D.May Reign - ดี.เมย์ ปริศนาบัลลังก์นักเชิด

9.7

เขียนโดย Tsmit

วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.13 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,910 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2558 22.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Episode 5 - โซ่ตรวน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

V

โซ่ตรวน

 

วันประหลาดอีกหนึ่งวันจบลงไปอย่างน่าพิศวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านไปเร็วมากเสียจนหญิงสาวชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังฝันร้ายอยู่หรือเปล่า ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจจะยังอยู่ในโรงพยาบาล แล้วก็จินตนาการเรื่องบ้าทั้งหมดนี่ขึ้นมาเอง

บางทีเธออาจจะเป็นบ้าไปแล้วก็ได้

เมย์นั่งมองระเบียงห้องพักของตัวเองผ่านบานประตูกระจกอย่างงงๆ พลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาด้วยความสับสน

หลังจากเหตุการณ์ที่อาคารจอดรถเมื่อตอนเช้าดีก็พาเธอกลับมาที่โรงแรม เขายื่นแล็ปท็อปของตัวเองมาให้พร้อมกับออกคำสั่งให้เธอดึงเอาไฟล์วิดีโอจากในกล้องออกมา จากนั้นก็ทิ้งเธอเอาไว้แล้วก็หายตัวไปอีกเช่นเคย

หญิงสาวทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย พยายามไม่สนใจว่าเขาจะหายตัวไปทำอะไรที่ไหน เมื่อดึงไฟล์วิดีโอออกมาเซฟไว้ในเครื่องเสร็จแล้ว เธอก็ไม่คิดที่จะเปิดดูมันเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ภาพความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในหัวมันก็ทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนมากจนเกินพอแล้ว

ดีเป็นใครกันแน่

เป็นคำถามที่เธอพร่ำถามอยู่กับตัวเองมาตลอดสองวันที่ผ่านมา

และคำตอบก็ยังคงเป็นเพียงความมืดมิดเท่านั้น

ในตอนแรกเขาบอกว่าต้องการที่จะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยล่าวิญญาณเพราะว่าเธอสามารถมองเห็นพวกสิ่งเหนือธรรมชาติได้ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เธอรู้สึกสับสนไปหมด จนกระทั่งรู้สึกสงสัยว่าเขาอาจจะมองเห็นพวกมันได้ด้วยหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเขาถึงยังจะต้องการเธออยู่ล่ะ สรุปแล้วดีต้องการให้เธอมาทำอะไรกันแน่ เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่รู้เลยสักนิดว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงพาเธอออกมาจากโรงพยาบาล ทำไมถึงช่วยเธอ ต้องการจะให้เธอทำอะไรกัน

ให้ตายสิ แม้แต่ชื่อจริงของเขาเธอก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

ยิ่งคิดสงสัยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้อยากรู้คำตอบมากเท่านั้น ดังนั้นเมย์จึงเริ่มสำรวจแล็ปท็อปของดีด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวเขาอยู่บ้างก็ได้

แต่หลังจากที่เปิดโฟลเดอร์นู้นโฟลเดอร์นี้ขึ้นมาดูผ่านๆ แล้ว หญิงสาวกลับหาอะไรที่มันพอจะเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เลยสักอย่าง มีแต่ไฟล์รูปสถานที่บ้างล่ะ รูปใครต่อใครก็ไม่รู้บ้างล่ะ นอกจากพวกข้อมูลที่เป็นเครื่องยืนยันความเป็นสตอล์กเกอร์ของเขาแล้วก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมทั้งสิ้น จนในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้ไป

ช่างเถอะ

ไม่ว่าดีจะเป็นใครก็ตาม ยังไงก็คงไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป เธอทำตามข้อตกลงของเขาเสร็จสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปเธอก็จะได้เป็นจากอิสระจากเขา เป็นอิสระจากเรื่องบ้าทั้งหมดนี่เสียที

แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ภาพความทรงจำอันโหดร้ายของเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็คงจะไม่มีวันลบเลือนหายไป

รวมทั้งภาพเหตุการณ์ในร้านเค้กนั่นด้วย

บางทีเธออาจจะสมควรแล้วที่จะต้องมาจมอยู่กับภาพความทรงจำอันแสนหดหู่ทั้งหลายนี้ เพราะว่าเธอไม่สามารถช่วยเหลือเด็กคนนั้นเอาไว้ได้

หญิงสาวทิ้งตัวลงบนเตียง นอนมองเพดานสีขาวอย่างเหม่อลอย การรอคอยทำให้เธอรู้สึกว่าเวลามันเดินช้ากว่าที่ควรจะเป็นหลายเท่านัก เธอกำลังรอคอยอิสระ รอคอยดีให้กลับมาปลดปล่อยเธอออกจากข้อตกลงอะไรนั่น แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องของเขา มันก็ยิ่งทำให้เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ถึงต่อให้พยายามไม่ไปคิดมากเท่าไหร่ เธอกลับยิ่งจินตนาการฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกับทำให้รู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้อยู่เป็นพักๆ

เสียงเคาะประตูห้องเรียกให้เมย์สะดุ้งตกใจตื่น เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองผลอยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“วันนี้เธอทำได้เยี่ยมมาก” ดีพุ่งตัวเข้ามาในห้องทันทีที่ประตูถูกเปิด เขาเดินตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งอย่างรวดเร็ว แล้วทำอะไรสักอย่างกับแล็ปท็อปของตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกดปิดเครื่อง จากนั้นก็หันมาส่งยิ้มเร็วๆ ให้กับเธอหนึ่งที

“ถ้างั้นก็...ฉันกลับได้แล้วใช่มั้ย” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงียอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะว่ารู้สึกเคืองที่เขาไม่ยอมตอบคำถาม อีกทั้งยังรู้สึกเวียนหัวไม่หาย ถ้าจะต้องจากลากันอย่างไม่สวยงามสักเท่าไหร่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“เมื่อเช้านี้เธอเยี่ยมมากเลยนะ พวกเราช่วยกันไล่วิญญาณร้ายไปได้เชียวนะ เห็นมั้ยล่ะ การร่วมมือกันสามารถทำได้ทุกอย่าง ทุกคนต้องมีจุดประสงค์ร่วมกัน แล้วจุดประสงค์ร่วมนั้นก็เป็นพลังสำคัญที่จะช่วยเหลือพวกเราได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือการสร้างความรู้สึกร่วมล่ะนะ” ดีพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนปกติ ไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย

เมย์ยืนมองคนตรงหน้าโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนกับแมวพูดมากตัวหนึ่งที่เอาแต่พล่ามอะไรก็ไม่รู้ ฟังไม่รู้เรื่อง

“ฉันอยากกลับไปหามิวแล้ว ฉันช่วยนายล่าวิญญาณตามข้อตกลงแล้วด้วย เพราะฉะนั้นถือว่าฉันชดใช้หนี้ให้นายหมดแล้ว” เธอย้ำประเด็นของตัวเองหลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเมินประโยคอันยืดยาวของอีกฝ่าย

เหมือนอย่างที่เขาชอบทำกับเธอนั่นแหละ

“ไม่มาผจญภัยด้วยกันต่อหน่อยเหรอ สนุกมากเลยนะ น่าตื่นเต้นดีด้วย ความสามารถของเธอน่ะเอาไปใช้ทำอะไรได้อีกตั้งเยอะตั้งแยะ เสียดายของน่า”

คำชักชวนของอีกฝ่ายทำให้เมย์อยากจะหัวเราะเยาะเหลือเกิน การล่าวิญญาณเนี่ยนะเป็นเรื่องสนุก น่าตื่นเต้นน่ะใช่ แต่จริงๆ แล้วมันควรจะเรียกว่าน่าตื่นตระหนกเสียมากกว่า ตอนแรกเธอก็รู้สึกตกใจที่ได้รู้ว่าตัวเองมีสามารถมองเห็นวิญญาณอะไรนี่จริงๆ แต่แล้วความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความสงสัยว่าทำไมเธอถึงมีความสามารถนี้ได้ โดยที่ตลอดเวลาสิบเก้าปีที่ผ่านมานั้นเธอไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย

หรือจะเป็นเพราะว่าวิญญาณที่เธอเห็นนั้นมีสภาพเหมือนกับคนจริงๆ กัน จึงทำให้เธอแยกวิญญาณออกจากคนเป็นไม่ออก โดยเฉพาะวิญญาณที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์นั่น แม้ว่าจะดูเบื่อหน่ายและเอื่อยเฉื่อยจนเห็นได้ชัด แต่ถ้าดีไม่บอกให้รู้ว่าพวกเขาตายไปแล้ว เธอก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์

“นี่เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อช่วยเหลือคนอื่นเลยนะ เธอไม่เคยคิดที่อยากจะลองเป็นฮีโร่ดูบ้างเลยเหรอ” ดีถามด้วยรอยยิ้มสดใส

ฮีโร่งั้นเหรอ จริงๆ แล้วเธอก็เคยมีความฝันว่าอยากจะเป็นฮีโร่เหมือนกัน จำได้ว่าเป็นช่วงที่เธอกับมิวยังอยู่ชั้นประถมกันอยู่เลยล่ะมั้ง ตอนนั้นพ่อกับแม่จะเข้ามาพูดคุยกับเธอก่อนนอนทุกคืน คืนหนึ่งแม่ก็ถามเธอว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร คำตอบแรกที่แวบเข้ามาในหัวในตอนนั้นก็คือฮีโร่ เธออยากจะเป็นฮีโร่คอยปกป้องพ่อกับแม่แล้วก็มิวตลอดไป

พอเธอเอ่ยตอบแบบนั้นไป แม่ก็หลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน เป็นสัมผัสอันนุ่มนวลที่หลงเหลืออยู่เพียงแค่ในความทรงจำของเธอเท่านั้น

ถ้าหากว่าโลกนี้มีเวทมนตร์ รอยยิ้มของดีก็คงจะเป็นเหมือนมนตร์สะกดที่ทำให้เธอต้องหลงใหลไปกับประโยคอันสวยหรูของเขา

ก่อนที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงได้ในที่สุด

“ฉันก็แค่คนธรรมดาที่มองเห็นวิญญาณได้เท่านั้น ไม่ได้อยากจะเป็นฮีโร่ แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นได้ด้วย เพราะฉะนั้นนายไปหาคนอื่นเถอะ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างชัดเจน แล้วเดินไปยังกระเป๋าเป้ของตัวเองเพื่อเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน

เธอได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเบาๆ มาจากทางข้างหลัง

“เรื่องข้อแลกเปลี่ยนน่ะ...พวกเราไม่ได้ตกลงเรื่องจำนวนครั้งหรือระยะเวลากันซะหน่อย”

ประโยคดังกล่าวทำให้เมย์ต้องหันขวับไปมองอีกฝ่ายทันที

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง” เสียงแข็งถามกลับไปอย่างตกใจ แต่คนตรงหน้าก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก แววตาดูไร้อารมณ์ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น

“เราไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลากันนี่ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าข้อแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นมันก็ไม่ถูก จริงมั้ย”

หญิงสาวเบิกตากว้าง จ้องใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอเป็นอิสระงั้นเรอะ นี่มันอะไรกัน ดีต้องการอะไรจากเธอกันแน่ เธอเป็นนักโทษของเขาหรือไง แม้ว่าเธอจะออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิตนั่นได้ แต่เธอก็ต้องมาเชื่อฟังคำสั่งของเขาอีกอยู่ดี แบบนี้มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากการเป็นนักโทษถูกคุมขังเลย

สัญญานั่นช่างไร้ความยุติธรรมที่สุด เขาเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่ามันเป็นสัญญาที่ให้ความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย แล้วนี่อะไร ทำไมถึงกลับคำพูดของตัวเองแบบนี้ จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่ได้เป็นคนยึดติดอะไรนัก แต่นี่มันเหมือนกับฉีกสัญญากันต่อหน้าชัดๆ

เจ้าเล่ห์ กลับกลอก หน้าด้าน

มันไม่ใช่สัญญา

มันคือโซ่ตรวนต่างหาก!

เธอไม่ชอบติดหนี้ใคร แต่ในกรณีนี้มันคือการเอาเปรียบกันนี่ เธอจะต้องทำตามคำสั่งของเขาไปถึงเมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ที่เธอจะได้เป็นอิสระเสียที

ทั้งที่อยากจะหนีไปจากเขาเดี๋ยวนี้เลย แต่เมย์ก็ต้องพยายามตั้งสติ เตือนตัวเองว่าไม่ให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่สัญญาลมปาก แต่ดีก็มีตัวประกันเป็นถึงสถานะทางสังคมของเธอ ในเมื่อเขาช่วยให้เธอออกมาจากโรงพยาบาลโรคจิตได้ เขาก็ย่อมส่งตัวเธอกลับเข้าไปใหม่ได้ด้วยเช่นกัน และอาจจะเพิ่มข้อหาของเธอให้มันมากกว่าเดิมอีกก็ได้ ถ้าหากว่าเธอไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา ดีก็คงไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่ แล้วเขาก็อาจจะใช้ปืนสองกระบอกนั่นปิดปากเธอ บางทีเรื่องวิญญาณทั้งหมดนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องปกปิดเป็นความลับ เพราะเหตุนี้ดีถึงได้แอบพาตัวเธอออกมาจากโรงพยาบาล แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมันก็ดูลับๆ ล่อๆ จนน่าสงสัย แม้แต่ในหนังเองก็ยังมีตัวอย่างเรื่องพวกนี้ให้เห็นอยู่เกลื่อนเลยด้วยซ้ำ อย่างในเวลาที่คนร้ายไม่ได้ดั่งใจก็มักจะฆ่าปิดปากพยานเสมอ เพราะฉะนั้นในตอนนี้จึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าดีจะใช้งานเธอไปถึงเมื่อไหร่ หรือจะปล่อยให้เธอมีชีวิตรอดต่อไปอีกนานแค่ไหน

“...นายต้องการอะไร” เมย์เอ่ยคำถามออกมาอย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนกับว่าน้ำลายได้จับตัวเป็นก้อนเหนียวๆ ยึดติดอยู่ในลำคอ

“ฉันต้องการช่วยเธอไง” คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง ก้าวเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก พร้อมกับแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริง “ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ว่าเธอตายไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ควรที่จะไปติดต่อกับใครทั้งนั้น แล้วก็คงจะกลับไปที่บ้านไม่ได้อยู่ดี มันอันตราย ถ้ามีใครเห็นเธอ เธออาจจะถูกจับก็ได้นะ”

ระแวง

เธอไม่ใช่คนที่จะหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ยิ่งเขาทำแบบนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนกับว่าดีกำลังพูดหว่านล้อมเธออยู่ยังไงก็ไม่รู้

ไม่มีใครทำดีเพื่อคนอื่นโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนหรอก

ดีต้องการอะไรบางอย่างจากเธอแน่นอน เพียงแต่ว่าเขาไม่ยอมบอกเท่านั้น

“เพราะฉะนั้นเรามาผจญภัยด้วยกันต่อดีกว่า” เขายิ้มสดใส ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่ดูใสซื่อและไม่มีพิษภัยใดๆ ก็ตามแต่เธอก็ยังไม่ไว้ใจอีกฝ่ายอยู่ดี

“นายบอกว่าอยากให้ฉันไปช่วยนายล่าวิญญาณ เพราะว่าฉันมองเห็นพวกมันได้...”

ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ขณะมองสบสายตากับเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นเธอจึงถือว่าเขารับฟังและไม่มีอะไรจะโต้แย้ง

“แต่เมื่อเช้าฉันกลับรู้สึกได้ว่านายเองก็มองเห็นพวกมันได้เหมือนกัน ไม่งั้นนายจะรู้ได้ยังไงว่าวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว”

เป็นคำถามที่เมย์รู้สึกสงสัยมาตลอด ในเมื่อตัวเขาเองก็มองเห็นพวกมันได้เหมือนกันแท้ๆ แล้วจะมาหลอกใช้เธอทำไมอีก ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษที่จำเป็นอะไรทั้งนั้น แล้วเขาจะกักขังตัวเธอไว้อีกทำไม

“เธอนี่ชอบจับผิดคนอื่นดีจัง” ดีทำตาโต สีหน้าดูพึงพอใจราวกับว่ากำลังชื่นชมเธอจากใจจริง

นี่เขาตั้งใจจะพูดประชดเธอใช่มั้ยน่ะ

“จับผิดคนอื่นน่ะดีแล้วล่ะ ดูความผิดปกติ มีหลายอาชีพเลยนะที่ต้องการความสามารถด้านนี้ อย่างบรรณาธิการที่ต้องตรวจความเรียบร้อยของงานเขียน เธอไปทำงานด้านนั้นได้สบายเลยล่ะ หรือไม่ก็ตรวจดูความเรียบร้อยของงานออกแบบ การก่อสร้างหรือพวกตกแต่งภายในน่ะ เธอเคยเห็นบ้านที่สร้างแบบไม่ลวกๆ มั้ย โดยเฉพาะตรงงานกระเบื้องโมเสกน่ะน่าอนาถมาก มันเป็นงานที่ต้องการความละเอียดอ่อน งานล่าวิญญาณนี่ก็ต้องใช้การจับผิดด้วยนะ เพราะว่าเราต้องแยกวิญญาณออกจากคนทั่วไป ดังนั้นมันจึงเป็นทักษะที่จำเป็นมาก”

เมย์ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความเหนื่อยใจ

เยี่ยม เธอคงจะผิดเองที่ดันลืมไปว่าต้องใช้พลังงานมหาศาลในการคุยกับคนตรงหน้าขนาดไหน

“พวกวิญญาณร้ายทั้งหลายน่ะ ต่างก็มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน นั่นก็คือการแก้แค้น ซึ่งวิธีการของพวกมันนั้นไม่เคยสร้างสรรค์อะไรใหม่เลย มีแต่ซ้ำไปซ้ำมา มีพวกที่ใช้พลังวิญญาณสร้างร่างเนื้อแล้วมาฆ่าเหยื่อ พวกที่สิงคนอื่นแล้วมาฆ่าเหยื่อ กับพวกที่สิงตัวเหยื่อเองแล้วทำลายของรักของเหยื่อ แต่จะไม่จัดการเหยื่อ วิญญาณที่พวกเราไล่ไปเมื่อเช้าน่ะอยู่ในประเภทที่สาม คงจะมีความสุขอยู่กับการทำลายบริษัทของคุณเอกสิทธิ์ล่ะมั้ง คนบางคนก็มักจะรู้สึกดี สะใจเมื่อได้ทำลายของรักของศัตรู ได้เห็นอีกฝ่ายทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย”

วิญญาณ... นั่นน่ะเหรอ

สำหรับเมย์แล้ว เธอรู้สึกว่ามันเหมือนกับสัตว์ประหลาดน่าขยะแขยงมากกว่า

“แล้วทำไมวิญญาณของบอยถึงมีสภาพแบบนั้นล่ะ... ไม่เห็นเหมือนกับวิญญาณที่ฉันเห็นที่ร้านเค้กหรือวิญญาณที่นายเคยชี้ให้ดูเลยนี่” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย พร้อมกับที่ภาพสัตว์ประหลาดเมื่อเช้าได้ปรากฏชัดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ทำให้เธอต้องส่ายหน้าสองสามทีเพื่อไล่ความทรงจำอันเลวร้ายให้หายไป

“คนเรายังมีหลายประเภทเลย วิญญาณก็ต้องมีหลายประเภทด้วยสิ” น้ำเสียงตำหนิเอ่ยตอบ เหมือนกับกำลังรำคาญว่า เรื่องง่ายๆ แค่นี้ เธอไม่รู้ได้ยังไง

“วิญญาณเมื่อเช้าน่ะคือพวกวิญญาณชั้นต่ำที่อดอยากมาเป็นปีแล้ว ก็เลยกลายเป็นสภาพแบบนั้นเพราะไม่มีพลังวิญญาณเพียงพอที่จะมาทำให้คงอยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ต่อไปได้”

“พลังวิญญาณ? หมายถึงบอยเป็นวิญญาณมานานแล้วจึงทำให้กลายเป็นแบบนั้นน่ะเหรอ”

“ทำนองนั้น” ชายหนุ่มตอบพลางยกมุมปากข้างหนึ่งอมยิ้มกวนประสาทไปด้วย

ทำนองนั้น? คือใช่หรือไม่ใช่กันแน่น่ะ ถ้าจะตอบแบบกำกวมขนาดนั้นเธอไม่ถามให้เสียอารมณ์แล้วก็ได้ เมย์หันหน้าไปมองทางอื่นอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อนึกถึงเจ้าสัตว์ประหลาดขึ้นมาอีกรอบแล้ว หญิงสาวก็ต้องสองจิตสองใจ อยากจะหันกลับไปถามย้ำอีกทีเพื่อความแน่ชัด

“วิญญาณเมื่อเช้ามาเข้าสิงคุณเอกสิทธิ์เพราะต้องการจะทำลายบริษัทของเขางั้นเหรอ” เสียงห้วนเอ่ยถามอย่างเคืองๆ

“ใช่แล้วล่ะ ถ้าปล่อยไว้บริษัทคงอยู่ได้อีกไม่นาน วิญญาณร้ายที่มาสิงน่ะเป็นตำรวจ ชื่อว่าบอย มันเคยรับผิดชอบคดีที่เอกสิทธิ์ต้องสังสัยว่าเกี่ยวพันกับยาเสพติด ก่อนหน้านั้นเปิดร้านขายของชำกับภรรยาอยู่ที่พิษณุโลก แล้วช่วงที่บอยลงมาทำคดีของเอกสิทธิ์ที่กรุงเทพ ก็มีคนไปชักจูงภรรยาของมันให้ไปเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนโดยที่ไม่ได้บอกบอย จนในที่สุดก็หมดเงินไปเป็นล้าน...” ดีส่งยิ้มเร็วๆ มาให้เธอหนึ่งที “คือถูกหลอกน่ะ”

“หลังจากนั้นภรรยาก็ไปกู้เงินนอกระบบมาโดยที่ไม่ได้บอกบอยอีก ก็เลยทำให้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ จนกระทั่งล้มละลายกันทั้งคู่ แล้วภรรยาก็ฆ่าตัวตาย บอยไปสืบเอาทีหลังว่ามันเกิดอะไรขึ้น จึงได้รู้ว่าคนที่มาหลอกภรรยาเป็นคนของเอกสิทธิ์ บอยมันก็เลยโทษตัวเอง แล้วก็ฆ่าตัวตายตามภรรยาไป เป็นไง ชีวิตจริงยิ่งกว่าในนิยายเลยใช่มั้ยล่ะ”

     เมย์ไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าจะรู้สึกไม่เห็นด้วยที่เธอต้องมาช่วยชีวิตของเอกสิทธิ์อะไรนี่ เพราะว่าฟังดูแล้วเขาไม่ใช่คนที่น่าชื่นชมสักเท่าไหร่ หรือแม้แต่สมควรที่จะได้รับความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดว่าใครสมควรตาย หรือใครสมควรอยู่ ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชะตาชีวิตของใคร

       และวิญญาณของคนที่ชื่อว่าบอยนั่นก็ไม่มีสิทธิ์นั้นด้วยเช่นกัน

       ดีขยับตัวถอยห่างจากเธอไป เขาเดินไปล้มตัวนอนเล่นลงบนเตียง นอนพิงกับกำแพงโดยเอาหมอนหนุนหลังอยู่ตรงหัวเตียง ก่อนที่จะใช้มือซ้ายคว้าหยิบหมอนอีกใบหนึ่งขึ้นมากอด เหลือบสายตามาทางเธอพร้อมกับส่งรอยยิ้มจางๆ ที่ดูไร้อารมณ์มาให้

        “เจ้าวิญญาณชั้นต่ำมันไม่ยอมเลิกล้มการแก้แค้นง่ายๆ แน่ ตอนนี้มันก็คงจะไปสิงคนอื่นเพื่อที่จะหาทางกลับมาแก้แค้นอีกแน่นอน” เสียงเรียบพูดต่อแล้วจับหมอนที่อยู่ในมือทำท่าเต้นไปมา ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนจะน่ารักดีอยู่หรอก ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านล่ะก็นะ

“แล้วไม่มีวิธีกำจัดวิญญาณได้เลยเหรอ”

“ไม่มีหรอก”

เมย์นิ่วหน้าน้อยๆ ให้กับคำตอบของอีกฝ่ายก่อนที่จะหันกลับมาหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเป้ ถ้าต้องคอยไล่ไปเรื่อยๆ อยู่แบบนี้มันก็ไม่มีวันสิ้นสุดสักทีน่ะสิ

“แล้วที่ผ่านมานายทำยังไงกันล่ะ”

“ก็คอยไล่ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ แต่ถ้ามันบ่อยจนเกินเยียวยา ฉันก็จะฆ่าเป้าหมายทิ้งซะเลย” ชายหนุ่มพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก

ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้หญิงสาวต้องหันขวับไปทางเขาด้วยความตกใจทันที

ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะฟังผิด หรือไม่ก็ตีความหมายของคำพูดของเขาผิดไปก็ได้

ดีมองสบสายตากลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เพื่อที่วิญญาณร้ายจะได้หมดแค้น แล้วก็ช่วยให้คนรอบข้างไม่ต้องได้รับผลกระทบไปด้วยน่ะ” เขาชี้แจงเหตุผล

ตรรกะวิบัติ ตรรกะวิบัติสุดๆ! การใช้เหตุผลของเขาวิบัติเกินไปแล้ว! เขาฆ่าเป้าหมายที่วิญญาณต้องการจะแก้แค้นเพื่อที่จะได้หยุดการแก้แค้นของมันเนี่ยนะ คนปกติเขาต้องคิดหาวิธีที่จะกำจัดวิญญาณกันไม่ใช่เรอะ ไม่ใช่ไปฆ่าคน!

ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ขณะจ้องตรงมายังเธอ

“เธอกลัวฉันอยู่เหรอ”

คำถามของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งโดยอัตโนมัติ เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกอ่านใจออก หรือว่ามันจะเป็นความสามารถพิเศษของดีหรือเปล่า หลังจากที่ได้รู้ว่าวิญญาณมีอยู่จริงและเธอสามารถมองเห็นพวกมันได้ เธอก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าจะมีเรื่องเหนือธรรมชาติอื่นๆ นอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่

แต่ไม่ว่าเขาจะอ่านใจได้หรือไม่ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรที่จะต้องเอามาคิดในตอนนี้ ณ เวลานี้เธอจะต้องลบข้อสันนิษฐานของเขาให้ได้ ต่อให้มันจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่เธอจะให้เขารู้ไม่ได้โดยเด็ดขาดว่าเธอกลัว ความกลัวจะกลายเป็นแต้มต่อที่จะทำให้อีกฝ่ายใช้เล่ห์ทางจิตวิทยาควบคุมความรู้สึกของเธอเอาไว้ได้ แถมเขาก็มีสถานะทางสังคมของเธอเป็นตัวประกันอยู่แล้วด้วย

เพราะฉะนั้นเธอจะต้องนิ่งเข้าไว้ อย่าเผยความอ่อนแอใดๆ ที่จะทำให้เขาปั่นหัวเธอได้มากไปกว่านี้

“นายรู้หรือเปล่าน่ะว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงมากนะ”

เมย์พยายามแสดงสีหน้าให้ราบเรียบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ระหว่างประสานสายตากับคนตรงหน้า รวมทั้งคิดย้ำเตือนอยู่ในหัวว่าจะไม่ยอมหลบสายตาไปจากเขาเด็ดขาด

“แต่คนที่ฉันฆ่า ก็ไม่ใช่คนที่น่าชื่นชมอะไรนี่ จริงมั้ย” ดีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แต่นายก็ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าเขา” หญิงสาวแย้งกลับไปทันควันอย่างเย็นชาโดยที่พยายามบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น

คนตรงหน้าไม่พูดอะไรต่ออีก เขามองตรงมาที่เธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ เช่นเดิม ความเงียบงันภายในห้องแทบจะทำให้เธอรู้สึกประสาทหลอน คิดวิตกไปเองว่าจะต้องมีเสียงอะไรบางอย่างอยู่จนถึงกับพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่ไม่มีตัวตนนั่น

“วิญญาณร้ายสิงคนเดิมซ้ำไม่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบพร้อมกับขยับตัวลงจากเตียง “เพราะฉะนั้นมันน่าจะไปสิงคนใกล้ตัวของเอกสิทธิ์แทนแล้วล่ะ”

เมย์มองตามอีกฝ่ายเดินไปจนถึงประตูห้องด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหวาดกลัว รังเกียจ และสับสน แต่แล้วก็ต้องรีบหันไปทางอื่นทันควันเมื่อจู่ๆ เขาก็หันหลังกลับมามอง

“อีกห้านาทีไปเจอกันที่ลอบบี้นะ”

คำสั่งของดีทำให้เมย์ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพร้อมกับหันกลับไปมองเขาอย่างฉงน เมื่อเช้านี้พวกเธอก็เพิ่งไปผจญกับอะไรมาก็ไม่รู้ ยังผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ แล้วนี่ยังจะต้องออกไปไหนอีกแล้วเหรอ

“จะไปไหนน่ะ”

คนถูกถามยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัย

“ไปเป็นสตอล์กเกอร์ด้วยกันไงล่ะ”

แล้วเสียงประตูปิดก็ดังขึ้น พร้อมกับความเงียบที่แผ่เข้าครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องในทันใด

 

สตอล์เกอร์ เป็นคำเรียกประเภทของคนที่เมย์ไม่เคยคิดว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย เธอไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร หรือได้อะไรจากการไปตามดูชีวิตประจำวันของคนโน้นคนนี้ บางทีพวกเขาอาจจะมีเวลาว่างมากจนถึงขนาดที่ไม่มีอะไรทำ จึงลืมคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลแล้วตัดสินใจที่จะใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระและสร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับคนอื่น แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีสาระสำหรับพวกเขาก็ได้ บางทีพวกเขาอาจจะตามสืบเรื่องของอีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นโรคจิต หลงผิดอยู่ในจินตนาการของตัวเอง ในชีวิตจริงอาจจะเป็นคนที่ไม่มีความโดดเด่นในด้านอะไรเลย จึงทำให้รู้สึกเก็บกดหรือไม่ก็ต่อต้านสังคม

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เธอก็ไม่เคยคิดฝันเลยว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องมาเป็นสตอล์กเกอร์เสียเอง

โชคชะตาช่างเล่นตลกสิ้นดี

ไม่หรอก

เธอไม่เชื่อในโชคชะตา เธอเชื่อว่าคนเราจะเป็นผู้ขีดเส้นทางเดินชีวิตให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงล้วนแต่เป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น

แล้วความสามารถมองเห็นวิญญาณนี่ล่ะ มันมีที่มาที่ไปด้วยเหรอไง

ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุและผลได้

ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่เธอก็อดที่จะตั้งคำถามกับเองไม่ได้จริงๆ ว่าทำไม

ทำไม

ทำไม

ทำไม

ทำไมถึงเป็นเธอที่มีพลังความสามารถนี้ ทำไมถึงเป็นเธอที่ต้องเป็นแพะรับบาป ทำไมถึงเป็นเธอที่ยังคงมีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ในร้านเค้กนั่น

ทำไมถึงเป็นเธอ...ที่เป็นผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมเมื่อแปดปีก่อน

ทำไมถึงไม่ใช่แม่ ที่เป็นผู้รอดชีวิต ทำไมถึงไม่ใช่พ่อ ที่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าหากว่าในอดีตวันนั้นเธอทำอะไรสักอย่าง มันจะทำให้ปัจจุบันของเธอจะเปลี่ยนไปได้บ้างมั้ย หรือเธออาจจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วพ่อกับแม่ก็อาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ และก็คงจะสามารถดูแลมิวได้ดีกว่าเธออย่างแน่นอน

เพราะว่าเธอดีแต่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับมิว ทำให้เขาต้องมีตราบาปติดตัว ตราบาปที่เขาไม่ได้ก่อ

เป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจากสตอล์กเกอร์เท่าไหร่นักหรอก

ช่างน่ารังเกียจ

ตกต่ำจนถึงกับต้องยอมให้ความร่วมมือกับฆาตกร

ไม่ว่าดีจะมีจุดประสงค์อะไรก็ตาม จะฆ่าคนเพราะช่วยคนอีกหลายคน หรือว่าฆ่าเพราะว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีก แต่ฆาตกรก็ยังคงเป็นฆาตกร คนที่ลงมือคร่าชีวิตของคนอื่นได้นั้น ไม่ว่าจะมีข้อดีอื่นๆ อีกกี่ข้อ ยังไงก็จะไม่มีวันลบล้างตราบาปของการเป็นฆาตกรออกไปได้ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องหาทางหนีไปจากเขาให้โดยเร็วที่สุด แต่เธอก็มืดแปดด้านเหลือเกินว่าจะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่หวาดกลัวเขาจนแทบจะไม่อยากอยู่ใกล้ แต่ความอ่อนแอของตัวเองก็ทำให้ชะตาชีวิตของเธอต้องถูกคล้องโซ่เอาไว้อยู่แบบนี้

คนเราต้องกำหนดเส้นทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองงั้นเหรอ...หึ มันก็แค่คำพูดสวยหรูเท่านั้นแหละ

เธอนี่มันช่างน่าสมเพชสิ้นดี

"นายน่ะ...ไม่กลัวว่าวิญญาณของคนที่นายฆ่าจะกลับมาแก้แค้นบ้างเลยหรือไง” หญิงสาวโพล่งถามคนข้างกายอย่างเหม่อลอบ เธอไม่อยากจะคิดฟุ้งซ่านอะไรมากไปกว่านี้ จึงพยายามหาเรื่องคุยเพื่อที่จะไล่ความคิดในหัวให้ออกไป

ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มให้น้อยๆ โดยที่ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น บางทีเขาอาจจะอยากกวนประสาท หรือไม่ก็คิดหาคำตอบไม่ได้ แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมตอบ เมย์จึงคาดเดาคำตอบเอาเองว่าเขาคงไม่กลัว เพราะว่าถ้าเขากลัว เขาก็คงจะไม่ไร้มนุษยธรรมได้ถึงขนาดนี้

พวกเธอกำลังนั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่หน้าบ้านของเอกสิทธิ์พอดีซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมพอสมควร บ้านของเขาอยู่ลึกเข้ามาในซอยไม่มากเท่าไหร่นัก ตอนแรกเมย์นึกว่าคนรวยอย่างเขานั้นจะต้องอยู่ในหมู่บ้านเลิศหรูแสนเงียบสงบอะไรเสียอีก แต่บ้านของเขากลับอยู่บนถนนสายหลักย่านใจกลางเมืองที่มีคนพลุกพล่าน แต่ถึงอย่างนั้น ขนาดบ้านอันใหญ่โตของเขาก็เป็นเสมือนใบประกาศที่แสดงฐานะของครอบครัวได้อย่างชัดเจน ในเมื่อบริเวณนี้มีคนเดินผ่านไปผ่านมาจนถือว่าเรื่องปกติอยู่แล้ว พวกเธอจึงสามารถมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนี้ได้โดยที่ไม่ผิดสังเกต

ทันใดนั้นเองรถตำรวจคันหนึ่งก็แล่นผ่านพวกเธอทั้งคู่ไป

หญิงสาวรีบหันหน้าหนีโดยพลันด้วยความตกใจ เธอเห็นรถเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นจึงไม่รู้ว่าคนขับที่เป็นตำรวจนั้นมองเห็นพวกเธอหรือเปล่า เขาจะมาจับเธอมั้ย ถ้าถูกจับขึ้นมาล่ะก็เธอจะทำยังไงดี คราวนี้คงไม่มีดีหมายเลขสองโผล่ออกมาช่วยอีกแน่ๆ

เสียงบีบแตรรถดังขึ้น ดึงความสนใจของเมย์ให้กลับไปที่ประตูหน้าบ้านของเอกสิทธิ์ รถเบนซ์สีดำคันเดียวกันกับที่อาคารจอดรถเมื่อเช้านี้กำลังหยุดรอให้ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดออก เมื่อประตูเลื่อนเปิดจนสุด รถคันนั้นจึงเคลื่อนตัวเข้าไปจอดด้านใน

“ผมพูดย้ำมาหลายหนแล้วนะว่าผมจำไม่ได้! คุณเอาอะไรมาพูดเนี่ย มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง!” เสียงเอะอะโวยวายดังลอดออกมาทันทีที่ประตูคนขับถูกเปิดออก

ชายวัยมากกว่าห้าสิบปีก้าวขาออกมาจากตัวรถคุณเอกสิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้นั้นดู มีชีวิตมากกว่าในภาพความทรงจำของเธอเมื่อตอนเช้ามากเลยทีเดียว สีหน้าของเขาบึ้งตึง ราวกับว่ากำลังเกรี้ยวกราดใส่บุคคลที่อยู่ปลายสายของโทรศัพท์มือถือ

“ผมเพิ่งกลับมาจากบริษัท คงจะเผลอหลับไปในรถก็เลยไม่เห็นว่าคุณติดต่อมา...อะไรนะ คุณเคยโทรมาคุยกับผมแล้วงั้นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไง ผมเพิ่งจะได้คุยกับคุณเป็นครั้งแรกเนี่ย!

ขณะที่ยืนแอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย หญิงสาวก็อดที่จะคิดสงสัยไม่ได้ว่าการมายืนแอบดูเขาอยู่อย่างนี้ มันจะทำให้เธอรู้ได้ยังไงว่าวิญญาณของบอยไปเข้าสิงคนในครอบครัวของเขาหรือไม่ ในเมื่อเธอไม่ได้รู้จักคนเหล่านั้นเลยแม้แต่คนเดียว แล้วเธอจะแยกพวกเขาออกได้อย่างไร

แต่แล้วภาพอันน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าสัตว์ประหลาดเมื่อเช้าก็ลอยเข้ามาในหัว จริงสิ ความสามารถในการมองเห็นวิญญาณ เธอมองเห็นวิญญาณได้ เพราะฉะนั้นเธอก็คงจะมองเห็นได้ว่าใครกำลังถูกสิงอยู่ เหมือนอย่างที่อาคารจอดรถเมื่อเช้านี้ ที่เธอเห็นวิญญาณของเอกสิทธิ์ซ้อนทับกันกับเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น

“...อะไรเนี่ย ทะ...ทำไม” เสียงงุนงงดังขึ้นเรียกความสนใจจากหญิงสาวให้กลับไปที่เดิม เอกสิทธิ์กำลังยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเอง สีหน้าซีดเผือดเหมือนกับว่ากำลังตกใจที่เห็นอะไรบางอย่างในนั้น “เวลา...ทำไมมันผ่านไปเป็นเดือนๆ เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

ร่างภาชนะจะไม่เหลือความทรงจำอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ถึงจะมีพวกภาพช่วงเวลาหนึ่งแวบเข้ามาบ้าง แต่ก็จะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน” เสียงกระซิบของดีดังขึ้นอย่างแผ่วเบาที่ข้างหู

เมย์หันไปมองอีกฝ่ายซึ่งเหลือบมามองสบสายตากับเธอด้วยเช่นกัน ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก “สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ

หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวลงคอให้กับคำกล่าวอย่างพึงพอใจนั้น

สุดยอดงั้นเหรอ

ดีไม่ใช่แค่คนประหลาดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอ

เธอไม่เข้าใจระบบความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย และคงจะไม่มีวันเข้าใจ

“พวกวิญญาณมักจะชอบสิงเหยื่อให้ตายอย่างช้าๆ พลางดูดพลังวิญญาณของร่างภาชนะไปด้วย ถ้าหากว่าสิงอยู่ในร่างเป็นเวลามากพอ...สักประมาณอาทิตย์หนึ่ง ถึงต่อให้จะออกจากร่างหลังจากนั้น พลังวิญญาณของร่างภาชนะที่ถูกดูดไปก็จะไม่กลับคืนมา แถมยังไหลออกไปจากร่างโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างภาชนะอ่อนแอลงเรื่อยๆ อาจจะล้มป่วยลง หรือบางราย...พลังวิญญาณไหลออกจากร่างรวดเดียวเลยจนต้องนอนยาวในโลงต่อทันที” ดีพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “แต่ในกรณีของบอย ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโง่ หรือว่ามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการล้างแค้นด้วยวิธีเดียวกับที่เอกสิทธิ์ทำให้มันต้องฆ่าตัวตายดี เพราะดูจากสภาพใกล้เคียงกับปีศาจของมันแล้ว บอยคงจะไม่ได้สูบพลังวิญญาณของเอกสิทธิ์ในระหว่างที่สิงอยู่... แต่ถึงอย่างนั้น ผลจากการถูกวิญญาณร้ายสิงสู่เป็นเวลานานหลายเดือน...”

ดียกมุมปากขึ้นน้อยๆ พยักหน้าไปทางเอกสิทธิ์ซึ่งยังคงยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน เมย์จึงละสายตาจากชายหนุ่มข้างตัว เหลือบมองไปตามทิศที่อีกฝ่ายบอกใบ้ จึงเห็นว่าเอกสิทธิ์กำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เหมือนเดิม

แต่ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ในมือก็ร่วงหล่นกับพื้น พร้อมกับที่ร่างของเขาทรุดฮวบลงด้วยเช่นกัน

“วิญญาณของเอกสิทธิ์ก็คงมีสภาพไม่ต่างไปจากคนไข้ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่าที่ยังไม่เสถียร...และพร้อมจะทรุดหนักลงได้ทุกเมื่อ” เสียงเรียบกล่าวต่อจนจบประโยค เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสนุกสนานที่แฝงมากับน้ำเสียงอยู่เล็กน้อย

เมย์กลืนน้ำลายเหนียวลงคออีกเป็นครั้งที่สอง พลางเพ่งสมาธิไปยังการหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติไม่ให้ตัวเองต้องเผลอหยุดหายใจไปอีก

เสียงเปิดประตูบ้านของเอกสิทธิ์เรียกความสนใจจากหญิงสาวให้หันไปมอง ใครสักคนในครอบครัวของเขาเปิดประตูออกมาต้อนรับพอดี ใครคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุประมาณมิว ดูๆ แล้วน่าจะอยู่มัธยมปลาย บางทีอาจจะเป็นลูกสาวของเขาก็ได้

เด็กหญิงรีบวิ่งออกมาช่วยประคองร่างของเอกสิทธิ์ให้ลุกขึ้นยืน ทั้งสองคนพูดคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนที่จะหายเข้าไปในตัวบ้านด้วยกันทั้งคู่ หลังจากนั้นเมย์ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างใน แต่ก็ได้ยินไม่ชัดจึงทำให้ไม่รู้ว่าพวกเขาโวยวายเรื่องอะไรกัน แต่ยังไงก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เอกสิทธิ์ไม่เป็นตัวของตัวเองในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

หญิงสาวพยายามมองขึ้นไปยังหน้าต่างชั้นสอง เผื่อว่าจะมีหน้าต่างบานไหนเปิดอยู่และอาจจะทำให้เธอมองเห็นสมาชิกภายในบ้านได้บ้าง เด็กผู้หญิงที่มาเปิดประตูบ้านก่อนหน้านี้นั้นไม่มีวิญญาณของบอยสิงอยู่เพราะว่าเธอเห็นใบหน้าของเด็กคนนั้นแค่คนเดียว แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามีคนในบ้านอยู่อีกกี่คน

“ขอโทษนะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางข้างหลัง

เมย์หันขวับไปมองผู้เป็นเจ้าของเสียง แต่แล้วก็ต้องรู้สึกเสียววาบไปทั่วทั้งแผ่นหลังเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจ กำลังมองสำรวจเธออย่างจับผิด อารามตกใจเธอจึงรีบหันมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก หาใครคนหนึ่งที่น่าจะช่วยเธอได้มากที่สุด

 

แต่ใครคนนั้นที่เคยอยู่ข้างตัวเธอกลับไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา