หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  11.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) เมื่อองค์ฟาโรห์ ต้องปล้นสุสาน!?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่8 เมื่อองค์ฟาโรห์ ต้องปล้นสุสาน!?

 

                    “โห! ที่เรียกว่า..วิหารแห่งทราย เป็นเพราะแบบนี้เองสินะ? ว่าแต่มันจะถล่มลงมาหรือเปล่าเนี่ย..” รัตมณีเอ่ยพูดพลางจ้องมองวิหารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของตนเอง ซึ่งดูใหญ่โตอลังการงานสร้างอย่างมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตาคู่คมของหญิงสาวมีอาการเต้นระริก ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น กลับไม่ใช่ความใหญ่โตของวิหารดังกล่าวแต่อย่างใด ทว่า.. กลับเป็นเม็ดทรายจำนวนมหาศาล ที่กำลังร่วงหล่นมาจากวิหารตรงหน้า ซึ่งดูคล้ายกับสายฝน ที่กำลังโปรยปรายลงมา ต่างหาก!

                    “ฮ่าๆ คงไม่ขอรับ เพราะมันเป็นเช่นนี้มานานนับหลายพันปีแล้ว”

                    “หลายพันปี? จะนานไปถึงไหนล่ะนั้น..”

                    “ที่นี้ถูกสร้างขึ้นมา ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มแผ่นดินนี้ขอรับ”

                    “หือ? ยุคของฟาโรห์เมเนส นะเหรอ?”

                    “โอ้..หายากนะขอรับ ที่จะมีคนรู้จักฟาโรห์พระองค์แรก ที่ทรงรวมแผ่นดินอียิปต์บนล่างเข้าด้วยกัน ท่านรันช่างเป็นผู้ที่ใฝ่รู้จริงๆ”

                    “ก็นะ..เรียกว่าใฝ่รู้สักทีเดียว คงไม่ได้หรอก เพราะความจริงแล้ว ก็คือ.. ข้าเพียงแค่เคยถูกเจ้าบ้าคนหนึ่ง ยัดเยียดข้อมูลพวกนั้น ใส่หัวมาแบบสะเปะสะปัก ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากมายหรอก” รัตมณีเอ่ยพูดพลางทำสีหน้าแหยงๆ ขึ้นมา เมื่อเผลอนึกไปถึงเพื่อนชายตัวดีช่างจ้อ ที่ทำให้สมองเกินครึ่งของเธอ มีข้อมูลที่ไม่จำเป็นอัดแน่นกันอยู่ ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามหลังชายวัยกลางคน ที่กำลังเดินหัวเราะร่วนเข้าไปยังด้านใน ของวิหารแห่งทราย

                    “ฮ่าๆ อย่างงั้นหรือขอรับ แต่ว่าวิหารแห่งทราย ไม่ได้ถูกสร้างในยุคของฟาโรห์เมเนส หรอกนะขอรับ”

                     “เอ๋?อย่าบอกนะว่า.. สร้างในยุคของฟาโรห์สกอเปี้ยน? นั่นมันเป็นยุคเถื่อนเลยนะนั้น..”

                    “มิได้ขอรับ วิหารแห่งทราย หรืออีกชื่อหนึ่ง ก็คือ ซากแห่งปัญญาถูกสร้างขึ้นในยุคที่แผ่นดินนี้ ไม่มีอะไรเลยต่างหากขอรับ”

                    “ยุคที่ไม่มีอะไรเลย? หมายถึงยุคสมัยของเทพเจ้า นะหรือ?”

                    “ขอรับ.. แต่ที่อันจริงคงต้องบอกว่านานกว่านั้นอีก มันเป็นยุคที่ไม่มีอะไร ไม่มีแม้แต่กระทั่งเทพเจ้าขอรับ สิ่งเดียวที่มีอยู่ นั่นก็คือ จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่แสนโดดเดี่ยว ที่ล่องลอยอยู่ในห้วงเวลามานานนับหลายแสน หลายล้านปี ซึ่งถูกเรียกขานในหลายๆ ชื่อด้วยกัน ซึ่งในขณะนั้น จิตวิญญาณนั้นมีนามว่า รุกข์ ขอรับ”

                     “เฮๆ จะเล่านิทานปรัมปราให้ข้าฟังหรือไง? ท่านลุงฮัม.. บอกไว้ก่อนนะว่า ข้าไม่ค่อยถูกโรคกับการฟังเรื่องเล่า ได้ฟังทีไรมันพาลจะหลับเอาทุก..ว๊าว!!!นี่มันอภิมหาห้องสมุด หรือไงกัน?ยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยคความ รัตมณีก็กลับต้องเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกตกตะลึง กับจำนวนหนังสือมากมาย ที่ตั้งวางอัดแน่นกันเป็นตับๆ ซึ่งจากที่มองดูแบบคร่าวๆ หญิงสาวคาดว่าหนังสือตรงหน้าของตนเอง ในขณะนี้ น่าจะมีเยอะมากกว่าหนังสือที่อยู่ในห้องสมุดกลางระดับโลก ที่ตัวเธอเคยได้ไปเยือนมาครั้งหนึ่ง เป็นหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน

                    ..ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ของหญิงสาว ไล่กวาดมองหนังสือต่างๆ อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคน ซึ่งเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ที่ทำจากไม้หวายสาน พลางเอ่ยพูดต่อขึ้นมา ในขณะก้าวเท้าเดินตรงไปที่ชั้นวางหนังสือ ที่อยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่ชายวัยกลางคน กำลังนั่งอยู่..

                    “หนังสือพวกนี้เป็นของท่านลุงฮัม อย่างงั้นหรือ? เยอะมากเลย อือ..มีกี่เล่มกันน่า..”

                    “เจ็ดหมื่นล้านล้านสองแสนห้าพันหกร้อยยี่สิบแปดเล่มขอรับ แต่ทั้งหมดที่ว่ามา.. ไม่ใช่ของข้าหรอกขอรับ”

                    “อ้าว..งั้นของใครกันล่ะ? หรือว่าเป็นหนังสือบริจาคให้กับกองกลาง..”

                    “มิได้ขอรับ หนังสือทั้งหมดที่อยู่ที่นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของรุกข์ขอรับ”

                    “รุกข์? หมายถึงคนที่อยู่ในนิทานปรัมปรานั้น นะเหรอ?”

                    “นิทานปรัมปราหรือขอรับ? ..ฮ่าๆ ก็อาจจะฟังดูเหมือนนิทานปรัมปรา จริงๆ นั่นแหละขอรับ แต่ทว่า.. ตัวตนของรุกข์ มีอยู่จริงๆ นะขอรับ”

                    “หือ? ข้าก็ยังไม่ได้เถียงท่านลุง สักคำเลยนะว่ารุกข์ไม่มีตัวตน”

                    “.........”

                    “เรื่องน่าเบื่อชวนง่วงพรรค์นั้น ฟังแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ท่านลุงไม่จำเป็นจะต้องเล่าให้ฟังรอบสองหรอก เพราะข้ายังไม่อยากจะหลับ อยู่ในที่ที่มีฝุ่นทรายเยอะเป็นคันรถแบบนี้..”

                    “รอบสอง? แต่ว่า.. ข้าเพิ่งจะพูดถึงเรื่องรุกข์ เมื่อกี้นะขอรับ”

                    “เปล่าๆ ข้าหมายถึงว่าไม่อยากฟังเป็นครั้งที่สองแล้วนะ เพราะเมื่อก่อน ข้าก็เคยฟังเรื่องแบบนี้ มาแล้วครั้งหนึ่ง มันยาวมากจนชวนให้หลับไปหลายยกเลยล่ะ แต่ความจริงแล้ว คนปกติก็คงต้องเป็นบ้าเป็นหลัง ไปแล้วล่ะมั่ง? ถ้าต้องทนฟังเรื่องบ้านั้น ตั้งห้าวัน! อ๊ะ..นี่ก็แปลว่าเราไม่ปกติ สินะ?”

                    “.........”

                    “แต่ก็เอาเถอะ ก็ใช่ว่ามันจะน่าเบื่อสักทีเดียว หรือต้องบอกว่า มันน่าจะเป็นเรื่องขำขันมากกว่าล่ะนะ เพราะสรุปแล้วเรื่องนี้ มันก็แค่เจ้าคนชื่อรุกข์ เกิดนึกบ้าอยากรู้อยากเห็น ว่าถ้ามีตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง จะเป็นอย่างไง และก็เกิดนึกอยากรู้อยากเห็นเรื่อยๆ จนสร้างโน้นสร้างนี้เต็มไปหมด หาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยแท้ๆ ทั้งที่ก็แค่เหงาเท่านั้นเอง เป็นเจ้าโง่ที่บ้าได้ขนานแท้เลย..”

                    “ท่านรันได้ฟังเรื่องของรุกข์ มาจากใคร หรือขอรับ?”

                    “หือ? จากใครงั้นเหรอ? ไม่รู้สิ..จำไม่ได้แล้ว อืมม์..แต่อันที่จริงต้องบอกว่า ข้าขี้เกียจจำมากกว่าล่ะนะ อ๊ะ!ขวดแก้วสวยๆ ที่ตั้งวางอยู่ตรงนี้ คืออะไรเหรอ? ท่านลุงฮัม..” รัตมณีเอ่ยพูดพลางยื่นมือ ไปหยิบขวดแก้วขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของตน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากสี มามองดูใกล้ๆ อย่างนึกสงสัยในประกายแสงระยิบระยับ ที่ส่องแสงออกมาจากภายในขวดแก้ว

                    “เป็นขวดที่ใช้บรรจุน้ำสมุนไพรเวทมนตร์ เอาไว้นะขอรับ”

                    “น้ำสมุนไพร เวทมนตร์? เออ..คือชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว ถ้าหากข้ายังถามออกไป คงจะฟังดูแปลกๆ สินะ?”

                    “หึหึๆ ท่านรันคงอยากจะถามว่า.. น้ำสมุนไพรเวทมนตร์ ที่ข้าพูดถึง คือเวทมนตร์จริงๆ อย่างที่ในตำรากล่าวถึง หรือเปล่า? สินะขอรับ”

                    “.........”

                    “คำตอบ คือ ใช่ขอรับ อย่างเช่น ขวดสีเขียวมรกต ที่ท่านรันกำลังถืออยู่ในขณะนี้ ก็คือ.. ขวดที่ใช้บรรจุน้ำเปลี่ยนรสเอาไว้ขอรับ”

                    “เปลี่ยนรส? หมายถึงเปลี่ยนรสชาติของอาหารนะเหรอ? ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยแหะ..”

                    “จะลองดูก็ได้นะขอรับ หยดน้ำเปลี่ยนรส ลงไปในชาถ้วยนี้เพียงแค่หยดเดียว พร้อมกับคิดว่า อยากจะให้เปลี่ยนเป็นรสชาติอย่างไร ก็จะได้รสชาติตามที่ท่านรันต้องการขอรับ”

                     “.........” รัตมณีมองหน้าชายวัยกลางคน อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยอมยื่นมือออกไปรับถ้วยชามาจากชายวัยกลางคน พร้อมทั้งหยดน้ำในขวดแก้วสีเขียวมรกต ลงไปหนึ่งหยด ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากของตัวเอง ด้วยท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะดื่มชาในถ้วยเข้าไป แต่เพียงแค่อึกเดียวเท่านั้น คิ้วเรียวข้างหนึ่งบนใบหน้าสวยอวบอิ่ม ก็พลันเลิกขึ้นมาเล็กน้อย อย่างนึกสนเท่ห์ เพราะรสชาติของชาในถ้วย ที่สมควรน่าจะมีรสชาติขมๆ หวานๆ กลับมีรสหวานเปรี้ยวของผลสตรอเบอรี่ แทนสักงั้น!

                    “เป็นอย่างไงขอรับ? ได้รสชาติที่ต้องการหรือไม่ขอรับ..”

                     “เออ..ไอ้นี้ ข้าขอได้ไหม?” แทนที่จะตอบคำถามดังกล่าว ของชายวัยกลางคน แต่รัตมณี กลับเล่นเอ่ยปากขอขวดแก้วสีเขียวมรกต ที่ถืออยู่ในมือของตนเอง อย่างหน้าตาเฉย

                    “ฮ่าๆ ถ้าท่านรันต้องการล่ะก็ เชิญเอาไปได้เลยขอรับ เพราะตั้งเอาไว้ที่นี้ ก็ไม่ได้ใช้งานอะไรอยู่แล้ว อีกอย่าง.. นั่นก็ไม่ใช่ของข้าด้วยขอรับ”

                    “.........” รัตมณีมองชายวัยกลางคน ที่เอ่ยพูดยกขวดน้ำเปลี่ยนรสให้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะพูดแถมท้ายว่าตนไม่ใช่เจ้าของ แล้วก็นึกอยากกระโดดถีบชายวัยกลางคนขึ้นมา แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด ดวงตาคู่คมหันกลับไปมองขวดแก้วหลากสีตรงหน้า พร้อมกับมืออวบๆ ยื่นไปหยิบขวดแก้วสีเขียวมรกต ที่ตั้งวางอยู่อีกขวดหนึ่ง มาใส่ไว้ในสาปเสื้อของตน

                    “อ่อ..ท่านรัน แถวนั้นมีขวดใส่น้ำเปลี่ยนร่าง ตั้งเอาไว้อยู่ด้วย ระวังหยิบผิดนะขอรับ เพราะสีขวดมันเหมือนกับขวดน้ำเปลี่ยนรสเลย”

                    เสียงพูดของชายวัยกลางคน ที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมา เหมือนจะไม่ได้เข้าไปในหูของรัตมณีสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวมัวแต่สนใจมองดูขวดแก้วตรงหน้า พร้อมกับมืออวบก็หยิบโน้น หยิบนี่ใส่ไว้ในสาปเสื้อของตนอย่างเพลิดเพลิน แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง สายตาคู่คมสีฟ้าเข้มของหญิงสาว ก็ดันเหลือบไปเห็น ขวดแก้วสีแดงสด ราวกับสีของทับทิม ตั้งวางอยู่ด้านในสุด มืออวบๆ จึงยื่นไปหยิบมา พร้อมกับริมฝีปากอวบอิ่ม ขยับเอื้อนเอ่ยถามชายวัยกลางคน ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยที่ไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายแต่อย่างใด

                    “ขวดนี้ใส่อะไรเอาไว้เหรอ? ท่านลุงฮัม”

                    “อ่อ!อันนั้นเป็นขวดใส่ยาเปลี่ยนเพศขอรับ..”

                    “เปลี่ยนเพศ?” รัตมณีทวนคำพูด ของอีกฝ่ายอย่างงงๆ แต่ทว่าคราวนี้ แทนที่เจ้าตัวจะซักถามชายวัยกลางคนเพื่อให้คลายความสงสัยของตนเอง มืออวบกลับเปิดขวดสีแดงสด พร้อมกับยกขวดขึ้นจิบน้ำในขวด อย่างหน้าตาเฉย

                    “อ๊ะ! เดี๋ยวขอรับ! ท่านรัน..” ชายวัยกลางคนร้องเอ่ยห้าม แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

                    “อืมม์..เหมือนจะรู้สึกแปลกๆ อยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะ..เฮ้ย!!! หน้าอกหาย!?” ท้ายประโยค รัตมณีถึงกับเผลอร้องเสียงดังลั่นออกมา เมื่อเผลอยกมือขึ้นแตะสัมผัส ที่บริเวณหน้าอกของตนเอง แต่กลับพบว่าหน้าอกอวบๆ ที่ทำให้ตัวเองหนักขึ้นมาหลายกิโลกรัม บัดนี้ กลับแบนราบสนิท! และรวดเร็วเท่าความคิด มืออวบจึงรีบถลกชายกระโปร่งขึ้นมา เพื่อดูอะไรบางอย่าง และเพียงแค่เห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่มาสิงสถิตอยู่ระหว่างขาอ่อน อวบๆ ขาวๆ หญิงสาวก็ปล่อยชายกระโปร่งลงทันควัน พร้อมทั้งหันหน้ามามองชายวัยกลางคน ด้วยสีหน้าแหย่ๆ “เออ..คือว่า ข้าคงจะตาฝาดไปสินะ? เพราะความจริงแล้ว ไม่น่าจะมีหนอนชาเขียวตัวเป้ง ขนดำเมื่อม ผูกคอตายห้อยอยู่หว่างขาของข้าได้อยู่แล้ว”

                    “ท่านรันมิได้ตาฝาดไปหรอกขอรับ และนั่นก็ไม่ใช่หนอนชาเขียว ที่กำลังผูกคอตายด้วยขอรับ แต่เป็นอาวุธลับที่บุรุษต้องมีต่างหากขอรับ”

                    “.........”

                    “กล่าวคือ ตอนนี้ท่านรัน ได้กลายเป็นบุรุษไปแล้วขอรับ”

                    “......!!?!”

                    “แต่วางใจเถอะขอรับ ระยะเวลาในการเปลี่ยนเพศ ขึ้นอยู่กับจำนวนยาที่ดื่มเข้าไปขอรับ”

                    “อา..งั้นเหรอ? ค่อยยังชั่วหน่อย.. แล้วว่าแต่หนึ่งอึกเนี่ย มันนานเท่าไหร่กันล่ะ? กี่วินาที หรือกี่นาทีกัน ข้าถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

                    “น่าจะราวๆ สามวันขอรับ”

                    “อ่อ..สามวันหรอกเหรอ หา!!!.. ว่าไงนะ? สามวันเชียวเหรอ!!!!?

                    “ขอรับ”

                    “เดี๋ยวสิ! ไม่มีวิธีที่จะทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ได้แบบทันทีเลยหรือไง? อย่างเช่นว่า.. ตัดไอ้หนอนชาเขียวตัวนี้ทิ้ง แล้วก็จะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้นะ”

                    “อันนั้นยังไม่มีใครเคยลองดูนะขอรับ ข้าก็เลยไม่ทราบ แต่คิดว่า อย่าเสี่ยงจะดีกว่านะขอรับ..”

                    “.........”

                    “แต่จะว่าไปแล้ว ท่านรันในร่างนี้ ก็ช่างดูหล่อเหลา เทียบเคียงกับฝ่าบาทสเมนคารา ได้เลยนะขอรับ”

                    “เอ๋..จริงเหรอ? มีกระจกหรือเปล่าท่านลุง ขอข้าดูหน่อย..”

                    “นี่ขอรับ..”

                    “..........” รัตมณียื่นมือไปรับกระจกแบบมีด้ามถือ จากชายวัยกลางคน มาส่องมองดูตัวเอง แต่เพียงแค่ได้มองแวบเดียว หญิงสาวก็ถึงกับเกิดอาการผงะ ขึ้นมาเล็กน้อย

                    ..เฮ้ย! ไอ้หมอนี้มันใครกันฟ่ะ? จะหล่อกระชากใจไปถึงไหน อ๊ะ! ก็นี่มันเราเอง ไม่ใช่เหรอ?..

                    รัตมณีครุ่นคิดภายในใจอย่างนึกขำ แกมนึกอัศจรรย์ใจกับภาพตัวเอง ในร่างชายหนุ่มหน้าหวาน ที่บอกไม่ถูกว่าจะหล่อหรือสวยดี แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เหมือนรูปลักษณ์นี้ จะมีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกๆ ชนิดที่ว่าขนาดตัวเธอเอง ซึ่งมีภูมิต้านทานกับเพศตรงข้ามในระดับสูง เนื่องจากมีเพื่อนชายหน้าตาดีเป็นโขยง ก็กลับยังรู้สึกใจเต้นไม่หยุดเลย

                    “ดูแล้วเป็นร่างกายที่เหมือนจะดึงดูด ทุกๆ อย่างที่อยู่รอบกาย ให้เข้ามาหาเลยแหะ แบบนี้แม้แต่เพศเดียวกัน ก็คงวิ่งเข้าหาแน่ๆ เอ๋?..เดี๋ยวนะ! เพศเดียวกันงั้นเหรอ..? หึหึๆ ชักจะน่าสนุกแล้วสิ งานนี้..” ท้ายประโยค รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ท่ามกลางภายในหัวสมองน้อยๆ ที่มีภาพของฟาโรห์สเมนคารา ผุดขึ้นมา พร้อมกับแผนการร้ายสุดบรรเจิด..

                    ..แต่ก่อนที่สมองน้อยๆ ของหญิงสาว จะคิดวางแผนการร้ายได้สำเร็จ แผนการภายในหัว ก็มีอันต้องหยุดชะงักลงเพราะประโยคคำพูดลอยๆ ของชายวัยกลางคน ที่ลุกเดินไปรื้อหนังสือจากชั้นวาง..

                    “จริงสิขอรับ วิธีกลับคืนเป็นเหมือนเดิมแบบทันที ที่ท่านรันต้องการ รู้สึกเหมือนจะมีอยู่นะขอรับ”

                    “วิธีที่ว่า คือ ตัดไอ้นั้นทิ้งสินะ?”

                    “ฮ่าๆ ขืนตัดทิ้ง มีหวังคงได้พิการแน่ๆ ขอรับ อ่อ.. นี่ไงขอรับ! ในตำราเล่มนี้กล่าวเอาไว้ว่า หากต้องการจะกลับคืนสู่ร่างกายที่แท้จริง จะต้องปลุกตัวตนที่หลับใหลไป ให้ฟื้นคืนกลับมานะขอรับ”

                    “หมายความว่าไงนะ? ไม่เห็นจะเข้าใจ..”

                    “อือ..ข้าคิดว่า คงน่าจะเป็นประมาณว่า หากท่านรันปรารถนาอยากกลับเป็นอิสตรีเพศ เฉกเช่นเดิม ก็คงต้องระลึกถึงความเป็นอิสตรีนะขอรับ”

                    “แล้วมันอย่างไงล่ะ? ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ว่าตัวเอง เป็นอิสตรีสักหน่อยนี่น่า..”

                    “อืมม์..คิดว่าน่าจะใช้รูปแบบของการกระทำมากกว่านะขอรับ อาทิเช่น.. การได้รับจุมพิตจากบุรุษเพศ เพื่อปลุกความเป็นอิสตรีในกาย”

                    “หา?? นี่ท่านลุงฮัมกำลังพูดถึงนิทานก่อนนอนหรือไง? กะอีแค่ริมฝีปากแตะสัมผัสกันแบบนั้น มันจะไปได้ผล ได้ไงกัน..?”

                    “แน่นอนขอรับว่าไม่ได้ผล ถ้าหากเป็นจุมพิตธรรมดา เพราะว่าเวทมนตร์ของรุกข์ เป็นอะไรที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนมากมาย แต่ว่า.. ถ้าหากเป็นจุมพิตที่ไม่ธรรมดา ก็น่าจะมีสิทธิ์ลุ้นอยู่นะขอรับ”

                    “จุมพิตไม่ธรรมดา?”

                    “ก็จุมพิตแบบถึงขั้นสลบไงขอรับ”

                    “เฮ้ย! มันใช่จูบแน่หรือท่านลุง ข้าว่าตั้งใจจะฆ่าให้ตายมากกว่าสิไม่ว่า ถ้าหากต้องเสี่ยงกลับเป็นอิสตรี ด้วยวิธีบ้าๆ แบบนั้น สู้ข้านอนรอ นั่งรอไปสามวันดี..เอ๊ะ!? นี่ข้ากลับเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่น่า!” ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคความ รัตมณีก็กลับต้องเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ แกมงุนงง เมื่อเผลอเหลือบสายตาไปเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ซึ่งบัดนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว

                    “จริงๆ ด้วยขอรับ!”

                    “เฮ!ไหนบอกว่าต้องใช้เวลาสามวัน นี่ท่านลุงกล้าอำข้าหรือเนี่ย..? อยากเป็นอดีตคนชรามากเลย ใช่ไหมเอ่ย? ถ้าอยากมาก เดี๋ยวจัดให้!..” รัตมณีเอ่ยพูด พลางแยกเขี้ยวใส่ชายวัยกลางคนอย่างนึกคาดโทษ

                    “มิได้ขอรับ ข้าหาได้หลอกลวงท่านรันเลยแต่อย่างใด ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไม? ถึงเป็นแบบนี้ไปได้..”

                    “........?”

                    “มันน่าแปลกอยู่นะขอรับ เวทมนตร์ของรุกข์ ไม่น่าจะแก้ไขได้ง่ายๆ แบบนี้เลย”

                    “แปลก?” รัตมณีเอ่ยทวนคำพูดของชายวัยกลางคน แล้วก็นิ่งเงียบไป พร้อมๆ กับดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ก็กวาดมองไปรอบๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่ม จะขยับเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยจะจริงจัง กับประโยคคำพูด ที่เอ่ยออกมาสักเท่าไหร่นัก “อืมม์..ตอนแรกข้าก็คิดอยู่นะว่า มันแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าจะนึกสนใจอะไรมากมายนักหรอก แต่ว่า.. จะขอลองถามคำถามโง่ๆ สักหน่อยก็แล้วกัน”

                    “คำถามโง่ๆ..?”

                    “ที่นี้ คือ ที่ไหนอย่างงั้นหรือ? ท่านลุงฮัม..”

                    “เอ๊ะ? ทำไมท่านรันถึงได้เอ่ยถามเช่นนั้น ล่ะขอรับ? ที่นี้ก็คืออียิปต์อย่างไงล่ะขอรับ”

                    “อือ..สเมนคาราเอง ก็บอกกับข้าว่าที่นี้ คือ อียิปต์เหมือนกัน แต่ว่า.. สิ่งที่ข้าเห็น และได้สัมผัส มันดูไม่เหมือนกับอียิปต์ที่ข้ารู้จักเลยสักนิด ไม่มีตึกให้เห็น แต่ก็กลับดูรุ่งเรืองฟู่ฟ่า กว่าอียิปต์ที่ข้ารู้จัก จนทำให้ข้าเผลอคิดไปว่า.. ที่นี้คงจะเป็นดินแดนสวรรค์ และข้าก็ได้ตายไปแล้ว”

                    “ตึกหรือขอรับ?”

                    “ใช่..ตึก ทั้งตอนเมื่อวานที่เดินทางมากับสเมนคารา หรือตอนที่เดินเล่นเมื่อกี้นี้ กับหมอนั้น ข้าก็ไม่เห็นตึกเลยแม้แต่ตึกเดียว จะเห็นก็แต่บ้านรูปทรงแปลกๆ กับทะเลทรายที่ไม่ว่าจะมองทางไหน ก็เห็นแต่ทราย”

                    “อย่างงี้นี้เอง ข้าพอจะเข้าใจแล้วล่ะขอรับ..”

                    “เข้าใจ?”

                    “ท่านรันยังมีชีวิตอยู่ขอรับ ไม่ได้สิ้นชีพไปแต่อย่างใด และที่นี้ ก็ไม่ใช่แดนสวรรค์ แต่เป็นดินแดนอียิปต์จริงๆ ขอรับ เพียงแต่ที่นี้.. อาจจะไม่ใช่ดินแดนอียิปต์ ในช่วงเวลาของท่านรัน”

                    “เอ๋..ในช่วงเวลาของข้า? หมายความว่าอย่างไงกันล่ะนะ..?”

                    “คือข้าคิดว่า.. ท่านรัน น่าจะมาจากห้วงเวลาอื่นนะขอรับ เพราะคำว่า ตึก ที่ท่านรันพูดเมื่อสักครู่นี้ มันเป็นคำที่ไม่มีใครในที่นี้ รู้จักหรอกขอรับ แต่มันเป็นคำที่ปรากฏอยู่ในบันทึกโบราณ เล่มนี้นะขอรับ” ชายวัยกลางคนเอ่ยพูด พร้อมกับยื่นมือไปดึงหนังสือเล่มหนึ่ง ออกมาจากชั้นวาง ก่อนจะส่งยื่นให้กับรัตมณี พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อ “ตั้งแต่เริ่มยุคสมัยราชอาณาจักรอียิปต์ รวมดินแดนทางตอนเหนือ กับดินแดนทางตอนใต้เข้าด้วยกัน ก็ได้มีคำกล่าวถึงบุคคลคนหนึ่งเอาไว้ว่า.. ยามที่ต้องประสบพบเจอกับภัยพิบัติ อันเลวร้าย หรือ ดวงใจผู้นำบิดเบี้ยวผิดหนทาง ผู้ล่วงล้ำกาลเวลาจากโลกหน้า จะมาเยือนยังดินแดน ด้วยอำนาจแห่งปีกพญาเหยี่ยว ที่ชี้นำโดยดวงเนตรแห่งความรัก ของไอซิส..”

                    “อืมม์ๆ ปีกพญาเหยี่ยวนี่คงจะหมายถึง เทพเจ้าโฮรุสสินะ?”

                    “ขอรับ”

                    “นี่สรุปว่า.. ตัวข้าถูกเทพเจ้าโฮรุส กับเทพีไอซิส พามายังที่นี้ โดยที่ไม่รู้ตัวอย่างงั้นหรือ? ฟังแล้วยังกับดูหนังแฟนตาซีอยู่เลยแหะ แต่ก็เอาเถอะ ถึงแม้เรื่องข้ามเวลา มันจะไม่ค่อยน่าเชื่อสำหรับข้าสักเท่าไหร่ แต่ความเป็นไปได้ของมัน ก็ใช่ว่าจะมีค่าเท่ากับศูนย์เลยสักทีเดียว หึ! จะว่าไปแล้วในตระกูลของข้าเอง ก็มีเรื่องทำนองนี้ กล่าวถึงอยู่เหมือนกันล่ะนะ”

                    “ในตระกูลหรือขอรับ?”

                    “อืมม์..มันเป็นเรื่องขำๆ ล่ะนะ ลูกชายคนโตสุดดิบเถื่อน เป็นตัวป่วนของตระกูลอังเคย์เคล อา..ถ้าให้เรียกตามลำดับชั้น ก็คงน่าจะเป็นทวดของทวดข้าล่ะมั่ง? ว่ากันว่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่มาเที่ยวอียิปต์ พวกญาติๆ ก็เลยพูดกันว่า ท่านคงถูกสาวงามแห่งอียิปต์ ฉกตัวพาข้ามเวลาไป ดังนั้น ก็เลยไม่มีใครออกตามหาเลยสักคนเดียว แต่ข้าว่า.. ไอ้ที่ไม่ตามหาเนี่ย คงจะเพราะหวังกำจัดตัวป่วนของตระกูลสักมากกว่า เพราะมีที่ไหนกัน? ที่คิดแบนนั้น ความจริงมันน่าจะคิดว่าถูกลักพาตัว หรือไม่ก็ถูกพาไปฆ่าหมกทราย เพื่อแย่งชิงทรัพย์ ซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากกว่า..”

                    “อังเคย์เคล? เหมือนข้าจะเคยได้ยินนามนี้ เมื่อนานมาแล้วนะขอรับ..”

                    “ฮ่าๆท่านลุงคงจะเคยได้ยินว่า เป็นพวกบ้าสุดเกินจะบรรยายเลยสินะ? อา..นั่นนะเรื่องจริงเลยล่ะ! แล้วว่าแต่.. เทพเจ้าโฮรุส กับเทพีไอซิสพาข้ามาที่นี้ เพื่ออะไรกันอย่างงั้นหรือ? ข้าว่าที่นี้ ก็ดูออกจะสงบสุขดี ดูแล้วไม่น่าจะต้องการความช่วยเหลืออะไรเลย เอ๋..หรือว่าจะให้ข้ามาดัดนิสัยโรคจิตของผู้นำ อย่างเจ้าบ้าสเมนคารากันล่ะ? อืมม์ๆ อันนี้ท่าจะงานหนักแหะ เผลอๆ อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลยนะนั้น ไม่ไหวๆ.. ถ้าเป็นอย่างหลัง ข้าคงต้องขอตีตั๋วกลับบ้านเลยแล้วกัน”

                     “คือว่า.. จากสถานการณ์ที่ข้าเห็น เกรงว่าคนที่พาท่านรัน มายังดินแดนแห่งนี้ อาจจะไม่ใช่เทพเจ้าโฮรุส หรือเทพีไอซิส..”

                    “.........?”

                    “ข้าเองก็เคยนึกสงสัย ตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับท่านรันครั้งแรกแล้วล่ะขอรับ แต่ก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อเลยสักทีเดียว เพราะว่าความเป็นจริง มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ว่า.. คงจะใช่จริงๆ สินะขอรับ?”

                    “หือ? ท่านลุงหมายถึงเรื่องอะไรงั้นหรือ?” รัตมณีเอ่ยถามขึ้นมา ด้วยท่าทีเหมือนจะนึกสนใจ ในคำพูดของชายวัยกลางคน แต่สายตากลับจดจ่อ อยู่แต่กับตัวอักษรภายในบันทึก ที่ตัวเองกำลังเปิดอ่านอยู่ ไม่ได้หันมามองชายวัยกลางคนเลย แต่แล้วคำพูดต่อมาของชายวัยกลางคน ก็กลับทำให้ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้ม ของรัตมณี จำต้องละสายตาจากหน้าบันทึก แล้วหันมามองชายวัยกลางคน..

                    “ข้ากำลังพูดถึงตัวจริง ของผู้ที่ท่านรันเรียกขานว่า.. พี่ชายเทพจาน ขอรับ”

                    “.........”

                    “ไม่ว่าจะเป็นอาการลมแดดของท่าน ที่ดูแล้วเหมือนจะแค่หลับไปเท่านั้น หรือการที่เหล่าสัตว์ดุร้าย พากันหลงใหลในตัวของท่าน หรือแม้แต่การที่สามารถแก้ไขเวทมนตร์ของรุกข์ ได้ด้วยตัวเอง รวมถึงการที่ท่านโดนเทพเจ้าอานูบิสแห่งอียิปต์ผู้นั้น หมายเอาชีวิตเช่นนั้น คำตอบก็มีอยู่เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ผู้ที่ท่านรันเคยได้พบเจอ ในวัยเด็กตอนนั้น ก็คือ.. เทพเจ้าเซท มหาเทพด้านมืดของอียิปต์ นั่นเอง! ซึ่งความจริงแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยขอรับ..”

                    “แล้วทำไม มันถึงจะเป็นไปไม่ได้กันล่ะ?” 

                    “นั่นก็เพราะว่า.. เทพเจ้าเซทถูกคุมขังเอาไว้ ในสถานที่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ นอกจากมหาเทพแห่งรา ผู้เป็นเทพบิดา เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และที่สำคัญไปกว่านั้นเลย ก็คือ ไม่เคยมีมนุษย์คนใด ที่ได้สัมผัสกลิ่นอายของเทพเจ้าเซทแล้ว จะยังมีชีวิตอยู่ได้ขอรับ”

                    “แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่นะ..”

                    “ขอรับ..ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากๆ และเพราะเหตุนั้น ทำให้ในตอนแรก ข้าถึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งขอรับ แต่อาการลมแดดของท่านรัน ที่คล้ายกับการนอนหลับ ก็เป็นสิ่งที่ยืนยัน ได้เป็นอย่างดีเลยว่า.. ท่านรันจะต้องเคยพบ และแตะต้องสัมผัสกายของเทพเจ้าด้านมืดมาแล้ว อย่างแน่นอนขอรับ เพราะอาการที่ว่า มันคือ คำสาปแห่งความมืด

                    “คำสาปแห่งความมืด?”

                    “กล่าวกันว่าผู้ที่กำเนิดมาจากความมืด หรือได้สัมผัสแตะต้องกลิ่นอายแห่งความมืดมิด เมื่อได้พบเจอแสงสว่าง จะต้องหลับใหลไปในอ้อมกอด ของแสงสว่างอันอบอุ่นนะขอรับ”

                    “หืมม์..ก็ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจอยู่นะ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ยังมีเรื่องติดใจสงสัยอยู่เพียบเลยก็ตามที แต่ก็ช่างมันเถอะนะ.. จะอย่างไงก็ได้อยู่แล้ว ข้าไม่แคร์หรอก อย่างไงตอนนี้ก็ว่างอยู่แล้ว จะเที่ยวไหนก็ไม่ต่างกันหรอก อ่อ!.. แต่สำหรับเรื่องของอากาศ ถ้าเป็นอากาศเย็นสบายได้ก็คงจะดี ..ว่าแต่? บันทึกเล่มนี้ดูน่าสนใจมากๆ เลย ข้าจะขอยืมกลับไปอ่านที่บ้านของสเมนคาราหน่อย จะได้หรือไม่? ท่านลุง อ่อ..แล้วก็เล่มนี้ รวมไปถึงเล่มสีฟ้าเล่มโน้นด้วยนะท่านลุง เพราะถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด รู้สึกเหมือนมันจะเป็นบันทึกเล่มต่อ ของเล่มนี้” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงบันทึกเล่มที่ตนเองขอยืม ออกมาจากชั้นวางด้านล่าง

                    “ท่านรันสนใจเล่มไหน ก็เชิญเอาไปได้เลยขอรับ ว่าแต่.. นี่คงจะได้เวลาท่านรัน เดินทางกลับวังหลวงแล้วนะขอรับ ถึงแม้จะบอกกล่าวกับฝ่าบาทสเมนคาราเอาไว้แล้ว แต่ออกมานานมากเฉกเช่นนี้ ประเดี๋ยวฝ่าบาทสเมนคารา จะทรงเป็นห่วงเอาได้นะขอรับ”

                    “เอ๋..คงไม่ห่วงอะไรหรอกมั่ง? เพราะข้าไม่ได้บอกสเมนคาราสักหน่อยนี่นาว่าจะมาที่นี้ อืมม์..หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ข้าถูกเจ้าตัวแรคคูนจูงมือพาเดินออกมา จากบ้านของหมอนั้น ผ่านทางช่องกำแพงผุพังที่เป็นรูโหว่ เผลอๆ ป่านนี้หมอนั้นอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำเลยว่า ข้าไม่ได้อยู่ในบ้าน อ้าว..เป็นอะไรไปนะท่านลุงฮัม อยู่ดีๆ ก็หน้าซีดเผือด ไม่สบายอย่างงั้นหรือ?” ท้ายประโยค รัตมณีเอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ เมื่อเห็นหน้าของชายวัยกลางคน มีอาการซีดเผือดขึ้นมากระทันหัน ซ้ำร่างกายของชายวัยกลางคน ยังมีอาการเหงื่อไหลแตกซิบออกมา ราวกับคนที่ไปตกบ่อน้ำมาอย่างไงอย่างงั้น แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้รู้ถึงที่มาของอาการดังกล่าว ร่างสูงอวบของหญิงสาว ก็มีอันต้องสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว ด้วยเสียงตวาดอันดังลั่นของใครบางคน ที่กำลังเดินเข้ามา..

                    “บังอาจพาหมูน้อยของข้า ออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอก โดยไม่ขออนุญาตข้าก่อน เจ้าอยากถูกจับหั่นเป็นชิ้นๆ ใช่หรือไม่!? ฮัมเซียร์!!!..

                     “.........?”

                    “กะ..กระหม่อม ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ!! ฝ่าบาทสเมนคารา.. กระหม่อมมิทราบว่าท่านรันมาที่นี้ โดยที่ยังไม่ได้บอกกล่าวแก่ฝ่าบาทมาก่อน..”

                    “คิดหรือว่า ข้าจะฟังคำแก้ตัวเช่นนั้น!”

                    “เออ..คือ..”

                    “ไม่ใช่คำแก้ตัวสักหน่อย”

                    “.........”

                    “........?”

                    “ที่ท่านลุงฮัมพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ..ว่าแต่? เจ้ากำลังโกรธอะไรของเจ้ากันนะสเมนคารา อ๊ะ! หรือว่า.. ที่เจ้าโกรธอยู่เนี่ย เป็นเพราะว่าข้าทำให้เจ้าเป็นห่วง อย่างงั้นเหรอ? ขอโทษๆ..เอาเป็นว่าคราวหน้า ถ้าจะออกไปที่ไหน ข้าจะบอกเจ้าก่อนก็แล้วกันนะ แต่จะว่าไปอันที่จริงข้าก็ไม่ได้คิดจะมาที่นี้หรอกนะ แต่เป็นเพราะโดนเทพเจ้าหน้าขนพามาต่างหาก! แต่ก็ช่างมันเถอะ.. เพราะที่นี้ ดูจะมีอะไรที่น่าสนใจเต็มไปหมดเลย อ่อ.. นั่งก่อนสิ! สเมนคารา.. เดี๋ยวข้าจะหาอะไรให้เจ้าดื่มนะ ดูสิ! เหงื่อไหลท่วมตัวสักขนาดนี้ เจ้าคงจะร้อนเอามากๆ เลยสิท่า..”

                    “อืมม์..”

                    “.........” โหรหลวงฮัมเซียร์ แทบไม่อยากจะนึกเชื่อสายตาของตนเอง ว่าเพียงแค่เพราะคำพูดแสนเรียบง่าย แบบตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งการแสแสร้งออดอ้อนแต่อย่างใด ของหญิงสาวร่างสูงอวบ จะทำให้ฟาโรห์หนุ่มที่ทรงกำลังโกรธกริ้ว ถึงขนาดเกือบจะทรงชักพระแสง ออกมาจากคมฝักแกร่งนั้น สามารถประทับนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง พร้อมทั้งมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาแทนที่ สีพระพักตร์บึ้งตึงได้อย่างฉับพลัน..

                    ..ทั่วหล้านี้ คงจะมีแค่ท่านเพียงคนเดียว ที่ทำให้ฝ่าบาทสเมนคารา ทรงเป็นเช่นนี้ได้ ท่านช่างเป็นเด็กเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง ที่ทรงพลังจริงๆ ท่านรัน..

                    ชายวัยกลางคนครุ่นคิดภายในใจของตัวเอง ในขณะที่ทอดสายตามองดูคนทั้งคู่ ซึ่งเหมือนจะสะท้อนให้เห็นถึงภาพวันวานในวัยเยาว์ ที่ตัวเขาเคยได้เห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพความทรงจำ ที่ถูกบุคคลผู้หนึ่งได้ทำให้เลือนหายไป และมีเพียงแค่เขาเท่านั้น ที่ยังคงจดจำเรื่องราวในวันนั้นได้อยู่ ทว่า.. ถึงแม้ความทรงจำที่ว่า จะไม่หวนกลับคืนมาสู่คนทั้งสองอีกแล้ว แต่เขาก็คิดว่า มันคงจะไม่มีผลกระทบอะไร กับคนทั้งคู่อยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานสักเพียงใด หรือไร้ซึ่งความทรงจำดีๆ ที่เคยมีร่วมกันมา แต่คนทั้งคู่ที่เขาเห็น ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ยังคงเป็นคนที่มีหัวใจแข็งแกร่งแสนน่าหลงใหล ที่มีแรงดึงดูดเข้าหาซึ่งกันและกัน.. 

 

                    “อือ..ร้อนแบบนี้ ถ้าต้องมาดื่มชาขมๆ คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ จริงสิ! มีของดีอยู่นี่น่า.. งั้นข้าจะลองทำโคล่าให้เจ้าลองชิมดูแล้วกันนะ สเมนคารา”

                    “ชาโคล่า?”

                    “ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ชา.. โคล่าเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลม ดื่มแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็นเลย” รัตมณีเอ่ยพูดพลางหยิบขวดแก้วสีเขียวมรกต ที่อยู่ในสาบเสื้อของตน ออกมาเปิดขวด และหยดน้ำภายในขวดลงไปในถ้วยน้ำชา ที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะ แล้วจึงส่งถ้วยชาให้กับฟาโรห์หนุ่ม พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อ “ว่าแต่เจ้าก็เก่งนะ สเมนคารา.. ที่ยังอุตส่าห์รู้อีกว่าข้าอยู่ที่นี้ ยังกับใช้จีพีเอสออกค้นหาเลย”

                    “จีพีเอส คืออะไร? ข้าใช้บาจิลตามหาเจ้าต่างหาก..”

                    “บาจิล? ใครกันนะ..?”

                    “ก็ลูกสิงโตที่เจ้าเล่นด้วยอย่างไงล่ะ ดูเหมือนว่ามันจะชอบเจ้ามากน่าดู พอรู้ว่าเจ้าไม่อยู่ในวัง มันก็รีบวิ่งแจ้นออกดมกลิ่นของเจ้า ตามมาจนถึงนี้ทันที”

                    “เฮๆ ที่พูดมา.. แน่ใจนะว่าหมายถึงลูกสิงโต ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่า ลูกสิงโตจะมีประสาทสัมผัสดมกลิ่นเหมือนกับหมา”   

                    “เพราะงั้นข้าถึงได้บอกไง ว่ามันคงจะชอบเจ้ามากน่าดู..ว่าแต่? พูดถึงหมาแล้ว เจ้าฝูงหมาเถื่อนพวกนี้ มันอะไรกัน?” ในท้ายประโยค ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งถาม ขึ้นมาอย่างทรงนึกสงสัย พลางยกถ้วยชาที่รับมาจากหญิงสาวขึ้นจิบ ในขณะที่สายพระเนตรคมกริบ ก็มองบรรดาหมาในหลายสิบตัว ที่นั่งอยู่บ้าง ยืนบ้าง อยู่ล้อมรอบตัวของหญิงสาว ซึ่งทอดพระเนตรมองเพียงแวบเดียว ฟาโรห์หนุ่มก็สามารถคำนวณ จำนวนหมาในฝูงนี้ได้ทันที ว่ามันมีอยู่ทั้งหมด สามสิบตัวด้วยกัน! ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่อาจจะบอกได้เลยว่า เป็นสถานการณ์ที่ปลอดภัย เพราะหมาใน เป็นสัตว์ดุร้ายที่ฉลาดแกมโกงมาก หากอยู่แค่ตัวเดียวเพียงลำพัง ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าหวาดหวั่นอะไรมากนัก แต่ถ้าหากพวกมันอยู่กันเป็นฝูงแล้วล่ะก็ นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายสุดๆ เพราะพวกมันจะออกล่ากันเป็นฝูง และเหยื่อที่มันหมายตาเอาไว้ ก็ไม่เคยหลุดรอดไปได้!..

                    “หมาเถื่อนที่ไหนกัน หมานะ..!?”   

                    “ฝะ..!?”

                    “มีอะไร?” ฟาโรห์สเมนคารา ทรงตรัสรับสั่งถามขึ้นมาอย่างทรงงุนงงแกมสงสัย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง กลับชะงักคำพูดไป พร้อมทั้งทำท่าทีเหมือนกับตกใจเรื่องอะไรบางอย่าง ซึ่งอาการที่ว่านั้น แม้แต่โหรหลวงของพระองค์เอง ก็ยังพลอยเป็นไปด้วย

                    “ทะ..ท่านรัน ระ..หรือว่า ท่านหยิบสมุนไพรผิดขวด..”

                    “เออ..น่าจะ..”

                    “.........?”

                    “......!!!!”

                    ตอนที่เทลงไป ก็คิดสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าทำไม? สีของน้ำมันดูขุ่นกว่าเดิม ว่าแต่.. ไอ้น้ำที่อยู่ในขวดนี้ ทำให้เป็นแบบนี้เหรอ หึ! น่าสนุกแหะ..”

                    “ท่านรัน! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะขอรับ..”

                    “.........”

                    “นี่พวกเจ้าสองคน กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?”

                    “อะ..คือว่า..”

                    “นี่ๆ สเมนคารา.. ข้าขอเลี้ยงหมาในพวกนี้ จะได้หรือเปล่า?” รัตมณีรีบชิงเอ่ยพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน ที่ฮัมเซียร์จะได้เอ่ยพูดถึงความจริงที่เกิดขึ้น ด้วยเล็งเห็นแล้วว่า ถ้าหากเอ่ยขอเรื่องนี้ หลังจากที่ฟาโรห์หนุ่มทรงล่วงรู้ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เห็นทีงานนี้ ตัวเธอคงอดมีสัตว์เลี้ยงกับใครเขา ไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน

                    “หือ? เจ้าอยากเลี้ยงมัน?”

                    “ใช่..”

                    “ทั้งหมดนี้?”

                    “เอ๋..ไม่ได้เหรอ?” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมกับทำสายตาอ้อนวอนอีกฝ่ายไปในตัว ก่อนที่จะเอ่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเป็นพิเศษ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ “ข้าสัญญานะว่า จะไม่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน ตอนที่ข้ากลับบ้าน ก็จะพาพวกมันกลับไปเลี้ยงที่บ้านของข้าด้วย ไม่ทิ้งให้เป็นภาระของเจ้า อย่างแน่นอน ให้สัญญาเลย!..”

                    “..........”

                    ..ปฏิกิริยานิ่งเงียบแบบหลุดเข้าไปในป่าช้า ของฟาโรห์หนุ่ม ทำให้รัตมณีเริ่มจะมองเห็นเค้าลางๆ ว่าตัวเองอาจจะถูกขัดขวางการเลี้ยง(ฝูง)สัตว์เลี้ยงในครั้งนี้ หญิงสาวจึงรีบครุ่นคิด เปลี่ยนแผนการอ้อนวอนใหม่ ของตนเองทันที โดยการยื่นมือไปบีบนวดที่ลำแขนแกร่งของอีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ที่แฝงอาการแกล้งงอนเอาไว้เล็กๆ..

                    “ให้ข้าเลี้ยงเถอะนะ สเมนคารา นะๆ..อ๊ะ! หรือถ้าเจ้ากำลังเป็นห่วง เรื่องค่าอาหารของพวกมัน สำหรับเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะ กลับไปบ้านเมื่อไหร่ ข้าจะส่งเงินมาคืนเป็นสองเท่าที่เจ้าจ่ายไปเลย รับรองข้าไม่เบี้ยวเจ้าหรอก นะๆ กะอีแค่หมาในไม่กี่ตัว ให้ข้าเลี้ยงเถอะ”

                    “..........”

                    “งั้นเอางี้! เจ้าอยากได้อะไรเป็นการตอบแทนล่ะ ข้าจะให้เจ้าหนึ่งอย่าง เป็นการแลกเปลี่ยน หรือเจ้ามีเงื่อนไขอย่างอื่นก็ว่ามาได้เลย!” รัตมณีพยายามงัดกลยุทธ์ มาเจรจาต่อรองกับอีกฝ่าย อย่างสุดความสามารถ แต่หญิงสาวคงไม่ได้รู้เลยว่า สาเหตุที่ทำให้ฟาโรห์สเมนคารา ทรงนิ่งเงียบไม่ยอมตรัสรับสั่งคำอนุญาตออกมา พร้อมทั้งยังมีสีพระพักตร์เย็นชาขึ้นมานั้น จะเป็นเพราะคำว่า กลับบ้าน ของตัวเธอนั่นเอง!..

                    “ถ้าหากเจ้าอยากเลี้ยง..”

                    “อือ..อยากเลี้ยงๆ”

                    “ก็ต้องเลี้ยงที่วังของข้าเท่านั้น”

                    “เอ๊ะ?”

                    “ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าหวังจะได้เลี้ยงพวกมัน!”ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งขึ้นมาอย่างทรงรู้สึกหงุดหงิด เนื่องจากเห็นท่าทีชะงักค้างของคนตรงหน้า จึงทรงพาลคิดไปว่า อีกฝ่ายคงจะปฏิเสธเงื่อนไขของพระองค์ แต่แล้วฟาโรห์หนุ่มก็ต้องทรงเผลอเลิกพระขนงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า พร้อมกับได้รับสัมผัสจากอ้อมแขนแสนนุ่มนิ่มของคนร่างสูงอวบ ที่จู่โจ่มเข้ามากอดรัดร่างแกร่งของพระองค์เอาไว้ อย่างไม่ให้เวลาได้ทันตั้งตัว

                    “แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าจะเลี้ยงพวกมันทั้งสามสิบเอ็ดตัว ที่บ้านของเจ้า.. ขอบใจนะสเมนคารา เจ้าเป็นโรตจิตที่ใจดีที่สุดในโลกเลย!”

                    “หือ? ไม่ใช่ว่าสามสิบตัวหรอกหรือ?”

                    คำถามของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้รัตมณีถึงกับแอบสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะคลายอ้อมแขนของตน ออกจากร่างแกร่งของอีกฝ่าย พร้อมกับก้าวถอยห่างจากฟาโรห์หนุ่ม เอื้อมมือไปหยิบบานกระจกบนโต๊ะ ให้อีกฝ่ายได้ส่องดูสภาพของตัวเองในขณะนี้ “เออ..ก็ถ้ารวมตัวนี้เข้าไปด้วย ก็คงจะเป็นสามสิบเอ็ดตัวล่ะนะ..อุ๊บ! ฮ่าๆๆ

                    “......!?!!” ภาพที่สะท้อนในกระจก ท่ามกลางเสียงหัวเราะของแม่ตัวดี ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราถึงกับอึ้งทึ่งไปหลายวินาทีด้วยกัน ก่อนที่จะทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบๆ จับๆ ตรงใบหูยาวรีที่มีขนนุ่มนิ่มสีน้ำตาลเข้มปนดำปกคลุม ซึ่งงอกขึ้นมาบนพระเศียรของพระองค์ และเพราะว่าใช้พระหัตถ์ลูบๆ จับๆ นี่แหละ! พระองค์ถึงเพิ่งจะได้สังเกตเห็นว่า เล็บที่ถูกตัดสั้นอยู่ตลอดเวลาของพระองค์ บัดนี้กลับยาว และแหลมคมชนิดที่ว่า ถ้าหากลองเสียบคอแม่ตัวดี ที่กำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ในขณะนี้ มันคงจะทะลุถึงด้านหลังคอสวยๆ นั้น ได้อย่างง่ายดายแน่นอน..

                    “โอ๊ะ?! มีหางด้วย..! ฮ่าๆ หางของเจ้าสวยสุดๆ ไปเลยสเมนคารา ใครเอาทองคำสูงเท่าพีระมิด มาแลกเจ้าในตอนนี้ ข้าก็ไม่ยอมแลกด้วยเด็ดขาด ว๊าวๆ นุ่มๆ..อยากพาไปนอนด้วยจัง” 

                    “.........” ในตอนแรก คิดว่าจะจัดการลงโทษเสียให้เข็ด แต่ฟาโรห์สเมนคารา ก็กลับต้องทรงเปลี่ยนพระทัยขึ้นมาทันใด เมื่อเห็นท่าทีปลาบปลื้มของหญิงสาว ที่มีต่อหางสีดำเป็นพวงของพระองค์ ซึ่งดูท่าจะเป็นเอาหนัก เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นกระโดดขึ้นมานั่งบนตักของพระองค์ พร้อมกับลูบไล้หางของพระองค์เล่นอย่างเมามันส์ ไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองนะ อยู่ในท่าเชิญชวนชายหนุ่มเพียงใด และเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ร้อนระอุภายในกาย ที่กำลังจะปะทุขึ้นมา ฟาโรห์หนุ่มจึงหันไปเล่นงานชายวัยกลางคนแทน “ฝีมือเจ้าสินะ? ฮัมเซียร์!..”

                    “เอ๋!? อะ..เออ..คือว่า..กระหม่อม..” โหรหลวงฮัมเซียร์อยากจะบอกฟาโรห์หนุ่มว่า คนที่ใส่น้ำสมุนไพรเปลี่ยนร่างลงไปในน้ำชาให้พระองค์ได้ทรงเสวย ก็คือคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับหาง ของพระองค์ต่างหาก!

                    ทว่า.. ชายวัยกลางคนก็ได้แต่กลืนคำพูดดังกล่าวลงคอไป เนื่องจากรู้ดีว่าหากขืนพูดออกไปแบบนั้น ก็มีแต่ตัวเขาเองนั่นแหละ ที่จะเดือดร้อน เพราะถ้าลองคิดดูให้ดีแล้ว คนที่มอบสิ่งนั้นให้กับหญิงสาว ก็คือ เขานั่นเอง! ดังนั้น ชายวัยกลางคนจึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ไปทางหญิงสาวที่กำลังสนุกอยู่กับการลูบไล้หาง และฮัมเซียร์ก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด..

                    “อย่าไปโทษท่านลุงฮัมเซียร์สิ.. ฝีมือของข้าต่างหาก! เอาน่าๆ.. เดี๋ยวก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมเองแหละ ขนาดข้าเมื่อกี้ยังกลับมาในเวลาแป๊บเดียว รวดเร็วชนิดไม่ทันจะได้สนุกเลยด้วยซ้ำ ว่าไปแล้ว ก็น่าลองอีกสักครั้งจัง..”

                    “เมื่อกี้?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงทำท่าจะตรัสรับสั่งถาม ถึงสิ่งที่รัตมณีเอ่ยพูดออกมา แต่ก็กลับต้องทรงหยุดชะงักเอาไว้ แล้วทรงหันไปสนพระทัยคำพูดของชายวัยกลางคน ผู้เป็นโหรหลวงประจำราชสำนักอียิปต์แทน

                    “เกรงว่าจะไม่ใช่แบบนั้นนะสิขอรับ ท่านรัน..”

                    “เอ๊ะ?”

                    “หมายความว่าอย่างไง? ฮัมเซียร์”

                    “กราบทูลฝ่าบาท สิ่งที่ท่านรันบังเอิญใส่ลงไปในชา สลับกับน้ำเปลี่ยนรส ก็คือ น้ำเปลี่ยนร่าง พ่ะย่ะค่ะ”

                    “.........”

                    “.........”

                    “บรรดาน้ำสมุนไพรเวทมนตร์ ที่ถูกเก็บเอาไว้ที่นี้ น้ำเปลี่ยนร่างจัดอยู่ในประเภทที่มีฤทธิ์รุนแรง ที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่า คำสาปร้าย เลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ เพราะเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งหยดของมัน ก็จะทำให้เปลี่ยนเป็นสัตว์ ที่นึกถึงขึ้นมาในขณะนั้นได้ทันที มันเป็นมนตราที่รุกข์ คิดค้นขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนมนุษย์ใจบาป ให้กลับเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งหากไม่เร่งแก้ไขโดยเร็ว จะกลับคืนเป็นดั่งเดิมไม่ได้อีก ชั่วชีวิต!”

                    “ปัญหาอยู่ที่วิธีแก้สินะ?”

                    “พ่ะย่ะค่ะ”

                    “........”

                    “ทำหน้าซีเรียสกันทั้งคู่แบบนี้ จะบอกว่าเป็นวิธีแก้ ที่ยากมากเลยหรือไง..?” รัตมณีที่เห็นสีหน้าซีเรียสของสองชายต่างวัย แล้วก็อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเสียไม่ได้ พร้อมกับยื่นมือไปหยิบถ้วยชาที่ตั้งวางอยู่ มาถือไว้ในมือ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อขึ้นมา “อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ แต่อย่างเมื่อกี้นี้ ท่านลุงก็บอกว่ามันแก้ไม่ได้ง่ายๆ แต่แล้วก็กลับแก้ได้ง่าย ซะยิ่งกว่าง่ายอีกนะ เจ้านี้เอง ก็ไม่น่าจะแก้ได้ยากเย็นอะไรหรอกมั่ง..?”

                    “ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ก็คงจะไม่ยากเย็นจริงๆ นั่นแหละขอรับ เพราะแค่ใช้น้ำในสระของมหาวิหารโอซิริส คำสาปของรุกข์ ก็คงพลันสลายไปทันที”

                    “ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน..?”

                    “เพราะตอนนี้ มันไม่มีอีกแล้วอย่างไงล่ะ”

                    “เอ๊ะ? ไม่มีที่ว่า..”

                    “ทั้งสระ วิหาร และน้ำที่ว่า ไม่มีอยู่อีกแล้ว”

                    “หืมม์..ถ้าอย่างงั้นไม่มีอย่างอื่น อีกแล้วเหรอ? ที่จะใช้แก้ไข อา..จริงสิ! อียิปต์มีเทพเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ? หากเล่นแฟนตาซีได้สักขนาดนี้ ไอ้ที่เรียกเทพออกมาให้ช่วยแก้คำสาป ก็น่าจะทำได้อยู่นะ จะว่าไป..เจ้าเทพหน้าขนอะไรนั้น ก็บอกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าแรคคูนนี่หว่า พอดีเลย! ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเรื่องหมาพวกนี้ที งั้นเรียกหมอนั้น ออกมาก็ได้..”

                    “ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แต่เทพเจ้าที่เจ้ากำลังพูดถึง ได้สูญสิ้นไปจากแผ่นดินนี้ มาเกือบสามสิบปีแล้ว”

                    “สูญสิ้น? พูดเป็นเล่นน่า.. เคยได้ยินปู่ของเจ้าซาอิดเล่าถึงยุคที่อียิปต์ เคยหันมานับถือเทพองค์เดียวอยู่นะ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมียุคที่ไม่มีเทพเจ้าอยู่ด้วย”

                    “สิ่งที่ท่านรันกล่าวมานั่นแหละขอรับ คือ สาเหตุที่ทำให้ตอนนี้ ไม่มีเทพเจ้า”

                    “.........?”

                    “เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว อดีตฟาโรห์อคานาเตน ได้ทรงมีรับสั่ง ให้ผู้คนทั่วราชอาณาจักรอียิปต์ หันมานับถือเทพเจ้าอาเตน เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เพื่อทำให้สถานการณ์ผู้คนแตกแยก กลับมามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง”

                     “อืมม์ มันก็ฟังดูดีอยู่นะนั้น แต่เดาว่าคงจะไม่ได้เป็นดั่งหวัง สักเท่าไหร่หรอกมั่ง? เพราะความศรัทธา หรือความรู้สึกของมนุษย์ มันเป็นของที่ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปแตะต้องได้ง่ายๆ”

                    “ถูกอย่างที่ท่านรันว่ามานั่นแหละขอรับ เพียงแต่มันยังมีเรื่องที่ละเอียดอ่อน ยิ่งกว่านั้นอีกขอรับ”

                    “.........?”

                    “ดินแดนแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากคำพูดของรุกข์ และคงอยู่ได้ด้วยความศรัทธาของมนุษย์ เมื่อสูญสิ้นความศรัทธาของมนุษย์ สิ่งที่เกิดจากคำพูดของรุกข์ ก็จะค่อยๆ ถูกกาลเวลากัดกิน จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่าในที่สุด”

                    “งั้นแค่สร้างความศรัทธา ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง..”

                    “ทำนะทำได้ขอรับ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะแม้ว่าตอนนี้ ฝ่าบาทสเมนคาราจะทรงรับสั่งให้ชาวเมือง กลับมานับถือเทพเจ้าได้หลายองค์ เหมือนดั่งเดิมแล้วก็ตามที แต่จากตอนนั้น กระทั่งเวลาผ่านล่วงเลย มาจนถึงปัจจุบันในตอนนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครเคยได้พบเห็นเทพเจ้าองค์ใดของอียิปต์ มาปรากฏกาย ณ.ดินแดนแห่งนี้เลย”

                    “แปลว่างานนี้ ไร้หนทางแก้งั้นสิ? ฟังแล้วชักรู้สึกผิดขึ้นมาสักแล้วสิ..” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา พลางจ้องมองชาที่อยู่ในถ้วย ที่ตัวเองกำลังถือเอาไว้อยู่ เหมือนกับกำลังนึกชั่งใจในอะไรบางอย่าง 

                    “เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าหรอก หมูน้อย มันเป็นแค่เหตุสุดวิสัยเท่านั้น..”

                    “..........”

                    “อันที่จริง ก็ยังพอมีทางอยู่นะพ่ะย่ะย่ะ สร้อยพระศอทับทิมแห่งอาเตน อันเป็นสมบัติของอดีตฟาโรห์อคานาเตน ซึ่งถูกสวมไว้กับพระศพของพระองค์ น่าจะเป็นของที่ใช้แทน..” โหรหลวงฮัมเซียร์ยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยค ก็ต้องเผลอเลิกคิ้วขึ้นมา ก่อนที่จะอ้าปากเหวอ ในขณะที่ฟาโรห์สเมนคาราเอง ก็ทรงเบิกพระเนตรกว้างขึ้นมาอย่างทรงตกพระทัย เมื่อคนที่นั่งอยู่บนตักของพระองค์ เอ่ยพูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะยกถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย

                    “ถ้าหากเป็นเหมือนกัน ก็จะคงหายกันสินะ? งั้นถ้าจะกลายร่างทั้งที ข้าขอเป็นหมีขาวทรงพลัง ในเกมต่อสู้ ที่เคยเล่นก็แล้วกัน! อึกๆๆ..

                    “ท่านรัน!!”

                    “หมูน้อย..!”

                    “นี่มัน..!? อะไรกันเนี่ย!!!!!!”

                    ..ประโยคคำถามที่ถูกตะโกนออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่ม ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ และแม้เวลาจะผ่านล่วงเลย เข้าสู่ยามบ่ายแก่ๆ ไปแล้ว แต่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง ก็เหมือนจะยังคงได้ยินคำถามที่ว่าอยู่ตลอด เนื่องด้วยเพราะเจ้าของประโยคคำถามที่ว่า เอาแต่ท่องมันซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่ากำลังร่ายคาถาอะไรบางอย่างอยู่..

                    ..ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมองร่างสูงอวบ ที่พระองค์ทรงแบกขึ้นขี่หลัง พากลับมายังพระราชวัง ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ก็เหมือนจะยังไม่หายจากสภาวะช็อกขนาดหนัก กับสภาพแปลงร่างแบบแปลกๆ ของตัวเอง เจ้าตัวยังคงเอาแต่นั่งเอ่ยพูดพึมพำ ประโยคเดิมๆ ที่เจ้าตัวได้ตะโกนดังก้องวิหารแห่งทราย ไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย นอกเสียจากหางเป็นพวงของพระองค์ ที่อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมปล่อยมันออกจากมือ

                    ..นี่นางชอบหางของพระองค์ ขนาดนั้นเลยหรือ? เฮๆ แล้วนี่ถ้าหากพระองค์ ทรงเกิดเผลอตัวขึ้นมาเมื่อใด นางคงจะมิตัดหางของพระองค์ไปหรอก ใช่ไหม?..

                    ฟาโรห์หนุ่มทรงครุ่นคิดภายในพระทัยขึ้นมาอย่างนึกขำ ก่อนที่จะทรงลอบถอนพระทัยออกมาแผ่วเบา พลางเหลือบพระเนตรคมกริบหันไปมองทางชายหนุ่มร่างเล็ก ผู้เป็นทั้งสหายรัก และอาลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งขณะนี้ เจ้าตัวกำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ชนิดที่ว่าพระองค์ทรงนึกอยากกระโดดถีบเข้าให้สักหนึ่งที เป็นการตอบแทนเสียงหัวเราะอันชวนน่าหงุดหงิดนั้น..

                    “ฮ่าๆๆ สภาพนี้ของฝ่าบาท ช่างดูสุดๆ ไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”

                    “.........”

                    “เป็นภาพลักษณ์ที่ดูเหมาะกับพระองค์เกินคาด ฮ่าๆ แปะๆๆ..กระหม่อมก็เคยคิดอยู่นะว่า.. พระองค์ทรงคล้ายกับตัวอะไรสักอย่าง ที่แท้.. ก็เป็นหมาป่านี่เอง ฮ่าๆ น่าเสียดายนะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากเป็นแมวแล้วล่ะก็.. กระหม่อมก็คงจะเอาพระองค์กลับไปเลี้ยงที่บ้านแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”  

                    “.........” ฟาโรห์สเมนคาราทรงทอดพระเนตรมอง สหายรักของพระองค์ ซึ่งเอ่ยพูดกวนประสาทพระองค์ ด้วยการใช้คำราชาศัพท์ เหมือนกับทุกๆ ที ในยามที่ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง พลางตบมือแปะๆ ด้วยท่าทีชอบใจแบบสุดๆ แล้วก็ทรงนึกอยากจะเอามีดสั้น เสียบอีกฝ่ายสักสามสี่แผล ให้หายเคืองอารมณ์

                    แต่ทว่า.. ยังไม่ทันจะได้หยิบมีดสั้น เสียบอีกฝ่ายอย่างที่พระทัยนึกเอาไว้ ดวงเนตรคมกริบของฟาโรห์หนุ่ม ที่บังเอิญเหลือบก้มมองคนที่นั่งอยู่บนหน้าขาของพระองค์ ก็ทำให้ความคิดชั่วร้ายบางอย่าง ผุดพรายขึ้นมาภายในห้วงความคิดของฟาโรห์หนุ่มทันใด ดวงเนตรคู่คมกล้า ที่จับจ้องมองหญิงสาวร่างสูงอวบ ฉายแววมาดร้าย ขึ้นมาชั่ววูบหนึ่งด้วยความยินดีปรีดา ก่อนที่จะกลับมาเรียบนิ่งเหมือนดั่งเคย โดยที่ชายหนุ่มร่างเล็กผู้เป็นสหายรัก ไม่ทันจะมีโอกาสได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย “จริงสิ! คารูม.. เจ้าชอบทดลองดื่มชารสต่างๆ ใช่หรือไม่?”

                    “อืมม์..เอ๊ะ? อย่าบอกนะว่า.. ฝ่าบาททรงได้ใบชาแบบใหม่มานะพ่ะย่ะค่ะ!?” เพียงแค่ได้ยินคำว่า ชา เท่านั้น ชายหนุ่มร่างเล็กก็หยุดเสียงหัวเราะของตัวเองลงทันใด พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยท่าทีดีใจ อย่างไม่คิดที่จะปิดบัง โดยลืมที่จะนึกเอ๊ะใจ ถึงจุดประสงค์ร้ายของฟาโรห์หนุ่ม ผู้เป็นสหายรักของตนไปซะสนิท

                    “ใช่..เป็นชาจากบ้านเกิดของหมูน้อย ที่มีชื่อว่า..ชาโคล่า”

                    “ชาโคล่า?”

                    “เห็นว่าดื่มแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่น ขึ้นมาทันตาเห็นเลยล่ะ”

                    “จริงๆ หรือขอรับ? แม่หญิงรัน..” ทันทีที่ได้ฟังสรรพคุณที่ว่า คารูมก็ตั้งคำถามกับหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่กำลังนั่งคอตกเอ่ยพูดพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ทันที

                    ..ฝ่ายรัตมณีที่กำลังจิตตกแบบสุดๆ ไม่ได้สนใจที่จะฟังคำถามของชายหนุ่มร่างเล็ก แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งเสียงอืออาตอบคำถามของอีกฝ่าย กลับไปแบบขอไปที “เอ๊ะ? อืมม์..”

                    “โอ้..ข้าไม่เคยคิดเลยว่า จะมีชาเช่นนี้อยู่ด้วย คือว่า.. แม่หญิงรันขอรับ ถ้าหากจะมิเป็นการรบกวนท่าน จนเกินไปนัก ข้าอยากจะขอลองชิมชาโคล่าที่ว่าสักเล็กน้อย จะได้หรือไม่ขอรับ”

                    “ชิม? จะดีหรือ..?”

                    “.........?”

                    “ดีสิ! หมูน้อย.. ผสมชาโคล่าที่เจ้าทำให้ข้าดื่ม! ให้คารูมมันได้ชิมสักครั้งหนึ่งเถอะ ข้าปรารถนาอยากจะให้สหายรักของข้า ได้ลองชิมชารสเลิศเช่นนั้นด้วยเหมือนกันกับข้า”

                    “..........?” รัตมณีเอียงใบหน้ามองฟาโรห์หนุ่ม ซึ่งทรงตรัสรับสั่งกับเธอ ด้วยรอยยิ้มเย็นๆ ที่แฝงกลิ่นไอของความชั่วร้ายเอาไว้อย่างลึกล้ำ แล้วก็เผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อย่างนึกสงสัย ก่อนที่จะเหลือบสายตาสลับไปมองทางชายหนุ่มร่างเล็ก ซึ่งขณะนี้กำลังทำสีหน้าอ้อนวอนเธอแบบสุดๆ อย่างใช้ความคิดอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนหญิงสาวจะหยิบขวดแก้วน้ำสมุนไพรเวทมนตร์เจ้าปัญหา ออกมาเทหยดน้ำในขวดใส่ลงไปในถ้วยชา ที่ตั้งวางอยู่เบื้องหน้า พลางเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ “เอาน่า!ลองดูอีกทีแล้วกัน ที่ข้าเป็นแบบนี้.. มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาดแน่ๆ หมอนี้เอง ก็น่าจะเป็นเหมือนกัน”

                    “อา..นี่นะหรือ ชาโคล่า?” คารูมเอ่ยพูดพลางยื่นมือไปรับถ้วยชาจากหญิงสาว แต่ยังไม่ทันจะได้ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ชายหนุ่มก็กลับต้องชะงักถ้วยชาที่ถือเอาไว้ เมื่อได้ยินคำถามจากสหายรัก

                    “จะว่าไปแล้ว เมื่อวานนี้ ระหว่างทางกลับมายังวังหลวง เจ้าจับตัวอะไรได้อย่างงั้นหรือ? คารูม”

                    “เอ๊ะ? อ่อ..แมวป่านะพ่ะย่ะค่ะ อึกๆ..หือ? รสชาติชาก็ดูจะไม่ค่อยแตกต่างกับชาของอียิปต์ สักเท่าไหร่เลยนี่นา”

                    “อ๊ะ!นะ..นี่นะเหรอ แมวป่า?อืมม์ ข้าว่า.. ดูอย่างไงมันก็แมวผีชัดๆ”

                    “อืมม์ เห็นด้วยเลย! ปีศาจแมวชัดๆ เห็นอย่างนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่าตัวเองช่างโชคดีเป็นบ้า”

                    “.........?”

                    “ว่าแต่ว่าสเมนคารา ไอ้ตัวแบบนี้.. กินได้หรือเปล่า?”

                    “อา..กะแล้วว่า เจ้าจะต้องคิดกินมันเข้าไป แต่ข้าว่าเจ้าอย่าคิดกินมัน จะดีกว่านะหมูน้อย เพราะดูแล้วน่าจะเป็นหลายโรคเลยทีเดียว ที่แน่ๆ ก็คือ.. ถ้าหากกินเข้าไป มีหวังคงได้ขนร่วงตามเจ้านี้ อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าคงจะมิอยากขนร่วงหมดตัว หรอกใช่ไหม?”

                    “เออ..คือว่า ทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ อย่างงั้นหรือ? เอ๊ะ?..แล้วไหงพวกเจ้า ถึงต้องทำท่าผงะกันแบบนั้นด้วยล่ะ?” คารูมเอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ ในบทสนทนาแปลกๆ ของคนทั้งคู่ และพอหันไปมองบรรดาทหารองครักษ์คนสนิท ที่พากันทำสีหน้าหวาดผวาขึ้นมา ราวกับกำลังเห็นภูตผีปีศาจ ชายหนุ่มก็ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ด้วยความงุนงงสงสัย..

                    ทว่า.. ความสงสัยที่ว่า ก็เกิดขึ้นได้ไม่นานมากนัก เมื่อหญิงสาวหนึ่งเดียวที่อยู่ ณ.ที่แห่งนั้น ได้โยนกระจกมีด้ามถือมาให้กับเขา พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ใบหน้า เป็นการบอกใบ้ให้เขาเอากระจกดังกล่าว ส่องดูตัวเอง และทันทีที่ส่องกระจก ชายหนุ่มร่างเล็กก็แทบตาถล่นออกมานอกเบ้า เมื่อได้เห็นใบหน้าของตัวเอง ซึ่งบัดนี้แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ของความเป็นมนุษย์ ใบหน้าที่เคยหล่อคมเข้ม เวลานี้ได้กลายเป็นใบหน้าของแมวป่า ซ้ำร้ายมันยังมีแผลเป็นรอยบากเกือบนับสิบแผลด้วยกัน เท่านั้นยังไม่พอ มันยังมีรอยขนถูกถอนออกไปเป็นจุดๆ จนแทบไม่เหลือเส้นขนอยู่บนผิวหนังเหี่ยวๆ ซึ่งรูปลักษณ์ดังกล่าว มันเหมือนกับเจ้าแมวป่าที่เขาจับได้เมื่อวาน ไม่มีผิดเพี้ยนแต่ประการใด!.. 

                    “หึ! ข้าเชื่อแล้วล่ะ ว่าเจ้าชอบแมวจริงๆ คารูม”

                    “ฝ่าบาท นี่คงไม่ใช่ว่า.. กำลังเอาคืนเรื่องที่กระหม่อม หัวเราะใส่พระองค์หรอกนะพ่ะย่ะค่ะ..”

                    “ถ้าใช่! แล้วมีอะไร..?”

                    “ทรงทำตัวยังกับเด็กสองขวบเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

                    “เป็นเด็กแล้วผิดตรงไหน? คติของข้า ก็คือ.. ถ้าหากจะต้องโชคร้ายขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่ขอเป็นคนเดียวอย่างเด็ดขาด! เพราะแบบนั้นมันทำให้ข้าดูน่าสงสารเกินไป”

                    “ช่างเป็นคติที่ดำมืดได้ใจจริงๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ ไอ้ฝ่าบาทปีศาจ..” ท้ายประโยค คารูมแอบเอ่ยสบถด่าอีกฝ่ายเบาๆ แบบเนียนๆ ไม่ให้คนอื่นได้ยิน ทว่า.. คนที่โดนด่าเหมือนจะได้ยินอย่างชัดเจน แบบไม่มีตกหล่นไป แม้แต่คำเดียว!

                    “อา..ถ้าหากตัดหูอันแสนเกะกะนั้น ออกไปซะ! มันจะทำให้เจ้าดูดีขึ้นกว่านี้ หรือเปล่ากันนะ? เจ้าแมวเหมียวคารูมเอ๋ย..”

                    “อะ..เออ คือว่า.. กระหม่อมโคตรจะเกรงใจเลยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ดังนั้น ทรงได้โปรดปล่อยให้กระหม่อม มีรูปลักษณ์ที่แสนน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”..เพราะข้าคิดว่านั่นคงจะไม่ได้ทำให้น่ารักขึ้นมาหรอก แต่อาจทำให้ถึงตายเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ!.. ท้ายประโยคดังกล่าว คารูมได้แต่แอบกระซิบกับตัวเองภายในใจ อย่างนึกหวาดๆ กับสายตาอันเฉียบคมของเพื่อนรัก ที่จ้องมองมาที่หูแมวของเขา ด้วยแววตากระหายเลือด..

                    “งั้นเหรอ..ว่าแต่? คนที่ได้เห็นสภาพเช่นนี้ของข้า ทั้งที่ยังเป็นมนุษย์ มันช่างน่าฆ่าให้ตายจริงๆ”

                    “.....!!!!” เหล่าทหารองครักษ์คนสนิท ประจำพระวรกายขององค์ฟาโรห์ ที่ยืนอยู่ร่วมเกือบสิบคนด้วยกัน ณ.บริเวณนั้น พอได้ยินรับสั่งเช่นนั้นจากองค์ฟาโรห์หนุ่ม ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว ซึ่งกำลังคลี่รอยยิ้มอย่างเจือจาง แต่แฝงไว้ด้วยแววของความเหี้ยมเกรียม ก็ถึงกับมีอาการสะดุ้งโหยง พลางจ้องมองไปที่ชายหนุ่มร่างเล็ก ผู้เป็นหัวหน้าอาลักษณ์ประจำราชสำนัก ซึ่งเป็นผู้ชักนำความซวยที่ว่า มาให้กับพวกตนเอง

                    ..พวกข้าขอกระทืบท่านสักครั้ง จะได้หรือไม่ขอรับ? ท่านอาลักษณ์คารูม.. 

                    เหล่าทหารองครักษ์ทั้งหมด ต่างพากันคิดเหมือนๆ กัน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ในขณะที่จ้องมองไปที่ท่านอาลักษณ์หนุ่มแมวเหมียว ด้วยแววตาแฝงความคาดโทษเอาไว้อย่างชัดเจน ก่อนที่แต่ละคน จะต่างพากันลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอไปด้วยความรู้สึกหวาดผวาเล็กๆ เมื่อหันมาสบเข้ากับดวงเนตรคมกริบ ของคนเป็นนายเหนือหัว ซึ่งจ้องมองมาเหมือนกับว่ากำลังรอฟังคำตอบดีๆ จากพวกเขาอยู่ เหล่าทหารองครักษ์ทั้งหมดที่โดนแววพระเนตรกดดัน ก็เหมือนจะตัดสินใจได้แทบจะทันที ว่าตัวเองควรจะต้องทำเช่นใด

                     “อะ..เออ..พะ..พวกกระหม่อม ขอเป็นหมาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

                    “เฮ้ย!!แล้วทำไมถึงได้อยากเป็นหมา กันหมดยกฝูงเลยฟ่ะ! ทำไมถึงไม่มีใครอยากเป็นแมวสักคนเลย เป็นแมวมันไม่ดีตรงไหนกัน?”

                    “เออ..คือ..” ..ก็ตรงที่สภาพเหมือนกับซากแมวตายนั้น อย่างไงล่ะขอรับ!..

                    “แล้วเจ้าล่ะ? ฮัมเซียร์..”

                    “เอ๋!?..ดะ..ได้ ทรงได้โปรดละเว้นกระหม่อม เอาไว้สักคนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสเมนคารา กระหม่อมแก่แล้วหัวใจไม่ค่อยดีกับเรื่องตื่นเต้น เช่น..”

                    "เอาน่าๆ ท่านลุงฮัม.. เรื่องแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ เดี๋ยวข้าเลือกให้เอง ว่าจะเป็นตัวอะไร เอานกดีไหม? อ๊ะ! ว่าแต่เป็นนกบ้าอะไรดีหว่า..”

                    “นกบ้า?”

                    “อืมม์ๆ ก็นกมันมีหลายชนิดนี่นา จะเป็นเหยี่ยว หรือแร้ง อืมม์..หรือว่านกแก้วดีล่ะ? เฮ้อ! เลือกไม่ถูกเลยแหะ งั้นก็ช่างมันเถอะ จะเป็นนกบ้าอะไรก็ได้ แปลงๆ มาซะ!”

                    “ทะ..ท่านรัน! อึกๆ..”  โหรหลวงฮัมเซียร์ซึ่งนั่งอยู่ด้านฝั่งขวามือ ของฟาโรห์สเมนคารา ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงออกมา ก็กลับโดนรัตมณี ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนหน้าขาของฟาโรห์สเมนคารา อยู่ในขณะนี้ โน้มตัวหยิบถ้วยชาเบื้องหน้าของคารูม จับกรอกใส่ปากอย่างว่องไว แบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว!..

                    “อ๊ะ! นกบ้าจริงๆ ด้วย”

                    “อืมม์ๆ ตัวประหลาดชัดๆ”

                    “อา..นกเพี้ยนสินะ? ฮัมเซียร์.. นี่คงเป็นเพราะว่าเจ้า จ้องมองเจ้าคารูมมากไปสินะ? ขนถึงได้ร่วงเป็นหย่อมๆ เฉกเช่นนี้”

                    “.........?”

                    “เฮๆ ฝ่าบาท.. อย่าทรงรับสั่งเหมือนกับว่า กระหม่อมเป็นต้นตอของโรคขนร่วงสิพ่ะย่ะค่ะ อ๊ะ!ว่าแต่ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนอยากจะตระครุบท่านฮัมเซียร์ เอาไว้ในอุ้งมือ นี่มันอะไรกันหว่า?”

                    “เหวอออ! ท่านคารูมๆ ไม่ใช่เหมือนแล้วล่ะ แต่ท่านกำลังบีบตัวข้า อยู่ในอุ้งมือเลยล่ะ!!

                    “อ๊ะ!ต้องขออภัยด้วยขอรับท่านฮัมเซียร์ ข้าเผลอไปหน่อย ดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณของแมว ที่เห็นนกแล้วต้องจับมาเขมือบนะขอรับ ..ว่าแต่? ท่านฮัมเซียร์ในตอนนี้ ช่างดูน่ากินจริงๆ เลยขอรับ อา..ดูน่าเขมือบเข้าปากจริงๆ” คารูมเอ่ยพูดพลางจ้องมองท่านโหรหลวงฮัมเซียร์ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นนกตัวอ้วน มีสีสันหลากสี และขนร่วงเป็นหย่อมๆ ด้วยรอยยิ้มเย็นๆ พร้อมกับมุมปากก็แย้มเขี้ยวเล็กๆ ขาวผ่อง ที่มีน้ำลายเปื้อนอยู่ออกมา..

                    “.....!?!!”

                    “.........”

                   “เลิกเล่นได้แล้วคารูม เดี๋ยวฮัมเซียร์ก็หยุดหายใจไปเสียก่อนหรอก..”

                    “อา..กำลังสนุกอยู่เชียว แต่ก็ช่างเถอะ อ่อ!.. แต่ที่พูดเมื่อกี้นี้ ข้าไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก แต่ความรู้สึกวูบหนึ่งที่ผุดขึ้นมา มันเหมือนอยากจะกินท่านฮัมเซียร์เข้าไปจริงๆ”

                   “นั่นเพราะท่านคารูมเป็นแมว และข้าเป็นนกอย่างไงล่ะ ประเด็นสำคัญของเวทมนตร์ชนิดนี้ ไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก ว่าจะกลายเป็นสัตว์สมบูรณ์หรือไม่ เพราะรูปลักษณ์นั้น จะขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้น ผู้ต้องเวทมนตร์จะมีใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งนั้น เพียงใดเท่านั้นเอง แต่ภายในต่างหาก ที่จะถูกเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งสัญชาตญาณ พละกำลัง และวิธีคิด จะค่อยๆ ถูกสลับกับความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ ซึ่งหากปล่อยเอาไว้นานๆ เข้า ความเป็นมนุษย์ก็จะเลือนหายไปทั้งหมด จนไม่สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีก แม้ว่าตอนนั้นจะสามารถ กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ได้แล้วก็ตาม”

                    “แล้ว..?”

                     “เอ๊ะ?”

                     “.........”

                     “.........?”

                    “แล้วไหง..ถึงมีแต่ข้า! ที่กลายเป็นคนใส่ชุดตุ๊กตาหมีขาวกันล่ะเนี่ย!? ลำเอียงกันเห็นๆ อย่างน้อยๆ ขอแค่หูกับหางเหมือนกับเจ้าบ้าสเมนคาราก็ได้ แล้วไอ้ชุดนี้มันอะไรกัน? ทำไมถึงถอดไม่ออกเนี่ย!”

                    “.........” ฟาโรห์สเมนคาราเกือบจะทรงหลุดเสียงพระสรวลออกมา ทันทีที่ได้สดับฟังคำพูดโวยวายของคนร่างสูงอวบที่อยู่ในชุดประหลาดๆ คล้ายหมีก็ไม่เชิง แต่ดูๆ แล้วพอสวมเข้ากับอีกฝ่าย มันช่างทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักน่ากอด และชวนน่าให้หม่ำขึ้นมาตะหงิดๆ “มันก็ดูน่ารัก เหมาะกับเจ้าดีไม่ใช่หรือ? หมูน้อย”

                   “นั่นสิขอรับ ข้าว่าแม่หญิงรันสวมใส่แล้ว ช่างดูเหมาะมากเลยล่ะขอรับ”

                   “ข้าเองก็คิดว่าดูน่ารักดีนะขอรับท่านรัน ถึงแม้จะดูแปลกๆ ไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับของข้าแล้ว ก็คงถือว่าดีกว่าเป็นไหนๆ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง.. ถึงแม้รูปลักษณ์อาจจะดูแปลกๆ ไปบ้างก็ตาม แต่ตัวตนจริงของสิ่งที่เป็น ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกนะขอรับ..”

                    “อา..รู้น่าๆ แต่ข้าก็อยากเป็นหมีขาวนี่น่า! ถึงแบบนี้มันจะดูน่ารักน่าหยอกอยู่ก็เถอะ แต่อย่างไงข้าก็ยังอยากจะเป็นหมีเป็นๆ เฮ้อ!.. อุตส่าห์เลือกเป็นหมีขาวทรงพลัง ก็เพราะคิดว่าถ้าหากเป็นหมีแล้ว คงจะได้ใช้แรงของหมี ตะปบเจ้าบ้าสเมนคาราให้อยู่ภายใต้อุ้งเท้า ได้แบบจม..”

                    “หืมม์? ช่างเป็นหมีแสนน่ารักน่าชัง ที่ใจกล้าไม่เบา”

                    “.......!?” รัตมณีเหมือนจะรู้ตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ว่าตนเองกำลังถูกเพ่งเล็งจากฟาโรห์หนุ่ม แต่ทว่าก็ยังช้าไป เมื่อคนร่างสูงที่ทำตัวเองเป็นเก้าอี้ ให้เธอนั่งมานับร่วมชั่วโมง ล็อกตัวเธอเอาไว้ด้วยสองแขนแกร่งอย่างแน่นหนา พร้อมกับพระพักตร์หล่อคมชวนฝัน ก็ก้มลงมาขยับงับคมเขี้ยวเบาๆ บนผิวเนื้ออ่อน ตรงบริเวณลำคอของเธออย่างว่องไว ราวกับงูฉกก็ไม่ป่าน..

                   ..อ๊ะ! เจ้าบ้านี้เห็นเธอเป็นของหวาน หรือไง?..

                  หญิงสาวคิดในใจอย่างนึกเคืองขึ้นมา แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดจัดการ กับเจ้าหมาป่าโรคจิตตัวนี้อย่างไรดี สัมผัสอุ่นร้อนจากปลายลิ้นสากเปียกชื้นของฟาโรห์หนุ่ม ที่ตวัดเลียเข้าตรงที่รอยขบกัดบนลำคอ ก็ทำให้สติของรัตมณี ขาดผึ่งลงในทันใด ร่างสูงอวบที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง สะบัดอ้อมแขนแกร่งหลุดออกอย่างง่ายดาย พร้อมๆ กับเหวี่ยงหมัดขวาใส่อีกฝ่าย หมายกะจะเอาให้เดี้ยงคาที่!

                  แต่ทว่า.. เหมือนอีกฝ่ายพอจะรู้แกวอยู่แล้ว ว่าจะต้องเจออะไรแบบนี้ วรกายร่างสูงจึงเบี่ยงตัวหลบหมัดที่ว่าได้แบบฉิวเฉียด เป้าหมายหมัดแกร่งของหญิงสาว จึงเลยพลาดไปลงที่รูปปั้นหินของเทพเจ้าอานูบิส ซึ่งตั้งตะหง่านประดับอยู่ด้านหลังของฟาโรห์สเมนคารา แทน!.. 

                 ..ผลั่ก!..เปรี๊ยะ!..โครม!!!...

                   ภาพรูปปั้นหินของเทพเจ้าอานูบิส ที่ถูกหมัดเดียวของหญิงสาวสัมผัส แตกออกเป็นเสี่ยง พังลงมาแบบต่อหน้าต่อตา ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้น ต่างพากันมองแบบตาค้าง ด้วยความตกตะลึง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง เจ้าของหมัดอย่างรัตมณี ที่มองผลงานของตัวเอง ด้วยสายตาอึ้งๆ อย่างนึกคาดไม่ถึง กับแรงหมัดมหาศาล ที่ดูจะเกินพละกำลัง ที่เคยมีอยู่ของตัวเอง ไปหลายขุมเลยทีเดียว

                  “อะ..เออ คือว่า..รูปปั้นเทพเจ้าอานูบิสนั้น ถ้าหากจำไม่ผิด มันทำจากหินที่แข็งแรงมากๆ เลยใช่หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท..”

                  “อืมม์..แกะสลักมาจากหินก้อนใหญ่ ที่ใช้แรงคนห่าม ถึงยี่สิบคน”

                  “อา..น่าแปลกใจจัง ทั้งที่ตั้งใจออกแรงหมัด เพียงแค่จะให้เจ้าลงไปนอนจุกเฉยๆ เท่านั้นเองนะสเมนคารา เจ้ารูปปั้นหินนี้ ช่างเป็นหินที่เปราะบางจังเลยน่า แต่ก็เอาเถอะ!.. โชคดีหน่อยที่ข้าเคยมีงานอดิเรก เป็นการแกะสลักรูปปั้นหิน ฝีมืออาจจะไม่ได้สวยเลิศเลอมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการไถ่โทษสำหรับเรื่องรูปปั้นนี้ เดี๋ยวข้าจะแกะสลักให้ใหม่ก็แล้วกัน อา..หิวจังเลย ไปหาอะไรกินกันดีกว่าสเมนคารา โอ๊ะ! แต่เจ้าต้องเป็นคนเลี้ยงนะ เพราะว่าข้ายังไม่มีเงินจะเลี้ยงเจ้า”

                “อืมม์..”

                 “.........?” คารูมมองฟาโรห์สเมนคารา ผู้เป็นสหายรักของตน ที่เออออตามหญิงสาวร่างสูงอวบ พากันเดินออกไปจากศาลานั่งเล่น ทำราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แล้วก็เผลอขมวดคิ้วเข้าหากัน ด้วยความงุนงงสงสัย พลางเอียงใบหน้าหันมาเอ่ยพูดกับชายวัยกลางคนในร่างนกประหลาด ที่ใช้ไหล่ของตนเป็นที่ยึดเกาะชั่วคราว “ท่านฮัมเซียร์ นี่ข้าคิดไปเองหรือเปล่าขอรับ? คนที่ไม่เคยตามใจคนอื่น เช่น สเมนคารา เวลานี้กลับกำลังดูสนุกสนาน ที่ได้เอาใจคนอื่น”

               “หึหึๆ ก็แค่เฉพาะคนนะขอรับ”

               “เอ๊ะ..?”

               “ตลอดชั่วชีวิตของข้า คนที่ทำให้ฝ่าบาทสเมนคารา ทั้งรู้สึกหลงใหลอยากจะตามใจทุกอย่าง และรู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่เป็นไปตามที่คิดเลย เท่าที่ข้าเห็น.. ก็มีแค่ท่านรันคนเดียว เท่านั้นแหละขอรับ”

               “.........?” คำพูดของชายวัยกลางคน ทำให้คารูมเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อย่างนึกติดใจสงสัยในคำพูดดังกล่าว ที่ราวกับว่าชายวัยกลางคน กำลังจะสื่อบอกเขาว่า สหายรักของเขานั้น รู้จักกับหญิงสาวร่างสูงอวบ มาเนิ่นนานแล้ว ไม่ใช่แค่เพิ่งจะแค่มารู้จักกันเมื่อวาน! แต่ถึงแม้จะติดใจสงสัย ชายหนุ่มก็กลับเลือกที่จะปล่อยทิ้งความสงสัยดังกล่าวเอาไว้ก่อน พร้อมกับเอ่ยพูดถึงประเด็นสำคัญในขณะนี้ ขึ้นมาแทน “แล้วนี่พวกเรา จะต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไปอีกนานหรือไม่ขอรับ? ถึงข้าจะอยากอยู่ในร่างแมวแบบนี้ ไปตลอดก็เถอะนะ แต่มันคงไม่ดีแน่ ถ้าหากไม่รีบกลับคืนเป็นคน ก่อนวันพรุ่งนี้”

               “ใช่ขอรับ คงไม่ดีแน่..”

               “ขอรับ เพราะถ้าขืนยังอยู่ในสภาพเช่นนี้ เกรงว่าทูตจากซีเรีย ที่จะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ มีหวังคงได้ช็อกตาตั้ง หรือไม่ก็หยุดหายใจไปเลยก็เป็นได้”

                “เรื่องนั้นมันก็น่าเป็นห่วงอยู่ขอรับ แต่ที่ข้ากำลังเป็นห่วง และกังวลยิ่งกว่า คือ เรื่องเวลาต่างหาก”

               “เวลา?”

               “ผู้ที่ดื่มน้ำสมุนไพรเวทมนตร์เข้าไป หากผ่านพ้นคืนพระจันทร์เต็มดวงไปแล้ว จะไม่สามารถกลับคืนเป็นเหมือนเดิมได้อีก”

                “คืนพระจันทร์เต็มดวง? ดะ..เดี๋ยวนะขอรับ! ท่านฮัมเซียร์ ทะ..ท่านคงจะมิได้กำลังบอกว่า..”

                “ขอรับ ข้ากำลังจะบอกว่าคืนนี้ คือ คืนพระจันทร์เต็มดวงที่ว่าขอรับ”

                “.......!?”

                “หากไม่เร่งแก้ไขคำสาปภายในคืนนี้ พรุ่งนี้ก็คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจ กลายเป็นสัตว์อย่างถาวรขอรับ”

                “ละ..แล้ววิธีแก้?”

               “อาจจะมี หรือไม่มีขอรับ”

               “หมายความว่าไงล่ะนั้น?”

               “สระน้ำแห่งมหาเทพโอซิริส ที่ใช้ชำระคำสาป เวลานี้ได้แห้งเหือดไปแล้ว ดังนั้น.. หนทางแก้คำสาป จึงมีแต่จะต้องพึ่งพาเครื่องรางแห่งเทพเจ้าเท่านั้น และในแผ่นดินนี้ เครื่องรางแห่งเทพเจ้า ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และสามารถระบุชี้ชัดได้ว่าอยู่ที่ใด ก็มีเพียงแค่สร้อยพระศอทับทิมแห่งอาเตน เท่านั้น”

                “เอ๊ะ? แต่นั้นมันอยู่ในสุสาน..”

                “ขอรับ..”

                 “เออ..ข้าขอถามสักนิดหนึ่งนะขอรับ ท่านฮัมเซียร์ คือว่านะ.. ไอ้เจ้าบ้าจอมโหดนั้น มันรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าขอรับ?”

                “ถ้าหากหมายถึงฝ่าบาทสเมนคาราล่ะก็.. ขอรับ! ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นเมื่อครู่นี้พระองค์ถึงได้ทรงตรัสรับสั่งว่า.. ถ้าหากจะต้องโชคร้ายขึ้นมา ก็จะไม่ขอเป็นคนเดียวอย่างเด็ดขาด อย่างไงล่ะขอรับ”

                  “อา..ถ้าหากเชือดเจ้าหมางี่เง่า ทิ้งสักตัวเนี่ย! มันจะผิดบาปมากไปหรือเปล่าขอรับ? ท่านฮัมเซียร์” คำถามราบเรียบจากชายหนุ่ม ทำให้ฮัมเซียร์ได้แต่หัวเราะแห้งๆ พลางเบนสายตาไปมองยังเศษซากรูปปั้นหินของเทพเจ้าอานูบิส ในขณะที่ภายในใจของชายวัยกลางคน ก็นึกครุ่นคิดไปถึงหญิงสาวร่างสูงอวบ อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่ายหน้าไปมา เป็นการปฏิเสธความคิดบางอย่าง ที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของตนเอง..

 

                 ..เวลาล่วงเลยตกเข้าสู่ยามดึกสงัด ที่มีเพียงแค่เสียงลม และเสียงของสัตว์ที่ออกมาหากินในยามค่ำคืน ดังหวีดหวิวให้ได้ยินเป็นระยะๆ ณ.หุบผาแห่งราชันย์ ดินแดนต้องห้ามแห่งการหลับใหล ที่ไม่อนุญาตให้คนเป็น ได้ย่างกรายเข้ามาโดยเด็ดขาด บัดนี้.. กลับมีกลุ่มผู้บุกรุกจำนวนสิบสองชีวิต ที่ดูคล้ายกับแก๊งค์ตัวประหลาด มากกว่าจะเป็นกลุ่มโจรปล้นสุสานใจกล้า มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าทางเข้าสุสานแห่งหนึ่ง..

                    “เออ..แบบว่า หินตรงหน้าดูใหญ่จังเลยนะ ..ว่าแต่? ไอ้การที่มาหยุดยืนมองหินก้อนยักษ์นี้ อยู่นานสองนาน คงจะไม่ได้กำลังสื่อว่า มันคือประตูทางเข้าของสุสานหรอกใช่ไหม?” รัตมณีซึ่งยืนเงียบจ้องมองหินขนาดใหญ่ยักษ์ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่พากันเงียบปากสนิท หลังจากที่พากันมาถึงยังบริเวณสุสานแห่งนี้ อดที่จะเอ่ยพูดขึ้นมาเสียไม่ได้ และพอเห็นบรรดาทหารองครักษ์ ของฟาโรห์หนุ่ม ที่ขณะนี้กลายเป็นหมากันถ้วนหน้าไปแล้ว ต่างพากันพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับตน หญิงสาวก็ถึงกับเผลอลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา พลางหันมาเอ่ยพูดเปรยลอย กับฟาโรห์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ “เฮ้อ!..แบบนี้ต่อให้ซัดจนมือแหลกเป็ยผุยผง ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพังหรือเปล่า หินนี้ดูไปแล้วคงจะหนาเป็นตันเลยล่ะมั่งเนี่ย? อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้บ้าที่ไหนกัน? ที่ดันเอาหินแบบนี้ มาทำเป็นประตูสุสาน ช่างทำไปได้..”

                    “นั่นสิ! ไอ้บ้าที่ไหนกันนะ..”

                    “เออ..ประทานโทษนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่.. ไอ้บ้าที่ว่า! ดูเหมือนจะเป็นพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

                    “เอ๊ะ..ข้านะหรือ?”

                    “อย่ามาทำหน้าหมางงนะพ่ะย่ะค่ะ! ในตอนที่จะปิดสุสาน ฝ่าบาทเป็นคนที่รับสั่งเองว่า.. อยากจะให้อดีตองค์ฟาโรห์ ได้ทรงบรรทมหลับใหล ไปพร้อมกับเรื่องราวทุกอย่างตลอดกาล ไร้ซึ่งผู้รบกวน โดยเฉพาะการรบกวนจากพวกโจรปล้นสุสาน”

                    “อืมม์..ไอ้นั้นนะเคยพูดจริงๆ แต่จำไม่ยักได้เลยว่า เคยสั่งให้เอาหินใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ มาทำเป็นประตูปิดสุสาน เท่าที่จำได้ดูเหมือนข้าจะพูดแค่ว่า.. ไม่อนุญาตให้พวกโจรถ่อยเข้าไป ถ้าหากเข้าไปได้ คือ ต้องตายสถานเดียว! ทั้งโจรและคนสร้างสุสาน”

                   “ก็เพราะรับสั่งเช่นนั้น ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ พวกนายช่างถึงได้สนองต่อพระบัญชาของพระองค์ ด้วยเพราะความกลัวตาย โดยการยัดกับดักทุกชนิด เข้าไปในสุสาน รวมทั้งใช้หินก้อนใหญ่ยักษ์ปิดตายสุสาน เพื่อไม่ให้เจ้าโจรบ้าที่ผูกโยงชะตาชีวิตของตัวเองเข้าไปได้ แน่นอนว่า.. พวกเขาคงไม่ได้คิดเผื่อไปว่า จะมีสักวันหนึ่งที่องค์เหนือหัว ผู้แสนน่ากลัวของพวกเขา จะมากลายเป็นเจ้าโจรบ้าที่ว่า สักเอง!”

                    “.........”

                    “โอ๊ะ! จะว่าไปแล้ว.. ก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนี่แหละ! ช่างเป็นอะไรที่ดูแปลกตาสุดๆ อา..เรียกว่าชาตินี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีก เป็นครั้งที่สองแน่ๆ”

                   “เจ้าหมายถึงอะไรหรือ? หมูน้อย” ฟาโรห์สเมนคาราทรงรับสั่งถามขึ้นมา อย่างนึกสงสัยในคำพูดเปรยลอยดังกล่าวของหญิงสาว แต่ทว่าพอได้สดับฟังคำตอบที่มาพร้อมกับ เสียงหัวเราะแบบยกทีม ที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณหุบผาราชันย์ ฟาโรห์หนุ่มก็นึกอยากจะไล่แตะฝูงหมา กับหนึ่งแมว หนึ่งนก และจับหมีน้อยตัวดีแสนน่ารัก มาหยิกแก้มสักทีสองทีให้หายเคือง

                    “ก็คนที่ปล้นบ้านตัวเองไงล่ะ..ฮ่าๆ ไม่โง่ก็บ้าสุดโต่งแน่ๆ ข้าเพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ มีที่ไหนปล้นบ้านตัวเอง เขามีแต่ปล้นบ้านคนอื่น”

                    “หึหึๆ แม่หญิงรันขอรับ บนแผ่นดินนี้ คงจะไม่มีใครรวยไปกว่าฝ่าบาทอีกแล้วล่ะขอรับ การที่จะให้ไปปล้นคนที่ฐานะด้อยกว่า มันเป็นเรื่องที่เสียเกียรติของฝ่าบาทนะขอรับ”

                     “อ่อๆ เพราะว่ารวยจัด ก็เลยต้องปล้นตัวเองสินะ..หึหึๆ”

                    “ฮ่าๆๆ คงใช่ขอรับ..โอ๊ย! คารูมที่กำลังส่งเสียงหัวเราะเฮฮาตามหญิงสาวร่างสูงอวบ กลับต้องหลุดร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากถูกสหายรักของตน ใช้เท้ากระทืบเน้นๆ ไปที่เท้าของตน

                     “อา..โทษที พอดีข้าเห็นหมัดมันกระโดดออกมา จากเท้าของเจ้านะ คารูม..”

                     “......!!!!” คารูมมองคนพูดหน้าตาย แล้วก็เผลอสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของสหาย ที่สื่อเป็นนัยๆ ว่ารอบหน้าจะไม่ใช่แค่เท้าที่ถูกกระทืบ แต่คงจะมีบางส่วนของร่างกายเขา ที่อาจจะหลุดติดมืออีกฝ่ายไป ถ้าหากเขายังไม่ยอมหุบปากที่กำลังหัวเราะอยู่..

                    ..ไหงเขาถึงโดน แต่ผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างแม่หญิงรัน ถึงรอดตัวไปได้ล่ะเนี่ย! ลำเอียงกันชัดๆ เลยเจ้าบ้าสเมนคารา อา..นี่ถ้าหากข้าเกิดเป็นอิสตรี เจ้าจะใจดีกับข้าเช่นนี้ ด้วยหรือเปล่า? เฮ้อ!! คงไม่ชัวร์ๆ..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา