หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  11.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ท่านสัตว์เลี้ยงผู้สูงศักดิ์!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่6 ท่านสัตว์เลี้ยงผู้สูงศักดิ์!

 

               ‘..หล่อจัง..พี่ชายคือเทพจานหรือก๊ะ?..’

                ‘..เทพเจ้าต่างหาก! เจ้านี่มันลิ้นไกสั้นหรือไร? เด็กน้อย..’

                 ‘..คิคิๆ ลิ้นไกสั้นคือไรหรือก๊ะ? กินได้หรือเปล่าก๊ะ? เทพจาน..’

                ‘..เฮ้อ! นี่มันแกล้งกันชัดๆ อยู่มาเกือบจะแสนปี แต่คนที่หาข้าจนพบ ดันกลับเป็นเด็กน้อยตัวกระเปี๊ยก พูดจาก็ยังไม่ชัด อย่างเจ้าสักได้!..’

                ‘..เอ๋?..’

               ‘..เอา! รีบๆ กลับไปหาพ่อแม่ของเจ้าได้แล้ว เด็กน้อย.. ถ้าขืนยังอยู่ที่นี้อีกแค่วินาทีเดียว ข้าจะจับเจ้ากินซะเลย..’

               ‘..คิคิๆ ไม่กลัวหรอกก๊ะ เทพจานหล่อ และใจดีแบบนี้ ไม่มีทางจับหนูรันกินหรอก..’

               ‘..เฮ้อ! เจ้านี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่? ทำไมถึงไม่ยอมกลัวข้าเลยสักนิด..’

               ‘..กลัว? ทำไมต้องกลัวก๊ะ? เทพจานดูใจดีออกขนาดนี้ จริงสิๆ.. พี่ชายเป็นเทพจาน ถ้าอย่างงั้นก็ต้องให้พรได้ใช่ไหมก๊ะ?’

               ‘..หือ? เจ้าอยากจะขอพรงั้นหรือ? อยากขออะไรกันล่ะ? ขอให้พูดชัดๆ ดีไหมล่ะ? เจ้าจะได้เรียกข้าถูกสักที..’

               ‘..ขอให้เทพจานเป็นเพื่อนกับหนูรันก๊ะ..’

               ‘..นี่เจ้า..’

               ‘..หนูรันอยากเป็นเพื่อนกับพี่ชายเทพจานก๊ะ..’

                ‘.........’

                ‘..ว่าแต่ว่า ถ้ามนุษย์ขอพรกับเทพจาน แล้วท่านเทพล่ะก๊ะ ขอพรกับใคร?..’

               ‘..หึหึๆ ไม่มีใครจะมาฟังคำขอของเทพเจ้าหรอกนะเด็กน้อย โดยเฉพาะเทพเจ้าอย่างข้าแล้ว คงไม่มีใครคิดแม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำไป..’

               ‘..เอ๋!? แบบนั้นเทพจานก็น่าสงสารแย่เลยสิก๊ะ..’

                ‘..น่าสงสาร? ทำไมข้าถึงได้น่าสงสารกันล่ะ?..’

               ‘..ก็ถึงจะเป็นเทพจานที่ให้พรคนอื่น แต่ก็คงต้องมีเรื่อง ที่อยากสมหวังบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่หรือก๊ะ? แต่ว่ากลับไม่มีใครจะฟังคำขอเลย ก็ต้องน่าสงสารสิก๊ะ.. ’

                ‘.........’

               ‘..อ๊ะ! เอางี้ไหมล่ะก๊ะ? ถ้าไม่มีใครฟังคำขอของเทพจาน หนูรันจะเป็นคนฟังคำขอที่ว่าของเทพจานเองก๊ะ..’

               ‘..หึ! ตัวกระเปี๊ยกจ้ำม่ำเดินเตาะเตะ พูดจาก็ยังไม่ชัด อย่างเจ้าเนี่ยนะ! ที่จะมาฟังคำขอของข้าคนนี้ นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไง? เด็กน้อย..’

               ‘..ไม่ใช่นะก๊ะ! หนูรันพูดจริง ทำจริงเสมอก๊ะ..’

                ‘.........’

               ‘..เมื่อใดที่ท่านเทพเจ้า คิดคำขอที่ว่าออกแล้วล่ะก็ หนูรันจะมารับฟังคำขอที่ว่าอย่างแน่นอน ขอเกี้ยวก้อยให้สัญญา ในนามคนของตระกูลอังเคย์เคลเลยค่ะ..’

               ‘..เฮ นี่เจ้า! พูดชัดแล้วนี่น่า.. ว่าแต่ว่าตระกูลอังเคย์เคลนั้นมันอะไรกัน?..’

               ‘..หือ? ก็เป็นคนที่จะไม่ยอมผิดสัญญา ของตัวเองไงก๊ะ คุณพ่อบอกว่า.. หนูรันเป็นคนของตระกูลอังเคย์เคล จึงต้องรักษาคำสัญญาของตัวเอง เทียบเท่ากับชีวิตของตัวเอง ห้ามผิดสัญญาอย่างเด็ดขาด ดังนั้น หนูรันจะไม่ผิดสัญญากับเทพจานอย่างแน่นอน..’

               ‘..เฮ้อ! เจ้านี่น่า.. กลับมาพูดไม่ชัดเหมือนเดิมอีกแล้ว..’

               ‘.........?’

               ‘..ช่างเถอะ!.. ข้าจะลองเชื่อในคำพูดของเจ้าก็ได้ เด็กน้อยชาวมนุษย์ ผู้ไม่เกรงกลัวข้าผู้นี้..’

 

                เฮ! นี่เจ้าจะนอนอึดอยู่ในน้ำ ไปตลอดทั้งวันเลยหรือไงกัน..?” น้ำเสียงเข้มๆ ห้วนๆ เหมือนกับมะนาวไม่มีน้ำของใครบางคน ทำให้รัตมณีซึ่งเผลอหลับไป ในระหว่างที่กำลังนอนแช่น้ำเย็นสบาย อยู่ในสระบัวกว้างใหญ่ จำต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ทว่าสิ่งแรกที่เจ้าตัวอยากเห็น กลับไม่ใช่เจ้าของเสียงพูดดังกล่าว ที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร แต่กลับเป็นนิ้วก้อยข้างขวาของตัวเอง ซึ่งยังคงอยู่ในท่าเกี้ยวก้อยสัญญา เหมือนกับภาพที่เห็นในความฝันไม่มีผิดเพี้ยน

                “คำพูดนั้น ไม่ใช่แค่ฝันไปสินะ? จำได้ลางๆ ว่าสมัยเด็ก ตอนที่มาเที่ยวอียิปต์ เหมือนเราจะเคยพูดเอาไว้กับใครสักคนหนึ่ง แต่เอ๊ะ!?..ตอนเป็นเด็กเราเคยมาที่อียิปต์ ด้วยอย่างงั้น..อะ..โอ๊ย! ทำบ้าอะไรของเจ้ากันนะ!? เจ้าโรคจิต!!” รัตมณีหันมาว๊ากใส่ชายหนุ่มรูปหล่อตัวดี ที่เธอตั้งชื่อให้ซะดิบดีว่า เจ้าโรคจิต!ซึ่งดันใช้จังหวะทีเผลอ ตอนที่ตัวเธอกำลังมัวครุ่นคิดเรื่องที่เห็นในความฝัน หยิกแก้มทั้งสองข้างของเธอแบบเต็มเหนี่ยว

                “หือ..ตื่นแล้วหรอกหรือ? ข้านึกว่าเจ้าจะยังหลับอยู่สักอีก..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่ง ในขณะที่ทรงทอดพระเนตรมองคนที่หันมาทำตาเขียวใส่พระองค์ ด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน ต่ออารมณ์ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

                ..ฝ่ายรัตมณีมองหน้าคนพูดอย่างนึกเคือง แต่แล้วชั่วอึดใจต่อมา ความคิดบางอย่าง ก็วูบผ่านเข้ามาภายในห้วงความคิดของรัตมณี ทำให้หญิงสาวแกล้งส่ายหน้าไปมา ราวกับว่าตนกำลังรู้สึกเอือมระอาอีกฝ่ายเต็มที ก่อนที่จะหันหน้าไปพูดกับเจ้าจระเข้ตัวเขื่อง ที่ทำตัวเองเป็นหมอนให้กับตน ทว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปาก ล้วนแล้วแต่ไปกระแทกแดกดันคนที่กำลังนั่งย่องๆ อยู่ริมฝั่งแบบเต็มๆ..

                “เฮ้อ!แค่โรคจิตอย่างเดียวก็ว่าหนักหนาแล้ว นี่ยังดันมีอาการปัญญาอ่อน แทรกซ้อนแถมมาอีก ถึงจะหน้าหล่อชวนใจละลายก็เถอะนะ แต่แบบนี้มันชวนให้รู้สึกน่าสงสารจริงๆ เลย อ๊ะ!..อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ที่ข้าบอกว่าน่าสงสารนั้นนะหมายถึงรู้สึกสงสารคนแสนดี ปัญญาเลิศล้ำอย่างข้าต่างหาก! ที่ต้องมาเจอะเจอไอ้บ้าหน้าหล่อจอมโรคจิต..”

                “.........”

               “จะว่าไปแล้ว นอกจากไอ้บ้าหน้าหล่อกระชากใจสาวๆ อย่างหมอนี้แล้ว บนสวรรค์แห่งนี้ ไม่มีเทพเจ้าหน้าหล่อ ที่มีสติดีๆ คนอื่นอีกแล้วหรือไงกันนะ?”

               “นี่เจ้ายังคิดว่าตัวเอง กำลังเดินเล่นอยู่บนสวรรค์ อีกอย่างงั้นเหรอ?”

               “หมายความว่าไง?”

               “หึหึๆ ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้ลูกหมูสมองกลวง มาเป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเอง แบบนี้เอาไปย่างกินน่าจะดีกว่าหรือเปล่ากันนะ? เพราะขืนเลี้ยงดูต่อไป เห็นทีคงจะเปลืองอาหารแบบเสียเปล่าสักแล้ว หรือเจ้าคิดว่าไงล่ะ? หมูน้อย.. ระหว่างนำเอาไปย่างเป็นน้ำตก กับเฉือนแล่เป็นแผ่นบางๆ นำไปตากแดดทำเป็นหมูตากแห้ง อย่างไหนจะอร่อยกว่ากัน..?”

                “แหมๆ ก็ต้องย่างเป็นน้ำตกสิถึงจะอร่อย แต่ว่าถ้าอยากจะให้อร่อยมากกว่านี้ แล้วล่ะก็.. เห็นทีคงต้องเปลี่ยนจากเนื้ออวบๆขาวๆของข้า เป็นเนื้อของเจ้าโรคจิต ที่อยู่แถวนี้แทน!” รัตมณีเอ่ยพูด พลางหันมาส่งรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองทางเจ้าจระเข้ตัวเขื่อง พร้อมกับพิงศีรษะของตัวเองบนลำตัวของมันอีกครั้ง ในขณะที่เปลือกตาบางก็ปิดลง พร้อมๆ กับริมฝีปากอวบอิ่ม ก็ขยับเอื้อนเอ่ยคำพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีท่าทีจะทุกข์ร้อนใดๆ หรือว่าต้องการคำตอบอย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อย “..ว่าแต่ว่าถ้าที่นี้ไม่ใช่สวรรค์ แล้วมันคือที่ไหนกันล่ะ? ท่านเทพปากหมาจอมโรคจิตสุดขั้ว คงจะไม่บอกว่าเป็นนรกหรอกนะ เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ มีหวังมนุษย์คงได้แห่กันทำชั่ว เพื่อที่จะตกลงมายังนรกแห่งนี้เป็นแน่”

                “นามของข้าคือ สเมนคารา.. อย่าได้บังอาจเรียกขานข้าด้วยนามเพี้ยนๆ เช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เช่นนั้นข้าจะกรีดปากของเจ้า ให้กว้างมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม!”

                “สเมนคารา..?” รัตมณีเอ่ยพูดทวนชื่อของชายหนุ่มขึ้นมา อย่างไม่สนใจคำพูดข่มขู่ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ด้วยเพราะภายในห้วงความคิดของหญิงสาว ในขณะนี้ กำลังครุ่นคิดถึงชื่อที่ได้ยินจากอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เนื่องจากจิตใต้สำนึกของหญิงสาว รู้สึกมีความคุ้นเคยกับชื่อของอีกฝ่ายยิ่งนัก และเพียงแค่เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มของรัตมณี ก็ต้องเบิ่งโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ พร้อมทั้งรีบหันไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย ในขณะริมฝีปากก็ขยับเอ่ยพูดระรัวเร็วขึ้นมาในทันที “เฮๆ นี่อย่าบอกนะว่าเจ้า ก็คือ.. ฟาโรห์สเมนคารา! เจ้าฟาโรห์เสือไบผู้เลอเลิศเป็นนางงามจักรวาล ที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงได้ทั้งหญิง และชาย แต่กลับดันไม่เลือกที่จะรักใครหน้าไหนเลยแม้แต่คนเดียว แต่ดันวิปริตไปรักกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองนั้นนะ..!!!”

                ...ฉึก!..

                “โอ๊ย! เอามีดสั้นมาจิ้มแก้มข้า ทำซากอะไรกันเนี่ย!!”

               “ถูกต้อง! ข้าคือฟาโรห์สเมนคารา ผู้ปกครองจักรวรรดิอียิปต์ และนั่นคือโทษทัณฐ์ของเจ้า ที่บังอาจเรียกข้าด้วยนามเพี้ยนๆ..”

                “..........”

                “นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าจงเรียกข้าว่าสเมนคาราหากข้าได้ยินเจ้าเรียกขานข้าด้วยนามอื่นอีกล่ะก็.. ครั้งต่อไปจะไม่ใช่แค่แก้มนุ่มๆ ของเจ้า ที่ถูกจิ้มด้วยมีดสั้นเฉกเช่นครั้งนี้ แต่ข้าจะใช้มีดเล่มนี้ เชือดเฉือนเจ้าไปทั่วทั้งตัว!

                “หึ! นี่นึกว่าขู่กันแบบนั้นแล้ว ข้าจะหวาดกลัวเจ้า จนกระทั่งหัวหดเลยหรือไงกัน..?” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับปัดปลายมีดของอีกฝ่าย ออกจากแก้มขาวๆ ของตนเอง พร้อมทั้งยกหลังมือขึ้นปาดหยดเลือด ที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลเล็กๆ ที่ถูกฝากเอาไว้บนแก้มของตน ก่อนจะกำมือข้างเดิมเข้าหากัน พร้อมทั้งซัดหมัดตรงเข้าที่หน้าท้องซิกแพ็คของคนที่กำลังนั่งย่องๆ อยู่ริมสระน้ำ ชนิดสุดแรงเกิดแบบไม่มีการหยั่งมือ และแม้ว่าอีกฝ่ายจะหงายหลัง ลงไปนอนกับพื้นหญ้าด้วยแรงหมัดของเธอ แต่รัตมณีก็ไม่ยอมรามือจากอีกฝ่าย ยังคงเดินขึ้นมาจากสระน้ำ พร้อมกับกระโดดขึ้นนั่งคร่อมร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะลงมือระรัวกำปั้นของตัวเองใส่ใบหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายแบบจัดเต็ม ในขณะที่ริมฝีปากอวบอิ่มก็ขยับเอ่ยพูดขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงยิ่งนัก..

                “ผลั่กๆๆๆ แหมๆ ราคาแผลบนใบหน้าแสนสวย ของท่านหญิงรัตมณี อังเคย์เคลผู้นี้ ไม่ใช่ของราคาถูกๆ เลยนะเจ้าค่ะท่านฟาโรห์จอมโรคจิต เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถชดใช้ได้ด้วยเงินตรา หรือของจำพวกเศษแร่อย่างทองคำได้เลย แต่ทว่าต้องชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น!

                “.........”

                “หึหึๆ แต่ถ้าหากเจ้าจะไม่ยอมจ่ายด้วยชีวิต ก็ได้อยู่หรอกนะ เพราะความจริงแล้วการเอาชีวิตของคนอื่น เพียงเพราะเรื่องบาดแผลแค่นี้ ข้าเองก็คิดว่ามันดูจะเป็นการกระทำที่โหดร้ายไปสักหน่อย ซึ่งมันดูไม่เข้ากับอุปนิสัยของข้า ที่เป็นคนแสนจะใจดีมากๆ ดังนั้น.. เรื่องในครั้งนี้ ถ้าเจ้ายอมให้ข้าซัดใบหน้าหล่อๆ ของเจ้า จนบี้แบนเป็นกล้วยทับกลับรูปทรงเดิมไม่ได้แต่โดยดี..ผลั่กๆๆๆ ข้าก็จะยอมยกโทษให้สักครั้งก็แล้วกัน!”   

               “งั้นเหรอ? ช่างเป็นคนที่ใจดีจัง.. แต่น่าเสียดายที่เงื่อนไขนั้น มันยังไม่ค่อยถูกใจข้าสักเท่าไหร่”

               “ไม่ถูกใจ?”

               “ใช่.. เอาเป็นว่าข้าขอต่อรองจ่ายเป็นอย่างอื่นแทน จะได้หรือเปล่าล่ะ? แม่คนใจดีจอมโหด!..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งขึ้นมา ทว่าไม่ได้หมายจะเอาคำตอบจากอีกฝ่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่ทรงตรัสรับสั่งออกไป เพราะตั้งพระทัยจะทำให้เจ้าสัตว์เลี้ยงจอมโหดของพระองค์ เปิดช่องโหว่ และเพียงอีกฝ่ายเผลอหยุดชะงักฟังคำตรัสรับสั่งของพระองค์ วรองค์ร่างสูงบึกบื่นก็ฉวยโอกาสจังหวะนั้น ดึงร่างอวบๆ ที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนพระวรกาย โน้มเข้าหาแนบกายอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งฉกริมฝีปากอวบอิ่มทันที และพอร่างอวบๆ ในอ้อมพระพาหาพยายามดิ้นรนขัดขืน ริมฝีพระโอษฐ์ของฟาโรห์สเมนคารา ก็ยิ่งกดแนบกับริมฝีปากอวบอิ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราวกับตั้งพระทัยจะใช้จุมพิตนั้นลงโทษอีกฝ่าย แต่แล้วไม่ช้านานจุมพิตรุนแรงแสนหยาบกระด้าง ก็กลับต้องแปรเปลี่ยนกลายเป็นจุมพิตแสนอ่อนโยน ขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อฟาโรห์สเมนคาราทรงสัมผัสได้ถึงท่าทีต่อต้าน ที่ดูไม่ประสีประสาของคนร่างอวบ แต่ทว่าช่วงจังหวะที่ฟาโรห์สเมนคาราทรงผ่อนแรงอ้อมพระพาหาออกจากร่างอวบๆ และทรงคลายจุมพิตให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ คนร่างอวบที่หลับตาพริ้มทำท่าเคลิ้มๆ ดูอ่อนปวกเปียกเป็นวุ้น เพราะจุมพิตแสนร้ายกาจของพระองค์ ก็กลับลืมตาขึ้นจ้องเขม็ง พร้อมทั้งเอาศีรษะของตัวเองโหม่งใส่พระเศียรของพระองค์เต็มเหนี่ยวทันที!

               ..โป๊ก!!!..

               “โอ๊ย!”

               “โอ๊ย!”

               ..เสียงร้องที่ดังขึ้นมาแทบจะพร้อมเพียงกัน จากคนทั้งสอง ที่ลงไปดิ้นพล่านอยู่บนพื้นหญ้า ด้วยความเจ็บระบมนั้น ทำให้คนที่เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ อย่างเงียบๆ อย่างชายร่างเล็กเจ้าของนามคารูม ถึงกับส่ายหน้าไปมา ในขณะที่เอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ..

               “คนหนึ่งก็เป็นไอ้บ้าสุดโหดซาดิสต์ จอมเอาแต่ใจ ส่วนอีกคน ทั้งที่หน้าตาก็สวยน่ารักแท้ๆ แต่กลับดันดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ร้ายด้วยกันเสียอีก เฮ้อ! พอเห็นแบบนี้แล้ว.. ก็ชักรู้สึกนึกอยากจะลาพักร้อน กลับไปบ้านนอกขึ้นมาสักแล้วสิ! ไม่อยากจะอยู่ห้ามทัพเจ้าสองบ้านี้เลย ให้ตายเถอะ!

               “เออ..ต้องขออภัยด้วยขอรับ ท่านคารูม ที่ข้าเข้ามารบกวนเวลาส่วนตัวของท่าน คือว่า.. มีข่าวด่วนจากทางวังหลวงส่งมาขอรับ”

               “........” คารูมหันหน้ามามองชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ ที่ผงกศีรษะให้กับตน เป็นการทำความเคารพ ซึ่งเป็นหนึ่งในทหารราชองครักษ์คนสนิท ของฟาโรห์สเมนคารา ผู้เป็นสหายรักของตน อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพเหมือนเคย “แล้วเป็นข่าวดี หรือว่าข่าวร้ายกันล่ะขอรับ? ท่านยานิส..

               “เกรงว่าเป็นข่าวไม่ค่อยสู้ดีขอรับ”

               “หืมม์? ไม่สู้ดีที่ว่า.. อยู่ในระดับที่ทำให้ใครบางคนที่อยู่แถวนี้ เดือดดาลจนต้องสั่งเผาวังทิ้งทั้งหลังเลย หรือเปล่า? หรือว่าอยู่ในระดับเดือดดาลสุดเหวี่ยง จนต้องหาใครสักคนมาละเลงเลือด เพื่อดับอารมณ์กัน?”

               “อาจจะเลวร้าย ยิ่งกว่าที่ท่านคารูมพูดมาก็ได้นะขอรับ”

               “........?”

               “ท่านไอย่า.. พระนมของฝ่าบาทเสียชีวิตแล้วขอรับ”

               “ว่าอย่างไงนะขอรับ..!!?”

               “.........”

               “เป็นไปได้อย่างไรกันขอรับ? ก่อนออกจากวังนางก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลยนี่น่า..”

               “จากการตรวจสอบเบื้องต้นของหมอหลวง พบว่าในอาหารที่ท่านไอย่ากินเข้าไปตอนช่วงเช้า มีพิษงูเห่าชนิดเจือจางผสมเจือป่นอยู่ และเพราะเป็นพิษแบบเจือจาง ทำให้กว่าจะรู้ตัว ก็สายไป..”

               “รู้ตัวผู้กระทำแล้ว หรือยังขอรับ?”

               “ยังเลยขอรับท่านคารูม ขณะนี้พระอนุชาตุตันคาเมน มีรับสั่งให้ควบคุมตัวพวกนางกำนัลทั้งหมดที่อยู่วังหลัง รวมถึงพ่อครัวหลวงที่มีหน้าที่ปรุงอาหาร และเหล่าทหารรักษาการณ์ทั้งหมด มาสอบปากคำเพื่อหาตัวคนร้าย”

               “หืมม์? ดูจากสีหน้าของท่านยานิสแล้ว เหมือนจะมีเรื่องมากกว่านั้นอีกสินะขอรับ”

               “เฮ้อ! คือว่า.. จากคำบอกเล่าของทหารส่งข่าว ข้าได้ความมาว่า จากการซักถามตามรับสั่งของพระอนุชาตุตันคาเมน อาหารมื้อเช้าที่มีพิษดังกล่าว ผู้ที่เป็นคนสั่งให้นางกำนัลนำไปมอบให้แก่ท่านไอย่า ก็คือ.. พระสนมเอกเมอรีอาเตน!”

               “.......!!?”

               “แต่ว่าพระสนมเอก ทรงเสด็จออกไปบรวงสรวงเทพีไอซิส ตั้งแต่เมื่อวันวาน เพิ่งจะทรงเสด็จกลับเข้าวังไป เมื่อตอนเช้าสายๆ จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าพระนางมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ส่วนนางกำนัล ผู้ที่นำอาหารไปให้กับท่านไอย่า ตอนนี้นางก็กลับกลายเป็นศพ ลอยคออยู่ในแม่น้ำไนล์ไปแล้วขอรับ”

               “เรื่องนี้ฟังดูแปลกๆ อยู่นะขอรับ”

               “เอ๊ะ?”

               “เหตุผลในการลอบวางยาพิษท่านไอย่า คืออะไรกันล่ะขอรับ?”

               “เรื่องนั้น..”

               “ท่านไอย่าเป็นคนรักสงบ ไม่ค่อยจะสนทนากับใครอื่น ผู้ที่นางสนทนาด้วย ก็มีเพียงแค่ฝ่าบาท พระอนุชาตุตันคาเมน เจ้าหญิงไซน่า พระสนมเอกเมอรีอาเตน และก็ข้าเท่านั้น แล้ววันๆ นางก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย ใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่ในเขตรั้วพระตำหนักวังหลังเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่าท่านไอย่า ไม่มีศัตรูที่จะคิดมุ่งหมายเอาชีวิตของนางเลย แม้แต่คนเดียว”

               “ท่านคารูมกำลังคิดว่า การลอบวางยาพิษท่านไอย่าในครั้งนี้ อาจจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มากกว่าที่เห็นอีก อย่างนั้นหรือขอรับ?”

               “ก็น่าคิดอยู่ ไม่ใช่หรือขอรับ? ท่านยานิส..”

                “.........”

               “ถึงแม้ว่าท่านไอย่าจะเป็นพระนมของฝ่าบาท ที่ฝ่าบาททรงให้ความสนิทสนมด้วยพอสมควร แต่อย่างไรนางก็ไม่ใช่เป้าหมายในการถูกลอบฆ่า เพื่อหวังผลประโยชน์อย่างแน่นอน! เพราะการตายของนาง แทบจะไม่มีผลกระทบอะไรเลย นอกจากทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วพิโรธขึ้นมา..”

               “เออ..ข้าว่าเพียงแค่เรื่องนั้น ก็เป็นเรื่องใหญ่แล้วล่ะขอรับท่านคารูม”

               “.........”

               “รู้ๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือขอรับ? ว่าองค์ฟาโรห์ของพวกเรา ยามที่ทรงเคืองโกรธ พระองค์ทรงบ้าคลั่ง น่ากลัวยิ่งกว่าพายุทรายเสียอีก หากพื้นที่ทรงประทับยืนอยู่ ไม่เจิ่งนองไปด้วยเลือดแดงฉานแล้วล่ะก็ พระอารมณ์ของพระองค์ ก็ไม่มีวันที่จะกลับมาสงบเรียบนิ่ง ได้ดุจเดิมหรอกนะขอรับ”

               “นั่นสินะ..”

               “..........”

               “แต่ถ้าหากเรื่องในครั้งนี้ จบลงแค่ตรงจุดนั้น ก็อาจจะยังถือได้ว่า.. มีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้างล่ะนะ”

               “หมายความว่าไงหรือขอรับ?”

               “ก็แค่ลางสังหรณ์นะขอรับ แต่คิดว่าลางสังหรณ์ของข้า คงไม่ผิด..

                “........?”

                “เฮ้อ! เห็นทีงานนี้ คงได้มีคนคอขาดกันยกโขยงอีกเป็นแน่แท้ แต่ก็เอาเถอะ.. ก่อนจะต้องไปเก็บศพคนพวกนั้น ข้าก็คงต้องเป็นหน้าด่านรองรับอารมณ์ของคนทางนี้ ก่อนเจ้าพวกที่อยู่วังหลวงสิ..”

               “เฮ้ย!!!นี่เจ้าเป็นแผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? คงจะไม่บอกว่าเป็นฝีมือของข้าหรอกนะ..”

               “.........?” คารูมยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคความของตน ก็กลับต้องหยุดชะงักคำพูดดังกล่าวเอาไว้ พร้อมทั้งหันไปให้ความสนใจหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่กำลังส่งเสียงโวยวายดังลั่นขึ้นมา อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งรุดเข้าไปหาหญิงสาว ซึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ มองดูบริเวณหน้าท้องของสหายรักของตนทันทีด้วยท่าทีตกใจ แกมงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งสอง

               ทว่า.. พอไปถึงยังสถานที่จุดเกิดเหตุ ทั้งคารูม และองครักษ์หนุ่มยานิส ที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ ทั้งคู่ต่างพากันพร้อมใจหน้าซีดสลดขึ้นมาทันควัน และคารูมที่ดูจะมีสติครบถ้วน มากกว่ายานิสที่เริ่มจะแข็งเป็นหินไปแล้วด้วยความหวาดกลัว ก็เป็นคนที่เข้าไปฉุดร่างอวบๆ ของหญิงสาว ให้ถอยห่างออกมาจากฟาโรห์สเมนคารา ผู้เป็นสหายรักของตน ที่กำลังตีสีหน้าเคร่งเครียด ราวกับอยากจะฆ่าใครสักคนที่อยู่แถวนี้ แต่คนที่ถูกฉุดให้ถอยห่างออกมา อย่างรัตมณี กลับยังคงตีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ กับใครเขา พร้อมทั้งสะบัดข้อมือของตนเองออกจากมือแกร่งของชายร่างเล็ก และเดินเข้าไปหาร่างสูงของฟาโรห์สเมนคารา ซึ่งลุกขึ้นยืนจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาเขม็งแฝงความดุดัน

               “หมัดของข้า ไม่น่าจะทำให้เจ้าเป็นแผลได้เลย อ้าว..เอ๊ะ!? พอดูดีๆ ไม่มีแผลนี่น่า.. แล้วเลือดนี่มันอะไรนะ?” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาอย่างงุนงง เมื่อลองยื่นมือไปเช็ดเลือดตรงบริเวณหน้าท้องของอีกฝ่าย กลับพบว่าบริเวณหน้าท้อง ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของอีกฝ่ายนั้น ไร้ซึ่งร่องรอยบาดแผลใดๆ

               “ก็เลือดจากครรภ์ของเจ้า ไม่ใช่หรือไง?”

               “เอ๋..เลือดจากครรภ์?” รัตมณีทวนประโยคคำพูดของฟาโรห์สเมนคารา อย่างรู้สึกงุนงงอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะก้มมองตามสายตาของอีกฝ่าย ซึ่งจ้องมองมาที่ช่วงล่างของเธอ ซึ่งบัดนี้ที่น่องขาอวบๆ ของเธอ มีเลือดสีแดงกำลังไหลรินเป็นสาย และนั่นก็ทำให้รัตมณีเข้าใจขึ้นมาได้ทันที ว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร “อ่อๆ..ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงจะหมายถึงเลือดประจำเดือนสินะ? โทษทีๆ ที่ทำให้เจ้าต้องเปรอะเปื้อนเลือดประจำเดือนของข้า..” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมทั้งถอดเสื้อกล้ามของตัวเองออกมา แต่เสื้อยังไม่ทันจะได้พ้นเรือนร่าง หญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักมือที่กำลังจะถอดเสื้อ เนื่องจากเสียงตวาดของอีกฝ่าย

               “ทำอะไรของเจ้ากันนะ..!?”

               “เอ๊ะ?ก็จะถอดเสื้อเสร็จเลือดให้กับเจ้าไง พวกผู้ชายอย่างเจ้าถือเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่หรือไงกัน..? ที่ว่าโดนเลือดสกปรกของผู้หญิงแล้ว จะพาลซวยโชคร้ายอะไรแบบนั้นนะ..” รัตมณีเอ่ยพูดอธิบายจบ ก็ถอดเสื้อกล้ามที่ถอดค้างเอาไว้ นำมาเช็ดคราบเลือดบนลำตัวของอีกฝ่ายทันที โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนเป็นหุ่น ให้ตัวเองเช็ดคราบเลือดให้อยู่นั้น จะกำลังส่งสายตาเหี้ยมโหด ไปให้กับบรรดาบุคคลที่กำลังยืนอยู่รอบข้าง ซึ่งบัดนี้ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงคำสั่งแบบไม่มีเสียง ของชายผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งแผ่นดิน และพร้อมใจหันไปมองทางอื่นกันทุกคน แต่แม้จะหันไปมองทางอื่น ทว่ารูหูของผู้คนเหล่านั้น ก็ยังคงแอบฟังการสนทนาดังกล่าว ที่ไม่รู้ว่าจะยืดยาวไปได้อีกสักเพียงใด ก่อนที่หญิงสาวร่างสูงอวบแปลกหน้า ผู้บ้าบิ่นรายนี้ ซึ่งหาญกล้าทำให้ฟาโรห์สเมนคาราผู้เพียบพร้อม และดุดันเยี่ยงเทพเจ้าสงคราม เปอะเปื้อนไปด้วยเลือดสกปรกจากครรภ์ของนาง ต้องกลายเป็นศพหาหัวไม่เจอ!

               “ทำไมเจ้าถึงได้คิดว่ามันเป็นเลือดสกปรก”

               “เอ๊ะ?”

               “เลือดนี้จะเป็นอาหารหล่อเลี้ยงหนึ่งชีวิต ที่จะถือกำเนิดในครรภ์ของเจ้า ในอนาคตภายภาคหน้า แล้วมันจะเป็นเลือดสกปรกไปได้อย่างไรกัน? หมูน้อย..”

               “.........” คำตรัสรับสั่งของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้รัตมณีถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ด้วยหญิงสาวไม่คาดคิดว่า ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าที่ดูจะมีนิสัยดุดัน และแสนเอาแต่ใจ แกมโรคจิตเล็กๆ จะมีมุมอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึงแบบนี้อยู่ด้วย และความอ่อนโยนของอีกฝ่ายนั้น ก็เหมือนจะไปสะกิดให้รัตมณีเผลอนึกถึงใครบางคนขึ้นมา ใครบางคนที่เหมือนเธอจะเคยเจออยู่บ่อยๆ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นใครกัน

               ..รัตมณีนิ่งเงียบ ยืนมองอีกฝ่ายอยู่นานพอสมควร ก่อนจะเลิกคิ้วเรียวข้างขวาขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อห้วงความคิดเผลอนึกทวนคำพูดของอีกฝ่าย พร้อมทั้งริมฝีปากอวบอิ่มเอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะมือที่เกาะกุมเสื้อกล้ามไว้ ซึ่งหยุดชะงักไป ก็เริ่มขยับเช็ดคราบเลือดให้กับอีกฝ่ายต่ออีกครั้ง “นี่เจ้ารู้ฉายาของข้า ด้วยหรือเนี่ย? เอ๊ะ..แต่ข้าจำไม่ยักได้เลยนะว่า ตัวเองเผลอไปบอกชื่อฉายาแบบนั้น กับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

               “ฉายา?”

               “ก็หมูน้อยไง..”

                “........?”

                “เฮ้อ..จะรู้ได้อย่างไงก็ช่างมันเถอะ”

                “........?”

               “สเมนคารา รู้หรือเปล่า?..”

                “.........”

               “ตั้งแต่เจอหน้ากัน ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นไอ้โรคจิต ที่มีดีเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น”

               “เหรอ..แล้วตอนนี้ล่ะ?”

               “ก็ยังคิดเหมือนเดิมอยู่ หรืออาจจะหนักกว่าเก่าล่ะมั่ง..”

               “ฟังแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย”

               “หึหึๆ นั่นสินะ..”

                “.........”

               “เพียงแต่ว่าตอนนี้ ข้านะเริ่มจะรู้สึกว่าการคบหากับเจ้า บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ดีเกินคาดก็ได้”

               “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

               “อืมม์ ไม่รู้สินะ..” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็นิ่งเงียบไป ในขณะสายตาคมกริบ ก็หรี่มองไปที่มือของตน ที่กำลังใช้เสื้อกล้ามเช็ดคราบเลือดบนตัวของอีกฝ่าย อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเอื้อนเอ่ยคำพูดต่อ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงความจริงจังเอาไว้ “สเมนคารา ข้าได้บอกเจ้าไปแล้วใช่ไหม ว่าข้าได้ขอพรจากเทพเซท”

               “ใช่..”

               “พรที่ข้าได้ร้องขอไป ก็คือ.. ขอให้ได้พบคนรักหล่อๆ หน้าตาดีเหมือนกับเทพเซท หึหึๆ..จะว่าไปข้าลืมระบุเรื่องนิสัยไปซะสนิท ก็เลยกลายเป็นว่า ต้องมาพบเจอกับจอมมารหน้าตาดีซะงั้น!”

               “อยากจะพูดอะไรกันแน่?”

                “..........”

                “..........”

               “ข้าก็แค่จะบอกว่า.. ความจริงแล้วพรที่ข้าได้ขอกับเทพเซทเอาไว้ คือ การได้พบกับคนที่รักข้า แม้ว่าข้าจะตายไปแล้ว ก็ยังคงรักข้าอยู่ แต่ข้าไม่ได้สนใจถึงเรื่องรูปลักษณ์ หรือนิสัยของใครคนนั้นเลยแม้แต่น้อย และพอได้มาเจอกับเจ้า ข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า คนรักที่ข้าขอพบหน้า บางทีอาจจะเป็นเจ้าก็ได้..”

               “.........”

               “หึ! แต่บางที อาจจะไม่ใช่เจ้าก็ได้ล่ะนะ เพราะเรื่องแบบนี้ใครมันจะไปรู้ได้ล่ะ จริงไหม?”

               “ถ้าอย่างงั้น เจ้าก็ตกหลุมรักข้าสักสิ!”

               “..........”

               “..........”

               “ตกหลุมรักหลังตายงั้นหรือ? หึหึๆ ฟังดูไม่เลวเลยนะนั้น แต่ถ้าคนรักเป็นเจ้า ก็คงจะเป็นเรื่องที่ชวนให้อยากเสี่ยงลองดูสักครั้งจริงๆ..” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นมือข้างที่ว่างอยู่ ออกไปจับมือของอีกฝ่าย เพื่อเป็นการทักทายอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งริมฝีปากอวบอิ่ม ก็ขยับเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ แฝงความเป็นมิตรอยู่นัยที “ยินดีที่ได้รู้จักนะสเมนคารา ข้ามีนามว่า..รัตมณี อังเคย์เคล หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า..รัน ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าอยากเรียกข้าด้วยฉายาหมูน้อย ข้าก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด”

               “.........”

               “แล้วก็ต้องขอโทษอีกครั้ง ที่ทำให้เจ้าต้องเปรอะเปื้อนเลือดของข้า เป็นเพราะช่วงนี้ ข้ารู้สึกเครียดมาก เลยพลอยทำให้ประจำเดือนมาไม่ค่อยตรงเวลา เฮ้อ!..แต่ว่ามาตอนไหนไม่มา ดันมาเอาตอนนี้ก็ทำเอาแย่เลยล่ะนะ คงต้องรีบหาผ้าอนามัยแล้ว เพราะประจำเดือนของข้ายิ่งมามากซะ..เอ๊ะ!? เดี๋ยวนะ!..ข้าตายไปแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?..”

               “.........”

               “แล้วคนตาย มันจะมีประจำเดือนได้ไงกันนะ?!

               “เฮๆ นี่เจ้าสำนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ด้วยเรื่องเลือดจากครรภ์งั้นหรือ?” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่งขึ้นมา อย่างทรงรู้สึกเหลืออดกับคนตรงหน้าพระองค์ ที่ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใด มานิยามให้กับความบ้าระห่ำ ที่ไร้จิตสำนึกในความเป็นอิสตรีของเจ้าหล่อนดี

               “แหมๆ ก็เล่นตกลงไปในสภาพแบบนั้น ใครจะไปนึกกันล่ะว่ายังรอดมาได้ ซ้ำยังรอดมาในสภาพที่ไร้รอยขีดข่วนอีกต่างหาก..”

               “..........”

               “แล้วแถมที่นี้ ก็ดูสวยราวกับสวรรค์เลย อ๊ะ! ที่จริงข้าก็ไม่เคยเห็นสวรรค์นี่น่า อืมม์..แต่สวรรค์ของจริง ก็คงจะสวยแบบนี้ล่ะมั่งนะ? ฮ่าๆ อ้าว..เอ๊ะ!? สเมนคารา.. แล้วนั่นเจ้ากำลังทำอะไรนะ?” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยถามขึ้นมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นมือมาปลดตะขอกางเกงของเธอ อย่างหน้าตาเฉย

               “สวมใส่ผ้าเปียกอยู่เช่นนั้น จะทำให้เจ้ายิ่งปวดครรภ์ มิใช่หรือไร..” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่ง พร้อมทั้งทรงยื่นพระหัตถ์ไปปลดตะขอเสื้อผ้าแปลกๆ บนตัวของหญิงสาว พร้อมกับทรงสะบัดพระภูษาที่ใช้พันรอบบั้นเอวของพระองค์ นำมาพันรอบร่างอวบๆ เอาไว้แทน ทว่าลักษณะการพันผ้าขององค์ฟาโรห์หนุ่ม กลับเหมือนกับว่ากำลังจับดักแด้ตัวใหญ่ยักษ์ เอาไว้ในรังไหมไม่มีผิดเพี้ยน! ส่งผลทำให้คนที่กำลังยืนงุนงง ให้พันผ้าเป็นตัวไหม อย่างรัตมณี ถึงกับโวยวายเสียงดังลั่นขึ้นมา..

               “เฮ! ข้ายังไม่ตายสักหน่อย.. ถึงจะได้จับพันผ้าทำเป็นมัมมี่นะ ไอ้ฟาโรห์โรคจิต!”

               “.........”

              “สเมนคารา ได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่าเนี่ย..”

               “.........”

               “เฮ้ย! อย่ามาแกล้งทำหูทวนลมนะ แก้ไอ้ผ้าบ้าผืนนี้ ให้ข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ..!”

               “หืมม์..แก้ผ้างั้นหรือ? เจ้าเนี่ยช่างเป็นอิสตรีที่ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ เลยนะ แต่ว่าช่วยใจเย็นๆ ลงหน่อยเถิด เพราะข้ามิอยากรังแก ร่วมรักกับเจ้าในเพลานี้ ให้เจ้าเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมหรอก ถึงแม้ว่านั้น จะเป็นเรื่องที่น่าลิ้มลองอยู่ก็เถอะนะ”

               ..งับ!..

               “โอ๊ย!!!”

               เสียงร้องลั่นของฟาโรห์สเมนคารา ทำให้คารูมจำต้องหันกลับมามองอย่างเสียไม่ได้ และภาพหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่ถูกพันธนาการด้วยผ้าเนื้อดีราคาแพง ซึ่งกำลังกัดใบหูสหายรักของตน ก็ทำให้คารูมถึงกับอ้าปากค้าง ด้วยความอึ้ง และทึ่งจัด เนื่องจากชายหนุ่มคิดไว้ว่า หญิงสาวร่วงสูงอวบรายนี้ คงจะต้องถูกสหายรักของเขา ฟันคอฉับอย่างแน่นอน ด้วยข้อหาบังอาจทำให้เลือดสกปรกเปรอะเปื้อนตัว

               ..แต่แล้วงานนี้ กลับผิดคาดแบบสุดโต่ง! เพราะนอกจากศีรษะของหญิงสาวร่างสูงอวบ จะไม่กระเด็นหลุดไปจากลำคอของเจ้าหล่อนแล้ว พระภูษาล้ำค่าราคาสูงจนมิอาจประเมิน ที่อยู่คู่พระวรกาย บนบั้นเอวของฟาโรห์สเมนคารา ผู้เป็นสหายรักของเขาตลอดเวลา ซึ่งอย่าว่าแต่จะเคยไปห่มอยู่บนเรือนร่างของอิสตรีนางใดเลย เพราะมันไม่เคยแม้แต่จะได้แตะสัมผัสกับปลายนิ้วของอิสตรีเลยด้วยซ้ำ! แต่แล้วบัดนี้พระภูษาผืนงาม กลับพันรอบร่างอวบๆ จนกลายเป็นดักแด้ไปเสียแล้ว แถมดักแด้ตัวนั้นยังกล้ากัดใบหูสหายรักของเขาเสียเลือดซิบ ทว่าคนที่โดนกัดใบหู กลับแบกดักแด้พาดขึ้นบนไหล่แกร่งของตัวเองอย่างไม่แยแส่ แถมยังหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เมื่อดักแด้ที่อยู่บนไหล่แกร่งส่งเสียงร้องโวยวาย..

               ‘เฮ้ยๆ นี่ล้อกันเล่นอยู่ใช่ไหม..? เจ้าคงไม่ได้เอาจริงหรอกนะ สเมนคารา..’

               คารูมครุ่นคิดภายในใจอย่างนึกหวั่นๆ แทนหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่เหมือนจะไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตัวเองอาจจะเพิ่งใช้ความโชคดีที่มีเหลืออยู่ในชีวิตของตัวเอง หมดไปเมื่อไม่กี่เพลาก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มร่างเล็กนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง พลางส่ายหน้าไปมาให้กับความคิดของตนเอง ที่ยังไม่อาจจะยืนยันได้อย่างแน่ชัด ก่อนที่ร่างเล็กของชายหนุ่มจะเผลอสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินรับสั่งจากสหายรักของตน ดังก้องกังวานขึ้นมา..

               “เตรียมตัวกลับวังหลวงกันได้แล้ว คารูม..”

               “เอ๊ะ?แล้วที่ทรงตรัสว่าจะมาสักการะเทพเจ้า ฝ่าบาทจะมิทรงกระทำแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

               “นี่เจ้าเชื่อข้ออ้างพรรค์นั้นด้วยงั้นเหรอ..?”

               “นิสัยไม่ดีแบบนี้ ระวังจะถูกใครเขาครหาเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ..”

               “เชอะ! เรื่องพรรค์นั้นช่างหัวมันเถอะ”

               “.........”

               “ตอนนี้ข้าได้สัตว์เลี้ยงตัวโปรดแล้ว อยากกลับ ก็คือ อยากกลับ!

               “.........”

               “แต่ถ้าหากเจ้ายังอยากจะอยู่ที่นี้ต่อ ก็จงอยู่ไป แล้วอีกสามวันให้หลัง จงค่อยนำเอาแต่หัวของเจ้า มาถวายข้าก็เป็นพอ..”

               คำตรัสรับสั่งเฉียบขาดของผู้เป็นสหายรัก ซึ่งตรัสรับสั่งจบความ ก็ทรงเสด็จเดินจากไป พร้อมกับดักแด้จอมโวยวายที่อยู่บนไหล่แกร่งทันที ทำให้คารูมถึงกับลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ในขณะสายตาคมกริบของชายหนุ่ม ก็เหลือบมองไปยังยานิส ราชองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา..

               “ยังไม่ทันจะได้บอกกล่าว เรื่องของท่านไอย่าต่อฝ่าบาทเลย แต่แล้วฝ่าบาทก็กลับทรงตรัสรับสั่ง จะเสด็จกลับวังขึ้นมากระทันหัน ดูท่าว่าลางสังหรณ์ของฝ่าบาท จะยังคงน่ากลัวไม่เปลี่ยนไปเลยนะขอรับ ท่านคารูม”

               “ลางสังหรณ์งั้นเหรอ? ก็อาจจะใช่ล่ะนะ.. แต่ดูแล้วเหมือนจะอยากกลับ เพราะได้ของเล่นถูกใจซะมากกว่า!”

               “ของเล่นถูกใจ?”

                “..........”

               “ว่าแต่ว่าหญิงผู้นั้น เป็นใครกันหรือขอรับ? เมื่อตะกี้ข้าเหมือนจะได้ยินฝ่าบาท ทรงตรัสว่าเป็นสัตว์เลี้ยง หรือข้าจะหูเฝือนไปชั่วขณะ..”

               “อา..หูของท่านยานิส มิได้เฝือนไปหรอกขอรับ แม่หญิงผู้นั้น คือ สัตว์เลี้ยงของฝ่าบาท”

               “..........”

               “หรืออาจต้องบอกว่าเป็นท่านสัตว์เลี้ยงผู้สูงศักดิ์ ที่มีแววว่าใครหน้าไหน ก็อย่าได้หาญกล้าแตะต้องเป็นอันขาด หากมิอยากถูกองค์ฟาโรห์รูปงามปานเทพเจ้า นามสเมนคารา สับเป็นชิ้นๆ ทิ้งให้แร้งกาจิกกิน!” 

               “.....!!!!”

 

               ..เวลาล่วงเลยผ่านไป จนกระทั่งถึงยามบ่ายแก่ๆ ขบวนเสด็จของฟาโรห์สเมนคารา ที่มีของแถมอย่างรัตมณี ติดสอยละห้อยตามมาด้วยแบบมึนๆ งงๆ ก็ได้มาถึงยังพระราชวังธีปส์ ทว่า.. เพียงเหยียบเข้ามาในรั้วเขตพระราชวัง รัตมณีซึ่งทำท่าจะอ้าปากขอน้ำดื่มเย็นๆ สักแก้ว จากฟาโรห์สเมนคารา ที่กำลังเดินนำหน้าตนอยู่สองก้าวเดิน มาเพื่อดื่มดับกระหายคลายร้อน ก็พลันต้องหุบปากฉับลงทันควัน เมื่ออีกฝ่ายตวาดเสียงดังลั่นใส่ชายหนุ่มร่างกำยำผิวสีเข้ม ผู้ซึ่งกำลังรายงานข่าวเรื่องใครบางคนถูกลอบวางยาพิษ และเพียงพริบตาต่อมา ทุกคนที่อยู่ภายในพระราชวังแห่งนี้ ก็ถูกบังคับให้เข้ามาอยู่ภายในท้องพระโรงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งรัตมณี ที่ดันพลอยฟ้าพลอยฝน โดนฟาโรห์สเมนคาราทรงกึ่งลากกึ่งจูง พาเดินเข้าไปยังด้านในของท้องพระโรงด้วยอีกคน

               ทว่า.. พอเข้าไปด้านในของท้องพระโรงแล้ว รัตมณีก็กลับอาศัยจังหวะ ที่ผู้คนกำลังชุลมุนกันอยู่ แอบกระแซะคนโน้นคนนี้ออกมายืนห่างๆ อยู่ด้านหลังผู้คน เพื่อรับลมเย็นๆ แต่แล้วในขณะนั่นเอง ที่กำลังยืนรับลมเย็นๆ พร้อมๆ กับทอดสายตามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นณ.เบื้องหน้า หางตาคมกริบของรัตมณี ก็ดันบังเอิญเหลือบไปเห็นตัวอะไรบางอย่าง กำลังนอนกลิ้งเล่น อยู่ตรงมุมเสาห่างออกไปหลายก้าวเดิน สายตาคมกริบของหญิงสาว หันไปจับจ้องมองเจ้าขนปุยสีทอง อย่างนึกสนใจ อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะเหลือบมองกลับไปทางคนหน้าหล่อจอมโรคจิต ที่กำลังนั่งอยู่เหนือบนบัลลังก์สีทอง ซึ่งบัดนี้เริ่มจะมีเขี้ยวงอกยาว กับควันออกหูอยู่ร่อมร่อแล้ว และท่าทีของอีกฝ่าย ก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้รู้สึกตัวเลย ว่าตัวเธอนั้นบัดนี้ไม่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ อีกต่อไปแล้ว

               ..รัตมณีมองสลับไปมา ระหว่างเจ้าขนปุกปุยสีทอง กับคนหน้าหล่อจอมโรคจิต อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ เลิกให้ความสนใจในตัวคนหน้าหล่อ ซึ่งบัดนี้ กำลังจะกลายเป็นยักษ์มาร สำหรับใครบางคนไปแล้ว พร้อมกับก้าวเท้ากระโจนเข้าไปหาเจ้าขนปุกปุยสีทอง ที่กำลังกลิ้งเล่นอยู่ทันที..

               ทางด้านเหล่าบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ ทั้งนางสนม นางห้าม และนางกำนัลที่ถูกเรียกตัวเข้ามาอยู่ร่วมกัน ภายในท้องพระโรงกว้างขวาง ต่างพากันยืนตัวสั่นงันงก ไม่มีใครกล้าพูดจาใดๆ ออกมา และในที่แห่งนี้ คนที่ดูจะสั่นสะท้าน จนจวนเจียนแทบอยากจะเป็นลมมากกว่าใครอื่น ก็เห็นทีคงจะไม่พ้นนางกำนัลสาวผู้หนึ่ง ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของฟาโรห์หนุ่ม ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด วางยาพิษฆาตกรรมพระนม คนสนิทขององค์ฟาโรห์หนุ่ม

               “บอกมา! ใครเป็นคนสั่งวางยาพิษ”

                “คะ..คือ..หม่อม..หม่อมฉัน..” นางกำนัลสาวเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอึกอัก อย่างคนที่กำลังรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ท่ามกลางใบหน้าจิ้มลิ้มที่นองไปด้วยหยาดน้ำตามากมาย แต่ทว่าถึงกระนั้น นางกำนัลสาวก็ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยความจริง ที่จะทำให้ผู้มีพระคุณของนาง ต้องมีความผิดออกมา นางกำนัลสาวจึงได้แต่นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทา พลางกวาดสายตาไล่มองผู้คนรอบข้าง ด้วยแววตาสิ้นหวัง ที่แฝงความรู้สึกหวาดกลัวเอาไว้อย่างเด่นชัด

               หากแต่แล้ว เสี้ยววินาทีที่นางกำนัลสาว กำลังคิดจะยอมรับชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของตนเอง ดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาของนางกำนัลสาว ก็ดันเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างสูงอวบ หน้าตาไม่คุ้น แต่งกายด้วยชุดของนางกำนัลระดับล่าง ซึ่งกำลังยืนพิงเสาไม่สนใจใครหน้าไหน หยอกเย้าเล่นอยู่กับเจ้าสิงโตตัวเล็ก สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของพระนมไอย่า ที่ไม่เคยเชื่องกับใครนอกเหนือจากผู้เป็นเจ้าของ และฟาโรห์สเมนคารา

               และในทันใดนั่นเอง ความคิดบางอย่าง ก็วูบผ่านเข้ามาในหัวของนางกำนัลสาว ริมฝีปากของนางกำนัลสาว จึงรีบเอื้อนเอ่ยคำพูดต่อทันที “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะว่าใครสั่ง แต่ผู้ที่นำยาพิษมาให้กับหม่อมฉัน และบอกให้ผสมลงไปในอาหารของท่านไอย่า ก็คือ.. นางกำนัลคนนั้นเพคะ!

               “.........”

               “........?”

               “.......!!!”

                คำตอบของนางกำนัลสาว ทำให้ทุกสายตาหันไปจ้องมองหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่กำลังหยอกเย้าเล่นอยู่กับสิงโตตัวเล็กแทบจะในทันที และหลายคนก็ต้องพากันขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงงสงสัย ว่าหญิงสาวร่างสูงอวบ ผู้ที่กำลังถูกกล่าวหา เป็นใครมาจากที่ใดกัน แต่บางคนที่เป็นหนึ่งในจำนวนกลุ่มคน ที่ออกไปรอรับขบวนเสด็จ ซึ่งได้เห็นหญิงสาวรายนี้มาพร้อมกับฟาโรห์ของพวกตน ต่างก็พากันทำสีหน้าเลิกลั่กขึ้นมา ส่วนบรรดาคนที่ติดตามขบวนเสด็จ แทบไม่ต้องพูดถึง ด้วยแต่ล่ะคนล้วนแล้วแต่มีสีหน้าเผือดสีกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งคารูม ซึ่งหลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าว ชายหนุ่มก็รีบหันไปมองใบหน้าเงียบขรึม ของผู้เป็นสหายรักของตนทันควัน

               ..แต่ทว่า ยังไม่ทันจะเกิดเรื่อง ที่ชายหนุ่มนึกกลัวขึ้นมา ภายในท้องพระโรงที่กำลังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา ก็พลันเงียบสนิทลงทันใด เนื่องจากคนที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ซึ่งเอาแต่เล่นอยู่กับสิงโตน้อย ราวกับไม่รู้ความเป็นไปรอบกายเลยนั้น อยู่ดีๆก็ผละจากเจ้าสิงโตตัวเล็ก เดินเอื่ยยๆ ตรงเข้าไปหานางกำนัลสาว ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ด้วยท่าทีเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งท่าทีเกรงกลัวใครหน้าไหน และในทันใดนั้น ท่ามกลางสายตางุนงงของผู้คน มือขวาของหญิงสาว ก็คว้าดาบของทหารราชองครักษ์ ที่ยืนอยู่ในละแวกนั้น ตวัดไปทางนางกำนัลสาวทันที!

               “กรี๊ดดดดด!!!!”

                “.........”

                “โอ๊ะ! พลาดไปหน่อย น่าเสียดายจัง..”

                “.........”

                “กะว่าจะกร่อนให้ถึงหนังหัวเลยแท้ๆ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ.. ของเคยใช้ครั้งแรก จะให้ถนัดทันทีเลยคงจะเป็นไปไม่ได้ ว่าแต่เมื่อกี้ เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ข้ามัวแต่เล่นอยู่กับเจ้าตัวเล็ก ก็เลยได้ยินไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ เจ้าช่วยพูดให้ข้าฟังอีกสักครั้ง จะได้หรือเปล่า?” รัตมณีเอ่ยพูดเสียงเรียบ พร้อมทั้งคลี่รอยยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างคนใจดี ในขณะมือบางข้างที่ว่างจากการถือดาบไว้ ซึ่งเกาะกุมเส้นผมสีดำเงางาม ของนางกำนัลสาวที่ถูกตัดขาด ด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียวเอาไว้ ก็ค่อยๆ โปรยปรายเส้นผมดังกล่าวลงบนพื้น ด้วยท่าทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะมือข้างที่ถือดาบอยู่ ก็ตวัดคมดาบเล่นไปมา ทว่าดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มของหญิงสาว ที่เอาแต่จดจ้องมองหนังศีรษะของนางกำนัลสาว ซึ่งยังคงมีเส้นผมเหลืออยู่ กลับฉายแวววาววับราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย และดวงตาคู่นั้นนั่นเอง ที่ทำให้นางกำนัลสาว ถึงกับต้องรีบคลานเข่า ถอยร่นออกห่างจากหญิงสาวร่างสูงอวบแปลกหน้าทันควัน ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะลงดาบมาอีกครา..

                “นะ..นาง..”

                “หือ?”

                นะ..นางคนนี้แหละเพคะ! ที่เป็นผู้มอบยาพิษให้กับหม่อมฉัน..” นางกำนัลสาวยังคงยืนกรานอีกครั้ง แม้ภายในใจจะนึกสงสัยว่าหญิงสาวร่างสูงอวบ ผู้สวมใส่ชุดนางกำนัลผู้นี้ เป็นใครมากจากที่ไหน ถึงได้หาญกล้าดึงดาบของทหารราชองครักษ์ประจำองค์ฟาโรห์ ออกมาตวัดตัดเส้นผมของนางจนสั้นกุด โดยที่ไม่มีใครพูดจาห้ามปรามสักคำเดียว หรือแม้แต่จะขยับเขยื้อน เข้ามาแตะต้องตัวหญิงสาวผู้นี้เลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าพวกเขามองไม่เห็นการกระทำของหญิงสาวผู้นี้ แต่ถึงแม้นางกำนัลสาวจะติดใจสงสัยสักเพียงใด ทว่านางกำนัลสาวก็เลือกที่จะขอแค่ให้ตัวเอง ได้รอดพ้นไปจากเหตุการณ์ตรงหน้าเสียก่อนเท่านั้น โดยหารู้ไม่ว่าตนเองเลือกผิดถนัด!..

                “หืมม์..นี่ข้าตากแดดจนหูเพี้ยนไปแล้ว อย่างงั้นเหรอ? ถึงได้ยินใครที่ไหนก็ไม่รู้ มาใส่ความตัวเองว่าฆ่าคนตาย เฮ้อ..ไม่ไหวๆ ดันหูเพี้ยนได้ยินเรื่องชวนหงุดหงิดซะได้”

                “จะ..เจ้าพูดอะไรนะ ก็ๆ..เจ้าเป็นคนมอบยาพิษให้กับข้า..”

               “หงุดหงิดชะมัดเลย!”

                “.........”

                “.........”

               “จะ..เจ้า เจ้าจะทำอะไรนะ? ช่วยด้วย..ใครก็..”

               “บอกตามตรงเลยนะว่า.. ตอนนี้ข้ากำลังรู้สึกหงุดหงิดสุดๆ ไปเลย ถึงขนาดที่ว่า.. รู้สึกอยากจะบีบคอของคนที่ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด ให้ตายคามือของตัวเอง”

                “......!!!!”

               “ปกติข้าเป็นคนใจดี และค่อนข้างใจเย็น ไม่ค่อยถือสาหาความกับใครหรอก ถ้าหากไม่หนักข้อจนเกินไป แต่ก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าเพิ่งจะโดนเจ้าน้องบังเกิดเกล้าสองคนใส่ร้าย จนต้องถูกพ่อของตัวเอง เฉดหัวออกมาจากบ้าน แล้วตอนนี้ก็ยังดันมาเจอคนแปลกหน้าเช่นเจ้า ใส่ความกันดื้อๆ แบบนี้อีก เจ้าคิดว่าข้าควรจะยังยืนยิ้มใจดี และใจเย็นอยู่ได้อีกหรือเปล่ากันล่ะ? ยัยคนขี้โกหก!” ท้ายประโยค รัตมณีเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมา ไร้ซึ่งรอยยิ้มเฉกเช่นเคย

                “จะ..เจ้าพูดอะไรนะ? ข้าไม่รู้เรื่อง! เจ้า..เจ้าเป็นคนมอบยาพิษให้กับข้า เจ้าสั่งให้ฆ่า..”

                “........” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของนางกำนัลสาว ทำให้มือของรัตมณีที่ตวัดดาบเล่นอยู่ หยุดชะงักการเหวี่ยงดาบโดยพลัน พร้อมกับมือข้างนั้นกระชับดาบอันคมกริบในมือไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะลงดาบไปยังเป้าหมาย แต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้จัดการกร่อนหนังหัวของผู้หญิงขี้โกหกตรงหน้า มือบางของรัตมณีที่เกาะกุมดาบเอาไว้ ก็ต้องหยุดชะงักการลงดาบอย่างกระทันหัน เมื่อได้ยินเสียงตวาดดังลั่นของฟาโรห์สเมนคารา ซึ่งนั่งอยู่เหนือบัลลังก์สูงสีทอง

                “บังอาจ!!!!”

                 “......!!!”

                 “เอ๋..เจ้าเรียกหาบังอาจทำไมเหรอ? สเมนคารา..”

                 “.......!?”

                “ตอนนี้บังอาจเขาไม่ว่างหรอก พอดีข้าใช้เขาไปซื้อกล้วยแขกให้นะ ดังนั้น.. มีอะไรก็บอกข้าไว้ก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวข้าจะบอกบังอาจให้ทีหลัง”

                 “..........”

                ‘หึหึๆ คนที่หาญกล้าพูดจาหยอกเล่นกับสหายของข้าได้ ในสถานการณ์เฉกเช่นนี้ เห็นทีแผ่นดินนี้ คงมีเพียงแค่ท่านคนเดียวแล้วล่ะ แม่หญิงรัน’

                คารูมซึ่งยืนอยู่เยื้องๆ กับบัลลังก์ทอง ครุ่นคิดภายในใจ อย่างนึกขำหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่ทำให้คนทั่วทั้งท้องพระโรงพากันอ้าปากพระงาบๆ ไปตามๆ ด้วยมุกตลกชวนงุนงงของเจ้าหล่อน ก่อนที่จะเหลือบสายตามองไปยังสหายรักของตน ซึ่งลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา อย่างนึกสนใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอย่างไรต่อไป และเมื่อเห็นว่าคนเป็นสหายรัก ลุกขึ้นจากบัลลังก์ทองคำ ก้าวเสด็จเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของนางกำนัลสาว พร้อมทั้งยื่นมือไปแย่งดาบมาจากมือของหญิงสาวร่างสูงอวบ คิ้วเข้มของชายหนุ่มร่างเล็ก ก็พลันเลิกสูงขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ แต่แล้วรับสั่งต่อมาของสหายรัก ก็ทำให้คารูมถึงกับถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งภายในใจ ก็แอบนึกสงสารนางกำนัลสาวรายนี้ ที่ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย ก่อนที่จะใส่ความใครอื่น..

                “ข้าจะถามเจ้าอีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น..”

                 “.........”

                “ใครเป็นคนสั่งให้เจ้าวางยาพิษในอาหารของไอย่า!”

                “นะ..นาง..”

                “บังอาจ!!!!..ฉับ!สิ้นรับสั่งแสนดุดัน คมดาบในพระหัตถ์ของฟาโรห์สเมนคา ก็ตวัดฉับลงบนลำแขนของนางกำนัลสาวทันที เป็นเหตุให้นางกำนัลสาวหวีดร้องออกมา ด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาขัดขวางฟาโรห์หนุ่มเอาไว้ ได้แต่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ท่ามกลางความไม่เข้าใจ ว่าฟาโรห์สเมนคาราทรงทราบได้อย่างไรกัน ว่านางกำนัลสาวพูดโกหก..

               ..แต่ในที่นี้ คงจะมีเพียงแค่คารูม ยานิส และเหล่าทหารราชองครักษ์ที่ติดตามฟาโรห์สเมนคารา ออกไปยังนอกเมืองเท่านั้นแหละที่ล่วงรู้ว่า องค์ฟาโรห์ของพวกเขาไม่ได้ทรงกริ้ว เพราะสาเหตุนางกำนัลสาวโกหกแต่อย่างใดเลย แต่ที่ทรงกริ้ว เป็นเพราะอีกฝ่ายดันใช้คำพูดไปแตะต้องหญิงสาวร่างสูงอวบ ที่กำลังยืนอ้าปากหาวหวอดๆ อยู่ในขณะนี้ต่างหาก!

               “ใครเป็นคนสั่งเจ้าวางยาพิษ ตอบ!!”

               “ฮึก..ฮือๆ..นะ..”

               “หากเจ้ายังกล้าปากดี เอื้อนเอ่ยใส่ความสัตว์เลี้ยงแสนรักของข้า อีกเพียงครึ่งคำ ข้าจะกระชากตับไตไส้พุงของเจ้า ออกมาให้แร้งกากิน!”

               “มะ..หม่อมฉันไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้วเพคะ ฮือๆ..”

               “พูดมา! ใครสั่งให้เจ้าวางยาพิษ”

               “คือว่า..หม่อม..หม่อมฉัน..ฮึก..ฮือๆ..”

                “เฮ้อ..ร้อนจัง!อยากกินของเย็นๆ ไอศครีมชาเขียวก็ดีนะ หรือจะเป็นองุ่นแดงเช่เย็นก็ได้ นี่ๆ..บ้านเจ้าไม่มีของเย็นๆ ให้กินบ้างเลยหรือไง? สเมนคารา..” รัตมณีที่ยืนมองดูเหตุการณ์ แกล้งเอ่ยพูดแทรกขึ้นมากลางครัน เนื่องจากเริ่มจะเกิดความรู้สึกสงสารในตัวนางกำนัลสาวตรงหน้าขึ้นมา บวกกับอาการลมแดดของตัวเธอเอง ที่เริ่มพาลจะกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว ทำให้รัตมณีคิดจะหนีออกไปจากห้องนี้ ไปนอนแช่น้ำเล่น และรวมถึงหาอะไรเย็นๆ เข้าปากของตัวเอง..

                “มีสิ! เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปกิน รอข้าจัดการเรื่องพวกนี้สักเดี๋ยวนะเจ้า..”

                “เอ๋..ยังจะให้รออีกเหรอ? ไม่เอา! ข้าร้อนจนจะเป็นลมอยู่ร่อมร่อ ดังนั้นไม่รอแล้ว! ถ้าหากเจ้าอยากอยู่สับผู้หญิงคนนี้ ก็เชิญตามสบายเถอะ ส่วนข้าจะออกไปข้างนอก หาอะไรเย็นๆ กระแทกใส่ปากของตัวเอง” รัตมณีเอ่ยพูดพลางหันหลังจะเดินออกไปจริงๆ แต่แล้วเท้าของหญิงสาว ก็พลันลอยขึ้นสูงเหนือจากพื้นหิน “เหวอออ..ทำอะไรของเจ้ากันนะ?” รัตมณีเอ่ยต่อว่าฟาโรห์หนุ่มทันควัน เมื่อโดนอีกฝ่ายอุ้มแบบไม่ทันตั้งตัว

                “เจ้าเนี่ยเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนเอาแต่ใจจริงๆ เลยนะ”

                “เฮ! ใครเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้ากันนะ..? ไอ้เจ้าฟาโรห์โรคจิต..”

                “เคยบอกไปแล้วนะว่า.. หากเรียกข้าด้วยนามเพี้ยนๆ เจ้าจะต้องถูกลงโทษ”

                “เหอะ! คิดจะเอามีดสั้นมาจิ้มแก้มของ..อุ๊บ!” ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยจบประโยค ริมฝีปากแสนเย้ายวนที่ช่างเจรจาของรัตมณี ก็พลันถูกปิดด้วยพระโอษฐ์หนาอย่างแนบแน่น และแม้ว่าร่างสูงอวบในอ้อมแขน จะอ่วนยวบยาบไปแล้ว แต่ฟาโรห์สเมนคาราก็ไม่ได้คิดที่จะผละริมฝีพระโอษฐ์ของพระองค์ ออกห่างจากริมฝีปากอวบอิ่มของอีกฝ่าย แต่กลับบดเบียดแทรกพระชิวหาเข้าไปควานหาความหอมหวานต่อ ด้วยทรงคิดว่าอีกฝ่ายคงจะแกล้ง แสร้งทำท่าต้องมนต์ในอารมณ์เสน่หา เหมือนกับเมื่อตอนเที่ยง

               ..แต่แล้วมือของอีกฝ่ายที่ร่วงหล่น จากการเกาะกุมไหล่แกร่งของพระองค์ บวกกับอาการลมหายใจเข้าออกแบบแรงเร็วของอีกฝ่าย ที่กลายเป็นลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ราวกับคนนอนหลับไป ก็ทำให้ฟาโรห์สเมนคาราต้องจำใจผละออกห่างจากริมฝีปากของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะทรงขมวดคิ้วหากันอย่างรู้สึกมึนงง เมื่อพบว่าคนที่พระองค์ทรงคิดว่าแกล้งเป็นลม กลับกำลังนอนหลับ สักงั้น!..

                “หึ! คนที่หลับตอนถูกจูบ เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ!.. ช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่แปลกได้ใจข้าจริงๆ เลย” ฟาโรห์สเมนคาราทรงตรัสรับสั่ง พลางสรวลออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ จากร่างสูงอวบ ก่อนจะทรงกระชับร่างสูงอวบในวงแขนของพระองค์เอาไว้ให้มั่นคง แล้วจึงก้าวเสด็จตรงไปยังบานประตูของท้องพระโรง แต่ก้าวไปได้เพียงแค่สามก้าวเดิน ก็กลับทรงหยุดเดิน เมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่าพระองค์ทรงทำอะไรค้างคาไว้อยู่ พร้อมกับทรงหันไปตรัสรับสั่งกับแม่ทัพหนุ่มใหญ่ ที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พระองค์กำลังทรงประทับยืนอยู่

                “อูลัน!.. นำนางกำนัลคนนั้นไปขังเอาไว้ จนกว่าจะได้ความจริงทั้งหมด ข้าไม่อนุญาตให้นางตาย เด็ดขาด!”

                “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท..”

               ..เมื่อแม่ทัพหนุ่มใหญ่ เจ้าของนามอูลัน รับคำเป็นที่เรียบร้อย ฟาโรห์สเมนคาราจึงทรงเสด็จออกไปจากท้องพระโรง พร้อมกับร่างสูบอวบที่อยู่ในวงแขนทันที และให้หลังของฟาโรห์หนุ่ม ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ ถึงหญิงสาวร่างสูงอวบแปลกหน้า ที่องค์ฟาโรห์ของพวกเขา ทรงประกาศว่าเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรัก ซึ่งดูจะสูงศักดิ์ จนใครหน้าไหนก็แตะต้องไม่ได้เลย.. 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา