Easy Mode ; Hard Mode
-
เขียนโดย Hungshu
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.25 น.
10 ตอน
1 วิจารณ์
13.35K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 16.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) Fail (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโลกผ่านมุมมองของ นภา
************************************************************
7 กรกฎาคม 2557 เวลา ประมาณ 14.30 น.
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
“เมฆ ฉันจัดการห้องแกเสร็จแล้วนะ”
เร็วกว่าที่คิดแหะ
ตอนเช้าผมโทรบอกเพื่อนให้มาช่วยเคลียร์ห้องให้หน่อย
เพราะเมื่อคืน…
“ว่าแต่ แกไปทำอะไรมาวะเนี่ย ห้องถึงเละยังกะโดนระเบิดมาน่ะ”
“ก็นิดหน่อยอย่าไปสนเลย ว่าแต่ของที่สั่งล่ะ”
“เออ เอามาติดให้แล้วล่ะ ประตูกระจกอย่างดี ต่อให้แกกระโดดถีบสุดแรงก็ไม่สะเทือน ข้าต่อให้แกเอาปืนยิงด้วยเอา”
“อืม ขอบใจ”
ผมกล่าวถึงเรื่องจะจ่ายเงินให้ และ เรื่องอื่นๆอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป
เมื่อวานวันธรรมดาใน Easy Mode ของผมเกือบถูกทำลายไปซะแล้ว
************************************************************
โลกผ่านมุมมองของ มิลลิแกน
************************************************************
สิบกว่าปีก่อน
อาณาจักรทงเทียน (โลกยุทธจักร)
ของพวกเราเปลี่ยนไปราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
โหรต่างบอกว่าเป็นการลงโทษจากสวรรค์
ดินแดนที่พวกเราเคยมีเปลี่ยนไปอย่างไม่เหลือเค้าเดิม
ดินแดนทางใต้ของพวกเรา
คนพวกนั้นมาจากไหนไม่มีใครทราบ
แต่ที่พวกเรารู้คือ คนพวกนั้น
คนเถื่อนพวกนั้นมีอาวุธแปลกๆมาจู่โจมใส่พวกเรา
คนเหล่านั้นแม้จะมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับพวกเรา
แต่ความสามารถด้านร่างกาย รวมไปถึงประสาทการรับรู้ต่างกันมาก
พวกเขาเหล่านั้นเชื่องช้า
กระนั้นก็ยังใช้สัตว์ประหลาดที่สร้างจากเหล็กช่วยลดข้อด้อยของตน
ในช่วงแรกพวกเราที่ถูกผู้รุกรานจากแดนใต้จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
พวกเราสูญเสีย เมืองเล็กๆไปบางเมือง
แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเราที่เริ่มเข้าใจถึงรูปแบบการต่อสู้ของสัตว์เหล็กเหล่านั้น
พวกเราก็ตอบโต้กลับไม่ยาก
พวกเราเริ่มโจมตีกลับ
ขับไล่ผู้รุกรานลงใต้ไปเรื่อยๆ
พยายามเอาเมืองของพวกเราคืน
แต่กระนั้นบ้านเมือง ญาติพี่น้องที่เคยอยู่ในดินแดนเหล่านั้นกลับถูกเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
หลังจากพวกเราขับไล่ผู้รุนรานไปถึงดินแดนแห่งน้ำแข็ง
ที่นั่นพวกผู้รุนรานเริ่มส่งมนุษย์เหล็กเข้ามาตอบโต้พวกเรา
ในตอนแรกพวกมันไม่ต่างจากสัตว์เหล็กที่พวกเราสู้มากนัก
แต่พวกมันพัฒนาตนเองอย่างรวดเร็วจนเริ่มผลักไล่พวกเราออกมาจากดินแดนน้ำแข็งที่พวกเราไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นผู้รุกรานก็ไม่สามารถจะออกจากดินแดนแห่งน้ำแข็งนั่นได้เช่นกัน
ในระหว่างที่การรบกันผู้รุกรานทางใต้เริ่มอยู่ตัว
พวกเราเริ่มแบ่งกำลังบางส่วนไปสำรวจแดนประจิมที่ได้รับรายงานมาเช่นกันว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
ดินแดนที่พวกเราเคยติดต่อค้าขาย
ผืนดินเหล่านั้นกลับหายไป
กลับกลายเป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยหมอก
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ทุกปีจะมีกองทัพสัตว์ประหลาดออกมาจากดินแดนแห่งหมอกนั้น
ถึงพวกเราจะต้านมันกลับไปได้ไม่ยากนัก
แต่กระนั้นทุกครั้งที่เราส่งคนไปสำรวจ
คนเหล่านั้นไม่เคยได้กลับมา
……………………...
มีนาคม 2593 (อิงปฏิทินของโลกวิทยาศาสตร์)
ฉัน
หนึ่งในทีมลาดตระเวนของอาณาจักรทงเทียน
พวกเราถูกส่งให้ไปตรวจสอบผู้รุกรานทิศประจิม
ติดแดนแห่งหมอก
พร้อมทั้งตามหาทีมลาดตระเวนชุดก่อนๆที่เคยส่งไป
สัปดาห์แรก
พวกเราหลงทางอยู่ในทะเลหมอก
ต้นหน ไม่สามารถบอกทิศทางได้
ท้องฟ้า ปกคลุมด้วยเมฆหมอก จนไม่สามารถอาศัยดวงดาวนำทางเช่นกัน
สัตว์ประหลาดในทะเลหมอก
พวกมันพยายามจู่โจมเรา ตลอดทั้งสัปดาห์
ทั้งวัน
ทั้งคืน
พวกเราทุกคนต่างต้องผลัดกันเปิดม่านพลังชี่* (Chi) รอบเรือเพื่อจับตำแหน่งพวกมันตลอดเวลา
แม้พวกมันจะอ่อนแอ
แต่ก็มีจำนวนมาก
เอาเถอะ
อย่างน้อย
ก็ทำให้พวกเรามีอาหารไม่ขาด
ในสัปดาห์ที่สอง
พวกเราได้เหยียบผืนดินครั้งแรก
ที่นั่น
พวกเราก็ได้พบกับ…
…
ความตาย…
ล้มเหลว…
นั่นเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของฉัน
………………………
“ที่...ที่นี่...”
“โอ้ รู้สึกตัวแล้วๆ”
เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหู
สำเนียงแปลกๆแต่อย่างน้อยก็ยังพอฟังออก
“เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
ฉันพยักหน้าช้าๆ
สายตายังพร่ามัว มองไม่เห็นรอบข้าง
“ไม่เสียแรงที่อุตสาห์ฝึกภาษาเผ่าครึ่งสัตว์”
เผ่าครึ่งสัตว์?
หมายถึงพวกเราอย่างนั้นรึ?
พวกเรามีรูปร่างแตกต่างกันตามเชื้อสายก็จริง
แต่ไม่มีชาวทงเทียนคนไหนเรียกว่าครึ่งสัตว์
แสดงว่าเจ้าของเสียงคงเป็นผู้รุกรานแดนประจิมสินะ
“xxx xxxxxx xxxxx”
เสียงอันเดิมเริ่มพูดอะไรซักอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ…
...เสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป
...เสียงประตูเหล็ก
สายตาฉันเริ่มรับรู้สภาพรอบข้าง
ห้องหินแคบๆ
แสงไฟจากสิ่งที่รูปร่างคล้ายตะเกียง
กลิ่นคาวเลือด
ชายผมขาวในชุดคลุมสีดำมองมาทางฉัน
“รู้สึกยังไงบ้างครับ”
รู้สึกยังไงบ้าง?
“ลองเคลื่อนไหวดูแล้วมีอะไรผิดปรกติไหมครับ”
ฉันลองขยับเริ่มจากนิ้วมือ แขน ขาเล็กน้อย
ทุกอย่างก็ปรกติดีนี่น่า
“ไม่…ไม่มี”
“ดีมาก ดีมาก”
ชายผมขาวพยักหน้าอย่างพอใจ
“แล้ว...ตัวคุณรู้อะไรบ้างครับ”
น่าแปลก
หลังชายผมขาวกล่าวจบ
ตัวฉันกลับเล่าทุกอย่างที่รู้ออกไป
เพราะอะไรกัน
เขาเป็นผู้รุกรานไม่ใช่หรือ
…
…
“อืม ดูเหมือนความทรงจำจะผสมกันอยู่เล็กน้อยนะ”
ผสมกันหมายความว่าอะไร?
“โอ้ ขอโทษด้วยความผมลืมถามเรื่องสำคัญไปเลย”
ชายผมขาวก้มหัวทำท่าทางขอโทษ แต่กระนั้นก็ยังเหมือนทำหยอกเล่นเสียมากกว่า
“ผมจอมเวทย์มนต์สายซากศพ ศาสตราจารย์ชิมอน แล้วไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ?”
ชื่อ...ชื่อ...ชื่อ
ชื่อของฉัน
ฉันคือ
ฉันเป็น
“นึกแล้วเชียว…”
ทำไมกัน
คำนี้เริ่มวนเวียนในหัว
ทั้งๆที่จำเรื่องก่อนหน้านี้ได้
แต่กลับจำไม่ได้ว่าตนเองคือใคร
เราความจำเสื่อมงั้นหรือ
ชิมอนใช้มือวาดตัวอักษรอะไรบางอย่างในอากาศ
เกิดกลายเป็นกระจกน้ำลอยอยู่
ภาพสะท้อนในแผ่นนั้นราวกับกระจก
ชัดยิ่งกว่ากระจกทองเหลืองของพวกเรามาก
ในเงาสะท้อนของกระจกน้ำนั้น…สะท้อนให้เห็น
ตัว...ของฉัน?
ไม่...ไม่รู้...จำไม่ได้
แต่เดิมตัวฉันรูปร่างอย่างไร...นึกไม่ออก
จำเรื่องราวรอบตัวได้แต่นึกสิ่งที่เป็นตนเองไม่ออก
ร่างในเงาสะท้อนนั้น
แม้จะเหมือนคนปรกติ
แต่ทั่วร่างมีลอยเย็บทั้งตัว…
แถมแต่ละส่วนนั้น...อาจจะไม่ใช่มาจากตัวฉันด้วยซ้ำ
ราวกับใช้ร่างจากหลายๆคนมาเย็บรวมกัน
“สวยใช่ไหมล่ะ”
“...?”
ชิมอนยิ้มแล้วพูดอย่างพึงพอใจ
“ผมเอาจุดเด่นของพวกคุณทุกคนมารวมกัน...”
ชิมอนเริ่มเล่าเสริมเรื่องของฉัน เติมในส่วนที่ความทรงจำฉันขาดหายไป
ทีมของพวกฉันหลังจากหลงเข้ามาในเขตแดนของชิมอน
เขาค่อยๆจัดการพวกเราทีละคน
ตรงนี้ฉันถามออกไปว่าจัดการพวกเราอย่างไร แต่เขากับตอบเพียง
‘ความลับ’
เอาเถอะก็พอเข้าใจสาเหตุที่ไม่ยอมบอกล่ะนะ
ชิมอนกล่าวว่าตัวเขานั้นชื่นชอบความสามารถด้านร่างกายของพวกเรา
ความสามารถที่เผ่าของเขาไม่สามารถไปได้ถึงตามปรกติ
เขาเริ่มใช้ชิ้นส่วนจากศพของพวกเราที่ยังสมบูรณ์มาประกอบเข้าด้วยกัน
แล้วทำพิธีทำให้ศพ...ตัวฉันเคลื่อนไหวได้
แฟรงเกนสไตน์? ชิมอนเรียกฉันเช่นนั้น
ถ้าเป็นคำเรียกของพวกเราตัวฉันคงใกล้เคียง ‘เจียงซือ’ ล่ะนะ
“แค้นผมไหม”
ชิมอนถามพลางมองฉันอย่างยิ้มยียวน
ราวกับมั่นใจอยู่แล้วว่าถึงฉันจะแค้นอย่างไรก็ทำอะไรเขาไม่ได้
นั่นสินะ
เขาสังหารพวกเราทั้งหมด
แต่น่าแปลก
ตัวฉันตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย
“ไม่ค่ะ”
“งั้นหรอ…”
แปลกทำไมเขาถึงได้ทำหน้าผิดหวังล่ะ
ชิมอนเริ่มใช้มือวาดบนอากาศอีกครั้งเกิดแรงเรืองขึ้น
“รู้สึกอะไรไหม”
ราวกับมีอะไรวิ่งอยู่ในร่างกายของฉันแต่
“ไม่ค่ะ...ไม่รู้สึกอะไร”
“...เฮ้อ...ล้มเหลวอีกแล้วสินะ”
ล้มเหลว หมายถึงตัวฉันงั้นเหรอ…
“เอาเถอะ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสอีก ดูเหมือนพวกครึ่งสัตว์ยังคงส่งคนมาเรื่อยๆล่ะนะ ไม่รู้จักหลาบจำ แต่ก็ดีกับผมล่ะนะ”
“...”
“ส่วนเธอ...เอ...มิลลิแกน...เธอใช้ชื่อมิลลิแกนแล้วกัน แฟรงเกนมิลลิแกน”
“ค่ะ…ศาสตราจารย์”
……………………………….
2 ปีต่อมา…
ที่นี่
ปราสาทสายหมอก
ปราสาทที่สร้างฉันขึ้นมาแห่งนี้
ฉัน
เฟรงเกนสไตน์ตัวที่ 9 ของชิมอน
หลังจากที่ชิมอนสร้างฉันเมื่อ 2 ปีก่อน
อาณาจักรทงเทียน
อดีตบ้านของฉันกลับยังไม่ได้ส่งทีมลาดตระเวนชุดใหม่เข้ามาอีก
ยิ่งนานวันเข้าชิม่อนดูเหมือนจะยิ่งหัวเสียกับการทดลองที่ไม่คืบหน้า
ในตอนแรกฉันคิดว่าชิมอนต้องการแฟรงเกนที่แข็งแกร่ง
แต่หลังจากเฝ้าดูการทดลองของชิม่อนที่ทำกับตัวฉันแล้วแฟรงเกนตัวอื่น
ความแข็งแกร่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ชิม่อนต้องการเท่านั้น
ดูเหมือนเขามีสิ่งที่ตอนการมากกว่านั้น
เอาเถอะฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ ศาสตราจารย์”
ชิม่อนที่เดินเข้ามาในห้องทดลองวันนี้ดูแปลกกว่าปรกติ
สีหน้าที่ตึงเครียดทุกวัน วันนี้กลับดูเหมือนเขากำลังสนุกอยู่
“มิลลิแกน ผมมีภารกิจให้เธอทำ”
“คะ?”
“ตั้งแต่เธออยู่ในร่างนี้ยังไม่เคยได้สู้อย่างจริงจังเลยสินะ”
“? อะไรกันคะศาสตราจารย์ เมื่อวานฉันก็เพิ่งสู้กับ คนอื่นตามคำสั่ง…”
“ไม่ใช่อย่างนั้น?”
ชิมอนเกาผมขาวที่รกรุงรังนั้นเหมือนกำลังพยายามนึกอะไรซักอย่าง
“ผมหมายถึง การต่อสู้ที่แลกด้วยชีวิตน่ะ”
“? แลกด้วยชีวิต? ตัวฉันมีสิ่งนั้นด้วยหรอคะ?”
ถ้าเป็นสมัยก่อน จากความตรงจำดูเหมือนทีมลาดตระเวนทุกคนที่กลายมาเป็นตัวฉันต่างต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นกันแทบทุกวัน
แต่ถึงตัวฉันจะสร้างมาจากพวกเขา
แม้ฉันจะมีความทรงจำของพวกเขาที่พยายามเอาชีวิตรอด
แต่ความรู้สึก...ความกลัว...ความตื่นเต้น...ความดีใจที่รอดชีวิต…
ตัวฉันกลับไม่มีพวกนั้นเลย
“แหมอย่าพูดอย่างนั้นสิ เธอเป็นผลงานชิ้นเอกของฉันเลยนะ มีเพียงเธอนี่แหละมิลลิแกนที่สามารถคิดเองเป็นไม่ใช่ฟังคำสั่งอย่างเดียว...ถ้าขนาดเธอยังพูดแบบนั้นผมร้องจริงนะ”
ชิม่อนยิ้มพลางพูดจาไร้สาระ
อย่างเขาเนี่ยนะจะร้อง
แต่ถึงจะบอกว่าตัวฉันเป็นผลงานชิ้นเอก
กระนั้นก็ยังคงบอกว่าตัวฉันนั้นล้มเหลว
จะเอายังไงกันแน่
“เอาเป็นว่าภารกิจนี้อาจทำให้เธอเข้าใจถึงสิ่งนั้นได้ล่ะนะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น”
ภารกิจที่ว่า…
ดูเหมือนจะมีคำสั่งจากเมืองหลวง
ให้ชิม่อนทำการส่งมือสังหารไปยังโลกของพวกวิลลิส*ในอดีต
(วิลลิส (vilis) หมายถึง ไร้ค่า ไร้ความสามารถ เป็นคำที่เผ่าเวทย์มนตร์ใช้เรียกเผ่าวิทยาศาสตร์)
เพราะจากคำทำนาย ดูเหมือนว่าหากไม่จัดการคนเหล่านั้น
พวกเราอาจล่มสลายได้
“พรุ่งนี้จะมีคนจากเกาะหลักมาช่วยกันทำพิธีส่งเธอไปยังอดีต”
“ฉันคนเดียวหรอคะ?”
“ไม่หรอก ยังมีอีก 2 คนจากเกาะหลักจะไปกับเธอด้วย”
หลังจากชิมอนแจ้งถึงภารกิจแรก
เวลาผ่านไปได้ 2 วัน
คนจากเกาะหลักก็มาถึงที่นี่
พวกเขามาด้วยกัน 5 คน
2 คนดูเป็นนักฆ่าจากเกาะหลักที่ชิมอนบอกว่าจะส่งไปพร้อมกับฉัน
อีก 3 คนเป็นจอมเวทจากเกาะหน้าด่านอื่นมาช่วยชิมอนในการเตรียมวงเวทสำหรับการเคลื่อนย้ายไปยังโลกอดีต (ชิมอนบอกว่าทั้ง 3 คนอยู่ระดับเดียวกับชิมอน และมีหน้าที่คล้ายกับชิมอนในการเป็นหน้าด่าน)
จอมเวท 4 คนรวมชิมอนในช่วงเดือนแรกที่พวกเขามาถึง
แต่ละคนต่างถกเถียงวิธีการจะส่งพวกเราไปในอดีต
ดูเหมือนชิมอนและจอมเวทคนอื่นจะมีความเห็นเกี่ยวกับอักขระที่จะเขียนไม่ตรงกัน
แต่ละคนบ่งชี้ถึงจุดบกพร่องของวงเวทของอีกฝ่าย
ส่งไปได้แต่ร่างกาย แต่เจ้าตัวอาจตาย บ้างล่ะ
ร่างกายอาจทนไม่ได้บ้างล่ะ
เวลาที่ส่งกลับไม่เสถียร บ้างล่ะ
ที่ที่ส่งไปอาจเป็นคนละโลก บ้างล่ะ
“แล้วทำไมไม่เขาของทุกคนมารวมกันล่ะคะ”
ตัวฉันในตอนนี้
แม้ฉันจะเป็นเฟรงเกนตนแรกที่ใช้เวทมนต์ได้
เพราะตอนที่สร้างฉันขึ้นมา
ดูเหมือนชิมอนจะเพิ่งลองใส่ไขกระดูกของคนเผ่าเวทเข้าไปในร่างของฉันเป็นครั้งแรก
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอ่านอักขระเวท เขียนวงเวท ไม่ได้แม้แต่น้อย
กลับเผลอพูดไปอย่างนั้นจะเป็นอะไรไหมนะ
“จะเป็นไปได้ ยัง…!”
“...ไม่แน่”
จอมเวทท่านนึงที่ได้ยินฉันพูดแบบนั้น
ปฏิเสธความคิดของฉันเสียงดังทันที
แต่เค้ายังไม่ทันพูดจบ เจ้าตัวกลับหยุดชะงัก
และดูเหมือนทั้ง 4 คนจะเกิดความคิดอะไรซักอย่าง
“ขอบใจมาก มิลลิแกน”
ฉันพยักหน้าตอบแม้จะไม่เข้าใจ
จากนั้นก็วางถาดอาหารให้ทั้ง 4 แล้วเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างเงียบๆ
เดือนถัดมา
ชิมอนสั่งให้ฉันและเฟรนเกนตนอื่นลงมือสร้างหอคอยหิน 4 ชั้น
แม้ปราสาทของชิมอนจะมีหอคอยหลายจุด
และบางจุดก็สูงถึง 8 9 ชั้น
แต่ไม่มีหอคอยในมีพื้นที่กว้างพอจะเขียนวงเวทขนาดใหญ่ได้
ชิมอนจึงให้ลานกว้างหลังปราสาท
ที่ปรกติถูกให้เป็นลานประลองของพวกเราเหล่าเฟรงเกน
มาสร้างเป็นหอคอยหินขนาดใหญ่ 4 ชั้นทรงกระบอกแทน
โดยแต่ละชั้นมีเพียงห้องกว้าง พอที่จะเขียนวงเวทลงพื้นของทั้ง 4 ชั้นได้
พวกเราใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งเดือนในการสร้างมันขึ้นมา
หลังจากสร้างเสร็จจอมเวททั้ง 4 ต่างเข้าไปเขียนวงเวทยังชั้นของตนเอง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้วงเวท 4 วงในการประกอบพิธีพร้อมกัน
สองเดือนถัดมา
พวกเขาได้เขียนวงเวทเสร็จ
และในวันต่อมานั่นเอง
ฉัน และ นักฆ่าอีก 2 คนถูกเรียกให้ไปยังดาดฟ้าของหอคอยหิน
“นี่คือเป้าหมายของเธอ”
ชิมอนยื่นลูกแก้วขนาดเล็กให้
“ลองส่งมานาเข้าไปในลูกแก้วสิ”
ทันทีที่ฉันส่งมานาเข้าไปในลูกแก้ว
ภาพของเด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่ง
พร้อมทั้งข้อมูลพื้นฐานของเขาก็ไหลเข้าสู่ตัวฉัน
“คิดว่าทำได้ใช่ไหม”
“ค่ะ...แต่เขาจะสามารถทำให้ฉันรู้สึกการมีชีวิตได้หรอคะ?”
“อันนี้ผมก็ไม่รู้นะ ถึงจะเป็นพวกวิลลิส แต่ถึงขนาดเป็นหนึ่งในคนที่อาจทำให้โลกเวทมนต์เราล่มสลายได้น่าจะเก่งพอดู”
กล่าวจบชิมอนถ้าถอยออกไปยืนประจำตำแหน่ง
“จะเริ่มล่ะนะ”
จอมเวททั้ง 4 เร่งพลังเวทของใส่ลงไปในวงเวท
วงเวทเกิดเป็นแสงสีฟ้าสว่างจ้าขึ้นทีละน้อย
อยู่ๆสภาพเบื้องหน้าของฉันก็เปลี่ยนไป
พอรู้สึกตัวอีกครั้ง
ตัวฉันก็อยู่กลางป่าเสียแล้ว
************************************************************
7 กรกฎาคม 2557 เวลา ประมาณ 14.30 น.
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
“เมฆ ฉันจัดการห้องแกเสร็จแล้วนะ”
เร็วกว่าที่คิดแหะ
ตอนเช้าผมโทรบอกเพื่อนให้มาช่วยเคลียร์ห้องให้หน่อย
เพราะเมื่อคืน…
“ว่าแต่ แกไปทำอะไรมาวะเนี่ย ห้องถึงเละยังกะโดนระเบิดมาน่ะ”
“ก็นิดหน่อยอย่าไปสนเลย ว่าแต่ของที่สั่งล่ะ”
“เออ เอามาติดให้แล้วล่ะ ประตูกระจกอย่างดี ต่อให้แกกระโดดถีบสุดแรงก็ไม่สะเทือน ข้าต่อให้แกเอาปืนยิงด้วยเอา”
“อืม ขอบใจ”
ผมกล่าวถึงเรื่องจะจ่ายเงินให้ และ เรื่องอื่นๆอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป
เมื่อวานวันธรรมดาใน Easy Mode ของผมเกือบถูกทำลายไปซะแล้ว
************************************************************
โลกผ่านมุมมองของ มิลลิแกน
************************************************************
สิบกว่าปีก่อน
อาณาจักรทงเทียน (โลกยุทธจักร)
ของพวกเราเปลี่ยนไปราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง
ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
โหรต่างบอกว่าเป็นการลงโทษจากสวรรค์
ดินแดนที่พวกเราเคยมีเปลี่ยนไปอย่างไม่เหลือเค้าเดิม
ดินแดนทางใต้ของพวกเรา
คนพวกนั้นมาจากไหนไม่มีใครทราบ
แต่ที่พวกเรารู้คือ คนพวกนั้น
คนเถื่อนพวกนั้นมีอาวุธแปลกๆมาจู่โจมใส่พวกเรา
คนเหล่านั้นแม้จะมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับพวกเรา
แต่ความสามารถด้านร่างกาย รวมไปถึงประสาทการรับรู้ต่างกันมาก
พวกเขาเหล่านั้นเชื่องช้า
กระนั้นก็ยังใช้สัตว์ประหลาดที่สร้างจากเหล็กช่วยลดข้อด้อยของตน
ในช่วงแรกพวกเราที่ถูกผู้รุกรานจากแดนใต้จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
พวกเราสูญเสีย เมืองเล็กๆไปบางเมือง
แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเราที่เริ่มเข้าใจถึงรูปแบบการต่อสู้ของสัตว์เหล็กเหล่านั้น
พวกเราก็ตอบโต้กลับไม่ยาก
พวกเราเริ่มโจมตีกลับ
ขับไล่ผู้รุกรานลงใต้ไปเรื่อยๆ
พยายามเอาเมืองของพวกเราคืน
แต่กระนั้นบ้านเมือง ญาติพี่น้องที่เคยอยู่ในดินแดนเหล่านั้นกลับถูกเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
หลังจากพวกเราขับไล่ผู้รุนรานไปถึงดินแดนแห่งน้ำแข็ง
ที่นั่นพวกผู้รุนรานเริ่มส่งมนุษย์เหล็กเข้ามาตอบโต้พวกเรา
ในตอนแรกพวกมันไม่ต่างจากสัตว์เหล็กที่พวกเราสู้มากนัก
แต่พวกมันพัฒนาตนเองอย่างรวดเร็วจนเริ่มผลักไล่พวกเราออกมาจากดินแดนน้ำแข็งที่พวกเราไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นผู้รุกรานก็ไม่สามารถจะออกจากดินแดนแห่งน้ำแข็งนั่นได้เช่นกัน
ในระหว่างที่การรบกันผู้รุกรานทางใต้เริ่มอยู่ตัว
พวกเราเริ่มแบ่งกำลังบางส่วนไปสำรวจแดนประจิมที่ได้รับรายงานมาเช่นกันว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
ดินแดนที่พวกเราเคยติดต่อค้าขาย
ผืนดินเหล่านั้นกลับหายไป
กลับกลายเป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยหมอก
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ทุกปีจะมีกองทัพสัตว์ประหลาดออกมาจากดินแดนแห่งหมอกนั้น
ถึงพวกเราจะต้านมันกลับไปได้ไม่ยากนัก
แต่กระนั้นทุกครั้งที่เราส่งคนไปสำรวจ
คนเหล่านั้นไม่เคยได้กลับมา
……………………...
มีนาคม 2593 (อิงปฏิทินของโลกวิทยาศาสตร์)
ฉัน
หนึ่งในทีมลาดตระเวนของอาณาจักรทงเทียน
พวกเราถูกส่งให้ไปตรวจสอบผู้รุกรานทิศประจิม
ติดแดนแห่งหมอก
พร้อมทั้งตามหาทีมลาดตระเวนชุดก่อนๆที่เคยส่งไป
สัปดาห์แรก
พวกเราหลงทางอยู่ในทะเลหมอก
ต้นหน ไม่สามารถบอกทิศทางได้
ท้องฟ้า ปกคลุมด้วยเมฆหมอก จนไม่สามารถอาศัยดวงดาวนำทางเช่นกัน
สัตว์ประหลาดในทะเลหมอก
พวกมันพยายามจู่โจมเรา ตลอดทั้งสัปดาห์
ทั้งวัน
ทั้งคืน
พวกเราทุกคนต่างต้องผลัดกันเปิดม่านพลังชี่* (Chi) รอบเรือเพื่อจับตำแหน่งพวกมันตลอดเวลา
แม้พวกมันจะอ่อนแอ
แต่ก็มีจำนวนมาก
เอาเถอะ
อย่างน้อย
ก็ทำให้พวกเรามีอาหารไม่ขาด
ในสัปดาห์ที่สอง
พวกเราได้เหยียบผืนดินครั้งแรก
ที่นั่น
พวกเราก็ได้พบกับ…
…
ความตาย…
ล้มเหลว…
นั่นเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของฉัน
………………………
“ที่...ที่นี่...”
“โอ้ รู้สึกตัวแล้วๆ”
เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหู
สำเนียงแปลกๆแต่อย่างน้อยก็ยังพอฟังออก
“เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
ฉันพยักหน้าช้าๆ
สายตายังพร่ามัว มองไม่เห็นรอบข้าง
“ไม่เสียแรงที่อุตสาห์ฝึกภาษาเผ่าครึ่งสัตว์”
เผ่าครึ่งสัตว์?
หมายถึงพวกเราอย่างนั้นรึ?
พวกเรามีรูปร่างแตกต่างกันตามเชื้อสายก็จริง
แต่ไม่มีชาวทงเทียนคนไหนเรียกว่าครึ่งสัตว์
แสดงว่าเจ้าของเสียงคงเป็นผู้รุกรานแดนประจิมสินะ
“xxx xxxxxx xxxxx”
เสียงอันเดิมเริ่มพูดอะไรซักอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ…
...เสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป
...เสียงประตูเหล็ก
สายตาฉันเริ่มรับรู้สภาพรอบข้าง
ห้องหินแคบๆ
แสงไฟจากสิ่งที่รูปร่างคล้ายตะเกียง
กลิ่นคาวเลือด
ชายผมขาวในชุดคลุมสีดำมองมาทางฉัน
“รู้สึกยังไงบ้างครับ”
รู้สึกยังไงบ้าง?
“ลองเคลื่อนไหวดูแล้วมีอะไรผิดปรกติไหมครับ”
ฉันลองขยับเริ่มจากนิ้วมือ แขน ขาเล็กน้อย
ทุกอย่างก็ปรกติดีนี่น่า
“ไม่…ไม่มี”
“ดีมาก ดีมาก”
ชายผมขาวพยักหน้าอย่างพอใจ
“แล้ว...ตัวคุณรู้อะไรบ้างครับ”
น่าแปลก
หลังชายผมขาวกล่าวจบ
ตัวฉันกลับเล่าทุกอย่างที่รู้ออกไป
เพราะอะไรกัน
เขาเป็นผู้รุกรานไม่ใช่หรือ
…
…
“อืม ดูเหมือนความทรงจำจะผสมกันอยู่เล็กน้อยนะ”
ผสมกันหมายความว่าอะไร?
“โอ้ ขอโทษด้วยความผมลืมถามเรื่องสำคัญไปเลย”
ชายผมขาวก้มหัวทำท่าทางขอโทษ แต่กระนั้นก็ยังเหมือนทำหยอกเล่นเสียมากกว่า
“ผมจอมเวทย์มนต์สายซากศพ ศาสตราจารย์ชิมอน แล้วไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ?”
ชื่อ...ชื่อ...ชื่อ
ชื่อของฉัน
ฉันคือ
ฉันเป็น
“นึกแล้วเชียว…”
ทำไมกัน
คำนี้เริ่มวนเวียนในหัว
ทั้งๆที่จำเรื่องก่อนหน้านี้ได้
แต่กลับจำไม่ได้ว่าตนเองคือใคร
เราความจำเสื่อมงั้นหรือ
ชิมอนใช้มือวาดตัวอักษรอะไรบางอย่างในอากาศ
เกิดกลายเป็นกระจกน้ำลอยอยู่
ภาพสะท้อนในแผ่นนั้นราวกับกระจก
ชัดยิ่งกว่ากระจกทองเหลืองของพวกเรามาก
ในเงาสะท้อนของกระจกน้ำนั้น…สะท้อนให้เห็น
ตัว...ของฉัน?
ไม่...ไม่รู้...จำไม่ได้
แต่เดิมตัวฉันรูปร่างอย่างไร...นึกไม่ออก
จำเรื่องราวรอบตัวได้แต่นึกสิ่งที่เป็นตนเองไม่ออก
ร่างในเงาสะท้อนนั้น
แม้จะเหมือนคนปรกติ
แต่ทั่วร่างมีลอยเย็บทั้งตัว…
แถมแต่ละส่วนนั้น...อาจจะไม่ใช่มาจากตัวฉันด้วยซ้ำ
ราวกับใช้ร่างจากหลายๆคนมาเย็บรวมกัน
“สวยใช่ไหมล่ะ”
“...?”
ชิมอนยิ้มแล้วพูดอย่างพึงพอใจ
“ผมเอาจุดเด่นของพวกคุณทุกคนมารวมกัน...”
ชิมอนเริ่มเล่าเสริมเรื่องของฉัน เติมในส่วนที่ความทรงจำฉันขาดหายไป
ทีมของพวกฉันหลังจากหลงเข้ามาในเขตแดนของชิมอน
เขาค่อยๆจัดการพวกเราทีละคน
ตรงนี้ฉันถามออกไปว่าจัดการพวกเราอย่างไร แต่เขากับตอบเพียง
‘ความลับ’
เอาเถอะก็พอเข้าใจสาเหตุที่ไม่ยอมบอกล่ะนะ
ชิมอนกล่าวว่าตัวเขานั้นชื่นชอบความสามารถด้านร่างกายของพวกเรา
ความสามารถที่เผ่าของเขาไม่สามารถไปได้ถึงตามปรกติ
เขาเริ่มใช้ชิ้นส่วนจากศพของพวกเราที่ยังสมบูรณ์มาประกอบเข้าด้วยกัน
แล้วทำพิธีทำให้ศพ...ตัวฉันเคลื่อนไหวได้
แฟรงเกนสไตน์? ชิมอนเรียกฉันเช่นนั้น
ถ้าเป็นคำเรียกของพวกเราตัวฉันคงใกล้เคียง ‘เจียงซือ’ ล่ะนะ
“แค้นผมไหม”
ชิมอนถามพลางมองฉันอย่างยิ้มยียวน
ราวกับมั่นใจอยู่แล้วว่าถึงฉันจะแค้นอย่างไรก็ทำอะไรเขาไม่ได้
นั่นสินะ
เขาสังหารพวกเราทั้งหมด
แต่น่าแปลก
ตัวฉันตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย
“ไม่ค่ะ”
“งั้นหรอ…”
แปลกทำไมเขาถึงได้ทำหน้าผิดหวังล่ะ
ชิมอนเริ่มใช้มือวาดบนอากาศอีกครั้งเกิดแรงเรืองขึ้น
“รู้สึกอะไรไหม”
ราวกับมีอะไรวิ่งอยู่ในร่างกายของฉันแต่
“ไม่ค่ะ...ไม่รู้สึกอะไร”
“...เฮ้อ...ล้มเหลวอีกแล้วสินะ”
ล้มเหลว หมายถึงตัวฉันงั้นเหรอ…
“เอาเถอะ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสอีก ดูเหมือนพวกครึ่งสัตว์ยังคงส่งคนมาเรื่อยๆล่ะนะ ไม่รู้จักหลาบจำ แต่ก็ดีกับผมล่ะนะ”
“...”
“ส่วนเธอ...เอ...มิลลิแกน...เธอใช้ชื่อมิลลิแกนแล้วกัน แฟรงเกนมิลลิแกน”
“ค่ะ…ศาสตราจารย์”
……………………………….
2 ปีต่อมา…
ที่นี่
ปราสาทสายหมอก
ปราสาทที่สร้างฉันขึ้นมาแห่งนี้
ฉัน
เฟรงเกนสไตน์ตัวที่ 9 ของชิมอน
หลังจากที่ชิมอนสร้างฉันเมื่อ 2 ปีก่อน
อาณาจักรทงเทียน
อดีตบ้านของฉันกลับยังไม่ได้ส่งทีมลาดตระเวนชุดใหม่เข้ามาอีก
ยิ่งนานวันเข้าชิม่อนดูเหมือนจะยิ่งหัวเสียกับการทดลองที่ไม่คืบหน้า
ในตอนแรกฉันคิดว่าชิมอนต้องการแฟรงเกนที่แข็งแกร่ง
แต่หลังจากเฝ้าดูการทดลองของชิม่อนที่ทำกับตัวฉันแล้วแฟรงเกนตัวอื่น
ความแข็งแกร่งเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ชิม่อนต้องการเท่านั้น
ดูเหมือนเขามีสิ่งที่ตอนการมากกว่านั้น
เอาเถอะฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ ศาสตราจารย์”
ชิม่อนที่เดินเข้ามาในห้องทดลองวันนี้ดูแปลกกว่าปรกติ
สีหน้าที่ตึงเครียดทุกวัน วันนี้กลับดูเหมือนเขากำลังสนุกอยู่
“มิลลิแกน ผมมีภารกิจให้เธอทำ”
“คะ?”
“ตั้งแต่เธออยู่ในร่างนี้ยังไม่เคยได้สู้อย่างจริงจังเลยสินะ”
“? อะไรกันคะศาสตราจารย์ เมื่อวานฉันก็เพิ่งสู้กับ คนอื่นตามคำสั่ง…”
“ไม่ใช่อย่างนั้น?”
ชิมอนเกาผมขาวที่รกรุงรังนั้นเหมือนกำลังพยายามนึกอะไรซักอย่าง
“ผมหมายถึง การต่อสู้ที่แลกด้วยชีวิตน่ะ”
“? แลกด้วยชีวิต? ตัวฉันมีสิ่งนั้นด้วยหรอคะ?”
ถ้าเป็นสมัยก่อน จากความตรงจำดูเหมือนทีมลาดตระเวนทุกคนที่กลายมาเป็นตัวฉันต่างต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นกันแทบทุกวัน
แต่ถึงตัวฉันจะสร้างมาจากพวกเขา
แม้ฉันจะมีความทรงจำของพวกเขาที่พยายามเอาชีวิตรอด
แต่ความรู้สึก...ความกลัว...ความตื่นเต้น...ความดีใจที่รอดชีวิต…
ตัวฉันกลับไม่มีพวกนั้นเลย
“แหมอย่าพูดอย่างนั้นสิ เธอเป็นผลงานชิ้นเอกของฉันเลยนะ มีเพียงเธอนี่แหละมิลลิแกนที่สามารถคิดเองเป็นไม่ใช่ฟังคำสั่งอย่างเดียว...ถ้าขนาดเธอยังพูดแบบนั้นผมร้องจริงนะ”
ชิม่อนยิ้มพลางพูดจาไร้สาระ
อย่างเขาเนี่ยนะจะร้อง
แต่ถึงจะบอกว่าตัวฉันเป็นผลงานชิ้นเอก
กระนั้นก็ยังคงบอกว่าตัวฉันนั้นล้มเหลว
จะเอายังไงกันแน่
“เอาเป็นว่าภารกิจนี้อาจทำให้เธอเข้าใจถึงสิ่งนั้นได้ล่ะนะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น”
ภารกิจที่ว่า…
ดูเหมือนจะมีคำสั่งจากเมืองหลวง
ให้ชิม่อนทำการส่งมือสังหารไปยังโลกของพวกวิลลิส*ในอดีต
(วิลลิส (vilis) หมายถึง ไร้ค่า ไร้ความสามารถ เป็นคำที่เผ่าเวทย์มนตร์ใช้เรียกเผ่าวิทยาศาสตร์)
เพราะจากคำทำนาย ดูเหมือนว่าหากไม่จัดการคนเหล่านั้น
พวกเราอาจล่มสลายได้
“พรุ่งนี้จะมีคนจากเกาะหลักมาช่วยกันทำพิธีส่งเธอไปยังอดีต”
“ฉันคนเดียวหรอคะ?”
“ไม่หรอก ยังมีอีก 2 คนจากเกาะหลักจะไปกับเธอด้วย”
หลังจากชิมอนแจ้งถึงภารกิจแรก
เวลาผ่านไปได้ 2 วัน
คนจากเกาะหลักก็มาถึงที่นี่
พวกเขามาด้วยกัน 5 คน
2 คนดูเป็นนักฆ่าจากเกาะหลักที่ชิมอนบอกว่าจะส่งไปพร้อมกับฉัน
อีก 3 คนเป็นจอมเวทจากเกาะหน้าด่านอื่นมาช่วยชิมอนในการเตรียมวงเวทสำหรับการเคลื่อนย้ายไปยังโลกอดีต (ชิมอนบอกว่าทั้ง 3 คนอยู่ระดับเดียวกับชิมอน และมีหน้าที่คล้ายกับชิมอนในการเป็นหน้าด่าน)
จอมเวท 4 คนรวมชิมอนในช่วงเดือนแรกที่พวกเขามาถึง
แต่ละคนต่างถกเถียงวิธีการจะส่งพวกเราไปในอดีต
ดูเหมือนชิมอนและจอมเวทคนอื่นจะมีความเห็นเกี่ยวกับอักขระที่จะเขียนไม่ตรงกัน
แต่ละคนบ่งชี้ถึงจุดบกพร่องของวงเวทของอีกฝ่าย
ส่งไปได้แต่ร่างกาย แต่เจ้าตัวอาจตาย บ้างล่ะ
ร่างกายอาจทนไม่ได้บ้างล่ะ
เวลาที่ส่งกลับไม่เสถียร บ้างล่ะ
ที่ที่ส่งไปอาจเป็นคนละโลก บ้างล่ะ
“แล้วทำไมไม่เขาของทุกคนมารวมกันล่ะคะ”
ตัวฉันในตอนนี้
แม้ฉันจะเป็นเฟรงเกนตนแรกที่ใช้เวทมนต์ได้
เพราะตอนที่สร้างฉันขึ้นมา
ดูเหมือนชิมอนจะเพิ่งลองใส่ไขกระดูกของคนเผ่าเวทเข้าไปในร่างของฉันเป็นครั้งแรก
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอ่านอักขระเวท เขียนวงเวท ไม่ได้แม้แต่น้อย
กลับเผลอพูดไปอย่างนั้นจะเป็นอะไรไหมนะ
“จะเป็นไปได้ ยัง…!”
“...ไม่แน่”
จอมเวทท่านนึงที่ได้ยินฉันพูดแบบนั้น
ปฏิเสธความคิดของฉันเสียงดังทันที
แต่เค้ายังไม่ทันพูดจบ เจ้าตัวกลับหยุดชะงัก
และดูเหมือนทั้ง 4 คนจะเกิดความคิดอะไรซักอย่าง
“ขอบใจมาก มิลลิแกน”
ฉันพยักหน้าตอบแม้จะไม่เข้าใจ
จากนั้นก็วางถาดอาหารให้ทั้ง 4 แล้วเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างเงียบๆ
เดือนถัดมา
ชิมอนสั่งให้ฉันและเฟรนเกนตนอื่นลงมือสร้างหอคอยหิน 4 ชั้น
แม้ปราสาทของชิมอนจะมีหอคอยหลายจุด
และบางจุดก็สูงถึง 8 9 ชั้น
แต่ไม่มีหอคอยในมีพื้นที่กว้างพอจะเขียนวงเวทขนาดใหญ่ได้
ชิมอนจึงให้ลานกว้างหลังปราสาท
ที่ปรกติถูกให้เป็นลานประลองของพวกเราเหล่าเฟรงเกน
มาสร้างเป็นหอคอยหินขนาดใหญ่ 4 ชั้นทรงกระบอกแทน
โดยแต่ละชั้นมีเพียงห้องกว้าง พอที่จะเขียนวงเวทลงพื้นของทั้ง 4 ชั้นได้
พวกเราใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งเดือนในการสร้างมันขึ้นมา
หลังจากสร้างเสร็จจอมเวททั้ง 4 ต่างเข้าไปเขียนวงเวทยังชั้นของตนเอง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้วงเวท 4 วงในการประกอบพิธีพร้อมกัน
สองเดือนถัดมา
พวกเขาได้เขียนวงเวทเสร็จ
และในวันต่อมานั่นเอง
ฉัน และ นักฆ่าอีก 2 คนถูกเรียกให้ไปยังดาดฟ้าของหอคอยหิน
“นี่คือเป้าหมายของเธอ”
ชิมอนยื่นลูกแก้วขนาดเล็กให้
“ลองส่งมานาเข้าไปในลูกแก้วสิ”
ทันทีที่ฉันส่งมานาเข้าไปในลูกแก้ว
ภาพของเด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่ง
พร้อมทั้งข้อมูลพื้นฐานของเขาก็ไหลเข้าสู่ตัวฉัน
“คิดว่าทำได้ใช่ไหม”
“ค่ะ...แต่เขาจะสามารถทำให้ฉันรู้สึกการมีชีวิตได้หรอคะ?”
“อันนี้ผมก็ไม่รู้นะ ถึงจะเป็นพวกวิลลิส แต่ถึงขนาดเป็นหนึ่งในคนที่อาจทำให้โลกเวทมนต์เราล่มสลายได้น่าจะเก่งพอดู”
กล่าวจบชิมอนถ้าถอยออกไปยืนประจำตำแหน่ง
“จะเริ่มล่ะนะ”
จอมเวททั้ง 4 เร่งพลังเวทของใส่ลงไปในวงเวท
วงเวทเกิดเป็นแสงสีฟ้าสว่างจ้าขึ้นทีละน้อย
อยู่ๆสภาพเบื้องหน้าของฉันก็เปลี่ยนไป
พอรู้สึกตัวอีกครั้ง
ตัวฉันก็อยู่กลางป่าเสียแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ