ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2
“อะไรนะ!...ผีพราย!”
ภูผาเบิกตากว้าง กลอกตาไปมาอย่างพยายามระงับอารมณ์ เมื่อได้ยินน้องสาวบอกเล่าอย่างตื่นเต้นว่าผู้ชายที่นอนป่วยอยู่บนเตียงนอนในห้องนั้นเป็นผีพราย ที่เธอพบบริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน ซึ่งภาพของผู้ชายตัวโตนอนหายใจสม่ำเสมอบนเตียงนอนนั้น มองอย่างไรก็ห่างไกลกับคำว่าผีพรายโดยสิ้นเชิง ซึ่งน่าจะเป็นแขกสักคนที่คงจะหลงเข้ามายังบริเวณนี้มากกว่า
แต่จะว่าไป ถ้าผีพรายของน้องสาวเป็นแขกคนหนึ่งของรีสอร์ทจริง เขาก็น่าจะรู้จัก เพราะเขาจำแขกที่เข้ามาพักได้ทุกคน เพราะรีสอร์ทของเขาเป็นเพียงรีสอร์ทขนาดเล็ก ที่มีบ้านพักอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น เมื่อคิดไม่ตก หัวคิ้วของภูผาก็ยิ่งขมวดเป็นปมมากกว่าเดิม สีหน้าก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้นไปอีก จนคนเป็นน้องคงจะนึกกลัว ถึงได้รีบเล่าขยายความเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อตอนหัวค่ำให้เขาฟังทันที
“เขานอนสลบตัวเย็นจัดอยู่ที่ขอบบ่อ ศศิกลัวเขาจะตาย ก็เลยพาเขาเข้ามานอนที่ห้องพี่ภู อาการเขาดูแย่มากเลยนะคะ”
“ศศิ...” ภูผาครางเรียกน้องสาวออกมาด้วยน้ำเสียงปลงๆ ถ้าเธอยังเป็นเด็กเล็กๆ เขาคงจะจับตัวเธอมาตีก้นสักทีสองที เขารู้ดีว่าน้องสาวคนสวยของเขานั้น เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่เธอก็ควรรู้จักที่จะเลือกช่วยใครไม่ช่วยใครบ้าง ไม่ใช่เห็นใครเดือดร้อนก็เข้าไปช่วยหมดทุกคน โดยที่ไม่คิดถึงอันตรายที่จะตามมาทีหลังเช่นนี้
ถึงแม้ห่างออกไปจะมีบ้านพักของแขกตั้งกระจายอยู่โดยรอบ และศศิธรก็ไม่ได้อยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้ เพราะยังมี ‘ศมน’ แม่ของพวกเขาอาศัยอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน แต่แม่ที่นอนป่วยอยู่ในห้องข้างๆ แม่ที่ขยับตัวไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองก็ยังไม่ได้ จะสามารถช่วยอะไรน้องสาวของเขาได้ ถ้าเกิดผู้ชายที่นอนป่วยอยู่คนนั้น ลุกขึ้นมาทำอะไรมิดีมิร้ายน้องสาวขึ้นมาจริงๆ และดูจากรูปร่างของผู้ชายบนเตียง ศศิธรคงจะเกิดอันตรายก่อนที่จะได้ตะโกนเรียกให้แขกสักคนมาช่วยเป็นแน่
“ศศิแค่อยากจะช่วยเขา พี่ภูอย่าดุศศิเลยนะ” ศศิธรเอ่ย ก่อนจะขยับตัวเข้ามาประชิดตัวภูผา พร้อมกับก้มหน้าลงซบต้นแขนของพี่ชายแล้วก็ถูไปถูมาเบาๆ
อาการยอมรับผิด บวกกับอาการออดอ้อนของศศิธร ทำให้ภูผายิ้มและส่ายหน้าออกมาอย่างเอ็นดู แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยเตือนออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มเพราะความเป็นห่วง “การช่วยเหลือคนซึ่งเราไม่รู้จัก แล้วยังเป็นผู้ชายอีกด้วย แถมยังกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ศศิรู้ไหมว่ามันอันตรายมาก แล้วบ้านเราก็อยู่ไกลจากที่พักแขกอีก ถ้าเกิดเขาทำอะไรศศิขึ้นมา ใครที่ไหนจะมาช่วยศศิได้ทัน และอย่าคิดว่าสามารถเอาตัวรอดได้ ผู้ชายตัวโตขนาดนั้น ศศิจะสู้แรงเขาได้อย่างไร”
ภูผาถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นอาการซุกหน้านิ่งกับท่อนแขนเขา พร้อมกับเงียบเสียงไปในทันทีของน้องสาว เมื่อฟังประโยคบ่นยาวๆ ด้วยความเป็นห่วงของเขาจบลง “ศศิไปอาบน้ำนอนเถอะ”
ศศิธรขยับตัวลุกขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะทำตามคำสั่งของภูผา เธอก็ยังไม่วายหันกลับไปมองคนป่วยที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงแต่ลมหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียงนอนด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย “แล้วเขาล่ะคะ...”
ภูผามองตามสายตาของน้องสาวเข้าไปในห้อง ก่อนจะเอ่ยเพื่อให้น้องสาวคลายความกังวลใจเกี่ยวกับผีพรายรูปงามที่นอนสลบตัวร้อนอยู่บนเตียง “ไม่เป็นไร ปล่อยเขานอนอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวพี่ดูเขาเอง”
“แล้วพี่ภูจะนอนที่ไหนคะ...ให้ศศิไปทำความสะอาดห้องรับแขกอีกห้อง แล้วเราช่วยกันย้ายเขาไปนอนที่ห้องนั้นแทน...ดีไหมคะ” ศศิธรถาม แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ เธอก็เสนอแนะและถามความคิดเห็นจากภูผาออกมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
ภูผาโบกมือปฏิเสธน้องสาวทันที เพราะเขารู้ดีว่าน้องสาวรู้สึกเกรงใจเขามากขนาดไหน เพราะเธอมักจะพูดเสมอว่าเธอกับแม่เป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งเขาไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวเลยสักนิด เขาคิดเสมอว่าเธอคือน้องสาวแท้ๆ และแม่ศมนก็คือแม่แท้ๆ ของเขาเช่นกัน และเขาก็ไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร นอนตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น “ไม่ต้องหรอก นี่มันก็ดึกมากแล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยย้ายเขาไปนอนห้องนั้นก็แล้วกัน”
“แล้วคืนนี้พี่ภูจะนอนที่…”
“เดี๋ยวพี่นอนตรงโซฟานี่ก็ได้” ภูผารีบพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของน้องสาวคนสวย
“งั้นพี่ภูไปอาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวศศิเตรียมที่นอนไว้ให้” ศศิธรรีบดึงแขนภูผาให้ลุกขึ้นมาจากโซฟา แล้วดันหลังให้เขาเข้าไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกประโยค “ศศิว่าจะเข้าไปเช็คตัวให้เขาอีกสักรอบ เพราะเขายังตัวร้อนเป็นไฟอยู่เลย”
ซึ่งประโยคของน้องสาวทำให้พี่ชายที่กำลังจะก้าวผ่านประตูเข้าไปในห้อง ชะงักเท้าทันที แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนป่วยบนเตียงนอนด้วยความครุ่นคิด แต่เมื่อเห็นว่าผีพรายของน้องสาวยังคงนอนสลบสิ้นฤทธิ์ คืนนี้คงจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรน้องสาวคนสวยของตนเองเป็นแน่ ก็ยอมพยักหน้าเห็นด้วยในสิ่งที่น้องสาวจะทำ “เอาอย่างนั้นก็ได้”
/////////////////////////////////////
หลังจากศศิธรหาหมอนและผ้าห่มมากองไว้ให้ภูผาที่โซฟาในห้องรับแขกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องพี่ชายอีกครั้ง เพื่อจะเช็ดตัวให้คนป่วยอีกสักรอบเพื่อช่วยลดไข้ให้กับเขา
“ตายักษ์นี่ ขนาดป่วยยังดื้อขนาดนี้ ถ้าไม่ป่วยจะดื้อขนาดไหนเนี่ย” หญิงสาวเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตามแขนและขากำยำของร่างหนาไปก็บ่นไปด้วย เพราะดูท่าแล้วผีพรายตัวโตของเธอ จะรำคาญผ้าชุบน้ำที่เธอใช้เช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้กับเขา ถึงได้พยายามจะปัดมือของเธอออกแทบตลอดเวลา
แล้วตอนนี้...เขายังพยายามจะปัดถุงเจลลดความร้อนซึ่งเธอเพิ่งจะวางแปะลงไปที่หน้าผากของเขาทิ้งอีก จนเธอทนไม่ไหว ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่คนตัวเล็กเช่นเธอจะมี ยึดจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้นิ่งๆ จนเขาเริ่มสงบลงนั่นแหละ ถึงได้เริ่มลงมือเช็ดตัวให้กับชายหนุ่มบนเตียงอีกรอบ
“ได้เหงื่อเหมือนกันนะเนี่ย” ศศิธรบ่นกับตัวเองเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นเก็บอุปกรณ์เช็ดตัวเพื่อออกไปจากห้องนอนของพี่ชาย หลังจากทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดีเสร็จเรียบร้อย
“ยังไม่เสร็จอีกหรือ” ภูผาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว ยังเห็นศศิธรกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ผู้ชายร่างยักษ์บนเตียงนอน
“เสร็จพอดีเลยค่ะ งั้นศศิขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” ศศิธรเอ่ยตอบพี่ชายที่ถูกไล่ให้ไปอาบน้ำ เมื่อยี่สิบนาทีก่อน แล้วจัดแจงยกกะละมังใส่น้ำเดินออกจากห้อง ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินพ้นขอบประตูห้องนอน เธอก็หันกลับมาไหว้วานพี่ชายด้วยความเป็นห่วงคนป่วยร่างยักษ์บนเตียงอีกครั้ง “ฝากพี่ภูดูเขาด้วยนะ”
ภูผาพยักหน้ารับคำของศศิธร แต่ก่อนที่น้องสาวจะเดินพ้นออกไปจากห้องนอน เขากับเธอก็ต้องหันไปมองคนป่วยบนเตียงอีกครั้ง เมื่อได้ยินคนป่วยละเมอออกมาว่า “ข้าคิดถึงเจ้า...จันทรพิมพ์”
“เขาเป็นใคร แล้วจันทรพิมพ์เป็นใคร”
ศศิธรส่ายหน้ากับคำถามของพี่ชาย เพราะมันเป็นคำถามที่เธอก็อยากได้คำตอบเช่นเดียวกัน
แต่นอกจากเธอจะสงสัยว่าเขาเป็นใคร และหญิงสาวที่ชื่อจันทรพิมพ์เป็นใครเหมือนพี่ชายแล้ว เธอก็ยังมีข้อสงสัยอีกหนึ่งข้อว่า...ทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าจันทรพิมพ์
/////////////////////////////////////////
เวลาผ่านไปเกือบจะสองวันแล้วนับตั้งแต่วันที่ศศิธรได้เจอกับเทพบุตรรูปงามที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำหลังบ้านในวันพระจันทร์เต็มดวง แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววว่าพ่อเทพบุตรของเธอจะรู้สึกตัว หรือลุกขึ้นมาตอบคำถามไขข้อสงสัยของเธอกับพี่ชาย
และเขาก็ยังคงนอนหลับแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียงนอนห้องเดิม เธอกับพี่ชายยังไม่ได้เคลื่อนย้ายคนป่วยไปนอนยังห้องรับแขกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก เนื่องจากคนป่วยยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติเพราะพิษไข้
ซึ่งทุกครั้งที่คนป่วยลืมตาตื่นและได้เห็นหน้าเธอ เขาก็เอาแต่ละเมอถามคำถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ที่ศศิธรยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้ในตัวเขามากขึ้น
เขาจะถามทำนองว่า...ข้าฝันไปใช่ไหม
ข้าตายแล้วใช่ไหม
หรือไม่ก็...จันทรพิมพ์ เจ้ายังไม่ตายใช่หรือเปล่า
แต่เธอก็ทำแค่เพียงรับฟังเฉยๆ โดยไม่ยอมตอบคำถามแปลกๆ ของคนป่วยที่กำลังเพ้อเพราะพิษไข้ ซึ่งทุกครั้งที่ชายหนุ่มพอจะรู้สึกตัว เธอก็จะรีบป้อนน้ำ ป้อนยาให้แก่เขา เพราะเกรงว่าคนป่วยร่างยักษ์จะตายเพราะขาดน้ำ
ศศิธรจ้องมองคนป่วยนิ่ง พลางคิดว่า ถ้าพรุ่งนี้ เขายังไม่ยอมตื่นเพื่อลุกขึ้นมากินอะไรบ้าง เธอคงจะต้องหาวิธีปลุกให้เทพบุตรป่วยของเธอฟื้นคืนชีพขึ้นมาสักที ก่อนที่เขาจะขาดอาหารตายไปเสียก่อนที่เธอจะได้ถามไถ่ว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วมาเล่นน้ำอยู่ในบริเวณหลังบ้านของเธอได้อย่างไร
“เขายังไม่ฟื้นอีกหรือ...เห็นเมื่อเช้านกน้อยบอกว่าตัวไม่ร้อนแล้ว แล้วทำไมถึงยังไม่ฟื้นอีก”
“ศศิก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อตอนเย็น นกน้อยก็เข้ามาตรวจดูอาการของเขา นกน้อยก็ยังบอกว่า อาการของเขาปกติดีแล้ว ไม่มีไข้ ความดันและหัวใจก็เป็นปกติดี ภายในวันนี้ เขาก็น่าจะฟื้นได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังหลับอยู่เลยค่ะ”
ภูผาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามน้องสาวออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เมื่อสังเกตเห็นว่าศศิธรก็เอาแต่มาขลุกตัวอยู่ในห้องของเขาซึ่งถูกคนป่วยยึดไปตั้งแต่คืนแรกจนกระทั่งตอนนี้ “แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ พี่ภูล่ะคะ”
“ยังเหมือนกัน”
“งั้นเดี๋ยวศศิไปดูว่าในตู้เย็นพอจะมีของสดอะไรบ้าง สำหรับมื้อเย็นนะคะ” ศศิธรพูดจบก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ชิดริมเตียงนอน เพื่อเดินไปยังห้องครัว โดยมีพี่ชายเดินตามออกมาติดๆ
“ถ้าพี่ไม่อยู่สักสองอาทิตย์ ศศิจะอยู่กับผีพรายของศศิ สองคนได้ไหม” ภูผาเอ่ยถามน้องสาวที่กำลังสาละวนอยู่กับอาหารสดภายในตู้เย็นเพื่อคิดหาเมนูอาหารมื้อเย็นค่อนไปทางดึกสำหรับเขากับเธอ
ศศิธรนำอาหารสดไปวางไว้บนโต๊ะสำหรับเตรียมอาหาร แล้วจึงหันไปถามคำถาม แทนการตอบคำถามของพี่ชาย “พี่ภูจะไปไหนคะ”
“ภูเก็ต”
“ภูเก็ต! ไปทำไมคะ”
“คุณพ่อให้พี่ไปดูงานที่รีสอร์ทของเพื่อน”
“แล้วคุณลุงไปด้วยหรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้ไป พี่ไปกับผู้บริหารคนอื่นๆ แล้วก็พนักงานในบริษัทอีกไม่กี่คน”
ศศิธรพยักหน้าเข้าใจ แล้วจึงหันไปเตรียมอาหารมื้อเย็นค่อนไปทางดึกสำหรับสองคนพี่น้องต่อ
“แล้วสรุปว่า...ศศิอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
“เอ่อ...” หญิงสาวมีอาการลังเลเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถอยู่ร่วมบ้านกับพ่อเทพบุตรตกสวรรค์ในขณะที่พี่ชายไม่อยู่บ้านเป็นเวลาสองอาทิตย์ และ...สองคนได้ไหม
“งั้น พี่จะไปบอกพ่อแม่ของนกน้อย ว่าให้นกน้อยมาค้างคืนอยู่เป็นเพื่อนศศิช่วงที่พี่ไม่อยู่ก็แล้วกัน”
“อย่าเลยค่ะ ศศิเกรงใจนกน้อย” หญิงสาวรีบหันมาแย้งทันที ด้วยความเกรงใจสาวน้อยพยาบาลพิเศษที่ต้องมาดูแลแม่ของเธอตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วยังจะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเธอในเวลากลางคืนอีก
‘นกน้อย’ เป็นพยาบาลสาวจบใหม่ที่ภูผาจ้างมาคอยดูแลแม่ศมนของเธอเป็นพิเศษ เพราะบ้านของนกน้อยอยู่ภายในบริเวณเดียวกันกับรีสอร์ทของพี่ชาย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นานๆ ที แล้วแค่สองอาทิตย์เอง”
“เอายังงั้นก็ได้ค่ะ” ศศิธรยอมรับไม่เต็มเสียงนัก เพราะใจจริงเธอก็นึกกลัวกับการที่ต้องอยู่กับเทพบุตรสุดหล่อสองต่อสองเช่นกัน
“ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ ถ้ามีเหตุอะไร ไม่ชอบมาพากล หรือสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนไม่ดี ต้องรีบโทร. ไปบอกพี่ทันทีเลยนะ พี่จะได้โทร. ไปบอกเพื่อนที่เป็นตำรวจให้เข้ามาดู”
หญิงสาวยิ้มรับกับประโยคที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่พี่ชายมีให้กับเธอ พร้อมกับยกมือขึ้นตะเบ๊ะใส่พี่ชายเหมือนกับพลทหารที่น้อมรับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา “รับทราบ”
ภูผาโยกหัวน้องสาวที่ตอบด้วยเสียงดังฟังชัด อย่างหมั่นเขี้ยวในความทะเล้นของน้องสาวคนสวย “งั้นก็ไปทำกับข้าวต่อได้แล้ว พี่หิวแล้ว”
“ค่ะๆ” ศศิธรรรับคำแล้วก็หันไปจัดการกับงานที่ทำค้างไว้ก่อนหน้าทันที
“งั้นพี่ไปอาบน้ำ แล้วก็เก็บเสื้อผ้าก่อนนะ”
น้องสาวคนสวยรีบเอี้ยวตัวกลับมาถามพี่ชายด้วยความรวดเร็วจนคอแทบเคล็ด ก่อนที่พี่ชายจะเดินพ้นออกไปจากประตูห้องครัว “เก็บเสื้อผ้า! ไปไหนคะ”
“อ้าว...ก็พรุ่งนี้เช้า พี่จะไปภูเก็ตไง”
“พรุ่งนี้เลยหรือ” ศศิธรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนอ่อย เพราะไม่คาดคิดว่าพี่ชายจะต้องออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าเลย เธอนึกว่าพี่ชายจะอยู่เจอพ่อเทพบุตรของเธอฟื้นขึ้นมาพร้อมกันกับเธอเสียก่อน แล้วถึงจะไปภูเก็ต
“ไหนบอกอยู่ได้ แล้วทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ” ภูผายิ้มขำกับท่าทางของน้องสาวที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหวาดหวั่นมากแค่ไหน
“อยู่ได้ ก็ได้ค่ะ” ศศิธรพูดออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้า หันหลังกลับมาทำอาหารต่อ เพราะไม่อยากให้พี่ชายเป็นห่วงเธอมากไปกว่านี้ แต่ก็ยังไม่วายบ่นคนเดียวดังๆ ให้พี่ชายได้ยิน “ศศิก็คิดว่าพี่ภูจะอยู่เจอหน้าพ่อเทพบุตรตกสวรรค์พร้อมกันกับศศิก่อนไปภูเก็ตนี่นา”
และเสียงบ่นดังๆ ของศศิธร กับสรรพนามแทนตัวบุรุษที่สามที่กำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องของภูผา ก็ทำให้พี่ชายยิ้มยากหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บเสื้อผ้าสำหรับเดินทางไกลในวันพรุ่งนี้
////////////////////////////////////
“นกน้อยๆ...คุณเทพบุตรตกสวรรค์ฟื้นแล้ว ไปดูเขาหน่อยเร็ว”
นกน้อยพยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าที่พลอยตื่นเต้นไปกับหญิงสาวที่ชะโงกหน้าเข้าเรียกเธอให้ไปดูคนป่วยอีกคนที่นอนอยู่อีกห้อง ขณะกำลังนั่งอ่านหนังสือให้ศมนฟัง ก่อนจะรีบวางหนังสือในมือลง แล้วรีบลุกเดินตามนายจ้างสาวไปยังห้องที่เทพบุตรรูปงามนอนอยู่ทันที
เมื่อนกน้อยเดินเข้ามาในห้องของเจ้าของบ้าน เธอก็เห็นคนป่วยเอาแต่นอนจ้องหน้าน้องสาวเจ้าของบ้านนิ่ง เธอจึงเดินเข้าไปขยับประคองชายหนุ่มให้นั่งพิงหัวเตียงในท่าที่สบายมากขึ้น แล้วจึงค่อยๆ หยิบแก้วน้ำขึ้นมาป้อนเขาช้าๆ เพื่อไม่ให้เขาสำลักออกมาอย่างชำนาญ “ค่อยๆ ช้าๆ”
แต่เหมือนว่าคนป่วยจะกระหายน้ำมาก เพราะอดน้ำมาหลายคืน ทำให้เขารีบดื่มน้ำในมือของเธอจนไอสำลักออกมา “แค็กๆๆ”
“เป็นอย่างไรบ้าง” ศศิธรรีบสาวเท้าเข้ามายืนอีกฟากหนึ่งของเตียงนอน เมื่อเห็นคนป่วยเอาแต่ไอไม่ยอมหยุด พร้อมกับขึ้นไปนั่งบนเตียงนอนช่วยลูบหลังให้ชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“หิวหรือเปล่าคะ” เมื่อเห็นว่าคนป่วยค่อยยังชั่วจากอาการไอแล้ว นกน้อยก็ถามขึ้นขัดจังหวะการสบตาระหว่างชายหนุ่มรูปงามราวเทพบุตรกับหญิงสาวแสนสวยที่มีอาการประหม่าเคอะเขินทำตัวไม่ถูกกับสายตาร้อนแรงของชายหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมศศิธรถึงหยุดยืนแค่เพียงประตูห้อง ไม่เข้ามาดูคนป่วยแต่แรก คงจะเป็นเพราะถูกสายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองจนชะงักนิ่งทำตัวไม่ถูก
คนป่วยบนเตียงยอมละสายตาจากน้องสาวเจ้าของบ้านที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของเขา หันมามองที่พยาบาลสาวและพยักหน้ารับง่ายๆ นกน้อยจึงเอ่ยขอตัวออกไปหาอาหารอ่อนๆ มาให้คนป่วย “งั้นเดี๋ยวนกน้อยไปทำอะไรง่ายๆ ให้กินนะคะ”
“นกน้อย” และ “บุหรง”
เสียงที่ดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกันของชายหนุ่มรูปงามบนเตียงและเจ้านายสาว ทำให้พยาบาลพิเศษชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองคนทั้งคู่ด้วยสายตามีคำถาม “คะ?”
“เอ่อ...เดี๋ยวศศิไปทำเองดีกว่า” หญิงสาวที่เหมือนจะมีอาการแปลกๆ กับการถูกจ้องมองตรงๆ ในระยะประชิด รีบเอ่ยขันอาสาทันที
“นกน้อยไปทำเองดีกว่าค่ะ คุณศศิอยู่ดูแลคุณเทพบุตรเถอะ” นกน้อยเอ่ยขึ้น โดยใช้สรรรพนามเรียกขานคนป่วยที่พวกเธอไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ตามแบบที่หญิงสาวเจ้าของบ้านมักเรียกคนป่วยจนติดปากขณะที่เขาหลับใหลอยู่
และเมื่อหันไปเห็นสายตาชายหนุ่มบนเตียงซึ่งเหมือนนกน้อยจะได้ยินเขาเรียกเธอว่า ‘บุหรง’ ส่งสายตาเป็นนัยบอกว่าเธอทำถูกแล้ว เธอก็ต้องรีบก้มหน้าเดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้ชายหนุ่มกับหญิงสาวอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง
โดยลืมคำมั่นสัญญาที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับชายหนุ่มเจ้าของบ้านเมื่อตอนเช้าที่เขาไปหาเธอที่บ้านไปเสียสนิท
‘นกน้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไปนอนเป็นเพื่อนศศิที่บ้านนู้นด้วยนะ พี่เข้าไปขออนุญาตพ่อกับแม่เราให้แล้ว’
‘ทำไมคะ’ สาวน้อยถามชายหนุ่มที่มาหาเธอถึงบ้านแต่เช้าด้วยความสงสัย
‘พอดีพี่จะไม่อยู่บ้าน’
‘คุณภูผาจะไปไหนคะ’
‘พี่จะไปภูเก็ต สักสองอาทิตย์’
‘ได้ค่ะ’
‘แล้วอย่าปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นอยู่กับศศิ สองต่อสองรู้ไหม’
‘ค่ะ’ หญิงสาวพยักหน้ารับคำเจ้านายหนุ่มอย่างแข็งขัน
‘นกน้อยเองก็ด้วย อย่าอยู่กับผู้ชายคนนั้นตามลำพัง นกน้อยกับศศิต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ห้ามปล่อยทิ้งให้ใครคนใดคนหนึ่งอยู่กับผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียว เผื่อว่ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันได้...เข้าใจหรือเปล่า’
‘เข้าใจค่ะ’
‘มีอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจนะ’ ภูผาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ อย่างรู้เท่าทันความคิดของเธอ เขารู้ว่าเธอมักจะเกรงใจเขาเสมอ จนบางครั้งเธอแทบไม่เป็นตัวของตัวเองเลยเวลาที่อยู่ต่อหน้าเขา
‘ค่ะ’
‘พี่ไปแล้วนะ’
‘เดินทางปลอดภัยนะคะ’
ทว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับคำ เธอก็ทำท่าจะผิดคำมั่นสัญญาเสียแล้ว เพียงแค่เจอสายตาคมดุของเทพบุตรรูปงามของหญิงสาวเจ้าของบ้านจ้องมองมาอย่างทรงอำนาจเท่านั้น
+++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
รัก
พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ