หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  11.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) จะทำทั้งที มันต้องทำให้ถึงที่สุดสิ!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่7 จะทำทั้งที มันต้องทำให้ถึงที่สุดสิ!
 
                “ฮือ..ขนนุ่มจังเลย เอ๋..ขน? บ๊อบบี้เหรอ?..ฮือ..เจ้าหมาบ้า..นี่แกแอบหนีมานอนที่เตียงรับแขก อีกแล้วเหรอ? ไปหาสตีเฟ่น เจ้าของของแกเลย..เอ๊ะ!?บ๊อบบี้?.. นี่แกถูกจับย้อมขนเป็นสีทอง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?” ท้ายประโยค รัตมณีเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีงัวเงียแกมงุนงง หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า เจ้าขนนุ่มฟูๆ ที่นอนกระแซะอยู่ข้างกายเธอ ซึ่งตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเจ้าบ๊อบบี้ สุนัขพันธุ์ทางตัวสีดำสนิท สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเพื่อนชายนั้น ดันกลายเป็นเจ้าตัวขนฟูๆ สีทอง หูมนๆ แถมไม่ใช่สุนัขสักงั้น!
               “สิงโต!? มาจากไหนนะ?.. อ๊ะ! พอดูดีๆ แล้ว นี่มันเจ้าตัวเล็กขนสีทอง ไม่ใช่หรอกหรือ? จริงสิ! ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ที่บ้านของไอ้บ้าสตีเฟ่นสักหน่อย แต่อยู่ที่บ้านของหมอนี้ต่างหาก..” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็นิ่งเงียบไป ในขณะดวงตาคู่คม ก็จ้องมองชายหนุ่มรูปงามป่านเทพบุตร ที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ ตนเอง ในสภาพที่แทบจะแนบชิดเป็นเนื้อเดียวกัน หากไม่มีเจ้าตัวเล็กขนฟูสีทอง มานอนคั้นกลางเอาไว้
               ..รัตมณีนิ่งมองดูอีกฝ่ายอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่คิ้วเรียวบนใบหน้าสวยของหญิงสาว จะเผลอขมวดเข้าหากัน พร้อมๆ กับริมฝีปากอวบอิ่ม เอ่ยพูดพึมพำออกมา “เอ๊ะ?ว่าแต่หมอนี้.. ชื่ออะไรแล้วหว่า? จำได้แค่ว่ามีคำว่า รา อืมม์..ขึ้นราหรือเปล่านะ?”
               “.........”
               “ไม่สิ! คนบ้าที่ไหนจะชื่อขึ้นรา..”
               “.........”
               “เอ๋..ชื่ออะไรนะ? เหมือนจะมีคำว่าเมนด้วยหรือเปล่านะ? เมนราเหรอ? หรือว่า.. เหม็นรากันล่ะหว่า? เฮ้ยๆ นี่ความจำของเรา แย่ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ? ไม่มั่ง?.. ถึงแม้อีกสิบสองวัน เราจะอายุครบยี่สิบห้าปีเต็มก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับว่ามีอาการแก่จนความจำเลอะเลือนแน่ๆ อ๊ะ! หรือจะเพราะอากาศร้อนหรือเปล่า? ถึงทำให้เราจำอะไรไม่ค่อยได้แบบนี้..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำกับตัวเอง ในขณะที่พยายามนึกชื่อของอีกฝ่าย และเพราะมัวแต่ครุ่นคิด จึงทำให้หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็นว่า คนที่ตนเองจำชื่อไม่ได้ ซึ่งกำลังนอนหลับปิดเปลือกตาอยู่นั้น บัดนี้หางคิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อคม มีอาการกระตุกเป็นระยะๆ ด้วยความเคืองคนความจำสั้น
               “.........”
               “อืมม์..เมนรา..เมนรา..คาเมนรา..ไม่น่าใช่..”
               “.........”
               “อ๊ะ..สเมนคารา! ใช่แล้ว.. หมอนี้มีชื่อว่าสเมนคารา เจ้าฟาโรห์หน้าหล่อจอมโรคจิต ที่แสนจะโดดเดี่ยวเหมือนกับเราไม่มีผิด..” ท้ายประโยคคำพูดพึมพำของรัตมณี ทำให้ฟาโรห์สเมนคารา ที่ทำท่าจะทรงยกพระบาท ถีบคนกวนประสาทให้ตกแท่นบรรทม เกิดทรงนึกเปลี่ยนพระทัยขึ้นมาในทันใด พร้อมทั้งทรงแกล้งแสร้งละเมอ ยื่นท่อนพระกรไปโอบรอบร่างสูงอวบ แล้วทรงกระชับเอาไว้อย่างแน่นหนาแทน
               ..ความอึดอัด ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทำให้เจ้าลูกสิงโตน้อย ที่กำลังนอนหลับสบาย จำต้องขยับร่างลุกขึ้นคลานลอดช่องว่าง ออกไปนอนอยู่ตรงปลายเท้า ของผู้เป็นนายแทน และนั่นส่งผลให้ช่วงว่างที่เหลืออยู่เพียงนิดหน่อย ถูกบดเบียดจนไม่เหลือที่ว่างอีกต่อไป..
               “โอ๊ย..อึดอัดชะมัด! หมอนี้มันเป็นคน หรือปลาหมึกกันแน่เนี่ย? ไม่สิ!.. พอลองคิดดูดีๆ หมอนี้มันน่าจะเป็นซากมัมมี่ไปแล้ว ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมซากมัมมี่ ถึงได้มีเลือดเนื้อ และกล้ามเป็นมัดๆ แบบนี้ได้ล่ะ? แถมหัวใจก็ยังเต้นด้วยสิ!” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาอย่างนึกสงสัย พลางยื่นใบหน้าเข้าไปซุกที่ตรงบริเวณอกซ้าย ของอีกฝ่าย เพื่อเช็คจังหวะการเต้นของหัวใจ แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่าการกระทำของตนเอง จะทำให้คนที่แกล้งนอนละเมอ ถึงกับกัดฟันกรอด หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่เป็นจังหวะ
               ..บ้าชัดๆ นี่พระองค์กำลังถูกแม่สาวไร้เดียงสา ปลุกเร้าอารมณ์งั้นหรือ?..
               ฟาโรห์สเมนคารา ทรงครุ่นคิดภายในพระทัย อย่างทรงนึกขำ แกมทรงรู้สึกงุนงงในตัวพระองค์เอง ที่ดันมีความต้องการในตัวหญิงสาวขึ้นมา เพียงแค่โดนอีกฝ่ายสัมผัสแตะต้องกายเท่านั้น
               ..จ๊อกๆ!..
               เสียงท้องร้องของคนในอ้อมแขน ที่ดังขึ้นมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้ฟาโรห์สเมนคารา ทรงหยุดชะงักความคิดเอาไว้อย่างฉับพลัน ก่อนที่จะทรงร้องเสียงหลงขึ้นมา เมื่อคนที่ถูกรัดอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์ ดันฝังคมเขี้ยวลงบนพระอุระซะเต็มเหนี่ยว!..
               “โอ๊ย!!เจ้ากัดข้าทำไมเนี่ย!?”
               “แหมๆ โทษที.. แบบว่าข้ารู้สึกหิวขึ้นมานะ ก็เลยลองกัดดู เพราะคิดขึ้นมาว่า มัมมี่ ก็เป็นเนื้อตากแห้งชนิดหนึ่ง น่าจะกินได้ แต่เหมือนจะคิดผิดไปหน่อยสินะ? เพราะเจ้าดันเป็นมัมมี่มีชีวิต คงกินไม่ได้ ถ้าไม่ย่างให้สุกเสียก่อน”
               “.........” ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตร มองคนตอบที่แกล้งตีหน้าซื่อได้อย่างน่าหมั่นไส้ แล้วก็ทรงนึกอยากถวายพระบาท ให้สักทีหนึ่งขึ้นมา แต่แล้วฟาโรห์หนุ่ม ก็กลับทรงนึกเปลี่ยนพระทัย ดึงรั้งร่างอวบๆ ที่ทรงปล่อยให้หลุดไปเมื่อสักครู่นี้ พร้อมทั้งทรงรับสั่ง พลางแสยะยิ้มร้ายๆ ออกมา ก่อนที่จะทรงรั้งร่างอวบแนบชิดกับพระวรกายบึกบื่น และทรงก้มพระพักตร์แนบติดกับซอกคอของหญิงสาว ก่อนที่จะทรงฝั่งคมเขี้ยวของพระองค์ ลงบนต้นคอขาวผ่องของอีกฝ่ายในทันใด
               “หากข้าเป็นของกินได้ ถ้างั้นเจ้าก็คงใช่เหมือนกันสินะ? หมูน้อยของข้า..งับ!”
               “โอ๊ย! เจ็บนะ จะทำอะ..อุ๊บ!” ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ริมฝีปากอวบอิ่มของรัตมณี ก็มีอันต้องถูกพระหัตถ์แกร่งของฟาโรห์สเมนคารา เลื่อนมาทาบทับปิดเอาไว้แน่นหนา..
               ..จ๊อกๆ!.. 
               “ฮ่าๆ..” เสียงท้องร้องของรัตมณีที่ดังขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราที่ทรงตั้งใจจะแกล้งหญิงสาว ถึงกับทรงหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนจะทรงยื่นพระหัตถ์ข้างที่ปิดปากของหญิงสาวเอาไว้ ไปหยิบกระดิ่งทองคำ มาสั่นสองสามครั้ง และเพียงสิ้นเสียงกระดิ่ง ก็มีชายวัยกลางคน เปิดประตูเดินเข้ามาหยุดยืนยังบริเวณ ไม่ห่างจากแท่นบรรทมมากนัก พร้อมกับคร่อมกายลงเล็กน้อย เป็นการทำความเคารพต่อฟาโรห์หนุ่ม และหญิงสาว..
               “จัดอาหารที่ศาลาริมน้ำทางเหนือ..”
               “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ชายวัยกลางคนดังกล่าวเอ่ยรับคำอย่างนอบน้อมแล้ว ก็เดินถอยหลังไปสามก้าวเดิน ก่อนจะหมุนกายก้าวเดินออกไป จากห้องบรรทมของฟาโรห์หนุ่ม
               ทว่า.. เพียงแค่บานประตูห้องบรรทมปิดลงเรียบสนิท รัตมณีก็ซัดหมัดเข้าที่ตรงหน้าท้อง ของฟาโรห์หนุ่มทันควัน แต่เสมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้แกวอยู่แล้ว ดังนั้น พระหัตถ์แกร่งของฟาโรห์หนุ่ม จึงรับหมัดดังกล่าวเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที พร้อมทั้งทรงตรัสรับสั่งยั่วแหย่หญิงสาวขึ้นมา อย่างทรงนึกสนุก
               “หึ! กะแล้วเชียวว่า.. อย่างเจ้าคงขุนให้โต และแรงเยอะได้มากกว่านี้เป็นแน่ เพราะขนาดว่าหิวจนท้องร้องเสียงดังลั่นห้อง ก็กลับยังมีแรงเอาไว้รังแกข้าได้อีก”
               “อ่อ..นั่นสินะ! ตัวข้าคงจะโตได้อีกอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ แต่ส่วนเจ้านะคงจะไม่โตอีกแล้ว เพราะเป็นฟาโรห์มัมมี่ตากแห้ง มีแต่จะแข็งกระด้าง และแห้งเกรียม!”
               สิ้นประโยค รัตมณีก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่ กระทุ้งศอกเข้าที่ตรงหน้าท้องของอีกฝ่าย ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างแรง จนทำให้ฟาโรห์หนุ่มที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ว่าจะเจอศอกกลับจากหญิงสาว ลงไปนอนหงายอยู่บนแท่นบรรทม แต่ถึงกระนั้น มีหรือที่คนอย่างฟาโรห์สเมนคารา จะทรงยอมปล่อยให้พระองค์เจ็บแต่เพียงฝ่ายเดียว พระหัตถ์หนาที่เกาะกุมมือของหญิงสาวเอาไว้ตั้งแต่แรก จัดการออกแรงกระตุกสุดแรง จนทำให้รัตมณีพลอยหน้าคว่ำ กระแทกเข้ากับพระอุระแกร่งของฟาโรห์สเมนคาราเข้าอย่างจัง..
                “หึ! อิสตรีที่เถื่อนเกินหน้าเจ้า แผ่นดินนี้คงไม่มีอีกแล้ว แต่เหตุใดกันนะ? ยิ่งเจ้าเถื่อน และดุร้ายมากเพียงใด ข้ากลับยิ่งชอบเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ สักงั้น”
                 “เพราะว่าเจ้ามันโรคจิตไง! ปล่อยมือข้าได้แล้ว ข้าหิวจนจะกินเจ้าแทนได้อยู่แล้วนะ สเมนคารา..” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับออกแรงดึงมือตัวเอง ออกจากมือของอีกฝ่าย ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ทว่า.. รัตมณีคงนึกไม่ถึงหรอกว่า สาเหตุที่ฟาโรห์หนุ่มทรงยอมปล่อยมือของเธอแต่โดยดี จะเป็นเพียงเพราะว่าเธอ เรียกชื่อของอีกฝ่าย..
                “เมื่อกี้เจ้าพูดว่า.. อีกสิบสองวัน เจ้าจะอายุครบยี่สิบห้าปีเต็ม ใช่ไหม?”
                คำถามของฟาโรห์หนุ่ม ทำให้รัตมณีที่กำลังเดินตรงไปที่ประตู หันเสี้ยวหน้ามามอง พลางเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางประตู พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมา ด้วยท่าทีเหมือนกับไม่ได้ใส่ใจ กับคำพูดที่ตนเองเอ่ยพูดออกไปมากนัก
                “ก็ใช่.. แล้วมันทำไมเหรอ? จะจัดงานฉลองให้หรือไง? ถ้าใช่.. ขอของเย็นๆ เป็นเมนูอาหารหลักก็แล้วกัน”
                “แปลว่าวันเดียวกัน..”
                “หือ?”
                “แต่ก็ห่างกันสิบปี ล่ะนะ..”
                “พูดถึงเรื่องอะไรนะ..?” รัตมณีเอ่ยถามขึ้นมา อย่างนึกสงสัยในคำพูดลอยๆ ของอีกฝ่าย แต่ผ่านไปชั่วครู่ อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบอมพะนำ ไม่ยอมตอบคำถาม หญิงสาวจึงยักไหล่ของตนน้อยๆ เป็นการตัดความคิดที่จะเอาคำตอบกับอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นมือไปผลักบานประตู และเดินมุ่งหน้าไปหาของกินทันที
               ฝ่ายฟาโรห์สเมนคารา ทรงนั่งประทับนิ่ง อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะทรงลุกขึ้นจากแท่นบรรทม เสด็จออกมาจากห้องบรรทม ทว่า พอเสด็จออกมาเห็นคนหิวจนท้องร้องดังลั่น กำลังยืนหันซ้ายหันขวา ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาหนังศีรษะ ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง ก็ลูบท้องแล้ว ก็ถึงกับทรงส่ายพระพักตร์ไปมา ก่อนจะทรงลอบยิ้มที่มุมพระโอษฐ์ พลางพระสรวลขึ้นมาเบาๆ พร้อมทั้งทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาแผ่วเบา..
               “รัตมณี อังเคย์เคล สัตว์เลี้ยงที่น่ารักน่าชังของข้า.. ตัดสินใจแล้ว! ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าไปชั่วชีวิต ถึงแม้เจ้าจะไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่ให้เจ้าได้เอื้อนเอ่ย คำค้านออกมาเด็ดขาด!”
 
                รุ่งเช้าวันต่อมา..
                ในยามเช้ารุ่งสาง ภายในศาลาหินอ่อนริมน้ำ ทางฝั่งพระตำหนักเหนือ ซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ดูอบอวลไปด้วยบรรยากาศรื่นรมย์ ของเสียงดนตรีไพเราะเพราะพริ้ง การร่ายรำแสนงดงาม ของนางรำผู้อ่อนช้อย และกลิ่นหอมดอกไม้ ที่โชยมากับสายลมแผ่วเบา จากสวนดอกไม้รอบด้าน
               ทว่า.. บรรยากาศแสนโรแมนติกดังกล่าว ช่างดูขัดแย้งกับคนที่นั่งอยู่ในศาลายิ่งนัก เมื่อคนหนึ่ง นั่งหน้าเหี้ยมเกรียม รับฟังข่าวไม่เป็นมงคลแต่เช้ามืด จากทหารองครักษ์ที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ด้วยท่าทีสั่นเทา นึกหวาดหวั่นว่าตนเองจะซวยโดนโทษหนักแบบใดจากนายเหนือหัว ส่วนอีกคนหนึ่ง นั่งหน้านิ่งคิ้วขมวดเข้าหากัน เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา จนเสียงดนตรี หรือภาพนางรำผู้งดงาม แทบจะไม่ได้เข้าไปในหัวเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่อีกคนหนึ่ง ซึ่งถูกลากติดสอยละห้อยตามมาด้วย แบบจำใจ ก็กำลังนั่งโยกเก้าอี้เล่นไปมา มือข้างหนึ่งเทาคางกับโต๊ะ ส่วนดวงตาสีฟ้าเข้มสวยก็หรี่มองดูพวกนางรำ พร้อมกับมืออีกข้างหนึ่ง ก็ยกขึ้นมาปิดปากที่หาวออกมาเป็นระยะๆ..
               “ต๊องแต๊งๆ..”
               “เจ้าบอกว่านางถูกฆ่าตอนยามดึก งั้นหรือ?”
               “พะ..พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
               “ข้าว่ามันแปลกๆ อยู่นะสเมนคารา.. ทั้งที่เวรยามก็ออกจะแน่นหนาสักขนาดนั้น แล้วทำไมนางกำนัลรายนั้น ถึงได้ถูกฆ่าโดยที่ไม่มีใครเห็นเลยล่ะ?”
               “ต๊องแต๊งๆ..”
               “นั่นสิ..”
               “ต๊องแต๊งๆ..”
               “นี่เจ้า!..จะต๊องแต๊งๆ อะไรนั้นอีกนานหรือไม่? ข้าจะได้จับเจ้าเย็บปากซะ!!” ฟาโรห์สเมนคาราทรงหันมาตรัสรับสั่งถามหญิงสาว ที่กำลังนั่งบนเก้าอี้ ข้างพระวรกายพระองค์ อย่างทรงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาตระหงิดๆ กับความกวนประสาทของหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่เอาแต่ท่องคำว่า ต๊องแต๊งๆ ที่พระองค์เองก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกันแน่..
               “ก่อนที่จะเย็บปากของข้า เจ้าน่าจะไปเย็บมือของคนบรรเลงดนตรี ก่อนจะดีกว่าหรือเปล่า?”
               “........?”
               “แบบว่าฟังแรกๆ ก็ไพเราะดีอยู่หรอก แต่พอได้ฟังนานๆ ไอ้ต๊องแต๊งๆ นี่มันน่าเบื่อ ชวนกวนประสาทกันชัดๆ เลย เจ้าเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? มัมมี่จัง!..”
               “มัมมี่จัง?”
               “ที่กวนประสาท มันเจ้าต่างหาก!” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่ง พร้อมทั้งทรงยื่นพระหัตถ์ไปดึงแก้มยุ้ยๆ ข้างหนึ่งของหญิงสาวร่างสูงอวบตัวดี ที่ขยันหานามแปลกๆ มาเรียกขานพระองค์ไม่เว้นเวลา
               “โอ๊ย!ข้าเจ็บนะสเมนคารา..” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับใช้หลังมือ ปัดมือของอีกฝ่ายออกจากแก้มยุ้ยๆ ของตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปแย่งเครื่องดนตรี มาจากนักดนตรีคนหนึ่งที่กำลังบรรเลงดนตรีอยู่ พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อ ในขณะที่มือก็บรรเลงเครื่องดนตรีดังกล่าว ด้วยจังหวะรัวเร็วแบบท่วงทำนองเพลงร็อค “แบบช้าๆ ไพเราะเพราะพริ้งก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะ แต่ถ้าจะให้สนุก มันก็ต้องจังหวะเร้าใจแบบนี้สิ ถึงจะดี!..”
               “.........”
               “.........”
               “.........”
               “หืมม์..เป็นอะไร? ทำหน้ายังกับเห็นผี..” รัตมณีเอ่ยถามพลางหยุดมือที่กำลังเล่นเครื่องดนตรี เมื่อเห็นฟาโรห์หนุ่ม และชายร่างเล็กที่หน้าเหมือนกับสตีเฟ่น เพื่อนชายของเธอ รวมทั้งผู้คนรอบข้างที่อยู่ในศาลา พากันจ้องมองมาที่เธอ ด้วยท่าทีอึ้งๆ เหมือนกับเห็นของที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
               “สะ..สุดยอดไปเลยพ่ะย่ะค่ะ! ท่านหญิง.. ท่านไปฝึกการบรรเลงดนตรีเช่นนี้ มาจากที่ใดกัน? ได้โปรดบอกข้าทีเถิด ข้าไม่เคยได้ฟังการบรรเลง ที่ทำให้รู้สึกเลือดในกายเดือดพล่าน ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย..”
               “เอ๋..!?” รัตมณีถึงกับทำสีหน้าเหรอหราขึ้นมา เมื่ออยู่ดีๆ โดนชายวัยกลางคน ผู้ที่เธอแย่งเครื่องดนตรีมาเล่น พูดจารัวใส่หน้า ด้วยท่าทีตื่นเต้นดีใจ ราวกับได้เห็นยูเอฟโอบินโฉบลงมาใส่หัวของตัวเอง
               “นั่นสิขอรับ เป็นการบรรเลงที่แสนจะดุเดือด เร่งเร้าอารมณ์ให้ครื้นเครงมากเลยขอรับ ไม่คิดเลยว่า.. แม่หญิงรันจะมีความสามารถด้านแขนงดนตรีถึงเพียงนี้ ว่าแต่อาจารย์ผู้พร่ำสอนวิชาให้กับท่าน เป็นใครกันหรือขอรับ?”
               “เอ๊ะ? เป็นใครนะเหรอ?.. ก็แค่พวกนักดนตรีขี้เมาในคลับ ที่ข้าเคยทำงานด้วยนะ” รัตมณีเอ่ยตอบชายร่างเล็กที่ทำท่าเหมือนจะสนใจในตัวอาจารย์ ผู้สอนการเล่นดนตรีให้กับเธอ ด้วยท่าทีงุนงงเล็กน้อย เพราะหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมีคนสนใจเจ้าพวกแก๊งค์ยอดเสื่อมพรรค์นั้น ที่วันๆ เอาแต่เล่นดนตรีเพลงร็อคดังสนั่นคลับ เพื่อแลกกับการได้ดื่มเหล้าฟรีในคลับเท่านั้น
               “นักดนตรีขี้เมา หรือขอรับ? อาจารย์ของท่าน มีนามที่แปลกน่าดูเลยนะขอรับ แม่หญิงรัน”
               “หืมม์?ไม่ใช่ๆ.. นั่นนะไม่ใช่นามหรอก อ๊ะ! หรืออาจจะใช่ล่ะหว่า? แต่ที่จริงแล้ว ข้าเรียกเจ้าพวกไม่ได้ความนั้นว่า แก๊งค์ยอดเสื่อมนะ”
               “แก๊งค์ยอดเสื่อม?”
               “ก็เจ้าพวกบ้านั้นมีดีแค่พรสวรรค์ ในด้านการเล่นดนตรีเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนะติดลบทั้งหมด! ทั้งใช้ชีวิตเสเพลอย่างไม่กลัวตาย ดื่มเหล้าราวกับจะลงไปนอนแช่อยู่ในอ่างเหล้า เที่ยวเล่นผู้หญิงแบบไม่สนใจว่าเมียใครหน้าไหน และบ้าพนันชนิดว่าถ้าไม่หมดตูด หรือยืมไม่ครบหน้าแล้วล่ะก็ ไม่มีหยุด อ่อ!.. แล้วก็โรคจิตแบบสุดๆ เหมือนกับใครบางคนที่อยู่แถวนี้ด้วย..หึหึๆ” ท้ายประโยค รัตมณีเอ่ยพูดพลางเหล่สายตาไปมองฟาโรห์สเมนคารา ซึ่งนั่งนิ่งเงียบไม่ปริปาก ตรัสรับสั่งใดๆ ออกมา อย่างนึกสนุกที่ได้แกล้งแหย่อีกฝ่ายเล่น โดยที่หญิงสาวไม่ได้รู้เลยว่า ฝ่ายที่ถูกยั่วแหย่อยู่นั้น กำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างกับตนเอง ในอีกไม่กี่เพลานับจากนี้..
               “ฟังแล้วดูไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่เลยนะขอรับ แต่ว่าแม่หญิงรัน ก็ยังอุตส่าห์ร่ำเรียนวิชาดนตรี มาจากคนพรรค์นั้นได้จนเป็นที่สำเร็จ ท่านช่างเป็นคนที่พากเพียรจริงๆ..”
               “พากเพียรเหรอ? เปล่าเลยๆ..”
               “........?”
               “ก็แค่ทำเพื่อเงินนะ! แบบประมาณว่า.. ที่ไหนมีเงิน ที่นั้นก็ต้องมีข้าเสนอหน้าอยู่ด้วยนะ!” รัตมณีเอ่ยตอบออกมาอย่างหน้าตาเฉย แล้วก็นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง โดยไม่ได้สนใจว่าชายหนุ่มร่างเล็ก เจ้าของนามคารูม จะกำลังอ้าปากเหวอไปกับคำตอบดังกล่าวของตัวเอง ในขณะมืออวบๆ ก็เริ่มบรรเลงเครื่องดนตรี ที่ถืออยู่ในมืออีกครั้งหนึ่ง หากแต่ในครั้งนี้ กลับเป็นจังหวะแบบสบายๆ ไม่เร็ว และไม่ช้าจนเกินไปนัก
               “เออ..แม่หญิงรัน ท่านเดือดร้อนเรื่องเงิน หรือขอรับ?”
               คำถามน้ำเสียงอ้ำอึ้ง จากชายร่างเล็ก ที่ดังขึ้นมา หลังจากที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ชั่วครู่ใหญ่ๆ ซึ่งแฝงไปด้วยท่าทีเหมือนกับกำลังลำบากใจ ที่จะถามไถ่คำถามดังกล่าวออกมา ทำให้รัตมณีเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อย่างนึกสงสัยในท่าทีดังกล่าวของอีกฝ่าย แต่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อหญิงสาวเริ่มจะเข้าใจแล้วว่า อีกฝ่ายคงกำลังนึกกลัวว่า เธอลำบากใจที่จะต้องตอบคำถามดังกล่าว รัตมณีจึงคลี่รอยยิ้มบางเบา ให้กับชายหนุ่มร่างเล็ก พร้อมทั้งเอ่ยตอบคำถามดังกล่าวของอีกฝ่าย ด้วยท่าทีสบายๆ
               “ก็นะ!.. ถูกพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง เสือกไสไล่ส่งให้ไปเรียนต่อถึงอเมริกา โดยที่ไม่ส่งเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย ก็ต้องเดือดร้อนเรื่องเงิน เป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะนะ..”
               “.........”
               “เรื่องค่าเล่าเรียนก็ยังพอจะถูไถ่ไปได้บ้าง ด้วยการสอบชิงทุนเรียน แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนี่สิแย่หน่อย เพราะที่นั้นค่าครองชีพมันสูง แถมหางานทำแบบถูกกฏของที่นั้น ก็ยากแสนยากสักด้วย ดังนั้น.. อะไรที่ได้เงินข้าก็ทำหมดนั้นแหละ อ่อ!.. แต่งานนอกรีตเนี่ย ไม่ค่อยจะรับทำหรอกนะ เพราะมันไม่คุ้มเสี่ยงกับปัญหาที่จะตามมาทีหลังนะ”
               “ไม่ค่อยจะรับทำ แปลว่าเจ้าเคยทำสินะ? งานนอกรีต! เพราะอย่างงั้น.. เจ้าถึงได้ไม่สะทกสะท้านเลย ตอนที่เห็นข้าฟันแขนของนางกำนัล”
               “เอ๊ะ..มะ..!?” รัตมณีทำท่าจะเอ่ยปฏิเสธคำพูดดังกล่าว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว เมื่อโดนฟาโรห์สเมนคารา ที่ไม่รู้ว่าขยับกายมาอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ รวบตัวของเธอเอาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง พร้อมกับริมฝีปากหนา กดลงบดเบียดบนริมฝีปากอวบอิ่มอย่างดุดัน และถึงแม้รัตมณี จะพยายามเม้มริมฝีปากของตัวเองเอาไว้แน่น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรุกล้ำได้มากกว่านี้ แต่ทว่าคนหน้าหล่อจอมโฉด ก็กลับเอาแต่ใจ ดันทุรังกดริมฝีปากหนาอย่างหนักหน่วง จนกระทั่งในที่สุดสามารถแทรกลิ้นอุ่นๆ เข้าไปเกี่ยวตวัดกับปลายลิ้นของเธอ
               ..อะ..เอเลี่ยน!?..
               ภาพหนังเรื่องเอเลี่ยน ฉากที่เอเลี่ยนในร่างมนุษย์ มีน้ำลายไหลย้อยออกมาจากปากเป็นทาง กำลังยื่นลิ้นยาวที่เต็มไปด้วยน้ำลายเมือกย้อยยืดยาด เข้ามาในปากของหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อ ที่บังเอิญผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของรัตมณี ทำให้ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ที่กำลังเบลอๆ เพราะเผลอต้องมนต์รสจูบ ถึงกับสว่างวาบขึ้นมาทันควัน พร้อมทั้งมืออวบของหญิงสาว ผลักร่างหนาของฟาโรห์สเมนคารา ออกห่างจากตัวแบบสุดแรงเกิด!
               “อย่ามาแพร่พันธุ์ใส่ในตัวของข้านะ เจ้าบ้าเอเลี่ยน!!!”
               “โครม!! โอ๊ย!...”
               เสียงร้องอุทานเพราะความเจ็บ ของฟาโรห์หนุ่ม ทำให้รัตมณีที่เผลอขาดสติไปชั่วขณะ ได้สติขึ้นมาในทันใด พร้อมกับร่างสูงอวบของหญิงสาว รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาร่างสูง ของฟาโรห์สเมนคารา ที่ถูกตนผลักไปกระแทกชนเข้ากับเสาหินอ่อน จนเป็นเหตุทำให้หน้าผากขาวผ่อง มีเลือดแดงฉานกำลังไหลซึมออกมา..
               “ขอโทษๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ.. แค่เผลอนึกถึงหนังสยองขวัญที่เคยดูขึ้นมานะ”
               “.........”
               “เจ้าเจ็บหรือเปล่านะ? สเมนคารา เฮ!มาช่วยกัน..อ้าวเฮ้ย?! หายไปไหนกันหมดนะ..?” ท้ายประโยค รัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยท่าทีงุนงง เมื่อพบว่าภายในศาลา บัดนี้ไม่มีใครเลย นอกจากเธอ กับฟาโรห์สเมนคาราเท่านั้น ทั้งพวกนางรำ นักดนตรี ทหารองครักษ์ หรือแม้แต่ชายหนุ่มร่างเล็ก เจ้าของนามคารูม ต่างก็พากันออกไปจากศาลาแห่งนี้ ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้
               “ที่เจ้าพูดเมื่อกี้ แปลว่าถ้าเจ้าไม่ได้เผลอนึกถึงอะไรนั้น เจ้าจะยอมให้ข้าจูบ และลิ้มรสกายของเจ้าแต่โดยดี อย่างงั้นหรือ? หมูน้อย..”
               “มะแหง่กสิ! จะว่าไปแล้วเรื่องครั้งนี้ มันก็เพราะเจ้างี่เง่า ดันมาขโมยจูบข้านี่หว่า.. นั่นก็สมควรแล้ว ที่จะเจ็บตัวแบบนี้..เชอะ!” รัตมณีเอ่ยพูดจบประโยค ก็สะบัดหน้าหนี เลิกที่จะสนใจแผลบนหน้าผากของอีกฝ่าย พร้อมกับตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วมือของหญิงสาว ก็กลับถูกพระหัตถ์แกร่ง ของฟาโรห์หนุ่มทรงฉุดรั้งเอาไว้ พร้อมทั้งถูกกระตุกอย่างแรง จนทำให้ร่างสูงอวบของรัตมณี เซไปซบกับแผ่นอกแกร่งของฟาโรห์หนุ่ม อย่างฉับพลัน..
               “นี่ยังไม่เข็ดอีก..” รัตมณียังไม่ทันจะอ้าปาก ต่อว่าอีกฝ่ายจนจบประโยคความ ก็กลับต้องกลืนหายคำพูดดังกล่าวของตัวเองลงคอไป เมื่อได้ยินรับสั่งแสนราบเรียบ จากฟาโรห์สเมนคารา
               “เจ้าผิดเองนะ ที่ไปคุยกับชายอื่น..”
               “เอ๊ะ?”
               “จงจำไว้ว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์! ที่จะสนทนากับชายอื่น ด้วยท่าทีสนุกสนานเฉกเช่นเมื่อกี้นี้”
               “หา..ไหงงั้นล่ะ? ข้าไม่ได้เป็นใบ้นะ ถึงจะพูดกับคนอื่นไม่ได้”
               “คนที่เจ้าจะคุยได้แบบนั้น มีเพียงข้าเท่านั้น!”
               “.........?”
               “หากเจ้าทำแบบนั้นอีกล่ะก็.. จะไม่ใช่เพียงแค่จูบ แต่ข้าจะครอบครองกายของเจ้า ต่อหน้าชายที่เจ้าทำตัวเริงร่าใส่! ให้เจ้าได้อับอายอย่างถึงที่สุด จนไม่มีหน้าจะไปพบใครได้อีก”
               “เฮ..พูดถึงขนาดนั้น ทำไมไม่จับข้าใส่ปลอกคอทองคำ แล้วขังไว้ในกรงเงินกรงทองซะเลยล่ะ! เจ้าบ้าโรคจิต.. ผลั่ก!!” สิ้นประโยคคำพูด ที่จบด้วยกำปั้นน้อยๆ เสยเข้าตรงใต้คางของฟาโรห์หนุ่ม ร่างสูงอวบของรัตมณี ก็รีบสปริงตัวถอยห่างจากร่างบึกบื่น ของฟาโรห์หนุ่ม และวิ่งออกไปจากศาลาทันที
               “โอ๊ะโอ!หวังว่า.. ความโรคจิตเกินเหลือรับของเจ้า คงจะไม่ทำให้แม่หญิงรันคนงาม ชิงหนีไปไกลเสียก่อนนะสหายข้า..หึ!”
               “หนีเหรอ? ไม่มีทาง! ของของข้า ย่อมต้องเป็นของข้าเสมอ แล้วก็นะ!.. ดูเหมือนเจ้าจะประเมินหมูน้อยของข้า ต่ำไปเสียแล้วล่ะคารูมเอ๋ย”
               “........?” คำตรัสรับสั่งของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้คารูมที่กำลังยืนอยู่ที่สวนดอกไม้ ด้านนอกศาลา ห่างออกไปจากที่ฟาโรห์สเมนคาราทรงประทับอยู่ ไม่ถึงห้าก้าวเดิน เผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อย่างนึกฉงนในคำพูดของสหายรัก หากแต่ชายร่างเล็ก ก็ไม่ได้คิดที่จะถามไถ่สหายรัก เพื่อแก้ความสงสัยของตน ได้แต่เพียงยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเอ่ยพูดเข้าเรื่องอื่นแทน “รีเอล..นางกำนัลคนที่ถูกฆ่าตายเมื่อคืน คนของข้าเพิ่งจะสืบได้ความเพิ่มเติมมาว่า ก่อนหน้าที่นางจะมาเป็นนางกำนัลที่พระตำหนักหลัง นางเคยเป็นนางกำนัลส่วนตัว ของเจ้าหญิงไซน่า มาก่อน..”
               “นางกำนัลส่วนตัวของไซน่า?”
               “ใช่! แต่ว่านอกเหนือจากเจ้าหญิงไซน่าแล้ว เมื่อครึ่งปีก่อน.. นางก็ยังเคยเป็นนางกำนัล ของพระสนมเอกเมอรีอาเตน และเมื่อสามปีที่แล้ว.. นางเคยเป็นคนสนิทของอดีตราชินีเนเฟอตารี ซึ่งถูกพาตัวเข้ามาในวัง โดยที่ไม่ต้องผ่านการสอบประวัติใดๆ..”
               “คนสนิทของเนเฟอตารี มาอยู่ที่ตำหนักหลัง ได้อย่างไง? ใครเป็นคนที่จัดแจงเรื้องนี้กัน..? ข้าเคยสั่งเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือไงว่า ไม่อนุญาติให้คนของนาง เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆ กายข้า!..”
               “ผู้ที่จัดการเรื่องนี้ ก็คือ เจ้าหญิงไซน่า แต่ข้าคิดว่าเจ้าหญิงไซน่า คงจะไม่ทรงทราบว่า.. รีเอล เคยเป็นคนของพระนางเนเฟอตารีมาก่อน”
               “หมายความว่าไง?”
               “ประวัติของรีเอล ถูกใครบางคนบิดเบือนไป ในทุกครั้งที่นางเปลี่ยนหน้าที่ ทำให้ข้อมูลที่แท้จริงผิดเพี้ยน จนยากจะตรวจสอบเอาความจริง”
               “.........”
               “หืมม์..ถ้างั้นก็ลองเดินย้อนรอยเท้า ของเจ้าหล่อน กลับไปซะสิ! ถึงอาจจะไม่ได้อะไรมากมายนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้อะไรที่พอจะนำมาปะติดปะต่อ ได้บ้างอยู่นะ”
               ประโยคคำพูดราบเรียบ ที่ดังแทรกขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้สองบุรุษที่กำลังยืนคุยกันอยู่ หันไปมองเจ้าของประโยคคำพูดดังกล่าวทันควัน ด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน คารูมนั้น มีท่าทีตกใจขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่รู้สึกตัวเลยว่า หญิงสาวร่างสูงอวบ ได้เดินย้อนกลับมาที่ศาลาแห่งนี้ ทั้งที่ตัวเขาเอง เป็นคนที่มีประสาทการรับรู้ดีเยี่ยม ชนิดว่าได้ยินแม้แต่กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น
               ส่วนทางด้านฟาโรห์สเมนคารา ทรงมีท่าทีแปลกพระทัย กึ่งๆ นึกสงสัยว่าทำไมสัตว์เลี้ยงแสนรัก ของพระองค์ ถึงได้ยอมเดินย้อนกลับมาที่ศาลาแห่งนี้อีก ทั้งที่เพิ่งจะซัดหมัดหนัก เสยคางของพระองค์ไปแหม่บๆ ทว่า.. เพียงแค่ชั่วอึดใจต่อมาความสงสัยที่มีอยู่ ก็พลันมลายหายไปสิ้น เมื่อคนที่ทำให้เกิดความสงสัย หยิบยกผ้าผืนขาวสะอาดตาในมือของตัวเอง ขึ้นมาเช็ดเลือดบนหน้าผากของพระองค์ และกดซับเลือดตรงบริเวณปากแผลให้อย่างเบามือ..
               “กลัวข้าตายจากเจ้าไปหรือไง?” ทรงตรัสรับสั่งยั่วแหย่ คนที่กำลังทำแผลให้กับพระองค์ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนกับกำลังสำนึกผิดอยู่นัยที
               “เปล่า! กลัวเป็นผีมาหลอกข้าต่างหาก”
               “หึ! ปากแข็งเช่นนี้ ช่างน่าทำให้อ่อนลงจริงๆ”
               “อา..ใช่! ข้าคงปากแข็งจริงๆ เพราะความจริง ข้ากลัวอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ!..”
               “..........”
               “กลัวว่าจะลงมือ ไม่หนักพอ! เลยกะว่าจะกลับมาลงมือซ้ำอีกสักครั้ง และครั้งนี้ จะเอาให้เดี้ยงไปเลย ถ้าขืนทำแบบนั้นอีก!” รัตมณีเอ่ยพูด พลางแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย ในขณะที่ร่างสูงอวบก็ทำเนียน ค่อยๆ ขยับกายถอยห่างออกมาจากอีกฝ่ายทีล่ะนิดล่ะหน่อย เพื่อรักษาระยะความปลอดภัยของตนเอง จากคนโรคจิตหน้าหล่อ
               ..ทว่าท่าทีของรัตมณี ก็หาได้รอดพ้นไปจากพระเนตรคมกริบ ของฟาโรห์สเมนคารา ที่ทรงกำลังจ้องมองอยู่แต่อย่างใด ท่าทีระแวดระแวงที่ดูน่ารักน่าชัง ของหญิงสาว ทำให้ฟาโรห์หนุ่มเผลอแสยะยิ้มร้ายๆ ออกมา และในช่วงจังหวะที่หญิงสาว มัวแต่ให้ความสนใจกับแผลที่อยู่บนหน้าผากของพระองค์ องค์ฟาโรห์หนุ่มก็ฉวยโอกาสดังกล่าว หอมแก้มขาวๆแสนนุ่มนิ่มทั้งซ้าย และขวา ของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทรงรับสั่งขึ้นมาเรียบๆ อย่างหน้าตาเฉย..
               “สำหรับค่าทำแผล..”
               “เจ้าจ่ายมาเกิน ข้าทอนให้..ผลั่ก!” สิ้นคำพูดแบบหน้าตาย หมัดหนักของรัตมณี ก็ถูกประเคนเข้าที่ตรงหน้าท้องซิกแพ็ค ของฟาโรห์หนุ่มอย่างจัง เล่นเอาคนกินหมัดเป็นอาหารว่าง ถึงกับแอบจุกไปชั่วขณะหนึ่ง ท่ามกลางสายพระเนตรเคืองๆ ที่ทอดมองคนร่างสูงอวบ ที่ลุกขึ้นยืนกอดอก เชิดหน้าอย่างมาดมั่น
               ทว่า.. พอคนร่างสูงอวบ ทำท่าจะเดินจากไป ด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ ที่แสนจะน่าหมั่นไส้ ปลายเท้าแกร่งของฟาโรห์สเมนคารา ก็กลับเคลื่อนไปดักปลายเท้าอวบๆ ของหญิงสาวทันควัน หมายจะให้ร่างสูงอวบของหญิงสาว ล้มลงจับกบ แต่ผลที่ได้กลับเกินความคาดหมาย เมื่อรัตมณีที่รู้ตัวว่า ตนเองถูกอีกฝ่ายแกล้งดักขา ในจังหวะที่กำลังจะซวนเซล้มลงกับพื้น ก็ได้พลิกหมุนตัวหันกลับมาหาอีกฝ่าย หมายจะใช้เท้าเตะอีกฝ่ายเป็นการสั่งสอน แต่แล้วหญิงสาวกลับดันพลาด เหยียบโดนชายกระโปร่งรุ่มร่ามของตัวเอง จนเป็นเหตุให้สะดุดล้มลงไปทับร่างสูงบึกบื่น ของฟาโรห์หนุ่ม แถมซ้ำร้าย ริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาว ยังดันไปกระแทกชนเข้าที่มุมพระโอษฐ์ ของฟาโรห์หนุ่ม แบบเต็มๆ..
               “เจ้า? หน้าแดง..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งพึมพำขึ้นมา ราวกับคนที่ต้องโดนมนตรา เมื่อได้ทรงทอดพระเนตรเห็นใบหน้างดงาม ของคนตรงหน้า มีสีแดงระเรื่อสวย ราวกับสีของผลไม้แสนน่ากิน จากดินแดนห่างไกล ที่พระองค์ทรงได้รับมาจากราชทูตของต่างเมือง เมื่อหลายวันก่อน..
               ..ฟาโรห์หนุ่มทรงทอดพระเนตรมอง อย่างทรงหลงใหล พลางยกพระหัตถ์ขึ้น หมายจะสัมผัสแก้มนวลสีแดงระเรื่อที่อยู่ชิดใกล้กับพระพักตร์ของพระองค์ แต่แล้วฟาโรห์หนุ่ม ก็เหมือนทรงถูกกระชาก ให้ออกมาจากห้วงแห่งมนตราอย่างฉับพลัน เมื่อคนหน้าแดงที่ทำเอาชวนอยากกิน ดันอ้าปากแยกเขี้ยวงับเข้าที่มุมปากของพระองค์ เสียเต็มแรง!..
               “โอ๊ย!!!..เจ้ากัดข้าทำไมเนี่ย?!”
               “เอาคืนที่เจ้าดักขาของข้าไง..” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมกับลุกขึ้นยืน พลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างนึกสมน้ำหน้า ก่อนจะเดินจากไป ทว่าคนที่มองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังอวบๆ ที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ คงไม่มีทางได้รู้หรอกว่า ใบหน้าอวบอิ่มแสนงดงาม บัดนี้มันแดงระเรื่อ และร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนเป็นไข้ จนทำให้เจ้าของของมัน จำต้องรีบหนีหน้าตัวต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดอาการหน้าแดงหนักขึ้นมา อย่างช่วยไม่ได้..
               “ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าโรคจิต! สักวันข้าจะต้องทำให้เจ้า หน้าแดงยิ่งกว่าหม้อถูกไฟลนก้น ให้ได้! คอยดูสิ..” รัตมณีเอ่ยพูดบ่นพึมพำกับตัวเอง อย่างหมายมาดจะต้องเอาคืนฟาโรห์หนุ่ม ในเรื่องครั้งนี้ให้จงได้ พร้อมกับสาวเท้าเดินเร็วๆ มุ่งตรงไปยังเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังห้องพัก ที่ตัวเองได้นอนหลับเมื่อคืนนี้
               แต่แล้วพอเดินมาถึงตรงทางแยก ไปยังพระตำหนักส่วนพระองค์ขององค์ฟาโรห์ เท้าอวบๆ ของรัตมณี ก็กลับก้าวไปอีกทางเดินโดยอัตโนมัติ ท่ามกลางความงุนงง ของหญิงสาว ที่ยังคงมีสติอยู่ครบถ้วนดี..
               ..เอ๊ะ? แล้วทำไมเราถึงเดินมาทางนี้กันล่ะ? ยังกับถูกใครจูงมือพาเดินไปเลย..
               รัตมณีครุ่นคิดภายในใจของตน อย่างรู้สึกงุนงง พลางจ้องมองไปที่มือซ้ายของตน ซึ่งมีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่ามีใครกำลังเกาะกุมมือข้างนั้นเอาไว้ ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย และแม้จะพยายามสั่งให้ตัวเองหยุดเดิน แต่เท้าของหญิงสาวก็กลับยังคงก้าวเดินต่อไป บนเส้นทางหินอ่อนที่ทอดยาวไปยังที่ใดที่หนึ่ง..
               “เฮ้ยๆ เดี๋ยวนี้ผีมันเล่นอำกันกลางวันแสกๆ แล้วหรือไงเนี่ย..?” รัตมณีเอ่ยพูดบ่นพึมพำขึ้นมา หลังจากเดินมาได้สักพักใหญ่ๆ แต่แล้วพอเดินมาถึงยังด้านหลัง ของพระตำหนักร้าง ที่กำแพงหินมีรูโหว่ขนาดกว้าง พอให้คนหนึ่งคนลอดผ่านไปได้ ดวงตาสีฟ้าเข้มของรัตมณี ก็จำต้องกระพริบซ้ำไปซ้ำมา อยู่หลายรอบด้วยกัน เนื่องจากดวงตาคู่คมของหญิงสาว ดันมองเห็นสิ่งที่เกาะกุมมือซ้ายของตนเองขึ้นมาอย่างกระทันหัน “เอ๊ะ!? แมว.. หรือว่าหมา?”
               “โอ้..ช่างน่าตกใจยิ่งนัก”
               “.........”
               “เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแท้ๆ แต่กลับมองเห็นข้าผู้นี้ได้ แสดงว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเจ้า กับท่านผู้นั้น คงจะแรงกล้ามิใช่เล่นเลยสินะ? เช่นนั้นคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้จริงๆ..”
               “พะ..พูดได้ด้วย! เป็นแค่แรคคูนแท้ๆ..”
               “เฮ้ย! ใครเป็นแรคคูนกัน? ข้าคือเทพเจ้า..”
               “เทพเจ้าหน้าแรคคูน?”
               “เฮ! นี่นะเป็นแค่หน้ากากที่ใช้สวม แล้วมันก็ไม่ใช่หน้ากาก ของตัวแรคคูนด้วย แต่เป็นหมาในต่างหาก!”
               “.........” รัตมณีมองจอมโวยวาย ที่ยังคงเกาะกุมมือซ้ายของเธอเอาไว้ ซึ่งยกมือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมมือของเธอ ปลดหน้ากากออกจากใบหน้าของตัวเอง และใบหน้าหล่อคมผิวขาวผ่อง ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก ก็ทำให้รัตมณีต้องเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มจะขยับเอื้อนเอ่ยคำพูดขึ้นมา แต่ทว่าเป็นคำพูดที่ยังคงกวนประสาทคนฟังไม่เปลี่ยนแปลง “แรคคูน แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วยงั้นหรือ?”
               “เฮ! นี่เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยใช่ไหมเนี่ย?”
               “.........”
               “ข้าเป็นเทพเจ้า มีนามว่า อานูบิส ไม่ใช่แรคคูนหน้าขน! แต่เป็นเทพเจ้าแห่งหมาใน จงฟังให้ชัดๆ เทพเจ้าแห่งหมาใน! ไม่ใช่ตัวแรคคูนหน้าขน..”
               “อืมม์ๆ เข้าใจแล้วๆ เทพเจ้าหน้าขน สินะ?”
               ..มันเข้าใจตรงไหนฟ่ะนั้น!..
               “..........” เทพเจ้าอานูบิส ทรงทอดพระเนตรมองหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่เข้าใจอะไรได้แบบสุดโต่ง แล้วก็ทรงลอบถอนพระทัยออกมา อย่างทรงนึกยอมแพ้ในความกวนประสาท ของอีกฝ่าย ก่อนจะทรงจูงพาอีกฝ่าย เดินลอดออกไปทางช่องหิน เพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง โดยไม่คิดที่จะทรงรับสั่งอะไรอีกต่อไป
               ทว่า.. หากเทพเจ้าอานูบิสจะทรงล่วงรู้ว่า พระองค์จะทรงถูกหญิงสาวรายนี้ เรียกขานพระองค์ว่า เทพเจ้าหน้าขน ไปตลอดชั่วชีวิตของเจ้าหล่อนแล้วล่ะก็ พระองค์คงต้องทรงนึกเปลี่ยนพระทัย และบังคับให้อีกฝ่าย เรียกพระองค์ให้ถูกต้อง ให้จงได้เป็นแน่แท้..
 
               ..เวลาผ่านไปเกือบครึ่งค่อนชั่วโมง ร่างสูงอวบของรัตมณี ซึ่งถูกบังคับพาเดินไป อย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มร้อนระอุขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ได้หยุดเดินสักที เมื่อคนที่เดินนำหน้ามาตลอด หยุดอยู่กับที่ แต่สถานที่ที่อีกฝ่ายพามาหยุดยืนอยู่นั้น ทำให้รัตมณีจำต้องเหล่หางตาคมมองอีกฝ่าย พลางเอ่ยพูดขึ้นมา..
               “เฮ!นี่คงไม่ได้คิดจะเอาข้า มาฆ่าหมกทะเลทรายหรอกใช่ไหม? เทพเจ้าหน้าขน..”
               “ไม่ใช่เทพเจ้าหน้าขน อานูบิสต่างหาก เหอะ! ช่างเถอะ.. ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะโง่ จนเข้าใจอะไรได้ยากเย็นเสียอีกนะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะฉลาดเกินคาดเลยนี่ แม่หญิงรัตมณี อังเคย์เคล..”
               “นี่เจ้า.. รู้จักข้าด้วยงั้นหรือ? แต่ว่าแปลกจัง ทำไมข้าถึงไม่ยักจะรู้จักเจ้าเลยล่ะ..?” รัตมณีเอ่ยพูดพลางจ้องมองหน้าชายหนุ่มรูปงามที่สวมหน้ากากของหมาในเอาไว้ ซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าที่มีนามว่า อานูบิส
               “มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่เจ้าจะไม่รู้จักข้า และข้ารู้จักเจ้าเป็นอย่างดี ในเมื่อข้าจับตาเฝ้ามองดูเจ้ามาตลอดตั้งแต่วันนั้น เมื่อยี่สิบสองปีก่อน ในห้วงแห่งกาลปัจจุบัน..”
               “หือ? นี่ยอมประกาศตัวว่าเป็นไอ้โรคจิต คอยตามก้นชาวบ้านเลยเชียวหรือ? เจ้าเนี่ยใจกล้าไม่ใช่เล่นเลยนะ อ่อ!หรือไม่ก็.. หนังหน้าคงจะหนาแบบสุดๆ สินะ?”
               “ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าผิดกฏแห่งเทพ แล้วล่ะก็.. ข้าคงจะฆ่าเจ้าด้วยมือของตัวเอง เป็นแน่แท้!”
               “อืมม์ๆ น่าเสียดายนะนั้น แต่จะฆ่ากันทั้งที ยังจะอ้างกฎแบบนั้นอยู่อีก จะทำตัวเป็นคนดีจนถึงนาทีสุดท้าย เพื่อเอารางวัลคนดีประเสริฐศรีหรือไง? อ๊ะ!ไม่ใช่สิ... ต้องพูดว่าทำตัวเป็นสัตว์หน้าขนแสนดี สินะ?”
               “เจ้านี่มันตัวกวนประสาทของแท้เลยสินะ? เหอะ! ช่างเถอะ.. พอลองมาคิดดูดีๆ แล้ว ก็คงไม่เลวร้ายอะไร หรืออาจต้องเรียกว่าคงน่าสนุกพิลึก ถ้าให้เจ้าพวกนี้ ฉีกเนื้อคนกวนประสาท เช่นเจ้า ให้ทรมานเล่นๆ ก่อนจะสิ้นใจ..” สิ้นคำตรัสรับสั่งของเทพเจ้าอานูบิส บริเวณโดยรอบที่เคยว่างเปล่า มีเพียงแค่เม็ดทราย ก็ได้ปรากฏฝูงหมาในหลายสิบตัว เดินย่างกรายเข้ามาล้อมรอบ ร่างสูงอวบของรัตมณีเอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะกระโจนรุมทึ้ง ทันทีที่ได้รับคำสั่ง..
               ..รัตมณีมองฝูงหมาในที่ยืนล้อมรอบตนเอง ชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะหันมามองคนตรงหน้า ด้วยแววตาจริงจัง แต่เพียงชั่วครู่ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ก็กลับมาเรียบนิ่งไม่ส่อแววใดๆ เช่นเคย พร้อมกับมือข้างที่ว่างจากการโดนอีกฝ่ายเกาะกุมเอาไว้ ก็ยกขึ้นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับ บนศีรษะของตัวเองเล่นไปมาอย่างแผ่วเบา ในขณะที่ริมฝีปากอวบอิ่มก็เอื้อนเอ่ยคำถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ..
               “ขอถามอะไรสักข้อหนึ่งสิ..”
               “........”
               “ทำไมถึงคิดจะฆ่าข้ากันล่ะ? บอกตามตรงนะว่าข้าไม่รู้จักเจ้าจริงๆ ถึงเหมือนจะเคยได้ยินชื่อของเจ้า จากตำราโบราณของอียิปต์ก็เถอะนะ แต่ข้านึกไม่ออกเลยว่า เคยไปทำอะไรให้เจ้าโกรธแค้น ถึงกับต้องฆ่าแกงกันแบบนี้”
               ประโยคคำถามแบบตรงไปตรงมา ของรัตมณี ที่ไร้ซึ่งคำพูดกวนประสาทใดๆ ทำให้เทพเจ้าอานูบิส ถึงกับทรงนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา ในขณะดวงเนตรคมกริบ ก็จ้องมองหญิงสาวร่างสูงอวบตรงหน้า ด้วยแววพระเนตรจริงจังขึ้นมา..
               “ถูกต้อง! เจ้ากับข้าไม่เคยมีความแค้นต่อกัน..”
               “........”
               “แต่ที่ข้าจำต้องฆ่าเจ้า นั่นก็เพราะว่า.. เจ้าอยู่ผิดที่ผิดทาง!”
               “........?”
               “แม่หญิงรัตมณีเอ๋ย เจ้าไม่ควรเลยที่จะแตะต้องเขาผู้นั้น และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ควรจะมาที่นี้เลย..”
               “เขาผู้นั้น?” รัตมณีทวนคำพูดของอีกฝ่าย อย่างนึกสงสัย ก่อนที่คิ้วเรียวจะเผลอเลิกขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลดกายลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง พร้อมกับยกมือขึ้นปลดหน้ากาก ที่สวมใส่กลับไปเมื่อสักครู่นี้ ออกจากใบหน้าของตัวเองอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้รัตมณี เกิดอาการนิ่งอี้งไป กลับไม่ใช่รูปลักษณ์อันแสนงดงามเหนือเกินมนุษย์ ของอีกฝ่าย ทว่าเป็นหยดน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีดำรัตติกาล ที่มีแววเย็นละเยือกราวกับผลึกน้ำแข็ง ท่ามกลางสีหน้าอันเศร้าโศก ของอีกฝ่ายต่างหาก
               “อภัยให้ข้าด้วยเถิด แม่หญิงผู้ไร้เดียงสา.. ข้าเสียใจจริงๆ ที่จะต้องทำให้เจ้าตายอีกครั้ง” สิ้นประโยคคำพูดราบเรียบที่แฝงไปด้วยความเศร้า ร่างของเทพเจ้าอานูบิสก็เลือนหายไป เหลือไว้แต่เพียงฝูงหมาในกระหายเลือด ที่ย่างกรายเข้าหาเหยื่อร่างอวบ อย่างคุกคาม..
               ทว่า.. ฝ่ายที่ถูกคุกคาม อย่างรัตมณี กลับมองฝูงหมาในหลายสิบตัว ที่เดินเข้ามาล้อมรอบกายของตนเอง พลางลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในขณะที่เอ่ยพูดบ่นพึมพำขึ้นมา ด้วยท่าทีเซ็งๆ
               “เฮ้อ! เอาเข้าไปๆ จะฆ่ากันทั้งที ยังจะมาขอโทษ และทำหน้าเศร้าร้องไห้แบบนั้นอีก ทำไมกัน? จะทำทั้งที มันต้องทำให้ถึงที่สุดสิ..หึ! ช่างเถอะๆ ว่าแต่ว่าสุภาษิตไทยบอกว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี และรักหมา ต้องกำราบให้อยู่หมัดสินะ?” สิ้นประโยคคำพูดพึมพำ ร่างสูงอวบของรัตมณี ก็ลดกายลงนั่งย่อง พร้อมทั้งมืออวบกวาดรวบเม็ดทรายที่อยู่ตรงปลายเท้า ซัดใส่ฝูงหมาในที่กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนมืออวบอีกข้าง ยื่นไปคว้าหมับเข้าที่ตรงลำคอของหมาในตัวหนึ่ง ที่กระโจนเข้ามาถึงตัว และเขวี้ยงร่างของหมาในตัวนั้น ไปกระแทกชนเข้ากับหมาในตัวอื่นๆ..
               ..เอ๋ง!..เอ๋ง!..เอ๋ง!..
               เสียงหมาในที่ร้องระงมขึ้นมา ด้วยความเจ็บปวด ฟ้องถึงแรงกระแทกเมื่อกี้ ได้เป็นอย่างดี ทว่า ความเจ็บปวดเพียงเท่านั้น ก็ไม่อาจจะหยุดสัญชาตญาณแห่งนักล่า ของพวกมันได้ พวกมันยังคงวิ่งกระโจนใส่เหยื่อร่างอวบแสนน่ากิน หมายจะฉีกเนื้อหวานๆ อีกครั้ง แต่ตัวแล้วตัวเล่า ก็กลับต้องลงไปนอนสะบักสะบอม อยู่บนพื้นทราย ด้วยลูกเตะทรงพลัง และกำปั้นอันหนักหน่วง ของเหยื่อร่างอวบ ที่ดูแล้วเหมือนจะเคลื่อนไหวตัวได้เชื่องช้า แต่กลับผิดถนัด! ร่างสูงอวบนั้นเคลื่อนไหวได้ว่องไว ยิ่งกว่าฝูงหมาในเสียอีก ซ้ำทุกกระบวนท่าที่ตั้งรับ และรุก ช่างเฉียบคม ไม่มีพลาดเป้า แม้แต่ครั้งเดียว!..
               ..เจ้าหมาในตัวหนึ่ง ที่นอนสะบักสะบอมอยู่บนพื้นทราย พยายามจะขยับลุกขึ้นยืน เพื่อจะวิ่งหนี เมื่อเห็นเหยื่อของมัน กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ แต่ความเจ็บ และความจุกที่มันได้รับ ทำให้มันแม้แต่จะขยับตัว ยังทำได้ลำบากยิ่งนัก ดวงตาที่แฝงความดุร้ายเอาไว้อยู่เป็นนิจ เหลือบมองดูเหยื่อของมันด้วยความกลัว อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และเมื่อมืออวบๆ ของเหยื่อ ยื่นลงมาที่หัวของมัน เจ้าหมาในตัวนั้นจึงปิดตาลงอย่างหวาดหวั่น ว่าตัวของมันจะต้องถูกฆ่า..
               แต่แล้วสัมผัสลูบไล้อันแผ่วเบา ตรงบริเวณหัวกับใต้คาง ก็ทำให้เจ้าหมาในตัวนั้น ลืมตาขึ้นมองทันที อย่างงุนงง และมันก็ยิ่งต้องงุนงงหนักเข้าไปอีก เมื่อเหยื่อตรงหน้าหยิบอะไรบางสิ่ง ที่เหมือนจะเป็นเนื้อตากแห้ง ออกมาจากในเสื้อที่สวมใส่อยู่ ยื่นมาที่ปากของมัน แม้มันจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าหมาในตัวนั้น ก็ยื่นจมูกไปดมกลิ่นของเนื้อตากแห้งดังกล่าว อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะอ้าปากงับชิ้นเนื้อ และหมาในตัวอื่นๆ ที่นอนสะบักสะบอมอยู่ พอจมูกได้กลิ่นอาหาร ต่างก็พากันฝืนขยับตัว เข้ามารุมล้อมเหยื่อสาว เพื่อขออาหารด้วยเช่นกัน และพวกมันก็ไม่ผิดหวัง แต่ล่ะตัวต่างได้ชิ้นเนื้อแห้ง ไปเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย..
               “อยากเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมาตั้งนาน วันนี้สงสัยคงจะได้ฤกษ์เลี้ยงสักทีแล้วสินะ..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา พลางจ้องมองฝูงหมาใน ที่เข้ามาล้อมรอบตีสนิทตนเอง เพื่อขอเนื้อแห้งอีก ด้วยรอยยิ้มดีใจแบบสุดๆ ยังกับคนถูกรางวัลที่หนึ่งอย่างไงอย่างงั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว หญิงสาวไม่เคยได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ชนิดไหน เป็นของตัวเอง เนื่องด้วยผู้เป็นบิดาของเจ้าตัว ไม่ชอบสัตว์เอามากๆ และเนื่องจากไม่อยากขัดใจคนเป็นบิดา ถึงแม้จะไปอยู่ในรั้วโรงเรียน หรือต่างแดน หญิงสาวก็ทำได้แค่อยู่ห่างๆ จากพวกสัตว์ หรือแอบไปเล่นกับบรรดาสัตว์เลี้ยง ของเหล่าเพื่อนฝูงเป็นบางครั้งบางครา เท่านั้น
               ..แปะ!..แปะ!..แปะ!..
               “ไม่นึกเลย ออกมาเดินเล่นแค่นิดเดียว จะได้เจอคนที่ไม่ได้พบเสียนาน แต่ว่า.. เล่นกำราบฝูงหมาในจอมดุร้ายแห่งทะเลทราย ได้ในพริบตาเดียว ความแข็งแกร่งนั้นของท่าน ไม่เปลี่ยนไปเลยนะขอรับ ท่านรัน..”
                “.........?” รัตมณีหันไปมองชายวัยกลางคนร่างสูง ผู้ที่ตบมือให้กับตน ซึ่งเอ่ยพูดกับตน ด้วยท่าทีเหมือนกับคนที่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ อย่างรู้สึกงุนงง เพราะว่าตัวเธอเองนั้นไม่รู้จักอีกฝ่าย ไม่สิ!.. ความจริงคงต้องพูดว่า เหมือนเธอจะรู้จักอีกฝ่าย แต่นึกอย่างไงก็นึกไม่ออก ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมากกว่า
               “หืมม์? ดูเหมือนว่าท่านจะจำข้าไม่ได้สินะ?”
               “จำไม่ได้?”
               “ไม่เป็นไรๆ งั้นข้าขอแนะนำตัวอีกครั้งแล้วกัน ข้าชื่อ..ฮัมเซียร์ เป็นโหรหลวงประจำราชสำนักอียิปต์ ยินดีที่ได้รู้จักนะขอรับ หึหึๆ แต่ความจริงคงต้องพูดว่า.. ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง มากกว่านะขอรับ”
               “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งเหรอ? ไม่ใช่ว่าเราเพิ่งจะพบกันครั้งแรก หรอกหรือ..?”
               “นี่เป็นครั้งที่สองขอรับ”
               “.........?”
               “ครั้งแรกที่พบกันในดินแดนอียิปต์ ท่านยังเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าชัง อายุแค่สามขวบเท่านั้น ดังนั้น.. ท่านอาจจะหลงๆ ลืมๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยขอรับ”
               “เจ้าจำผิดคนหรือเปล่า? ตอนเด็กข้าไม่เคยมาที่..” รัตมณีเอ่ยพูดออกมาได้แค่นั้น ก็กลับต้องหยุดชะงักคำพูดของตัวเองเอาไว้ทันควัน เนื่องจากโดนอีกฝ่ายเอ่ยพูดแทรกขัดขึ้นมา แต่ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายในคราวนี้ ทำให้ความทรงจำบางอย่าง ที่พร่าเลือนอยู่ภายในหัวของรัตมณี เริ่มเด่นชัดขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จนหญิงสาวเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
               “ไม่ผิดอย่างแน่นอนขอรับ”
               “.........”
               “ผมสีดำขลับดั่งสีของขนนกกา ผิวกายขาวผ่อง ดุจดั่งสีของกลีบบัวแห่งลำน้ำไนล์ ดวงตากลมโตคู่คมกริบ สีฟ้าเข้มแสนงดงาม ที่ราวกับสะท้อนภาพฟากฟ้าแห่งท้องทะเล ที่ไม่เคยฉายแววหวาดหวั่น หรือเกรงกลัวต่อสิ่งใด และความแข็งแกร่งเกินร่างกายอันน่ารักน่าชัง ของท่าน แผ่นดินนี้มีเพียงหนึ่ง ไม่มีสองขอรับ!”
               “.........”
               “หึหึๆ ข้ายังจำได้ดี ถึงภาพของท่านรันตัวน้อย ที่ยืนเท้าสะเอวชี้นิ้วสั่งให้ฝ่าบาทสเมนคาราในวัยสิบสามปี นั่งลงบนพื้นหิน เพื่อที่ตัวเองจะได้ทำแผล ให้กับฝ่าบาท..”
               “.........”
               “ทั้งที่พวกทหารร่างยักษ์มาดเข้ม ต่างพากันหนีหน้า ไม่กล้าสบตากับฝ่าบาท ที่ขึ้นชื่อลือชาว่า ทรงพระอารมณ์ดุร้ายเยี่ยงเทพเจ้าสงคราม แต่ร่างเล็กๆ จ้ำม่ำของท่าน กลับเดินเข้าไปนั่งที่ตักของฝ่าบาท พร้อมกับทำแผลให้ฝ่าบาทอย่างหน้าตาเฉย ไม่มีอาการสั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย ซ้ำท่านยังยิ้มแฉ่งหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ท่ามกลางสนามรบ ที่มีแต่ศพนอนเกลื่อน และกลิ่นคาวเลือดโชยคละคลุ้ง ต่อให้เวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี ข้าก็คงลืมภาพนั้นไม่ลง..”
               “ทำแผล? คุณแม่เลือดออก..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อภายในหัวเริ่มมีภาพความทรงจำบางอย่าง ผุดขึ้นมา เป็นภาพความทรงจำสมัยเด็ก ที่ตนเองได้ไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งหนึ่งกับมารดา และบิดา แล้วมารดาของเธอเกิดหกล้มมีเลือดออกที่หัวเข่า เธอจึงอาสาวิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาล “ไม่สิ! ตอนนั้นเราไม่ได้ทำแผลให้กับแม่นี่น่า.. คนที่ข้าทำแผลให้ในตอนนั้น คือ พี่ชายรูปหล่อตัวสูง ชอบทำหน้าตาดุดัน ที่ทั่วทั้งตัวมีแต่เลือดสีแดง หือ? เดี๋ยวนะ! หรือว่านั้นจะเป็นสเมนคาราอย่างงั้นหรือ..?”
               “ถูกต้องขอรับ..”
               “เดี๋ยวนะ! แล้วทำไม? ข้าถึงไม่ได้ทำแผลให้แม่ แต่ดันไปทำแผลให้กับสเมนคารากันล่ะ? จะว่าไปเหมือนตอนนั้นจะอยู่ในบ้านร้างที่ไหนสักแห่งหนึ่งหรือเปล่า..”
               “ไม่ใช่บ้านร้าง แต่เป็นวิหารร้างกลางทะเลทรายขอรับ”
               “วิหารร้าง? แล้วไหงข้าถึงไปอยู่ที่นั้นได้ล่ะ? ไปเที่ยวหรือไง? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้เลย..”
               “หามิได้ขอรับ ในตอนนั้นอยู่ดีๆ ท่านรันก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าของพวกข้า ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างพักการทำสงครามกับซีเรีย”
               “.........”
               “ตอนนั้นท่านบอกกับพวกข้าว่า ตัวเองกำลังรอพี่ชายเทพจาน ไปซื้อขนมให้อยู่..”
               “พี่ชายเทพจาน?” รัตมณีทวนคำพูดของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกคุ้นๆ เหมือนว่าเคยเรียกใครบางคน ด้วยคำพูดที่ว่ามาก่อน แต่พอจะอ้าปากถามเรื่องคาใจ กับคนตรงหน้า หญิงสาวก็กลับกลืนคำถามดังกล่าวลงคอ และเปลี่ยนคำถามเสียดื้อๆ ในขณะที่ใบหน้าสวยอวบอิ่มก็เงยขึ้นมองแสงตะวัน ที่เริ่มจะร้อนแรงหนักเข้าไปทุกที จนตอนนี้ร่างกายของตัวเธอ เริ่มจะตอบสนอง ด้วยการเอาหัวไปทิ่มเม็ดทรายอยู่ร่อมร่อแล้ว “ไม่มีที่เย็นๆ ให้คุยแล้วหรือไง..? ข้ายังไม่อยากเป็นเนื้อตากแห้งนะ ท่านลุงฮัม..”
               “หึหึๆ ท่านลุงฮัมเหรอ? ช่างน่าคิดถึงจริงๆ เพราะคนที่เรียกข้าเช่นนี้ ก็มีเพียงแต่ท่านรันคนเดียว เชิญขอรับ.. ไม่ไกลจากที่นี่ มีวิหารแห่งทรายที่ข้าเป็นผู้ดูแลอยู่ ถ้าหากเป็นที่นั้นล่ะก็.. ท่านรันคงเข้าไปได้สะดวกขอรับ”
               “.........?” รัตมณีเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย กับคำว่า คงเข้าไปได้สะดวก ของอีกฝ่าย อย่างนึกรู้สึกติดใจสงสัยขึ้นมาตระหงิดๆ แต่ด้วยเพราะความร้อน ที่เริ่มระอุทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมา และเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี โดยมีฝูงหมาในหลายสิบตัว ตามคลอเคลียไม่เว้นห่าง
 
               อีกด้านหนึ่ง..
               ทางพระราชวังธีปส์ เหมือนถูกไฟเผาผลาญ ตามด้วยพายุทะเลทรายซัดกระหน่ำ เหล่าขุนนาง ทหาร นางกำนัล ต่างพากันยืนตัวสั่นงกๆ ด้วยความหวาดกลัวต่อเพลิงพิโรธ ของวรองค์ร่างสูงบึกบื่นผู้งดงาม ซึ่งในขณะนี้เหมือนจะทรงรื้อพระราชวังทั้งหลังทิ้ง เพื่อตามหาร่างสูงอวบของคนน่ารักน่าหยอก ที่ดันหายตัวไป โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้เลยแม้แต่คนเดียว
               “จงตามหาสัตว์เลี้ยงของข้า ให้พบภายในหนึ่งเพลา ถ้าไม่พบ.. พวกเจ้าตายสถานเดียว!” รับสั่งอันเหี้ยมโหดจากฟาโรห์หนุ่ม ที่มาพร้อมกับสีพระพักตร์อันดุดัน ทำให้เหล่าพวกทหารต่างพากันเอ่ยพูดรับคำ ด้วยสีหน้าซีดเป็นไก่ต้มกันไปตามๆ ก่อนจะแยกย้ายกันออกตามหา คนที่เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงแสนรัก ของฟาโรห์หนุ่มทันที 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา