ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  24.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
บทที่ 1
 
          “จันทรพิมพ์...จันทรพิมพ์...”
          หญิงสาวซึ่งทำหน้าที่เป็นพยาบาลจำเป็นนั่งมองหน้าชายหนุ่มรูปงามหุ่นทรมานใจสาวที่กำลังนอนกระสับกระส่ายพร่ำเพ้อด้วยพิษไข้ และละเมอเรียกหาแต่หญิงสาวนามว่า ‘จันทรพิมพ์’ ไม่ขาดปาก ตั้งแต่ที่เธอช่วยลากเขาขึ้นมาจากบ่อน้ำข้างหลังบ้าน
          พลันหน้าของพยาบาลจำเป็นก็แดงขึ้นมาทันทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อหวนคิดไปถึงบ่อน้ำข้างหลังบ้านและวิธีการที่เธอพาชายหนุ่มเข้ามานอนภายในห้องนี้
          จะไม่ให้เธอหน้าแดงได้อย่างไร เมื่อจู่ๆ ก็ได้เห็นผู้ชาย ‘แก้ผ้า’ เล่นน้ำตอนกลางดึกในคืนวันที่อากาศหนาวเหน็บเย็นจัดขนาดนี้ แล้วยังเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงอีกด้วย แสงจันทร์ก็เลยสุดแสนจะเป็นใจให้กับหญิงไทยใจงาม อะไรที่ไม่สมควรเห็น เธอก็ได้เห็นแบบเต็มตาเต็มใจและชัดเจนเลยทีเดียว “ยัยศศิ ทะลึ่งแล้วไง”  
          ศศิธรเอ่ยดุตัวเองเบาๆ เมื่อหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ชวนให้เธอคิดทะลึ่งเมื่อตอนหัวค่ำ เหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงจนถึงตอนนี้
 
////////////////////////////////////////////
 
          ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ขณะที่ศศิธรกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บริเวณศาลาริมน้ำ เธอก็รู้สึกว่ามีแสงสีขาวประหลาดสว่างวาบขึ้นจากบริเวณบ่อน้ำ เข้ามากระทบทางหางตาของเธอ ทว่าเมื่อเธอหันไปมองยังทิศทางดังกล่าว แสงสีขาวเหล่านั้นก็หายไป พลันเธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนเรียกชื่อ ‘จันทรพิมพ์’ ด้วยสำเนียงแปร่งแปลกมาแทนที่ เธอจึงลุกขึ้นยืนแล้วเพ่งมองไปตามทิศทางของเสียงที่เธอได้ยิน
          ทันใดนั้นสายตาของเธอก็ประสานเข้ากับสายตาของชายหนุ่มรูปงามที่ ‘เปลือยทั้งตัว’ กำลังค่อยๆ เดินช้าๆ ขึ้นมาจากบ่อน้ำ
          รูปร่างกำยำล่ำสันและสายตาของเขาสะกดให้เธอมองเขาตั้งแต่...หัว จรดหน้าอก จรดเอว จรด...
          “กรี๊ดดดดดด...อย่าเข้ามานะ อย่าเดินมาทางนี้นะ”  ศศิธรกรีดร้องเสียงดังและรีบหันหน้าหนีจากผู้ชายแก้ผ้าตรงหน้าทันทีที่เห็นเขาค่อยๆ เดินขึ้นมาจากบ่อน้ำและกำลังมุ่งตรงมาทางที่เธอกำลังยืนอยู่อีกด้วย และทั้งตัวของเขาเกือบจะโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำแล้ว
          ทว่า...ตู้ม!
          หญิงสาวหยุดอาการโวยวายแล้วรีบหันไปมองยังทิศทางเดิม เมื่อได้ยินเสียงเหมือนอะไรหนักๆ หล่นลงน้ำเสียงดัง และเมื่อเธอหันกลับไปมองทางเดิมอีกครั้ง เธอก็ไม่เห็นผู้ชายเปลือยทั้งตัวคนนั้นอีกแล้ว “หายไปไหนแล้วนะ หรือว่าจะเป็นผีพราย!”
          ศศิธรรีบลุกขึ้นจากศาลาริมน้ำเดินไปยังทิศทางที่เธอเห็นผีพรายครั้งสุดท้ายทันที และเธอก็ได้เห็นร่างหนากำยำนอนคว่ำหันหน้ามาทางเธออยู่ตรงขอบบ่อน้ำนั่น
          ด้วยอารามตกใจกลัวว่าผู้ชายที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้นจะเป็นอะไรมาก ทำให้หญิงสาวรีบสาวเท้าเดินไปยังร่างหนากำยำด้วยความรวดเร็ว โดยที่ลืมคิดไปเสียสนิทว่าผู้ชายที่นอนคว่ำอยู่นั้น…เปลือยสนิททั้งตัว ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า
          “คุณ...คุณ...คุณคะ” ศศิธรยืนทิ้งระยะห่างจากร่างหนาเปลือยเปล่านั้นประมาณสองเมตร ก่อนจะตะโกนเรียกผีพรายของเธอเสียงไม่ดังแต่ก็ไม่เบานัก แต่เมื่อเห็นว่าผีพรายรูปงามไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวหรือขยับเขยื้อนร่างกายเลยสักนิด เธอจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เขาพร้อมทั้งเขย่าแขนเรียกด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นกว่าเดิม “คุณ...คุณคะ คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
          และหญิงสาวก็แทบสะดุ้งเมื่อจับแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาแล้วพบว่ามันเย็นจัดเหมือนดั่งน้ำแข็งในตู้เย็น
          “ตัวเย็นเฉียบเลย จะเป็นอะไรไหมเนี่ย” ศศิธรบ่น ก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กที่เธอใช้ห่มคลุมไหล่ขณะที่นั่งอ่านหนังสือ เพื่อเอามาคลุมกายให้เขาคลายหนาว ซึ่งตอนนี้ศศิธรไม่ได่สนใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้จะเป็น ‘คน’ หรือ ’ผีพราย’ เธอรู้แต่ว่าเธอต้องช่วยชีวิตเขาไว้ก่อน เพราะในความคิดของเธอ...ทุกชีวิตมีค่าเสมอ
          “ถ้าเป็นผีพรายจริงๆ คงจะไม่ตัวหนักขนาดนี้” ศศิธรยังคงใช้การบ่นเสียงดังเป็นเพื่อน ขณะที่พยายามลากผู้ชายร่างหนาขึ้นมาจากขอบบ่อน้ำ หลังจากเอาผ้าห่มคลุมกายให้เขาเรียบร้อยแล้ว แต่กว่าจะลากเขาพ้นน้ำขึ้นมาได้ ก็ทำให้เธอหอบจนตัวโยน
          เมื่อศศิธรลากสิ่งมีชีวิตซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเป็น ‘คน’ หรือ ’ผีพราย’ พ้นขึ้นมาจากขอบบ่อที่น้ำในบ่อเย็นจัดยิ่งกว่าน้ำในตู้เย็นเสียอีก เพราะเป็นช่วงปลายปีที่อากาศค่อนข้างเย็น เธอก็ต้องตกใจจนเกือบจะหวีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหันไปเห็นท่อนล่างเปลือยเปล่าของผู้ชายที่เธอลากขึ้นมา
          เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่าเขา...เปลือยทั้งตัว...ยังดีหน่อยที่เธอไม่ได้จับเขาพลิกหงายหน้าขึ้นมาก่อนที่จะจัดการลากชายหนุ่มขึ้นมาบนฝั่ง ไม่งั้นนะ...
          แค่คิด...เลือดในกายหญิงสาวก็ร้อน พานทำให้หน้านวลเห่อร้อนแดงขึ้นมาทันตาเห็น
          ศศิธรจัดการเลื่อนผ้าห่มผืนเล็กที่ห่มคลุมไหล่ให้กับเขาลงมาปิดบังท่อนล่างให้เขาแทน แล้วก็จัดการพลิกร่างหนาขึ้น จากนั้นก็พันท่อนล่างด้วยผ้าห่มผืนเล็กนั้นทันทีทันใดเพื่อกันความอุจาดตา หลังจากจัดการปกปิดท่อนล่างของผีพรายร่างยักษ์เรียบร้อยโรงเรียนศศิธรแล้ว เธอก็พยายามจะพยุงร่างหนาขึ้นมาเพื่อพาเขาเข้าบ้าน แต่ผู้หญิงร่างเล็กอย่างเธอหรือจะสามารถยกขยับผีพรายร่างยักษ์ได้
          ผลก็คือ...
          เธอล้มหงายหลังลงก้นกระแทกพื้น ส่วนผีพรายร่างยักษ์กลับนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ศศิธรจึงพยายามใหม่อีกครั้ง ตามคติประจำใจที่ว่า...ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
          แต่เธอคงลืมคิดไปว่า บางทีความพยายามก็ไม่ช่วยอะไร เมื่ออุปสรรคเป็นยักษ์ตัวโตเช่นนี้ เพราะผลจากความพยายามครั้งที่สองของเธอก็คือ เธอพาเขาล้มลงไปบนพื้นหญ้าด้วยกันอีกครั้ง และครั้งนี้เธอล้มลงไปทับบนร่างหนาทั้งตัว
          ถ้าเขารู้สึกตัว เขาคงจะ...จุกและเจ็บ...อย่างไม่ต้องสงสัย
          ศศิธรเผลอตัวเผลอใจจ้องหน้าผู้ชายใต้ร่างเธอชั่วขณะ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเจอกับใบหน้าหล่อคมสันตรงหน้า
          ‘เทพบุตร’ นั่นคือคำจำกัดความที่เธอคิดออกในตอนนี้ เมื่อได้เพ่งพิศผู้ชายตรงหน้าเต็มตา ใบหน้าเรียวยาวสมส่วน บวกกับผมหยักศกที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ยาวระต้นคอของเขาอย่างน่าหลงใหล ไหนจะคิ้วหนาเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนาแต่ได้รูป แล้วยังมีดวงตากลมโตคมดุแฝงแววเศร้าคู่นั้นอีก
          รวมๆ แล้วใบหน้าของผู้ชายคนนี้ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายโบราณอย่างไรอย่างนั้น
          “ว้ายย!” ศศิธรร้องขึ้นด้วยความตกใจ แล้วก็รีบตะเกียกตะกายลงจากร่างหนาทันที เมื่อดวงตาคมดุที่เธอเห็นและแอบวิจารณ์คู่นั้นกำลังลืมตาและจ้องมองกลับมาที่เธอด้วยประกายตาระยิบระยับแปลกๆ
          “คุณรู้สึกตัวแล้ว คุณเป็นอะไรมากไหม” เมื่อตั้งสติได้ ศศิธรก็รีบถามรัวเร็วเพื่อแก้เก้อที่เผลอไปนอนทับร่างหนาแล้วยังเผลอจ้องหน้าหล่อราวเทพบุตรของชายหนุ่มเสียนาน
          ทว่าผู้ชายร่างยักษ์กลับไม่ตอบคำถามของศศิธร เขาเอาแต่จ้องหน้าเธอนิ่ง และพยายามจะเอื้อมมือมาลูบไล้ใบหน้าของเธอ พร้อมกับเอ่ยบางอย่างออกมา ด้วยน้ำเสียงแหบโหยโรยแรง แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นผสมผสานไปกับความยินดีปรีดา “จันทรพิมพ์ เป็นเจ้าจริงๆ ใช่ไหม ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
          “คุณลุกไหวหรือเปล่า” ศศิธรไม่ได้สนใจในสิ่งที่ผู้ชายร่างยักษ์พยายามจะสื่อกับเธอ เธอกลับพยายามจะพยุงเขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้เธอก็ทำสำเร็จเสียด้วย เมื่อผู้ชายร่างยักษ์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้เธอสามารถพาเขาลุกขึ้นยืนและโอบประคองเพื่อเดินตรงเข้าไปในบ้านได้สำเร็จ
          ทว่าจู่ๆ ศศิธรก็รู้สึกไม่มีแรงจะเดินขึ้นมาเฉยๆ เมื่อผู้ชายร่างยักษ์ข้างกายเอาแต่โอบกอดกระชับไหล่ของเธอไว้อย่างแนบแน่น แน่นจนแทบจะทำให้ร่างของเธอแหลกติดไปกับร่างหนาของเขา แถมเขายังไม่ยอมขยับก้าวขาเดินอีกด้วย
          และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาเพื่อประท้วงให้เขาคลายอ้อมแขนที่รัดรึงเธอจนแน่นลงบ้าง ก็เจอเข้ากับสายตาคมที่ดึงดูดสายตาของเธอให้มองเขาจนไม่สามารถถอนสายตาออกมาได้
          ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของพ่อเทพบุตรโบราณก็โน้มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเธอใจสั่น จนต้องเสมองแค่แผงอกกำยำของเขาแทน แต่เหมือนว่าการที่เธอพยายามจะเลี่ยงหลบสายตาลงมามองที่หน้าอกของเขานั้น จะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับแผงอกที่มีไรขนรำไรและมีละอองน้ำเกาะพราวอยู่ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ มากกว่าการจ้องตากับเขาเสียอีก
          และผลก็คือ...ความร้อนวาบขึ้นมาที่ใบหน้าของสาวโสดที่ไม่เคยต้องมือชาย ไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายคนไหน ในสภาพที่ผู้ชายเกือบจะเปลือยทั้งตัวแบบนี้มาก่อน แล้วหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอย่างไม่เก็บอาการ พลันแข้งขาก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สั่น จนแทบจะยืนไม่อยู่ เหมือนคนที่กำลังจะเป็นลม ศศิธรจึงรีบหันหน้าหนีจากร่างหนาและพูดด้วยน้ำเสียงดุที่พยายามข่มไม่ให้สั่นเต็มที่ “คุณช่วยขยับเดินหน่อยซิ จะหยุดทำไม อยู่ข้างนอกบ้านแบบนี้ ฉันหนาวนะ”
          ศศิธรไม่รู้ว่าอาการขาสั่นใจสั่นของเธอ เกิดมาจากความหนาวเพราะอากาศที่เย็นจัดภายนอกบ้าน หรือจากร่างหนาที่ตัวเย็นเป็นน้ำแข็งที่แนบชิดติดกับเธออยู่ในตอนนี้ หรือหนาวสั่นอันมีที่มาจากอะไรบางอย่างในตัวเขาที่เธอสัมผัสถึงกันแน่
          หลังจากที่เธออ้างไปว่าหนาว ผู้ชายร่างยักษ์ก็ยอมเดินให้เธอพยุงเข้าไปในบ้านแต่โดยดี ศศิธรก็รีบพาเขาเข้าไปยังห้องนอนของพี่ชายที่อยู่ติดกับห้องรับแขกโดยไม่รีรอเช่นกัน เมื่อรู้สึกว่าร่างหนาเริ่มจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งตัวมาที่เธออีกครั้ง และเมื่อมองหน้าเขาก็เห็นว่าดวงตาของเขาเริ่มจะหรี่ปิดลงด้วยความอ่อนเพลีย
          “ฝืนไว้หน่อยคุณ จะถึงเตียงแล้ว ถ้าคุณล้มไปตรงนี้ ฉันพยุงคุณไม่ไหวนะ” หลังจากพูดจบ ศศิธรรู้สึกได้ว่าร่างหนารับรู้ในสิ่งที่เธอพูด เพราะเขาพยายามจะไม่ทิ้งน้ำหนักตัวมาที่เธอ และยังพยายามจะก้าวขาตรงไปยังเตียงนอนข้างหน้าให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยผ่อนแรงเธออีกด้วย
          “ถึงแล้ว!” ศศิธรร้องขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อเธอสามารถพาผู้ชายร่างยักษ์มานั่งลงบนเตียงของพี่ชายได้สำเร็จ
          ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างยักษ์ที่ถูกจับนั่งบนขอบเตียงนอน ก็เอื้อมแขนมาสวมกอดรอบเอวเธออย่างแน่นหนาในทันทีที่เธอกำลังจะขยับตัวผละหนีทั้งที่ดวงตาคมหรี่ปรือแทบจะหลับด้วยความอ่อนเพลีย และเขาก็เอ่ยบางสิ่งออกมาด้วยน้ำเสียงเบาราวกับละเมอ “จันทรพิมพ์ ข้าขอโทษ...ข้าคิดถึงเจ้า”
          ศศิธรพยายามจะสะบัดตัวออกมาจากอ้อมแขนแข็งแกร่ง แต่เหมือนยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดเธอแน่นเข้าไปอีก เหมือนเขาไม่อยากให้เธอห่างกาย ทั้งที่มองจากภายนอกเขาดูอ่อนล้าเต็มที ซึ่งอาการของเขาดูเหมือนคนที่กำลังพยายามฝืนสังขารตัวเองเอาไว้ไม่ให้หลับ
          และเมื่อผู้ชายบนเตียงพยายามจะกอดรั้งเธอให้ล้มตัวลงนอนไปบนเตียงเคียงข้างกัน ก็ทำให้ศศิธรนึกกลัวขึ้นมาจับใจ จนนึกอยากจะหาอะไรใกล้มือมาทุบหัวเขาให้สลบลงไปเดี๋ยวนี้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะมองหาอะไรใกล้มือมาทุบหัวผีพรายตัวโต แขนที่โอบกอดอยู่รอบเอวบางของเธอก็ล่วงหล่นลงข้างลำตัวหนา พร้อมกับใบหน้าที่แนบอยู่ที่ทรวงอกของเธอก็ค่อยๆ หงายล้มลงบนเตียงนอนหนานุ่มของพี่ชายอย่างช้าๆ ราวกับคนที่โดนยาสลบแล้วล้มลงกะทันหัน
          ศศิธรขยับถอยมายืนหอบหายใจด้วยความตกใจห่างจากเตียงนอนสักพัก เพื่อดูทีท่าของผู้ชายร่างยักษ์บนเตียงนอนของพี่ชาย ก่อนที่จะจัดการเช็ดตัวให้ผู้ชายที่นอนหมดฤทธิ์เพราะพิษไข้ และจัดแจงค้นหาเสื้อกับกางเกงนอนในตู้ของพี่ชายมาสวมใส่ให้เทพบุตรของเธออย่างทุลักทุเล เธอเพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้เองว่า การใส่เสื้อผ้าให้ผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์ที่นอนหลับไม่ได้สติ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกับการปลอกกล้วยเข้าปากเลยสักนิด
          ซึ่งหลังจากหญิงสาวจัดการใส่เสื้อผ้าให้ร่างหนาบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ก็จัดแจงหาผ้าห่มผืนใหญ่เพื่อมาเพิ่มความอบอุ่นให้ชายหนุ่มเพิ่มอีกหนึ่งผืน แล้วเธอก็ไปอาบน้ำ ก่อนที่จะออกมานั่งรอพี่ชายภายในห้องรับแขก โดยที่เปิดประตูห้องนอนของพี่ชายทิ้งเอาไว้ เพื่อจะได้สังเกตดูอาการคนป่วยบนเตียงไปด้วย
          ทว่าหลังจากที่นั่งๆ นอนๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น รอพี่ชายกลับบ้านอยู่บนโซฟาราวชั่วโมงเศษ ศศิธรก็ได้ยินเสียงผู้ชายบนเตียงเพ้อเรียกหาหญิงสาวที่ชื่อจันทรพิมพ์อีกหน
เธอจึงเดินเข้ามาดูอาการของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง และเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ เธอก็ลองเอามือแตะที่หน้าผากของเขาเพื่อวัดไข้ ก่อนจะดึงมือกลับแทบไม่ทัน เมื่อรู้สึกว่าเขาตัวร้อนราวกับไฟ
          ทั้งที่เมื่อชั่วโมงที่แล้วร่างหนายังตัวเย็นเป็นน้ำแข็ง จนทำให้เธอหนาวสั่นตามเขาไปด้วยอยู่เลย ทว่าตอนนี้ หลังจากที่เธอห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่เขาเพียงไม่นาน ร่างหนาที่ควรจะแค่อุ่นขึ้น กลับตัวร้อนแดงจนแทบจะติดไฟจนเธอตกใจ
          ศศิธรรีบวิ่งไปหยิบยาลดไข้ และกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำในมือ แล้วจึงเรียกคนป่วยบนเตียงเบาๆ พอให้เขารู้สึกตัว ก่อนจะจับยาลดไข้สองเม็ดยัดใส่ปากให้คนป่วยกิน แล้วก็ยื่นน้ำให้เขาจิบตามทันที
          ซึ่งเขาก็ยอมกลืนยาลงคอโดยง่าย...เธอนึกว่าเธอจะต้องป้อนยาเขาแบบในละครหลังข่าวซะแล้ว
          “อึ๋ยยย...” ศศิธรสั่นหัวให้กับความคิดของตนเอง แล้วก็นั่งมองหน้าคนป่วยบนเตียง พรางครุ่นคิดไปด้วยว่า...เขาเป็นใคร มาจากไหน และมาเล่นน้ำอยู่ภายในบริเวณบ้านของเธอในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างไร
          แล้วผู้หญิงที่ชื่อจันทรพิมพ์ ที่เขาร้องเรียกทุกครั้งที่รู้สึกตัวคือใคร
          แล้วทำไมเขาถึงเรียกเธอว่า...จันทรพิมพ์
 
/////////////////////////////////
 
          “ศศิธร!”
          หญิงสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งจนสุดตัว เพราะกำลังนั่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำเพลินๆ แล้วจึงหันมามองคนที่เอ่ยเรียกชื่อเธออย่างเต็มยศด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้มลึก ซึ่งกำลังยืนชะงักค้างอยู่ที่ปากประตูห้องนอน ก่อนที่เธอจะโผเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ “พี่ภู”
          ‘ภูผา’ เดินเข้ามาภายในห้องนอนซึ่งถูกเปิดประตูอ้าค้างไว้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลางจ้องมองน้องสาวในชุดนอนกางเกงขายาวลายตุ๊กตาแมวอ้วนสีฟ้าชื่อดังลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่นด้วยแววตาสงสัย เพราะปกติศศิธรจะไม่ค่อยเข้ามายุ่มย่ามในห้องนอนของภูผาเช่นนี้ “เข้ามาทำอะไรในห้องพี่”
          ศศิธรไม่ได้ตอบคำถามในทันที เธอส่งยิ้มหวานนำทัพไปให้พี่ชายก่อน เพื่อเป็นตัวรับประกันว่าเธอจะไม่ถูกดุ(มาก)กับสิ่งที่เธอตัดสินใจทำในวันนี้
          เธอนั่งรอให้พี่ชายกลับบ้านอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจู่ๆ ก็นึกกลัวว่าพ่อเทพบุตรรูปงามที่เธอเพิ่งช่วยชีวิตขึ้นมาจากบ่อน้ำ จะตื่นขึ้นมาก่อนที่พี่ชายจะกลับมาถึงบ้าน แล้วจะเกิดเหตุการณ์กอดรัดกันแบบเมื่อนตอนหัวค่ำขึ้นมาอีก
          ซึ่งภูผาก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ศศิธรกล้าพาผู้ชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้าบ้านมาในยามวิกาลแบบที่ไม่กลัวอันตราย ก็เพราะว่าในบ้านหลังนี้ยังมีผู้ชายอาศัยอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน ถึงแม้ว่าตอนที่ตัดสินใจช่วยชีวิตของผู้ชายร่างหนาบนเตียงนอนนั้น พี่ชายของเธอจะยังกลับไม่ถึงบ้านก็ตาม
          “มีอะไรหรือเปล่า” ภูผาย้ำถามอีกครั้ง
          ศศิธรยังคงไม่ตอบคำถามของภูผาในทันที เธอยิ้มแหยส่งให้พี่ชาย แล้วก็พยักหน้าบุ้ยใบ้ไปที่เตียงนอนแทนการตอบคำถาม
          ภูผารีบผละจากศศิธรแล้วเดินตรงไปยังเตียงนอนของตนเอง ซึ่งมีชายหนุ่มร่างยักษ์ใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียง ก่อนจะหันมาถามศศิธรด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ใคร? มันเป็นใคร?”
          ฝ่ายน้องสาวก็เอาแต่ส่ายหน้ากับคำถามของพี่ชาย เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายที่นอนสลบอยู่บนเตียงนอนของพี่ชายนั้น เขาเป็นใคร มาจากไหน
          เธอรับรู้และจำได้แค่เพียงว่า เขาโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำหลังบ้านของเธอด้วยสภาพที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักชิ้นเดียว
          ภูผาหันหน้าออกมาจากเตียงนอน แล้วกึ่งลากกึ่งจูงน้องสาวให้เดินออกมาจากห้องด้วยกันในทันที ก่อนจะเริ่มซักถามถึงที่ไปที่มาของชายหนุ่มร่างยักษ์บนเตียงนอนที่หลับไหลไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนั้น “ไม่รู้!...แล้วมันมานอนบนเตียงพี่ได้อย่างไร”
          น้องสาวที่รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำในสิ่งที่พี่ชายไม่พอใจ เพราะทั้งสีหน้าและน้ำเสียง แถมยังมือซึ่งกำลังบีบแน่นอยู่ที่ข้อมือของเธอนั่นอีก ทำให้เธอต้องรีบขยายความออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่นิ่งเงียบมานาน “ศศิเป็นคนพาเขาเข้ามานอนบนเตียงเองค่ะ”
          “พามาเอง?”
          “ค่ะ” ศศิธรก้มหน้ารับเสียงเบา ตามนิสัยของตน เพราะทุกครั้งที่เธอรู้ตัวว่าตนเองทำผิด เธอก็มักจะยอมรับออกมาโดยง่ายเสมอ ถึงแม้จะยอมรับแบบไม่เต็มเสียงก็ตาม แต่ถ้าเรื่องไหนที่เธอไม่ได้เป็นคนผิด
          เธอก็จะเถียง...เอ๊ย! อธิบาย...จนกว่าพี่ชายจะยอมเชื่อเธอนั่นแหละ
          ชายหนุ่มดึงมือน้องสาวคนสวยลงนั่งบนโซฟาภายในห้องรับแขกกลางบ้านด้วยกัน ก่อนจะเริ่มซักไซร้อีกครั้ง “ไหนเล่าให้ฟังซิ ว่าศศิไปเจอเขาที่ไหน แล้วทำไมต้องพาเขาเข้าไปนอนในห้องพี่ด้วย”
          “ศศิเห็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา แล้วก็เห็นเขาโผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำหลังบ้าน ตอนแรกศศิยังนึกว่าเขาเป็นผีพรายด้วยซ้ำ” ศศิธรเล่าให้พี่ชายฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าพอเธอหวนคิดย้อนไปถึงบางภาพบางเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำ เธอก็เริ่มจะมีอาการหน้าเห่อร้อนแดงขึ้นมาอีกครั้ง
          เพราะภาพของผู้ชายร่างยักษ์ ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร ยืนเปลือยทั้งตัว มันยังแจ่มชัดอยู่ในหัว เหมือนใครเอามาฉายซ้ำไปซ้ำมา วนไปวนมาด้วยภาพสโลโมชั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า...เอ๊ย! ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้
          และตอนนี้ศศิธรรู้สึกว่า เธอเหมือนอิเหนาที่กำลังหลงรูปของนางบุษบา แต่เธอคงจะโชคดีกว่าอิเหนานิดหนึ่ง ตรงที่เธอได้สัมผัสตัวเป็นๆ ไม่ใช่เห็นแค่เพียงรูปของนางบุษบาเหมือนอย่างอิเหนา
 
 
 
 
++++++++++++++++
 
ฝากติดตามด้วยนะคะ
 
รัก
พลอยลภัสร์ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา