูลงไปจากรถโดยที่ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ
เมย์ตัดสินใจลงมาจากรถด้วยเช่นกัน อากาศภายในอาคารจอดรถค่อนข้างอบอ้าวและไม่ค่อยถ่ายเทสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังมืดสลัวทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวันแท้ๆ นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและอันตรายอีกต่างหาก คงจะเป็นเพราะว่ารูปแบบกำแพงของอาคารจอดรถแห่งนี้ไม่ค่อยมีช่องว่างที่จะทำให้แสงแดดลอดผ่านเข้ามาได้สักเท่าไหร่นัก
เสียงล็อกประตูรถดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเอง จากนั้นก็เดินอ้อมหน้ารถเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นสิ่งของที่อยู่ในมือส่งมาให้เธอ
อะไรน่ะ? แท่งเหล็กบางๆ สีเงิน
“คันริมสุดโน่น” ดีพะเยิดหน้าไปยังรถเบนซ์สีดำหรูคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามติดกับทางขึ้นไปยังชั้นบน ก่อนที่จะหันมาส่งรอยยิ้มไร้อารมณ์ให้เธอหนึ่งที
หญิงสาวก้มมองแท่งเหล็กสีเงินที่อยู่ในมือสลับกับรถเบนซ์คันนั้นอย่างงงงวย นี่เขาต้องการจะให้เธอทำอะไรกันล่ะเนี่ย
“จะให้ฉันทำอะไรน่ะ” เมย์ชูแท่งเหล็กในมือขึ้นอย่างงงๆ
“รถคันนั้นไง รถของคุณเอกสิทธิ์ แล้วที่นี่ก็เป็นอาคารจอดรถของบริษัทอัครา” เสียงเรียบเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างเขาคงจะขอคุยด้วยยากหน่อย เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องทำแบบนี้ไง”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเห็นวิญญาณของเธอน่ะ? หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดขณะพยายามคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้กับเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน
เขาต้องการให้เธอทำอะไรสักอย่างกับรถเบนซ์คันนั้น แล้วไอ้แท่งเหล็กนี่มันคืออะไรกันล่ะ
เดี๋ยวนะ หรือว่ามันจะเอาไว้ใช้...
เฮ้ย! นี่เขาต้องการจะให้เธองัดรถเหรอเนี่ย!?
“นายจะบ้ารึไง! ฉะ...” เมย์เริ่มร้องโวยวาย แต่แล้วก็เห็นอีกฝ่ายยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบริมฝีปากเป็นการบอกใบ้ว่าให้พูดเสียงเบาๆ ดังนั้นเธอจึงต้องเปลี่ยนไปใช้การขยับปากเป็นคำโดยที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาแทน
‘ฉัน ไม่ ทำ’
ชายหนุ่มทำหน้าสลดด้วยความผิดหวัง แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการเสแสร้งเสียมากกว่า ชั่วพริบตาเดียวต่อมาใบหน้าหม่นหมองก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าราบเรียบ ประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ ดูไร้อารมณ์เหมือนทุกที
ดีแบมือขอแท่งเหล็กคืนแล้วเดินตรงไปยังรถเบนซ์คันเป้าหมาย เมย์เห็นเขาหยุดยืนอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับ ก้มลงไปทำอะไรสักอย่างกับประตูรถซึ่งเธอมองไม่เห็นเพราะว่าตัวรถบังพอดี แต่อีกไม่ถึงสองนาทีต่อมาเขาก็ยืดตัวขึ้น เหลือบสายตามองมาทางเธอพร้อมกับพยักหน้าเรียกให้เธอเข้าไปหา
หญิงสาวได้แต่ยืนขาแข็งอยู่กับที่ ไม่กล้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย เธอไม่รู้ว่าดีคิดจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ คือเขาเพิ่งจะงัดรถของคนอื่นต่อหน้าต่อตาเธอ เขาคิดจะขโมยรถงั้นเหรอ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับการคุยกับคุณเอกสิทธิ์ตรงไหนกัน ไม่สิ เรื่องพวกนี้มันไปเกี่ยวอะไรกับการมองเห็นผีของเธอต่างหาก เธอต้องมาทำอะไรที่นี่กันแน่ เขาต้องการให้เธอมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักทรัพย์หรือไง
ในระหว่างที่เมย์กำลังคิดสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเอง ดีก็เดินเข้ามายืนตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จึงทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ ดีเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เป็นเชิงถาม แต่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบกลับไปยังไงดี
“...นายคิดจะทำอะไรน่ะ”
“ดักรอ”
“แค่ดักรอ ถึงกับต้องมางัดรถของเขาเลยเหรอไง”
“เพราะดักรอ พวกเราถึงต้องมางัดรถของเขาต่างหาก” เขาแย้งกลับมาในทันที
หลังจากนั้นดีก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เขายืนมองเธอด้วยสีหน้าเรียบๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเขาจึงเดินกลับไปยังรถเบนซ์สีดำคันเดิม
ตั้งสติ
เธอต้องตั้งสติก่อน มัวแต่ยืนคิดโน่นคิดนี่อยู่อย่างนี้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยากมีส่วนร่วมอะไรกับภารกิจบ้าๆ ของเขานี่เลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็สัญญาไปแล้วว่าจะให้ความร่วมมือด้วย แล้วเธอก็ไม่ได้หนีออกมาจากโรงพยาบาลนั่นได้อย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเธอในตอนนี้จึงเป็นเพียงแค่อาชญากรหลบหนีคนหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้เธออยากจะหนีไปจากเขามากแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะยังไงเธอก็คงยังทำไม่ได้อยู่ดี
ยัง ทำไม่ได้
ดีหันหลังกลับมามอง ก่อนที่จะยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้าไปหา
ชายหนุ่มเดินกลับมาสมทบกันครึ่งทาง แล้วบอกให้เธอกลับไปเอากล้องและขาตั้งมาวางเตรียมเอาไว้ตรงท้ายกระโปรงรถซึ่งเป็นจุดที่หลบอยู่ในมุมมืดพอดี หญิงสาวทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะเอากล้องมาถ่ายอะไรในที่แบบนี้กัน
จากนั้นดีก็ให้เธอตั้งเวลาถ่ายวิดีโอล่วงหน้าพร้อมกับบอกว่าคุณเอกสิทธิ์จะออกมาใช้รถตอนเก้าโมงครึ่งเพื่อไปคุยงานกับลูกค้า แล้วก็ออกคำสั่งให้เธอเข้าไปแอบซ่อนตัวตรงเบาะหลัง ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงยี่สิบกว่านาทีแล้วจึงเหลืออีกแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้เธอได้ข้อสรุปแน่ชัดแล้วว่าดีเป็นสตอล์กเกอร์แน่นอน
เวลาของการรอคอยช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนานเหลือเกิน คงจะเป็นเพราะว่าเธอต้องซุกตัวหลบอยู่ตรงหลังพนักที่นั่งคนขับ นั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำทั้งนั้น ยิ่งไม่มีอะไรทำเธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
ดีบอกว่าเขาจะเป็นคนดูต้นทางเอง แต่เมย์ก็ไม่เห็นเขาอีกเลยหลังจากที่ละสายตาจากเขาไปได้เพียงแค่แวบเดียว
หรือว่าดีจะพาเธอที่นี่เพื่อให้เธอถูกจับหรือเปล่านะ เขาบอกให้เธองัดรถเมื่อกี้นี้เพราะว่าต้องการจะใส่ร้ายเธอหรือเปล่า แต่เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ดีอยู่แล้วด้วย หรือว่าเขาจะตั้งใจพาเธอมาที่นี่เพื่อที่จะทำร้ายเธอ หรือว่า หรือว่าเขาจะเป็นตำรวจที่ต้องการเอาตัวเธอไปดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่พอเธอเป็นคนไข้โรคจิตเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพาเธอหนีออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อที่จะทำให้เธอเป็นอาชญากรหลบหนี แล้วก็จะได้เพิ่มข้อหาในการจับเธอหรือเปล่า เธอไม่รู้ว่าทำแบบนั้นได้มั้ย แต่ยิ่งไม่รู้มันก็ยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่ หรือว่าเขาจะกุเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้น เธอกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวมันจะเป็นเรื่องจริง แต่เธอก็ไม่กล้าหนีออกไปจากรถ เพราะไม่รู้ว่าดีวางกับดักอะไรไว้หรือเปล่า เขาอาจจะเห็นเธอเป็นหนูทดลองอะไรสักอย่างก็ได้ ไม่แน่ว่าคุณเอกสิทธิ์อะไรนี่ก็อาจจะเป็นพวกเดียวกับเขาในการทำร้ายเธอด้วยก็ได้
เสียงเปิดประตูรถทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับรีบซุกตัวเองเข้าไปในมุมมืดมากขึ้นอีกโดยอัตโนมัติ
กระเป๋ากีฬาของดีถูกโยนเข้ามาข้างใน
เขาคิดจะฆ่าเธอในนี้งั้นเหรอ!?
แต่แล้วชายหนุ่มก็ปิดประตู เมย์มองผ่านกระจก เห็นเขาเดินไปยืนนิ่งอยู่ข้างๆ กล้องซึ่งวางอยู่ตรงกระโปรงหลังรถโดยที่ไม่ได้แอบซ่อนตัวหรือทำอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกสงสัยและยิ่งจ้องเขาไม่วางตาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
เสียงเปิดประตูรถดังขึ้นอีกครั้งในอีกไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมา พร้อมกับที่มีใครสักคนเข้ามานั่งข้างในตรงที่นั่งคนขับ หญิงสาวมองไม่เห็นอีกฝ่ายเนื่องจากเธอกำลังหลบอยู่หลังพนักเบาะของฝั่งคนขับพอดี แต่ที่แน่ๆ คือใครคนนั้นต้องไม่ใช่ดี เพราะว่าเธอยังเห็นเขายืนอยู่ที่เดิมอยู่เลย
บุคคลปริศนาสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่แล้วเมย์ก็ต้องเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่ออีกฝ่ายดึงสายเข็มขัดไปคาดโดยที่มีเส้นผมของเธอเข้าไปเกี่ยวอยู่ด้วย
“ใครน่ะ!?” เสียงโวยวายด้วยความตกใจดังขึ้นทันที “เธอเข้ามาในนี้ได้ยังไง!?”
หญิงสาวค่อยๆ เขยิบตัวกลับขึ้นมานั่งอยู่บนเบาะพลางก้มหน้ามองไปที่เท้าของตัวเอง เบิกตากว้างด้วยความตื่นกลัวเมื่อต้องตกอยู่ในสภาวะทำอะไรไม่ถูก เสียงของอีกฝ่ายฟังดูตกใจมากที่เห็นเธอ แสดงว่าเขาต้องไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับดี ถ้าอย่างนั้นเธอควรที่จะตอบกลับไปว่าอย่างไรกันล่ะ มาดักรองั้นเหรอ แต่เธอก็ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะทำไปทำไม หรือว่าจะบอกว่ามาซ่อนตัว แต่ว่านี่มันเป็นรถของเขานะ เธอจะมาซ่อนตัวอยู่ในรถของเขาทำไม ไม่สิ เธอไม่ควรที่จะเข้ามาข้างในได้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
เมย์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของรถพร้อมกับพยายามคิดหาคำตอบในหัวอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วก็ต้องคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะทันทีที่เห็นใบหน้าของคนตรงหน้า
ไม่จริง
ปีศาจ!
นัยน์ตาสีเลือดสดเหลือบขึ้นมามองสบตากับเธอ ก่อนจะแยกเขี้ยวเผยให้เห็นแผงฟันแหลมคมสีดำสนิทเรียงกันระเกะระกะ น้ำลายค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากปาก จมูกแบนราบไปกับหนังหุ้มกระโหลกบนใบหน้า ผิวหนังสีเทาแก่มีคราบหรือเมือกอะไรบางอย่างชะโลมไปบนผิวแห้งติดกระดูกทั่วทั้งตัวอย่างน่าสะอิดสะเอียน แขนขาเก้งก้างเกาะไขว้พันธการอยู่บนลำตัวของชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งคงจะเป็นคุณเอกสิทธิ์
หญิงสาวเบิกตากว้าง มองภาพสยดสยองเบื้องหน้าพร้อมกับกรีดร้องเสียงลั่น เธอพยายามออกคำสั่งให้เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงมา แต่ความหวาดผวากลับทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นอัมพาต นั่งตัวแข็งค้างอยู่กับที่ ไม่สามารถแม้แต่จะกระพริบตาได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน ถึงดีจะบอกว่ามันเป็นวิญญาณร้ายที่กลายเป็นปีศาจ แต่เจ้า ‘สัตว์ประหลาด’ ตรงหน้ากลับทำให้เธอนึกสภาพที่เคยเป็นมนุษย์ของมันไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“เปิดกระเป๋า” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างตัวทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ จู่ๆ ดีก็เข้ามานั่งอยู่ข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เปิดกระเป๋าสิ!” ชายหนุ่มตะโกนย้ำคำสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังคงนั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก
คนถูกสั่งหันรีหันขวาง มองหากระเป๋าก่อนที่จะคว้ามันมาเปิดออกอย่างรีบร้อน ข้างในยังคงเป็นปืนสองกระบอกและขวดโหลยักษ์อีกใบหนึ่ง
เมย์หลับตาปี๋ด้วยความหวาดเสียวทันควันเมื่อคิดเชื่อมโยงสถานการณ์ในปัจจุบันเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านเค้กนั่น
ไม่นะ!
ทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นหอมของใบชาลอยฟุ้งเข้ามาแตะจมูก กลิ่นของมันตลบอบอวลไปทั่วทั้งรถจนทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย
ดีออกไปจากรถแล้ว แต่ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง
เจ้าสัตว์ประหลาดกำลังบิดตัวไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดโดยมีชายวัยกลางคนกำลังฉีกร่างของมันอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งคู่ถูกปกคลุมไปด้วยใบชาแห้งจำนวนมหาศาลขณะกำลังฉีกกระชากเนื้อรวมทั้งอวัยวะของกันและกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากชิ้นเนื้อที่ถูกกระชากออกนั้นกลับเข้ามารวมกันได้ใหม่อีกครั้ง
เสียงฉีกขาดฟังคล้ายเสียงยามที่เธอกัดชิ้นเนื้อไก่ แต่ดังก้องกว่านั้นหลายเท่านัก คล้ายกับเสียงตอนที่เธอกำลังฉีกเนื้อไก่ร้อยๆ ชิ้นพร้อมกัน และมีเนื้อหรือไม่ก็มันไก่ซึ่งติดอยู่ตรงกระดูกได้กระเด็นออกมาหลังจากนั้น ภาพความทรงจำในหัวฉายปรากฏให้เห็นรายละเอียดทุกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกระดูกขาวๆ ของเนื้อไก่ หรือจะเป็นเนื้อสีแดงสดของมัน
แต่แล้วไก่บนจานของเธอก็ถูกซ้อนทับด้วยร่างของชายต่างวัยทั้งสองตรงหน้า ซึ่งถูกฉีกแหวะออกจากกันจนเห็นเนื้อดิบภายใน รวมทั้งกระดูกและเลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทั่วทั้งคันรถ
เป็นเสียงและภาพอันน่าสยดสยองที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอาเจียนขึ้นมาในทันใด
เมย์สะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆ ที่กระเด็นมาโดนบริเวณใบหน้า เป็นการกระตุ้นให้สติของเธอกลับคืนมาและได้กลิ่นเผาไหม้ลอยปะปนมากับกลิ่นใบชา หญิงสาวเผลอมองไปยังใบชาบนร่างเนื้อทั้งสองจึงสังเกตเห็นว่าใบชามีฤทธิ์ทำให้เลือดและเนื้อสีแดงสดค่อยๆ สลายเป็นผุยผงไปกับอากาศทีละนิด
การต่อสู้ตรงหน้าสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเป็นฝ่ายที่ต้องแยกตัวออกมา ก่อนที่จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
รวมทั้งเศษเนื้อและรอยเลือดที่สาดกระจายไปทั่วทั้งรถด้วยเช่นกัน
“วิญญาณร้ายออกไปจากร่างแล้วล่ะ” ประตูรถทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับที่ดีก้มตัวลงมา พะเยิดหน้ามายังกระเป๋ากีฬาของตัวเองที่วางอยู่ข้างๆ เธอ “ปิดกระเป๋าเลย ไม่ต้องใช้แล้ว”
หญิงสาวค่อยๆ หันไปรูดซิปปิดกระเป๋าตามคำสั่งอย่างงงงวยราวกับคนขาดสติ ก่อนจะเผลอเหลือบมองเข้าไปในกระเป๋าเล็กน้อยจึงเห็นว่าขวดโหลปริศนานั้นถูกเปิดฝาออก เผยให้เห็นว่าภายในขวดมีใบชาแห้งหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง
ภาพอันน่าสยองขวัญเมื่อครู่ปรากฏชัดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
เมย์รีบพุ่งตัวออกไปจากรถทันที โก่งตัวอาเจียนอยู่ข้างล้อรถโดยที่ไม่มีอะไรออกมาอย่างน่าสมเพช
“เมื่อกี้เป็นการไล่วิญญาณร้ายให้ออกไปจากร่างของเอกสิทธิ์น่ะ ก็เลยต้องใช้ใบชาแห้งเยอะ แต่ถ้าเธอแพ้มันถึงขนาดนี้ก็น่าจะบอกกันสักหน่อย ฉันก็นึกว่าเธอตกใจกลัวตอนที่เปิดกระเป๋าดูเมื่อเช้าเพราะเห็นว่าขวดมันใหญ่” เสียงเรียบของดีดังขึ้นข้างๆ ตัว
นี่เขาประสาทกลับรึไง เธออยากจะหันไปตะโกนใส่เขาให้สุดเสียงเหลือเกินว่าเธอไม่ได้แพ้ใบชาแห้ง แล้วสาเหตุที่ตกใจก็เป็นเพราะว่าเห็นปืนต่างหากเล่า แต่ความรู้สึกพะอืดพะอมและอาการอ่อนเพลียจากการอาเจียนกลับทำให้เมย์ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วยทั้งนั้น จึงได้แต่คิดแย้งกลับไปในใจอย่างหงุดหงิดอยู่ฝ่ายเดียว
“แล้วเธอยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกมั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะหันกลับไปมอง ‘คุณเอกสิทธิ์’ ที่กำลังหมดสติอยู่ในรถ
คำถามของเขาฟังดูกวนประสาทจนน่าโมโห แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะชวนทะเลาะอะไรไร้สาระ
“นาย...” เสียงพึมพำพูดเกริ่นพร้อมกับพยายามคิดเรียบเรียงคำพูดออกมา “...นายรู้ได้ไงว่าวิญญาณร้ายออกไปจากร่างแล้วน่ะ”
ดีมองไม่เห็นวิญญาณ
เขาต้องมองไม่เห็นวิญญาณสิ เขาถึงได้ต้องการให้เธอมาเป็นผู้ช่วยล่าวิญญาณ แถมอีกฝ่ายก็ยังเคยบอกก่อนหน้านี้เลยด้วยว่า เป็นเพราะเธอสามารถมองเห็นวิญญาณได้ เขาถึงได้พาตัวเธอออกมาจากโรงพยาบาลบ้า
...ไม่ใช่เหรอ?
คนถูกถามหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย เขายกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นน้อยๆ โดยที่ไม่พูดตอบอะไร ความเงียบงันของอาคารจอดรถทำให้เมย์ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองดังระรัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันกำลังจะทะลุออกมาจากอก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ