ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่ 7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 7
หลังจากที่ศศิธรปล่อยให้พี่ชายและแขกผู้อ้างว่าเดินทางข้ามเวลาจากกลาพิมพ์มาบ้านของเธอ ได้ทำความรู้จักกันทั้งคืน โดยที่เธอไม่ได้เฉียดกายเข้าไปวุ่นวายขณะที่คนทั้งสองคุยกันเลยสักนิด
วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มทั้งสองก็พากันเดินชักแถวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แล้วพี่ชายก็พาแขกหนุ่มตัวโตกลับเข้าบ้านมาตอนเกือบๆ สามทุ่ม หลังจากที่พากันออกไปตระเวณนอกบ้านมาทั้งวันพร้อมกับคำพูดที่ว่า...
‘พี่เชื่อเขา’
‘
‘พี่ภูว่าอะไรนะคะ’
‘พี่เชื่อว่าเขาข้ามเวลามาจริงๆ’
‘พี่ภูเชื่อ! ทำไมถึงเชื่อง่ายจัง’
‘พี่คุยกับเขาแล้ว’
‘แล้วพี่ภูก็เชื่อเขาง่ายๆ’ ศศิธรย้อนคำถามที่พี่ชายเคยพูดกับเธอด้วยความน้อยใจและไม่เข้าใจ
‘อืม’
‘ศศิพูด อธิบายแทบตายพี่ภูกลับไม่เชื่อ แต่พอได้คุยกับเขาแค่ไม่กี่ประโยค พี่ภูก็เชื่อเขาง่ายๆ’
‘ศศิพูดกับเขาพูดมันต่างกัน’
‘แล้วต่างกันตรงไหนคะ’
‘เอาเป็นว่าพี่เห็นด้วยตัวเอง แบบที่ศศิบอกแล้ว ก็เลยเชื่อแล้วกัน พี่ขี้เกียจจะเถียงกับศศิแล้ว’
‘พี่ภูก็แบบนี้ทุกที’
ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ เชื่อคำพูดของผู้ชายด้วยกันเองมากกว่าผู้หญิงพูด ทั้งที่เธอเป็นน้องสาวของภูผาแท้ๆ ถึงแม้จะน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ก็เถอะ
‘ภูผา’ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับศศิธร เขาเป็นลูกชายของป้าเธอ ซึ่งศศิธรกับภูผาสนิทกันมาก เพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา ซึ่งตอนนั้นเด็กหญิงศศิธรที่มีอายุเพียงสี่ปี ติดพี่ชายคนใหม่เป็นอย่างมาก
ซึ่งตอนที่เกิดเหตุนั้น ภูผามีอายุครบสิบสี่ปีพอดีในวันที่แม่ของเขาเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับพ่อของศศิธร
เนื่องจากพ่อของภูผามีภรรยาน้อย ทำให้แม่ของเขาทุกข์ใจมาก จึงหอบผ้าหอบผ่อนเดินทางหนีมาหาแม่ของศศิธรที่บ้าน พอลงรถในตัวเมือง ศมนก็ให้สามีเอารถออกไปรับแม่ของภูผา ทว่าระหว่างทางก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับทั้งสองคน
โดยที่คู่กรณีเมามายไม่รู้เรื่องรู้ราว ว่าได้ขับรถข้ามเลนมาอีกฝั่งทำให้รถอีกคันต้องหักหลบจนรถไปชนเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างทางจนหน้ารถพังยับ ทำให้คนสองคนในรถ...พ่อของศศิธรและแม่ของภูผา...บาดเจ็บสาหัส และในเวลาต่อมาก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเพราะเสียเลือดไปเยอะ
ซึ่งตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม่ของศศิธรก็รับเลี้ยงดูภูผามาโดยตลอด ด้วยเงินสนับสนุนจากพ่อของภูผา
เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ภูผาก็บอกพ่อของเขาว่า เขาจะมาอยู่กับน้าสาวนั่นก็คือศมน เพราะเขาไม่สามารถทนอยู่ที่บ้านที่มองไปทางไหนก็ทำให้คิดถึงแต่แม่ได้
ศศิธรไม่รู้ว่า ตอนนั้นภูผารู้เรื่องราวของพ่อกับแม่มากน้อยแค่ไหน แต่พ่อของภูผาก็คงจะรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถึงยอมปล่อยให้ลูกชายคนเดียวมาอยู่กับแม่ของเธอ แต่มีข้อแม้เพียงหนึ่งข้อ นั่นก็คือเมื่อภูผาเรียนจบ ภูผาต้องเข้ามาดูแลกิจการทั้งหมดของที่บ้าน
ตอนนี้นอกจากภูผาจะดูแลรีสอร์ทเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเขาเองแล้ว เขายังต้องเข้าไปคุมกิจการมากมายเกี่ยวกับรีสอร์ทของพ่อ แล้วยังต้องไปมาหาสู่กับบ้านใหญ่อยู่เรื่อยๆ เพราะเขาเป็นลูกชายคนโตและคนเดียวของบ้าน เพราะน้องๆ ที่เกิดจากแม่เลี้ยงของเขานั้น เป็นผู้หญิงทั้งหมด
ซึ่งที่ดินที่ใช้สร้างรีสอร์ทและบ้านหลังนี้ก็เป็นมรดกที่ภูผาได้รับมาจากพ่อบังเกิดเกล้า ตอนแรกภูผาไม่ยอมรับ แต่เพราะศมนไม่สบาย ภูผาจึงอยากให้แม่ของศศิธรได้มาอยู่ในที่ๆ อากาศดีๆ เขาจึงยอมรับมรดกชิ้นนี้เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับศศิธร แล้วก็พาศศิธรกับศมนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่
//////////////////////////////////////
“เจ้ากำลังทำอะไร”
ศศิธรสะดุ้งตื่นจากเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากถูกทักจากทางด้านหลังจากชายหนุ่มร่วมชายคาบ้านอีกคน ก่อนจะหันมาตอบคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “ข้ากำลังพยายามค้นหาวิธีรักษาแม่ของข้า”
“หา...จากพวกนี้รึ” อินทุกวาดตามองไปตามหนังสือมากมายบนโต๊ะตรงหน้าหญิงสาว
“อืม” ศศิธรขยับหนังสือเล่มที่อยู่ในมือให้กับชายหนุ่มที่กำลังเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ มาทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามเธอได้ดูหน้าปก
“ข้าเคยอ่านเจอจากในหนังสือเล่มนี้ ว่าอาการลักษณะแบบที่แม่ข้าเป็น เป็นโรคระบาดสมัยราวๆ เมื่อห้าร้อยปีก่อน”
“ห้าร้อยปีก่อน”
“ใช่...แต่ข้าพยายามค้นหาเท่าไร ก็หาไม่เจอว่ามันชื่อโรคอะไร และต้องรักษาอย่างไร”
อินทุไม่ได้สนใจหนังสือตรงหน้าสักเท่าไร เพราะเขาอ่านมันไม่ออก แต่กลับพยักเพยิดไปที่ห้องนอนเล็กที่กรุกระจกโดยรอบ และมีระเบียงด้านข้าง ยื่นออกมาภายในสวนหลังบ้าน ที่มีทางขึ้นอีกทางจากในสวน ทางที่เขาเพิ่งเดินขึ้นมาเมื่อสักครู่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “ข้าขอเข้าไปดูแม่เจ้าได้ไหม”
“ได้ซิ” ศศิธรอนุญาต แล้วก็ลุกขึ้นเดินนำชายหนุ่มเข้าไปในห้องที่แม่ของเธอกำลังนอนหลับอย่างระโหยโรยแรงอยู่บนเตียงนอนสีเหลืองครีมสะอาดสะอ้าน
“เกร็ดพิษ”
“หือ”
“แม่ของเจ้าเป็นโรคเกร็ดพิษ” อินทุเอ่ยชื่อโรคที่เขาพอจะรู้จักออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นลักษณะอาการที่แม่ของหญิงสาวเป็น
อาการที่ตามผิวหนังมีสะเก็ดแผลแห้งๆ เต็มไปหมด และรอบๆ บริเวณสะเก็ดแผล จะมีลักษณะเป็นจ้ำๆ แดงๆ ช้ำๆ และถ้าแม่ของหญิงสาวมีอาการง่วงเหงาหาวนอน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงตลอดเวลา ตาแดง แต่ไม่มีไข้ตัวร้อน
“เกร็ดพิษ...คือโรคอะไร ท่านรู้จักหรือ” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ที่ๆ ข้าอยู่ เคยมีคนเป็นโรคนี้”
หญิงสาวรีบสาวเท้าเข้าไปประชิดตัวชายหนุ่ม พร้อมทั้งเขย่าแขนถามเขาอย่างตื่นเต้น “แล้วรักษาอย่างไร มีทางรักษาให้หายขาดไหม”
“ข้าเห็นคนของข้าต้มหญ้าอะไรสักอย่างให้คนป่วยกิน”
“แล้วหายไหม” ศศิธรเอ่ยถามขึ้นอย่างมีความหวัง หลังจากที่เธอแทบจะหมดหวังวันละหลายรอบ เพราะหลังจากแม่ของเธอป่วยเป็นโรคชนิดนี้มาแรมปี แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะรักษาหาย ได้แต่ประคับประครองรักษาตามอาการ และคอยดูแลให้แม่อยู่ในสถานที่ๆ สะอาด และอากาศปลอดโปร่งเท่านั้น
หมออะไรที่ว่าดี เธอกับภูผาก็พามารักษาแม่จนหมดแล้ว หรือยาอะไรที่ใครบอกว่าดี เธอก็ลองไปหามาให้แม่ลองแทบจะหมดแล้วเช่นกัน แต่อาการของแม่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม...ไม่ทรุด แต่ก็ไม่หาย
“หาย”
“ท่านต้องช่วยข้านะ ท่านต้องนึกให้ออกว่าหญ้าอะไรที่นำมารักษาแม่ของข้าได้” ศศิธรเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะลากแขนอินทุออกมายังระเบียงเช่นเดิม เมื่อรู้สึกว่าเธอชักจะเสียงดังด้วยความตื่นเต้น รบกวนคนป่วยบนเตียงมากเกินไปแล้ว
ปกติแล้วที่นั่งทำงานของเธอจะมีอยู่สองที่ นั่นก็คือบริเวณระเบียงแห่งนี้ที่เชื่อมต่อมาจากห้องนอนของแม่ ซึ่งมีทางขึ้นเป็นบันไดไม้เตี้ยๆ จากสวนหลังบ้าน และอีกที่หนึ่งที่เธอมักใช้ในยามค่ำคืนนั่นก็คือศาลาสีขาวริมน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก
“ข้าไม่รู้จริงๆ เพราะมันไม่ใช่งานของข้า”
“ทำไมท่านถึงไม่รู้ ทำไมท่านถึงจำไม่ได้...ทำไมล่ะ” หญิงสาวเขย่าแขนชายหนุ่มที่เพิ่งลากเขาออกมาจากห้องแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์อยากรู้ข้อมูลอะไรก็ได้ที่มันมากกว่า...หญ้าอะไรสักอย่าง
หรือถ้าจะพูดให้ถูก เธอแทบอยากจะเปลี่ยนจากบีบแขน ไปบีบคอเขาแทน เพื่อเค้นเอาคำตอบออกมาจากปากของเขามากกว่ายืนบีบแขนเขาอยู่แบบนี้
“ศศิ...ใจเย็นๆ ข้าไม่รู้จริงๆ” อินทุจับแขนของหญิงสาวทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยมือหนา พร้อมทั้งปรามเสียงดุ เพื่อให้เธอใจเย็นลง
“ทำไม” ศศิธรเอ่ยถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหมดหวัง เมื่อรู้สึกว่าโลกของเธอกลับมามืดดำอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อสักครู่เธอยังเห็นแสงทองส่องสว่างตรงปลายอุโมงค์อยู่ลิบๆ อยู่เลย “ทำไมท่านถึงไม่รู้”
“ข้าไม่ใช่หมอต้มยานะ ข้าเป็น...ข้าเป็น...เป็นแค่ทหารคนหนึ่งเท่านั้น” อินทุเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พร้อมๆ กับที่แสดงสีหน้าออกมาชัดเจนว่าเขากำลังปิดบังโกหกอะไรสักอย่างกับหญิงสาวตรงหน้าอยู่ แต่ตอนนี้ศศิธรไม่มีเวลาคิด สนใจหรือสังเกตอะไรมากนัก นอกจากพยายามหาข้อมูลของ...โรคเกร็ดพิษ...โรคที่ชายหนุ่มพูดถึงเท่านั้น
“เจ้าทำอะไร” อินทุถามขึ้นหลังจากที่หญิงสาวยอมนั่งอย่างสงบลงไปที่เก้าอี้ตัวเดิมพร้อมทั้งเปิดอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่เขาไม่เคยเห็นขึ้นมา
“หาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต”
“อะไรคืออินเทอร์เน็ต?”
“มันเป็นเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้พวกเราสื่อสารกับคนทั้งโลกได้ ซึ่งก็สามารถหาข้อมูลได้จากตรงนี้เช่นกัน นอกเหนือจากในหนังสือพวกนี้” หญิงสาวพยายามอธิบายให้ชายหนุ่มเข้าใจ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดหรือเปล่า
ปากอธิบาย แต่มือกับตาก็ทำการค้นหาไปด้วย “นี่ไง...อยากรู้ข้อมูลอะไร ก็ค้นหาตรงนี้”
“ค้นหาข้อมูล!...ผ่านเจ้าเครื่องนี้หรือ” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทึ่งจัด เขารู้สึกว่าโลกยุคนี้มีอะไรที่มันล้ำหน้าจากยุคที่เขาเคยอยู่มากมายเหลือเกิน
ศศิธรพยักหน้ารับเร็วๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาข้อมูลต่อ โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันอีกเลย
“หาเจอไหม” ชายหนุ่มถามขึ้น เมื่อได้ยินหญิงสาวถอนหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับละมือจากอุปกรณ์ไฮเทคของเธอ หลังจากเวลาผ่านไปเพียงยี่สิบนาที
“ไม่เจออะไรเลย ไม่มีใครรู้จักโรคนี้เลยหรือ” หญิงสาวส่ายหน้าอย่างปลงตก “แต่ทำไมในหนังสือเล่มนี้ ยังมีเขียนถึงโรคระบาดลักษณะแบบที่แม่ข้าเป็นเลยนะ”
และมันก็เป็นแบบนี้ทุกที...เหมือนจะมีหวัง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวทุกที
“ขอข้าดูหน่อย” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มที่หญิงสาวพูดถึง เผื่อจะมีรูปภาพอะไรให้เขาได้ดูบ้าง
“ท่านอ่านออกหรือ”
“ข้าอ่านภาษาของเจ้าไม่ออก” อินทุเอ่ยออกมาตามตรง แต่ตาของเขาก็ยังเปิดหนังสือเพื่อไล่ดูรูปภาพจากหนังสือของเธอ และหลังจากพลิกเปิดไปได้สองหน้า เขาก็เจอ “แต่ใต้รูปนี้ มันเขียนว่า...เกร็ดพิษ”
“หือ...” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ศศิธรก็รีบลุกขึ้นไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ที่ชายหนุ่มนั่ง แล้วโน้มตัวก้มลงพลิกหนังสือไปที่อีกหน้าหนึ่ง เมื่อคิดได้ว่าเธอเคยเห็นรูปต้นไม้แปลกๆ อยู่ริมๆ กระดาษสักหน้าหนึ่งในหนังสือ “แล้วใต้รูปนี้ล่ะ”
ชายหนุ่มก้มลงมองตามนิ้วเรียวยาวของหญิงสาวที่กำลังชี้ให้เขาดูรูปในหนังสือ โดยพยายามจะไม่คิดถึงกลิ่นกายหอมหวนจากตัวเธอที่กำลังโน้มตัวข้ามไหล่กว้างของเขาอยู่ในขณะนี้
“หญ้าอาบจันทร์...ทำไมรึ” อินทุเงยหน้าขึ้นไปบอกกับหญิงสาว พร้อมๆ กับที่หญิงสาวก็กำลังหันหน้ามาหาเขาพอดี ทำให้สันจมูกของชายหนุ่มกับริมฝีปากสีชมพูอ่อนของหญิงสาวเฉียดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งลักษณะแบบนี้ มันเหมือนกับว่า...เธอกำลังจูบเขา
ทั้งสองนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายยืดตัวตรงแล้วรีบถอยกลับมานั่งที่เดิมด้วยความกระดากอายในการกระทำของตนเอง
แต่เมื่อระลึกได้ว่า ต้นหญ้าที่ชายหนุ่มพูดถึงก็น่าจะเป็น...หญ้าอาบจันทร์...ศศิธรก็ลืมตัว เผลอยิ้มออกมาอย่างมีความหวังในการหาตัวยามารักษาแม่ของเธอให้หายขาด
“ก่อนหน้านี้ข้าอาจจะไม่ได้เชื่อทุกคำพูดของท่าน แต่ตอนนี้ข้าเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า...ท่านถูกส่งมาที่นี่เพื่อมาช่วยเหลือแม่ข้า ตามที่ข้าได้พร่ำขอพรจากพระจันทร์บ่อยๆ”
เนื่องจากศศิธรเกิดในวันลอยกระทง ซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ตอนเด็กๆ พอเวลาเธออยากทำอะไรให้สำเร็จ พ่อก็มักจะชวนเธอมานั่งมองพระจันทร์เต็มดวง แล้วก็ชวนกันขอพรจากพระจันทร์เสมอจนติดเป็นนิสัย เธอจึงค่อนข้างเชื่อในคำอธิษฐานของเธอกับพระจันทร์ดวงกลมโต
แล้วยิ่งตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว และแม่ก็มาป่วยจนยากจะรักษาให้หายขาด ทำให้เวลาที่ศศิธรคิดถึงพ่อ หรือคิดอะไรไม่ออก เธอก็มักจะเงยหน้ามองพระจันทร์ในวันพระจันทร์เต็มดวง และขอพรเรื่องแม่เสมอ
ศศิธรถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเอ่ยชวนชายหนุ่มข้างกายออกไปข้างนอกด้วยกันในวันพรุ่งนี้ “พรุ่งนี้เราไปหาข้อมูลของหญ้าอาบจันทร์ด้วยกันนะ”
อินทุแอบขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับวาจากึ่งๆ เชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่งของหญิงสาวตรงหน้าในสิ่งที่เขาเคยบอกเธอ แต่เมื่อแลเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มกับเขาทั้งปากและตาเป็นครั้งแรก บวกกับความใกล้ชิดเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มก็ลืมความขัดข้องใจไปชั่วขณะ จึงพลอยยิ้มมุมปากตามหญิงสาวไปด้วย
ศศิธรเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของอินทุ กับอาการยกมือขึ้นรูปสันจมูกของเขาอย่างอ้อยอิ่ง ก็เสก้มหน้าหลบสายตาของชายหนุ่มรูปงามที่กำลังก้มหน้าและจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ ทันที
ซึ่งการกระทำของเขาก็ทำให้เธอซึ่งพยายามแกล้งทำเป็นลืมเหตุการณ์ชวนให้หน้าแดงด้วยความขัดเขินเมื่อสักครู่ เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเธอเป็นฝ่ายจูบผู้ชายก่อน หน้าเห่อแดงขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเพลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของศศิธรก็ขึ้นเพลงใหม่พอดิบพอดี เพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะชวนให้เคลิบเคลิ้มฝันหวาน
‘ฟ้าดลบันดาลให้เรามาพบ เวทมนตร์ฉันใดถึงได้มาเจอ หรือโชคชะตาได้ขีดเอาไว้ ให้มอบหัวใจรักมั่นเพียงเธอ...’
(**เพลง : ดั่งฝันฉันใด, นักร้อง: เคลียร์)
ศศิธรอยากจะเอื้อมมือไปปิดเพลงในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค กับเช็ดรอยสัมผัสที่เธอแอบทิ้งไว้กับเขาด้วยมือบอบบางของตัวเองแทนที่การลูบเบาๆ ของเจ้าของมือหนา ที่เขาทำราวกับจะจารรึกรอยสัมผัสจากเธออย่างไรอย่างนั้น
แต่เอาเข้าจริงๆ ศศิธรก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวไปไหน หรือแม้แต่วิธีการหายใจด้วยจังหวะสม่ำเสมอ เธอก็คิดว่าเธอได้ลืมมันไปชั่วขณะเช่นกัน ก็เขาเล่นจ้องเธอด้วยสายตาที่แทบจะหลอมให้เธอกลายเป็นไอไปต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้ เป็นใครก็ต้องรู้สึกหายใจติดขัดเหมือนกันกับเธอทั้งนั้น ถึงแม้จะไม่ได้คิดอะไรกับคนที่เอาแต่จ้องตาไม่กะพริบก็ตาม
/////////////////////////////////////
อินทุจ้องมองหญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถพาเขาตระเวณรอบเมืองซึ่งมีสิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกประหลาดเต็มไปหมดด้วยความอายและขัดเคืองใจ เพราะเธอเอาแต่นั่งหัวเราะเขาจนตัวงออยู่หลังพวงมาลัย หลังออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน จนตอนนี้เธอก็ไม่มีทีท่าจะหยุดหัวเราะเสียงกังวาลได้โดยง่าย อินทุฮึดฮัดขัดใจอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างสุดกลั้น “เจ้าควรจะหยุดหัวเราะข้าได้แล้ว”
“ทำไม” สารถีสาวสวยขมวดคิ้วถามออกมาอย่างขัดใจ ที่ถูกสั่งห้ามอะไรแปลกๆ
“เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่”
“ข้าเปล่าดูถูกท่านนะ” ศศิธรเอ่ยปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่ เมื่อได้รับรู้ถึงที่มาของคำสั่งของอินทุ พลางหันไปมองหน้าชายหนุ่มแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาให้ความสนใจกับถนนตรงหน้าเช่นเดิม ซึ่งช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั่น เธอก็ทันได้เห็นสายตาขุ่นเคืองของชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่เช้าอีกด้วย
“ไม่...เจ้ากำลังทำมัน”
“ข้าไม่ได้ดูถูกท่าน...” ศศิธรหยุดหัวเราะและเอ่ยปฏิเสธออกไปทันที เพราะเธอไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกชายหนุ่ม แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าสีตาตื่นๆ ของชายหนุ่มเมื่อได้มาเห็นตึกรามบ้านช่องมากมายที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เธอก็หลุดขำออกมาอีกครั้ง “ข้าเพียงแค่ขำกับท่าทางของท่านก็เท่านั้น”
“ท่าทางข้า...มันน่าขันตรงไหน” อินทุขยับหันมามองหน้าสารถีสาวสวยทั้งตัวด้วยแววตาหาเรื่องเต็มที่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกอึดอัดไปบ้างกับสายรัดที่พาดทับไหล่ซ้ายและรอบเอวของเขา แต่เขาก็เริ่มจะชินกับมันบ้างแล้วกับเจ้าพาหนะที่ถูกเรียกว่า...รถยนต์...ของคนยุคนี้
------------------------------------------------
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
รัก
พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ