ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  24.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
บทที่ 6
 
สายตาสองคู่ที่สบกันนิ่งอย่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมาคุแปลกๆ ก่อนที่อินทุจะเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายบรรยากาศมาคุที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาเสียก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ข้ามาจากกลาพิมพ์ดินแดนที่มีแต่ภูเขาและป่า ดินแดนที่ยังไม่มีอะไรที่ทันสมัยและอำนวยความสะดวกเหมือนกับที่นี่ ดินแดนที่ไม่มีรถ มีแต่เกวียน ม้า ล่อ เป็นพาหนะ ไม่มีแม้แต่สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าไฟฟ้า และก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าแทบไม่รู้จักอะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่”
 
“อืม” ศศิธรพยักหน้าเห็นด้วยในสิ่งที่อินทุเล่ามาทั้งหมด ก่อนที่เขาจะหยุดพูดไปชั่วครึ่งลมหายใจ แล้วจึงจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างตริตรองดีแล้ว
 
“และ...ข้าคิดว่า ข้าถูกเวทมนต์บางอย่างพาข้าข้ามเวลามายังที่นี่”
 
“เวทมนต์! ข้ามเวลา!”
 
“ใช่”
 
“เหลวไหล ท่านต้องบ้...” ศศิธรเกือบจะหลุดปากว่าชายหนุ่มออกไปทันทีที่ได้ยินข้อสันนิษฐานอันเหลือเชื่อของเขา แต่เพราะกลัวเขาจะกล่าวหาว่าเธอเป็นคนไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เธอจึงเปลี่ยนไปถามเหตุผลจากเขาแทน “เอ่อ...แล้วทำไมท่านถึงคิดเช่นนี้”
 
“ก่อนที่ข้าจะมาเจอเจ้าที่นี่ ข้าได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงท่องอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา แล้วข้าก็มายืนอยู่ตรงนี้ ในบ้านของเจ้า”
 
ศศิธรยังคงนิ่งฟังโดยที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา อินทุจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นเดิม “ข้าพูดความจริงไปหมดแล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดทั้งหมดเหมือนที่เจ้าสัญญาหรอกนะ เพราะแม้แต่ตัวข้าเอง ก็ยังทำใจอยู่นาน ให้เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้”
 
แต่เหมือนหญิงสาวจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชายหนุ่มเล่ามาทั้งหมด มากไปกว่าการตีความประโยคเกือบสุดท้ายของชายหนุ่ม “ท่าน...ท่านว่าข้าไม่มีสัจจะรึ”
 
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
 
หญิงสาวค้อนให้กับดวงตายิ้มได้ของชายหนุ่ม สีหน้าและแววตาของเขา มันช่างขัดกับความหมายในประโยคที่เขาเอ่ยออกมายิ่งนัก แต่เพราะความอยากรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มทำมาหลายวันแล้วมากกว่า จึงตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง “แล้วทำไมท่านถึงลุกขึ้นมาหาสร้อย”
 
“ข้าแค่คิดว่า สร้อยอาจจะพาข้ากลับไปยังที่ๆ ข้ามาได้”
 
“ทำไม?”
 
“เพราะก่อนข้าจะมาที่นี่ สร้อยของข้ามันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา”
 
“แสงสว่างหรือ” ศศิธรนึกไปถึงเหตุการณ์คืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่เธอเจอเขาตรงนี้...ตอนนั้นเธอกำลังเงยหน้ามองพระจันทร์พร้อมกับคิดถึงพ่อ คิดถึงอาการป่วยของแม่ แล้วเธอก็เห็นแสงสีขาวสว่างวาบเข้ามาทางหางตา ก่อนที่เธอจะหันมาเจอเขาในสภาพเปลือยเปล่า
 
“ข้าช่วยท่านหาสร้อยดีกว่า”
 
“เจ้าเชื่อข้าแล้วรึ”
 
“ข้าเป็นคนมีสัจจะพอ ในเมื่อข้าสัญญากับท่านแล้ว ข้าก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดซิ” ศศิธรได้ที ก็รีบพูดแก้ต่างข้อกล่าวหาให้กับตัวเองทันที เธอก็ไม่อยากจะเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหลือเชื่อ เวทมนต์ ข้ามกาลเวลาอย่างที่อินทุพูดสักเท่าไร ทว่าหลายๆ สิ่งที่เขาพูด ที่เขาแสดงออก มันก็ชวนให้เธอคิดว่าเขาอาจจะข้ามเวลามาจากโลกยุคหินจริงๆ
               
“แล้วแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นางป่วยเป็นอะไร” อินทุถามขึ้นหลังจากที่เขากับเธอช่วยกันหาสร้อยของเขาอยู่เกือบชั่วโมง เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่บ้านของเธอ เขาไม่เคยเห็นแม่ของหญิงสาวออกมานอกห้องนอนที่อยู่ติดกันกับห้องใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่เลย เขารู้แค่เพียงว่าแม่ของเธอนอนป่วยหนักอยู่ในห้องเท่านั้น
 
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็กำลังหาข้อมูลอยู่”
 
“นางเป็นมานานหรือยัง”
 
“เกือบปีแล้ว”
 
“แล้วที่ๆ เจ้าพาข้าไป ไม่มียารักษาหรอกรึ” อินทุหมายถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองที่ศศิธรเคยพาเขาไปเช็คสมองและตรวจร่างกายเมื่อห้าวันก่อน แล้วเธอก็บอกเขาว่าคนที่ไม่สบายทุกคนต้องมาที่นี่เพื่อมารับยาไปกิน
 
ศศิธรส่ายหน้าแทนการตอบคำถามของเขา แล้วทั้งคนถามและคนตอบก็พากันเงียบเสียงอีกครั้ง
 
“ท่านอยู่ที่นั่น ท่านทำงานอะไร” จู่ๆ ศศิธรก็เอ่ยถามอินทุออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากเงียบกันไปนาน คำถามที่ไม่ได้จริงจังกับคำตอบมากมายนัก เธอถามออกมาเพียงแค่ต้องการจะชวนชายหนุ่มคุยขณะที่กำลังช่วยกันหาสร้อยคอของเขาเท่านั้น
 
ทว่าคนตอบกลับอ้ำอึ้งแทบจะทันที แต่ก็ยอมตอบเธอออกมาแบบไม่เต็มเสียงนัก “ข้าเป็น...ข้าเป็นทหาร แล้วเจ้าล่ะทำงานอะไร”
 
“ข้ายังเรียนปริญญาโทเภสัชศาสตร์อยู่เลย กำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ ยังไม่ได้ทำงาน” ศศิธรตอบคำถามของอินทุอย่างละเอียด แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าสงสัย เธอก็รีบพูดอธิบายใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น “เอ่อ...ข้าหมายถึงว่าข้ากำลังศึกษาวิชาเกี่ยวกับยารักษาโรคที่จะนำมาใช้รักษาคนป่วยน่ะ”
 
“หาตัวยามารักษาแม่ของเจ้ารึ”
 
ศศิธรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในสิ่งที่อินทุเข้าใจ เพราะเธอก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เขารู้เรื่องในสิ่งที่เธอพูด เธอจึงเลือกที่จะเงียบ
 
ชายหนุ่มจึงเอ่ยชวนคุยต่อไป “เจ้าอยู่กับแม่แค่สองคนหรือ”
 
“เปล่า...ข้ายังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน”
 
อินทุขมวดคิ้วมุ่น พร้อมกับถามถึงพี่ชายของหญิงสาวด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะเขาอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยได้เจอพี่ชายของเธอเลย “พี่ชายของเจ้ารึ...ทำไมข้าไม่เคยเจอเขาเลย”
 
“พี่ชายของข้า เขาไปทำงานที่อื่น...อีกสองวันก็จะกลับแล้วแหละ”
 
ยังไม่ทันที่คนสองคนที่เริ่มจะคุยกันถูกคอมากกว่าทุกที ได้คุยอะไรกันมากไปกว่านี้ พยาบาลสาวน้อยก็เดินมาตะโกนเรียกทั้งสองให้ไปกินข้าวเย็นพร้อมกัน
 
“คุณศศิ คุณอินทุ มากินข้าวเย็นกันเถอะค่ะ”
 
ศศิธรลุกขึ้นปัดมือที่เลอะเศษดินเศษหญ้าจากการช่วยชายหนุ่มหาสร้อยกับกางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่อย่างง่ายๆ แล้วจึงหันไปชวนชายหนุ่มเข้าบ้าน “เราไปกินข้าวกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่”
 
//////////////////////////////////////
 
หลังจากเมื่อวานที่ศศิธรยอมรับฟังและคุยกับอินทุด้วยเหตุและผลมากขึ้น ก็เหมือนว่าชายหนุ่มจะกล้าเข้ามาอยู่ใกล้กับหญิงสาวมากขึ้นเช่นกัน
 
จากที่อินทุเคยเอาแต่แอบจ้องมองเธอทำอะไรอยู่เงียบๆ ไกลๆ ไม่เข้าไปวุ่นวายให้เธอรำคาญใจ
เขาก็เปลี่ยนมานั่งมองเธออยู่ใกล้ๆ ภายใต้ศาลาริมน้ำแห่งนี้แทน
 
“ที่หน้าข้า มีอะไรผิดปกติหรือ” ศศิธรเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาจากกองหนังสือ เพราะเธอรู้สึกว่าเธออ่านหนังสือเล่มตรงหน้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เนื่องจากประหม่าและอึดอัดกับสายตาคมของชายหนุ่มที่เอาแต่จ้องหน้าเธอไม่วางตา
 
“เปล่า” อินทุส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วเสหันไปมองทางอื่นเมื่อถูกศศิธรจับได้ว่าเขาแอบมองหน้าเธออยู่ตลอดเวลา
 
“เปล่า...แล้วท่านจ้องหน้าข้าทำไม...ตั้งนานสองนาน” ศศิธรถามกลับด้วยน้ำเสียงแข็งๆ เพื่อข่มความอาย เขาจ้องจนเธอเขิน จนไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ ยังจะมาปฏิเสธกันอีก
 
“ข้าไม่ได้...”
 
“ไม่ต้องมาเถียงเลย ก็เห็นๆ กันอยู่”
 
อินทุอึกอัก ก่อนจะเอ่ยปากยอมรับออกมาในที่สุด “เอ่อ...ก็หน้าของเจ้าเหมือนกับจันทรพิมพ์...ภรรยาของข้ามาก”
 
“ภรรยาของท่าน...นางคงสวยมากซินะ” ศศิธรไม่ได้แปลกใจเลยสักนิดที่อินทุบอกว่าเธอหน้าเหมือนจันทรพิมพ์ ภรรยาของเขา แต่กลับพูดเย้าแหย่เขาออกไป เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาหมองเศร้าของชายหนุ่มขณะที่พูดถึงภรรยา คาดว่าเขาคงจะคิดถึงภรรยาของเขามาก ถึงได้ละเมอเรียกหาแทบตลอดเวลาที่เขาหมดสติ
 
“ใช่...นางสวย” ชายหนุ่มยิ้มกับประโยคกึ่งๆ ชมตนเองของหญิงสาว “เหมือนเจ้า”
 
และ “เหมือนข้า” ศศิธรพูดต่อประโยคของชายหนุ่มออกมาแทบจะพร้อมกันกับเขา ทำให้ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน ส่งผลให้บรรยากาศเศร้าๆ เมื่อสักครู่อันตธานหายไปในทันที
 
“แล้วท่านมีลูกหรือเปล่า ลูกสาวหรือลูกชาย ป่านนี้ลูกๆ และภรรยาของท่าน คงจะคิดถึงท่านน่าดู”
 
“ข้าไม่มีลูก และภรรยาของข้า นางก็ตายไปแล้ว” อินทุเอ่ยขัดประโยคยาวๆ ของหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
 
“ทะ...ท่านว่าอะไรนะ”
 
“ภรรยาข้า...นางตายไปแล้ว”
 
เมื่อได้ยินชัดเจนถึงสาเหตุความหมองเศร้าในแววตาของเขา หญิงสาวถึงกับหน้าถอดสีทันที และรีบเอ่ยปากขอโทษชายหนุ่มทันที “ข้า...ข้าขอโทษ ข้าเสียใจด้วย”
 
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่านางสักหน่อย”
 
“ฆ่า!” เมื่อกี้เธอรู้สึกตกใจและเสียใจที่ได้รับรู้ว่าภรรยาของอินทุตายแล้ว แต่อารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลเมื่อสักครู่นี้กลับเทียบไม่ได้เลยสักนิดเมื่อได้รับรู้ความจริงว่าภรรยาของเขาถูกฆ่าตาย “นางถูกฆ่าหรือ”
 
อินทุพยักหน้ารับคำถามเบาแสนเบาของหญิงสาว คำถามที่เหมือนมีดกรีดแผลที่ยังคงสดอยู่ของเขาให้รู้สึกเจ็บเจียนตายขึ้นมาอีกครั้ง
 
เจ็บเพราะความสูญเสีย
 
เจ็บเพราะความคั่งแค้นใจ ที่ไม่สามารถจับคนผิดมาลงโทษได้
 
“แล้วท่านรู้หรือเปล่า ว่าใครเป็นคนฆ่านาง”
 
“ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ข้าคิดว่าเป็น...”
 
ยังไม่ทันที่อินทุจะตอบคำถามของเธอจนจบประโยค ศศิธรก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นพี่ชายของเธอกำลังเดินตรงมายังศาลาท่าน้ำที่เธอกำลังนั่งอยู่พอดี ด้วยอารามดีใจเธอก็รีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนพี่ชายด้วยความคิดถึงทันที
 
“พี่ภู พี่ภูกลับมาแล้ว”
 
“เจ้าศิขริน!”
 
ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ซึ่งกำลังถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วจากน้องสาว ทำให้เขาไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนปรี่เข้ามาบีบคอ “เฮ้ยยย!”
 
“ข้าจะฆ่าท่าน”
 
“โอ๊ยยย! แค็กๆๆ”
 
ศศิธรถูกเหวี่ยงออกไปนอกวงด้วยฝีมือของอินทุตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่มาตั้งสติได้อีกครั้ง เมื่อเห็นพี่ชายของเธอล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้นหญ้าโดยมีผู้ชายตัวโตถลาตามติดไปบีบคออยู่ไม่ห่าง
 
“ปล่อยนะ! หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้”
 
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มร่างยักษ์ไม่ยอมปล่อยมือจากลำคอของพี่ชาย หญิงสาวก็หันรีหันขวางเพื่อหาอุปกรณ์มาช่วยกันผู้ชายทั้งสองคนออกจากกัน แต่เมื่อหาอะไรไม่ได้ ศศิธรก็โถมเข้าไปหาตัวต้นเหตุทั้งตัว
 
แต่ผลคือผู้ชายตัวโตไม่มีทีท่าจะรู้สึกถึงแรงกระแทกจากเธอเลยสักนิด
 
“ไม่ปล่อยใช่ไหม...นี่แน่ะ”
 
“โอ๊ยยย!” อินทุร้องขึ้นเสียงหลง เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดเมื่อฟันซี่เล็กๆ จากปากเล็กๆ ของหญิงสาวกัดเข้าไปบนท่อนแขนของเขาจนจมเขี้ยว
 
“ศศิ...เจ้าถอยไปนะ” อินทุหันไปตวาดหญิงสาวที่เข้ามากัดแขนของเขาจนเห็นจ้ำเลือดเขียวๆ เพื่อให้เขาปล่อยมือจากลำคอของชายหนุ่มที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นนั่น
 
“ท่านนั่นแหละ ที่ต้องถอยไป”
 
“เจ้าจะอยู่ข้างไอ้ฆาตกรที่มันฆ่าภรรยาข้ารึ”
 
“ฟังข้านะ...นี่คือพี่ภูผา พี่ชายของข้า เจ้าของบ้านหลังนี้ เขาไม่ใช่คนที่ฆ่าภรรยาของท่าน” ศศิธรตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยความโมโหผู้ชายตัวโตที่ยังไม่ทันได้ฟังความอะไร ก็ลงมือฆาตกรรมเจ้าของบ้านผู้ให้ที่พักพิงเสียแล้ว
 
“ภูผา...”
 
ภูผาซึ่งถูกบีบคอจนแทบหายใจไม่ออก แถมยังโดนต่อยเข้าที่แก้มซ้ายจนล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นหญ้า ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ด้วยความแค้นเคืองและพร้อมจะเอาคืนคู่กรณีได้ทุกเมื่อ
 
แต่เพราะถูกน้องสาวพยายามยืดแขนของเขาเอาไว้ ขณะที่เข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เขาจึงหันไปจ้องเขม็งที่หน้าน้องสาวและชายหนุ่มตัวต้น(หา)เรื่องสลับกันไปมา ก่อนจะเค้นเสียงถามออกมาเป็นประโยคแรก “ศศิ...นี่มันเรื่องอะไรกัน”
 
“พี่ภู ใจเย็นๆ นะคะ...เขาแค่เข้าใจอะไรผิดนิดหน่อย เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าค่ะ” หญิงสาวคนเดียวในเหตุการณ์พยายามควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ชายคู่กรณีทั้งสองกระโจนเข้าหากันอีก
 
จากนั้นก็หันหน้ากลับมาบอกตัวต้นเรื่องก่อนจะเดินตามพี่ชายเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นท่าทางฮึดฮัดขัดใจของชายหนุ่ม “ส่วนท่าน ยืนระงับอารมณ์โกรธแค้นเจ้าศิขรินอะไรของท่านซะ แล้วค่อยตามเข้าไปในบ้าน”
 
อินทุยืนหน้าเหวอไปนิดด้วยความสำนึกผิดหลังจากใช้สติตริตรอง แล้วรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป และรับรู้ว่าใครเป็นใคร
 
ทว่าพอเห็นหญิงสาวชี้หน้าและออกคำสั่งกับเขา อารมณ์ที่เพิ่งจะสงบลงก็กลับปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยความที่เขาไม่เคยชินกับการถูกสั่งหรือถูกควบคุมโดยผู้หญิงมาก่อน จนเขาต้องพยายามระงับอารมณ์ไม่พอใจหญิงสาวเอาไว้อย่างเต็มที่
 
แต่เพราะรู้ตัวดีว่าเรื่องนี้เขาผิดเต็มประตู เพราะความเข้าใจผิด อินทุจึงยอมสงบลงง่ายๆ ถึงแม้จะรู้สึกขัดใจไปบ้างก็ตาม เขาจึงยอมเดินตามชายหนุ่มและหญิงสาวเจ้าของบ้านเข้าไปติดๆ
 
“ท่านไม่ใช่เจ้าศิขริน” อินทุถามขึ้นเมื่อเจ้าของบ้านทั้งสองนั่งลงที่โซฟาตัวยาวภายในห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว
 
“ไม่ใช่” ภูผาส่ายหน้าพร้อมทั้งทำตาขวางใส่ชายหนุ่มที่ประทุษร้ายเขาเมื่อสักครู่
 
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องรับแขกด้วยท่าทางอันมาดมั่น เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างสำนึกผิดและยอมรับ “ข้าขอโทษ”
 
ภูผาไม่ได้ติดใจเอาความกับชายหนุ่มตรงหน้า เพราะเขามีเรื่องสำคัญที่ร้อนใจอยากจะรู้เรื่องมากกว่า...นั่นก็คือ ประวัติของชายหนุ่มคนนี้ เขาจึงไม่รีรอที่จะซักถามข้อมูลของชายหนุ่มที่น้องสาวของเขาช่วยเหลือเอาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปทำงานที่ภูเก็ต “คุณเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน หายดีแล้วใช่ไหม ผมจะได้พาคุณไปส่งบ้านเสียที”
 
ชายหนุ่มที่ถูกซักถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถามมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากปากเจ้าของบ้านอย่างไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี “ข้า...”
 
ในเมื่อเจ้าของบ้านไม่ได้คำตอบของคำถามก่อนหน้าจากแขกตรงหน้าเลยสักคำถามเดียว ภูผาจึงหันไปซักไซร้เอากับน้องสาวแทน “ศศิว่าไง เล่ามาให้หมด”
 
“เอ่อ...เรื่องมันยาวนะค่ะ”
 
“พี่พร้อมจะฟัง”
 
หญิงสาวหนึ่งเดียวภายในห้องรับแขกกว้างขวางที่ขณะนี้ดูจะคับแคบไปถนัดตาอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเจอน้ำเสียงทรงอำนาจของคนที่พร้อมจะฟัง ก่อนจะพยักหน้าและเริ่มต้นเล่าประวัติของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนตัวตรงน่าเกรงขามอยู่กลางห้องให้พี่ชายได้ฟัง
 
ประวัติ...ที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเหลวไหล แต่เธอก็ไม่รู้เรื่องอะไรของเขามากไปกว่าที่เขาพยามบอกกับเธอ เธอก็เลยจำเป็นต้องเล่าเรื่องเหลือเชื่อที่ได้ยินจากปากของชายหนุ่มให้พี่ชายได้ฟังด้วย
 
“ข้ามเวลา! บ้าไปแล้ว” ภูผาส่ายหน้ากับเรื่องเหลวไหลที่น้องสาวเล่าให้ฟัง แล้วก็หันไปมองหน้าชายหนุ่มตรงๆ เพื่อจะมองเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้น เพื่อค้นหาความจริง
 
“แล้วศศิก็เชื่อเขา”
 
“ศศิก็ไม่ได้เชื่อ แต่ว่า...” หญิงสาวพยายามจะปฏิเสธข้อกล่าวหาของพี่ชาย ไม่ใช่ว่าเธอจะเชื่อเขาทั้งหมด เธอก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้พี่ชายเข้าใจเหมือนกัน
 
“เจ้า!” อินทุแทบจะปรี่เข้าไปหาหญิงสาวด้วยอารมณ์ขัดใจและน้อยใจที่ได้ยินเธอบอกว่าเธอไม่เชื่อเขา ถ้าไม่ติดว่ามีพี่ชายของเธอนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย เขาคงเข้าไปประชิดถึงตัวเธอไปแล้ว
 
“ท่านอยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหม! อย่าขัดให้เสียเรื่อง” ศศิธรหันไปตวาดชายหนุ่มด้วยแววตาวาวโรจน์ไม่แพ้กันเพราะยังเคืองที่เขาทำร้ายร่างกายของพี่ชายอยู่ แล้วจึงหันไปพูดกับพี่ชายต่อ “ศศิก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน พี่ภูต้องดู ต้องสังเกตเอาเอง”
 
“แล้วพาเขาไปเช็คสมองมาหรือยัง”
 
“ไปมาแล้วค่ะ”
 
“หมอว่าไง”
 
“หมอบอกปกติทุกอย่าง ที่ศรีษะและลำตัวของเขาไม่มีร่องรอยบาดแผลใหม่ หรือรอยกระแทกกับอะไรทั้งนั้น”
 
หมอที่ตรวจร่างกายของอินทุ บอกกับเธอว่าตามลำตัวของเขามีร่องรอยบาดแผลอยู่สอง-สามแผล แต่เป็นรอยแผลเก่าทั้งนั้น แผลใหม่ไม่มีเลย และเธอก็ได้พิสูจน์ด้วยตาและมือของตัวเองมาแล้ว เมื่อครั้งที่อาบน้ำให้กับเขา ก็เห็นดังเช่นที่หมอบอก
 
“พี่จะพาเขาไปหาหมออีกรอบ เผื่อศศิฟังหมอมาผิดๆ”
 
“พี่ภู!”
 
“เงียบ! อย่าขัด...ถ้าอยากให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ” ไม่ใช่ว่าภูผาไม่เชื่อในคำบอกเล่าของน้องสาว แต่เขาไม่เชื่อมากกว่าว่าผู้ชายคนนี้จะข้ามเวลามาแบบที่น้องสาวบอก เขาเลยต้องพาชายหนุ่มไปตรวจเช็คเพื่อความแน่ใจอีกรอบ
 
“พอกัน เจอแต่ผู้ชายชอบสั่ง ชอบวางอำนาจ” หญิงสาวหนึ่งเดียวแอบค้อนให้ผู้ชายสองคนภายในห้องรับแขกอย่างขัดใจ
 
“ศศิบ่นอะไร” และ “เจ้าว่าอะไร”
 
ชายหนุ่มสองคนเอ่ยออกมาแทบจะพร้อมกันทันทีที่ได้ยินหญิงสาวหนึ่งเดียวภายในห้องต่อว่าเขาทั้งสองคนออกมาไม่ดังและไม่เบานัก
 
“เปล่าค่ะ อยากทำอะไรก็ทำเลยค่ะ ศศิเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปทำอะไรได้ ขนาดพูดอะไรออกไป ยังไม่มีใครอยากจะเชื่อเลย” หญิงสาวพูดทิ้งท้ายไว้แค่นี้ ก็ลุกเดินหนีออกมาอย่างงอนๆ ปล่อยทิ้งให้ผู้ชายสองคนได้พูดคุยทำความรู้จักกันและกันเพียงลำพัง และด้วยความโมโห ศศิธรก็อดที่จะคิดอย่างพาลๆ ไม่ได้ เธอนึกอยากให้คนทั้งคู่ลุกขึ้นมาต่อยกันแบบเมื่อสักครู่มากกว่าจะนั่งคุยกันดีๆ อีกสักยก ซึ่งครั้งนี้ เธอจะไม่ห้ามเลยสักนิด แถมยังจะส่งเสียงเชียร์ด้วยความสะใจอีกต่างหาก
 
 
 
 
++++++++++++++
 
ขอบคุณสำหรับเม้นแรก และ เม้นที่ 2 นะคะ
 
รัก
พลอยลภัสร์ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา