P.P.Rising The Bullet Time อภินิหารพลังจิตเหนือโลก

8.1

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.54 น.

  46 chapter
  28 วิจารณ์
  49.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557 17.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) เมื่อพลังจิตผงาด บทที่ 1 [P.P. Rising]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
P.P. Rising: The Bullet Time
เดอะบูลเลตไทม์ อภินิหารพลังจิตเหนือโลก

Ch.11 เมื่อพลังจิตผงาด บทที่ 1 [P.P. Rising]

Rewrite V.3
 
◊◊◊
 
ติ๊ง...ติ๊ง...
 
เสียงเพลงจากกล่องดนตรีที่ทำให้พีลืมตาขึ้นมาดูว่าเสียงมาจากไหน พอลุกขึ้นมานั่งดูไปรอบๆ แล้ว ก็พบว่าตัวเองอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีกล่องดนตรีที่เหมือนกับของที่เมงุมิให้ มันจะไม่มีอะไรแปลกมากกว่านี้ ถ้ารอบๆ ต้นไม้และแผ่นดินที่มีหญ้าขนาดห้าตารางเมตรที่เขาอยู่ ลอยบนกลางอากาศที่ข้างล่างมีแต่มหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา
 
‘ที่นี่มันความฝัน...อีกแล้วเหรอ?
โอ้ย ปวดหัว...’
 
อยู่ดีๆ พีก็รู้สึกปวดศีรษะด้านขวาขึ้นมา เหมือนไปกระแทกอะไรมาสักอย่าง เขาใช้มือขวากดหัวข้างนั้นไว้
 
‘ไปโดนอะไรมาว่ะเนี่ย?’
 
และมันก็ปวดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องลงไปนอนกับพื้นอีกรอบ เขานอนพักจนอาการปวดเริ่มบรรเทา แสงพระอาทิตย์ผ่านเมฆแยงเข้าตา มีลมพัดอ่อนๆ ที่ชวนเคล้ม ทำให้อาการปวดศรีษะของพีค่อยๆ บรรเทาลง อากาศโดยรอบดีมากจนเขาเผลอบ่นออกมา
 
“ถ้าหลับในฝันอีกทีคงไม่แปลกเนอะ”
“เหรอคะ?”
 
เสียงผู้หญิงที่แสนจะคุ้นหูมาจากด้านข้างต้นไม้ พีหันไปมองก็เห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดราตรีสีขาวยาวเลยเข่า ผมสีดำยาว ใบหน้าที่แสนอ่อนโยน กำลังเม่อมองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่เธอจะขยับตัวหันด้านหน้ามาส่งยิ้มให้
 
‘มิซากะ เมงุมิ’
 
สัญชาติญาณของพีทำงานทันที ผงะถอยหลังจนเกือบจะตกลงไปมหาสมุทรเบื้องล่าง
 
‘ธะๆๆ เธอตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ!?’
 
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ทำหน้าเหมือนกับเห็นผี”
 
‘ก็ใช่นะสิ!’
 
พีคิดแบบนั้น แต่ไม่กล้าพูดออกมา
 
‘ดะดะดะเดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ ก่อนพี นี่มันในฝัน...แค่ในฝัน’
 
พีสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้นยืน พยายามปั้นสีหน้าว่าไม่เป็นอะไรมาก
 
“ขอโทษที ขอโทษที ฉันตกใจนิดหน่อยนะ...เมจัง” พีเหงื่อตก
“งั้นเหรอค่ะ...” เมงุมิยิ้ม
“ที่นี่มัน...ที่ไหน?”
“งืม...ฉันก็ไม่ทราบค่ะ ตื่นมาก็อยู่ที่นี้แล้ว” เมงุมิเดินออกไปดูวิว “แต่ว่า ที่นี่อากาศดีมากๆ เลยนะค่ะ”
“อ่า ฉันก็ว่างั้นอยู่เหมือนกัน”
 
‘เป็นความฝันที่ประหลาดดีแฮะ รู้สึกเหมือนได้คุยกับเธอจริงๆ’
 
พอคิดแบบนั้นแล้ว ในใจเขาค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อยแต่เมงุมิทำให้เขาตกใจอีกครั้ง เมื่อเธอยื่นหน้าเข้ามาจ้องดูหน้าเขาไม่กระพริบ ก่อนที่จะถอยตัวดูร่างกายพีทั้งตัว
 
“เอ่อ...เมจัง เธอทำอะไรของเธอนิ?”
“กำลังดูคุณอยู่ไงค่ะ” เมงุมิตอบได้ตรงประเด็น “ไม่ได้เจอกันแป๊ปเดียว เปลี่ยนไปเยอะนะคะ”
 
‘หา!? เปลี่ยนไป? หรือว่า...’
 
พีรีบสำรวจตัวเองทันทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่คล้ายผู้หญิง
 
‘เมงุมิไม่เคยเห็นฉันแบบนี้...’
 
“อ๋อ!” เมงุมิร้องตะโกนออกมาเหมือนนึกอะไรออก “นึกออกแล้วค่ะ! คนที่อยู่ในรูปนั้นที่คุณส่งให้ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไปไวขนาดนี้คะ”
“คือ...เรื่องมันยาวครับ” พีไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“...น่ารักดีนะคะ”
 
เมงุมิพูดพร้อมส่งยิ้มแสนน่ารักเต็มไปด้วยพลังละลายหัวใจ เขารู้สึกเขินขึ้นมาทันที
 
“...อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ฉันเป็นผู้ชายนะ”
“เป็นผู้ชายที่พูดเพราะมากๆ เลยนะค่ะ ใช้คำว่า ‘ฉัน’ ตลอดเลย”
 
‘ฉันว่าผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าฉันมีออกจะเยอะแยะนะ’
 
พีกำลังจะอธิบายแต่เมงุมิเธอเอานิ้วชี้ประทับที่ริมฝีปากพีไม่ให้พูดต่อ
 
“อย่าดื้อกับความรู้สึกตัวเองสิค่ะ” เมงุมิเสียงเบาๆ “อยากเป็นผู้หญิงก็บอกมาเถอะค่ะ”
“จะบ้าเหรอ!”
“ฮ่าๆๆๆ” เมงุมิหัวเราะชอบใจแล้วเดินถอยออกมา “แค่ล้อเล่นค่ะ”
 
‘ให้ตายสิ...’
 
พีทำสีหน้าหมดอารมณ์...เมงุมิเห็นแล้วกลับไม่รู้สำนึกอะไรเลย แล้วเธอก็หันหลังให้เขาไปมองวิวบนฟ้า
 
“ดีจังนะคะ...ฉันอยู่ที่นี่มาสักพักใหญ่แล้วค่ะ พอรู้สึกคิดถึงพีคุงทีไร ใจมันหวิวๆ แปลกๆ” เมงุมิพูด “อยู่คนเดียวที่นี่นานๆ เหมือนกำลังจะหลุดความเป็นตัวเองไปทุกที...พอคุณมา ฉันดีใจมากเลยค่ะ”
 
‘อ่า...’
 
พีไม่รู้จะคิดยังไงกับเรื่องที่เธอบอก แล้วเมงุมิก็พูดต่อ
 
“มันอาจจะเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่พีคุง...ช่วยอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไปนะ”
 
เธอพูดถึงสิ่งที่ต้องการเสร็จก็หันหน้ากับมาด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม แต่มันต่างจากก่อนหน้านี้ที่รอบตาข้างซ้ายและเนื้อแถวๆ นั่นกลายเป็นสีดำมีเงาสีดำปกคลุม และมีแสงสีแดงส่องออกมาจากลูกตาข้างซ้ายนั่น มันแสบตาจนพีต้องยกมือขึ้นบังตาไว้
 
‘นั่นมัน---‘
 
ยังไม่ได้ที่จะคิดอะไรต่อ บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปหมด จากท้องฟ้าที่สดใสกลายเป็นพายุเข้าจนเขาแทบจะปลิ้วไปกับสายลม เมงุมิที่เหมือนไม่ใช่เธอ ค่อยๆ เดินเข้ามาหาพีทีล่ะก้าวสองก้าว
 
“ตลอดไปนะคะ...อยู่ด้วยกัน...ตลอดไป...”
 
เมงุมิร้องเสียงก้องพูดคำเดิมๆ วนวูปเดิมไปมาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่เรียบเฉยต่อทุกสิ่ง
 
“เมงุมิ! นี่มันอะไรกันเนี่ย!” พีพยายามตะโกน ไม่รู้เธอจะได้ยินหรือเปล่า
“อยู่กับฉัน...อยู่กับ...ฉัน...ด้วย...กัน”
“นี่!!! คิดจะทำอะไรของ---”
 
ยังไม่ทันพูดจบ เมงุมิพุ่งเข้ามาประชิดหน้า เธอเอ่ยคำๆ หนึ่งขึ้นด้วยเสียงตะโกนดั่งก้องมาก่อนที่จะใช้ตาซ้ายสีแดงส่องแสงใส่เหมือนจะกลืนกินพีไปทั้งตัว
 
“อยู่ด้วยกัน...ตลอดไป!”
 
◊◊◊
 
[08:12][28/12/2057]
[Area TH-7 เขตกลาง, Blue Zone, สถาบันวิจัยลับเก่า ชั้นใต้ดิน]
 
“อ๊าก!”
 
ปัง!
 
“โอ๊ย!”
 
พีร้องผวาตื่นสะดุ้งลุกขึ้นหัวไปกระแทกอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่มันไม่ควรมีอะไรอยู่ตรงหน้า เพราะมันใสๆ ไม่เห็นจะมีอะไรแล้วล้มไปนอนที่เดิมที่ลุกมา
 
พรืด...
 
เสียงเครื่องจักรอะไรสักอย่างทำงาน กระจกครึ่งทรงกรวยที่ครอบตัวเขาอยู่ค่อยๆ ง้างขึ้นไป แต่พีมัวแต่ห่วงความเจ็บปวดบนหน้าผากที่เพิ่งกระแทกเต็มๆ เมื่อครู่มากกว่า พีพยุงตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง หันไปทางขวา เห็นผู้หญิงผมยาวสีฟ้ามัดรวบไว้ใส่ชุดกราวน์สีขาวของไฮเทคอัพเปอร์ที่มีตัวอักษรใหญ่ๆ อยู่ว่า E.P.P. เธอใส่แว่นกรอบสีดำ ผิวสีขาวอมเหลืองนิดๆ เหมือนคนเอเชียตะวันออกกลาง หน้าอกคัพดีที่เสื้อในสีฟ้าเหมือนจะรัดเอาไม่อยู่ อายุคงจะใกล้ๆ สามสิบได้ สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบ ใส่กระโปรงทรงเอสีดำที่สั้นมากจนฉันไม่กล้ามองลงไป กำลังนั่งบนเก้าอี้หมุนได้อยู่ข้างๆ กดคีย์บอร์ดตรงหน้าจอคอนโซลควบคุมที่มีหลายจอ และมีรูปสแกนร่างกายของเขา เธอกดคีย์บอร์ดสักพักก็หมุนเก้าอี้มาทางพี
 
“โอ้ว ตื่นจากฝันร้ายแล้วเหรอ แม่หนุ่มน้อย”
 
‘แม่หนุ่มน้อย...’
 
คำแปลกๆ ที่พีถูกเรียกอีกครั้ง ซึ่งพีเพิ่งจะจำได้อย่างแม่นๆ ว่าถูกเรียกแบบนี้หลังจากที่ได้เจอกันที่ในห้องพักฟื้นสถาบันวิจัยลับใต้ดินเมื่อวันก่อน เธอชื่อว่า ‘เหม่ยซิง’ หนึ่งในสี่คนที่เป็นลูกทีมวิจัยของด็อกเตอร์ซิสที่พีช่วยไว้ที่สนามบินและที่เธอเรียกเขาแบบนี้เพราะสภาพตัวเขานั้นเหมือนผู้หญิงแต่ก็ยังมีไอ้นั่นของผู้ชายอยู่ดี
 
“นี่คุณรู้ได้ไงว่าฉันฝันร้าย?” พีถาม
“แค่เดา เห็นเธอนอนดิ้นร้องโวยวาย” เหม่ยซิงพูดแล้วเอาด้ามปากกามาดันคางพีขึ้น แล้วดันไปทางซ้ายขวาเหมือนเช็คอะไรบางอย่าง หันไปมองจอขวามือที่มีรูป X-ray แล้วหันกลับมา “อืม...หือ...อืม...ร่างกายเธอปกติดี...ฝังออโต้ทราน (AutoTrans) ลงไปไม่พบความผิดปกติ...”
“ฝังออโต้ทราน?” พีทวนถามเพราะไม่รู้สิ่งที่เหม่ยซิงพูดเมื่อครู่
“เธอรู้จักมันไหม”
“ไม่” พีส่ายหน้า
“มันเป็นชิฟที่ไว้ฝังในสมอง เห็นว่าได้แผลแถวนั้นพอดีเลยถือวิสาสะทำให้”
 
‘หึ? ฝังไอ้นั่นลงในสมอง?’
 
พีเอียงหัวสงสัยก่อนที่จะถาม
 
“เอ่อ...นี่ คุณหมายความว่าเอาชิฟอะไรที่ว่านั่น ฝังลงในหัวฉัน?”
“อือ ชิฟนั่น เป็นหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยให้สื่อสารระหว่างคนต่างเชื้อชาติได้ดีที่สุดในชินโคเซ็นแล้ว” เหม่ยซิงยกนิ้วทำท่าอธิบาย “และไม่ต้องห่วง มันได้รับการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ป้องกันข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายเดือนก่อน มันทำให้เธอคุยภาษาอื่นได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเรียนรู้เอง...แต่มันจะใช้ได้ดีสุดถ้าอีกฝ่ายที่คุยด้วยมีชิฟนี้ด้วยเหมือนกัน”
“หือ? คุณก็มีที่ว่านั่น!?” พีหมายถึงชิฟที่อยู่ในหัวเหม่ยซิง
“ใช่ ที่จริงฉันพูดได้แค่ภาษาจีนใต้อย่างเดียว อิงได้นิดหน่อย แต่พอได้อันที่ว่ามาสะดวกขึ้นเยอะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามคนอื่น เฟียน่าไม่ก็คนที่ชินโคเซ็นดูก็ได้”
 
‘ไอ้เซ็นๆ อะไรนั่นอีกแล้ว’
 
พีเคยได้ยินเกี่ยวกับมันตั้งแต่เฟียน่าพูดถึงคราวอยู่สนามบินและคิดว่าวันหลังค่อยไปหาว่ามันคืออะไร เพราะตอนนี้เขาอยากรู้เหตุผลที่คนตรงหน้าให้เจ้าออโต้ทรานกับเขา
 
“แล้วคุณให้ฉันทำไม?” พีถาม
“เป็นของตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ...อยากจะทำให้ตั้งแต่วันแรกอยู่หรอก แต่ร่างกายของเธอตอนนั้นมันเสี่ยงเกินไป...พอมาคราวนี้เลยจัดทำให้เลย”
“งั้น ที่เรียกฉันว่า แม่หนุ่มน้อย นั่นก็---“
“ฉันตั้งใจ หึๆ” เหม่ยซิงส่งเสียงในลำคอ
“อ่า...ครับ”
 
‘เหอะๆ ไม่ชอบชื่อนั้นเอาซะเลย’
 
พีไม่พอใจขึ้นมาแต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกไป เขามองไปรอบๆ ก่อนที่จะถามเรื่องที่ควรจะถามตั้งแต่แรก
 
“แล้วฉันหลับไปนานเท่าไร? แล้วอยู่ที่ไหนนิ?”
“เกือบสิบเก้าชั่วโมง อยู่ชั้นใต้ดิน ห้องเอ็กซเรย์ของสถาบันวิจัยลับที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน”
 
‘ชั้นใต้ดิน...
อ๋อ อยู่ใต้ดินนั่นเอง...
เดี๋ยวก่อนสิ...หมายความว่า นี่ฉันกลับมาที่สถาบันวิจัยลับของด็อกเซอร์ซิส...ได้ไง?
จำได้ว่ากำลังพาเฟียน่าหนี...
อ๋อ ไอ้นั่นมันระเบิด แรงกระแทกเลยผลักฉัน...จนสลบสินะ
เหอะๆ หัวฟาดพื้นแน่ๆ ถึงได้แผลบนหัวมา...
แล้วเครื่องที่ฉันนอนอยู่ตะกี้ น่าจะเป็นเครื่องเอ็กซเรย์ตามที่เขาบอกนั่นแหละ แต่ดูเหมือนจะเป็นของใหม่หรือป่าวนิ ไม่เคยเห็น’
 
เหม่ยซิงเห็นพีมองสำรวจห้องนี้เลยถาม
 
“ดูท่า เธอจะสนใจที่นี่มากสินะ”
“ก็นิดๆ หน่อยๆ ครับ”
“แล้วเธอสนใจฉันบ้างไหม? แม่หนุ่มน้อยของฉัน”
 
อยู่ดีๆ เหม่ยซิงดึงคางเขาเข้าใกล้ใบหน้าของเธอ สายตาที่มองผ่านแว่นมาเหมือนจะกินเขาทั้งตัวให้ได้
 
“อ่า...คือ...”
“ไม่ต้องคิดมากไป ฉันไม่ถือสาเรื่องที่เราสองคนจะทำที่ว่านั่นกัน ถึงฉันเป็นเลสเบี้ยนแต่ถ้าเป็นเธอ ฉันยกให้เป็นกรณีพิเศษล่ะกัน”
 
เธอยื่นข้อเสนอมาพร้อมกับเกาคางพีเล่น
 
‘ฟิน...เอ๊ะ เดี๋ยวสิ...’
 
พอรู้สึกตัวก็ถอยผงะออกจากมือของเหม่ยซิง แล้วเธอก็หัวเราะกับท่าทางตกใจของพี ดูเหมือนเหม่ยซิงจะแค่หยอกเล่น พอจะถามกลับ จู่ๆ เขาก็ปวดหัวข้างขวาอีกครั้ง ยกมือขึ้นไปจับก็มีผ้าก๊อซแปะตรงนั้นอยู่และเห็นช่วงต้นแขนขวาทั้งหมดพันด้วยผ้าพันแผล
 
‘ได้แผลมากกว่าที่คิดไว้แฮะ
แล้วใครพาฉันมานิ?’
 
“คุณเหม่ยซิง ใครเป็นคนพาฉันกลับมาครับ?”
“อ๋อ...ก็ฉันกับแม่มดน้อยของเธอไง”
 
ฉายาที่เหม่ยซิงเพิ่งพูดออกมา...แม่มดน้อยเป็นฉายาที่เธอตั้งให้เรสเทียร์ หลังจากวันที่เกิดเรื่องที่สนามบิน
 
‘ก็สมควรจะเป็นอย่างงั้นอยู่ ยัยนั่นเล่นแสดงอภินิหารนี่หว่า แต่พอเหม่ยซิงและพรรคพวกอยากให้เรสเทียร์ช่วยแสดงการใช้พลังนั่นอีกรอบ เธอไม่ยอมท่าเดียว แถมสั่งฉันห้ามใช้อีก ยกเว้นพลังควบคุมลม ไม่รู้ทำไมเรสเทียร์ไม่อยากให้คนอื่นรู้พลังของเธอมาก ฉันเคยถามเมื่อวานก่อน เธอก็ไม่ยอมบอก จะแอบใช้ให้พวกนักวิจัยศึกษาก็ไม่ได้ เพราะเรสเทียร์รู้ตัวทุกครั้งที่ฉันใช้พลังบูลเลตไทม์ของเธอ
ที่รู้เพราะแหล่งพลังที่ฉันใช้พลังนั่น ก็คือตัวเรสเทียร์ เห็นตัวบอกมาแบบนี้...
ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจแฮะ และฉันก็ทำตามที่เธอบอกด้วยนะ
งี่เง่าชะมัด
โอ๊ย...มึนโว๊ย!’
 
“เดี๋ยวเปลี่ยนผ้าพันแผล” เหม่ยซิงพูด “เจ้าเปี๊ยกนั่นพันผ้าให้เธอไม่ค่อยดี เดี๋ยวเธอตามฉันมา...เดินไหวไหม?”
 
‘เจ้าเปี๊ยก นั่นชื่อใครอีกล่ะเนี่ย?’
 
พีคิดถึงชื่อที่เหม่ยซิงกล่าว ก่อนที่จะตอบ
 
“น่าจะไหว”
 
พีลองลุกขึ้นยืนดู ทำให้เขาพอรู้ว่าข้อเท้าที่พลิกเหมือนจะหายดีแล้ว บิดเอวไปมาก็รู้สึกแสบๆ แผลที่แขนขวา เหม่ยซิงเดินนำออกห้องเลี้ยวขวาไป พีก็ตามติดๆ พอออกมาแล้วข้างนอกเป็นทางเดินยาว ซ้ายมือเป็นกระจกที่มองลงไปข้างล่างเห็นลานกว้างใหญ่มาก ประมาณ 50x50 เมตรได้ ซึ่งมีลังของกับสายไฟเต็มไปหมด และนักวิจัยทีมด็อกเตอร์ซิสทั้งสี่คนกำลังจัดของอยู่
 
“นั่นมัน---”
“อ๋อนั่นหรือ? เป็นของที่จะขนกลับไป Area JP นะ...แต่คงต้องไว้ที่นี่สักพัก” เหม่ยซิงว่าอย่างงั้น
“ทำไมเหรอครับ?” พีเผลอถามทั้งๆ ที่เขาน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว “อ๋อ...ลืมไป...พวกเราถูกไอริสขัดขวางไว้นี่น่า”
 
“ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกไอริสกลุ่มสุดท้ายจะรอดสายตาเวิลด์เจเรนัลไปได้” เหมือนว่าเหม่ยซิงพูดกับตัวเอง “มันต้องมีอะไรหรือใครสักคนหนุนหลังอยู่แน่ๆ ลากัซงั้นเหรอ...”
“ลากัซ? ใครครับ” พีได้ยินชื่อปริศนาเพิ่มเลยถาม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ พูดไปก็เท่านั้น”
 
เหม่ยซิงตัดบท ทำให้พีที่ได้รู้ครึ่งๆ กลางๆ ออกอาการเซ็ง
 
‘แล้วจะบ่นให้ฟังทำไมเนี่ย...’
 
“แต่ถ้ายอมแสดงพลังนั่นให้เห็นอีกครั้ง จะเล่าต่อให้ฟังก็ได้นะ” เหม่ยซิงยื่นข้อเสนอ
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ” พีปฏิเสธอย่างไว
“หึ อย่างที่คิด ไม่ยอมง่ายๆ สินะ แม่หนุ่มน้อยของฉัน ถ่อมตัวจังเลยนะ...” เหม่ยซิงเดินอยู่ก็หันมายิ้ม “แต่ได้สำรวจร่างกายเธอนี่ก็คุ้มแล้ว”
 
‘สำรวจร่างกาย...’
 
พียังไม่เข้าใจความหมายที่เขาว่า จนกระทั่งเหม่ยซิงมองลงที่ใต้เข็มขัดแล้วชูสามนิ้ว
 
‘อ๊าก! ไม่นะ!’
 
พีรีบเอามือกุมเป้าตัวเองไว้ รู้สึกทั้งอายทั้งเขินมากซะจนทำตัวไม่ถูก เหม่ยซิงพอเห็นสภาพเขาแบบนี้ก็หัวเราะลั่นออกมา
 
“เวลาเธอเขินเหมือนผู้หญิงมาก รู้ตัวไหม? ฮ่าๆ”
 
‘ไม่สนโว้ย! หมดกัน ความบริสุทธิ์ของฉัน!’
 
พีก้มหน้าไม่มองเธอจนเดินมาถึงหน้าห้องพักฟื้นเป็นห้องที่เขาเคยพักรักษาตัวหลังเหตุการณ์ที่สนามบิน เหม่ยซิงเดินเข้าไปก่อน
 
“พี่หญิงเป็นไงบ้างคะ?” เสียงเรสเทียร์ดังมาจากข้างในห้อง
“ถามเจ้าตัวเองเลยสิ” เหม่ยซิงกล่าว แล้วพีก็เดินตามเข้ามา โดยตรงหน้ามีเรสเทียร์ที่อยู่ในร่างคนปกติทำหน้าดีใจมากวิ่งเข้ามากอดเอวเขา
 
“พี่หญิงฟื้นแล้ว! ดีใจจัง”
 
‘พี่หญิง!?’
 
พีเกิดอาการสับสนขึ้นมา เพราะคำเรียกเขาของเรสเทียร์
 
“เอ๋? ทำไมเรียกฉันแบบนั้น---อย่าๆๆๆ!”
 
ยังไม่ทันจะพูดจบ เรสเทียร์เริ่มไซร้เอวเขาอีกแล้ว พีบ้าจี้ขำไม่หยุดจนต้องเอามือซ้ายยันหัวเรสเทียร์ออกไปห่างๆ ตัว แต่เรสเทียร์ก็ดื้อพยายามเดินเข้ามาอยู่ ต่างคนต่างไม่ยอมกัน แล้วพีก็หันไปเห็นเฟียน่ายืนยิ้มพิงข้างเตียงอยู่ แต่สภาพเธอชวนให้เขาตกใจ ผ้าพันแผลที่พันรอบหน้าผากแขนขาทั้งสอง รอบเอวและพาดหน้าอกข้างหนึ่ง ตาขวาเขียวเล็กน้อย มือซ้ายถือไม้เท้ายันเท้าซ้ายไว้อยู่ โดยรวมแล้วเป็นหนักกว่าเขาเยอะมาก
 
‘โห้ยๆ ฉันว่าฉันน่าจะเจ็บตัวเยอะสุดนะ แต่ทำไมเธอถึงได้...’
 
และพีก็โดนเฟียน่าตวาดใส่เพราะจ้องเธอมากไปหน่อย เธอหุบยิ้มลงทำหน้าบึ้งใส่
 
“อย่ามามองด้วยสายตาแบบนั้น...”
 
แล้วเธอก็ทำเป็นเชิดหน้าเดินขากระเพกสวนทางเขามุ่งสู่ประตูทางออกห้องนี้
 
“เฟียน่า นี่เธอ---”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” เฟียน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เครียดกว่าปกติ “ถ้าเสร็จธุระแล้วก็ขึ้นไปข้างบนด้วย เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
 
และแล้วเฟียน่าก็เดินไปทางซ้ายจนลับตาเขาไป
 
“เป็นอะไรของยัยนั่น?” พีชักจะปวดหัวขึ้นมาอีกรอบ
“คงคิดหนักเรื่องนั้นเหมือนเดิม เฮ้อ” เหม่ยซิงถอนหายใจแล้วพาพีไปไปตรงเตียง
 
‘นี่เราคุยเรื่องเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย?
ช่างมัน...ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวแฮะ’
 
พีนั่งบนเตียงขาว ส่วนเรสเทียร์เดินไปยังเตียงอีกอันแล้วทิ้งตัวลงนอนหลับเพียงสามวินาที
 
‘เหอะๆ หลับไวมาก’
 
เหม่ยซิงเริ่มเตรียมอุปกรณ์ทำแผลแล้วยิ้มรับกับคำถามที่เธอคาดว่าต้องถูกถามอย่างแน่นอน
 
“เมงุมิ...เธอจะรอดจากเครื่องบินลำนั้นไหม”
“นึกว่าจะไม่พูดถึง” เหม่ยซิงว่า “ห้าสิบห้าสิบ”
“หา?” พีไม่อยากจะเชื่อ “ห้าสิบห้าสิบ? ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
“ฉันว่าเธอน่าจะไอ้นั่นติดตัวอยู่นะ เครื่องมือที่อยู่ในขั้นทดลอง...เทเลพอร์ต”
“เทเลพอร์ต? ที่ว่าสามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไกลๆ ในชั่วเพียบตานั่นเหรอ” พีพูดตามที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน
“ตอนนี้มันอยู่ในเฟสสุดท้ายแล้ว แจกจ่ายให้นักวิจัยบางกลุ่มทดลองใช้งานนะ” เหม่ยซิงว่า “พวกเราก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง ใช้ส่งเจ้ากบน้อยกลับมานี่ตอนโดนพวกไอริสดักทางนะ”
“กบน้อย?” ฉายาของใครบางคนที่พีไม่รู้
“หมายถึง...โซตะ” เธอเฉลย
“โซตะ...เฮ้ย! ทำไม...ฉัน...ลืมเด็กคนนั้นไปได้” ในสภาพพีตอนนี้ราวกับคอมพิวเตอร์รวนอย่างหนัก “แล้วเด็กคนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก ปลอดภัยดีหายห่วงได้...แค่ตอนนี้นะ”
“แค่ตอนนี้?”
“เอ่อ...ฉันหมายถึงปลอดภัยจากพวกไอริส ยังไม่รู้ว่ามันจะส่งคนมาจัดการพวกเราอีกเมื่อไร” เหม่ยซิงพูดแล้วหยิบแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งมาให้ “มีบางเรื่องที่เธอต้องรู้”
 
พีดูจอภาพบนแท็บเล็ต มีทั้งคลิปวิดีโอเกินกว่าสามสิบคลิปที่เล่นพร้อมกันอยู่และข้อมูลที่เกี่ยวกับความวุ่นวายเพราะพลังจิตจำนวนมากและมีข่าวเกี่ยวกับพวกไอริสที่แอบลอบโจมตีใน Area TH-7 หลังเวิร์ดเจเรนัลถอนกำลังออกไปไม่ถึงชั่วโมงกับแร่คริสตัลชายน์ขนาดมหึมาคล้ายดอกบัวที่ผุดขึ้นจากพื้นดินแถวสนามบินที่เกิดเรื่องชิงตัวประกัน ยังไม่รวมเรื่องแยกย่อยอื่นๆ ที่มีผลต่อเนื่องจากพลังจิตอีก
 
‘สถานการณ์ข้างนอกวุ่นวายโคตรๆ’
 
พีสรุปใจความเรื่องทั้งหมดไว้เช่นนั้น
 
“อย่างแรก อยากให้เธอรู้ถึงสถานะของพวกเรา” เหม่ยซิงพูดแล้วแกะผ้าก็อซบนหัวพีออกแล้วทำความสะอาดแผล “พวกฉันถูกสั่งจากท่านประธานให้เก็บตัวเงียบ เพราะเรื่องที่เกือบโดนลอบฆ่าและเรื่องที่สนามบิน รอจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่...ที่จริงพวกเราควรจะออกไปแถลงการผ่านสื่อกับเวิลด์เจเรนัลไปแล้ว ถ้าไม่เกิดเรื่องพลังจิตที่วุ่นวายอยู่ตอนนี้”
“แล้วคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับพลังจิตได้ไงฮะ?”
“...ก็พวกเราเป็นนักวิจัยรับจ้างแผนกวิจัยและพัฒนาพลังจิต เอ็กซ์เพอริเมนต์พีทู (Experiment P.P.) ให้กับไฮเทคอัพเปอร์”
 
เมื่อพีได้ยินแบบนั้น ทำให้เขาคิดอะไรออก
 
‘อ้าว...อ๋อ...ตัวอักษร E.P.P. บนเสื้อกาวน์พวกเขาย่อมาจากคำนั่น ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยแฮะ เฟียน่าอยู่กับคนพวกนี้เพราะแบบนี้สินะ’
 
“งั้นเฟียน่าก็เป็น---”
“เด็กคนนั้นกลายเป็นหนูทดลองให้พวกเราตั้งแต่หกขวบ” เหม่ยซิงกำลังติดผ้าก็อซให้ใหม่ “เพราะเธอเป็นหนึ่งในเก้าคนที่แสดงพลังออกมาเป็นรูปธรรมที่สุด...แอบสงสารเธออยู่เหมือนกัน”
“ทำไมครับ?”
“ก็เธอใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปไม่ได้นั่นสิ ชีวิตอยู่กับการถูกทดลองเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะมีช่วงเวลาที่โรงเรียนบ้าง แต่หลังจากเลิกเรียนก็อยู่ที่สถาบันวิจัย” เหม่ยซิงเริ่มแกะผ้าพันแผลที่แขนขวาออก แล้วก็ล้างแผล “ถึงฉันจะคลุกอยู่กับการวิจัยตั้งแต่เด็ก แต่มันก็ไม่เหมือนกัน ฉันชอบมัน กับเฟียน่า...มันไม่ใช่”
“แต่เฟียน่าเป็นหลานของด็อกเตอร์ซิสไม่ใช่เหรอครับ? น่าจะมี...เขาเรียกว่าอะไรนะ...เชื้อสายไม่ทิ้งกันอะไรประมาณนั้นล่ะ” พีถาม
“อ๋อ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” เหม่ยซิงเอาผ้าพันแพลอันใหม่มาพันแทนที่เดิม “เฟียน่า ก็มีบ้างที่เธอชอบ...แต่หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น ตัดลุงตัดหลานกลายเป็นคนล่ะคนไปเลยนี่สิ”
“เรื่อง? เรื่องอะไร---“
“บอกไม่ได้” เหม่ยซิงส่ายหัว “เป็นเรื่องที่ให้คนรู้น้อยยิ่งดี”
 
‘ยังไงก็ไม่ยอมบอกเลยแฮะ’
 
“อย่ามัวห่วงเรื่องของคนอื่นเลย แม่หนุ่มน้อยของฉัน ห่วงเรื่องของตัวเองดีกว่ามั้ง...” เหม่ยซิงเอานิ้วชี้จิ้มที่กลางหน้าอกพีแล้วยิ้มแบบมีอะไรแอบแฝง ก่อนที่จะหยิบมือถือเครื่องหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเธอ “อ่ะนี่...มือถือของเธอ ฉันให้เจ้าปลาหมึกตากแห้งซ่อมให้แล้ว”
“ปลาหมึกตากแห้ง?” พีงงงวยเพราะได้ยินฉายาของใครบางคนที่ไม่รู้จักอีกแล้ว
“และก็...” เธอกดเข้าเมนูบางอย่างแล้วหันหน้าจอมาให้พีดู เป็นรูปเขาที่ไว้ผมยาวคล้ายผู้หญิง ตาซ้ายสีน้ำตาลแต่ตาขวาสีแดงและมีชื่อใต้โปรไฟล์ว่า ‘ไอร่า’ “ฉันวานให้คนที่มีฝีมือช่วยแฮคข้อมูลสร้างตัวตนเธอขึ้นมาใหม่ให้แล้ว”
 “ทำไมถึงทำให้ฉันขนาดนี้”
“ตอบแทนเธอในฐานะคนที่ช่วยชีวิตพวกเรา...ต่อไปนี้จะไม่มีคนที่ชื่อว่าพีอยู่ในสารระบบประชากรโลกอีกต่อไป จะมีแต่ไอร่าเท่านั้น เธอจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ จากหลายองค์กรที่อยากได้ตัวเธอ...เว้นซะแต่พวกไอริสที่รู้ตัวจริงของเธอ ต้องโทษเจ้าแม่ชีนั้นคนเดียวที่ดันไปใส่ลูกตาจักรกลของพวกนั้นมา มันส่งสัญญาณภาพไปให้นายใหญ่พวกมันรู้หมด แต่คงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะเพราะป่านนี้พวกนั้นคงเผ่นป่าราบออกจาก Area TH-7 กันหมดแล้ว”
“ฉันว่าไม่มั้ง ก็เมื่อวานยัง---“
“นั่นมันเมื่อวาน...แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างที่เธอรู้ จู่ๆ ก็มีแร่คริสตัลชายน์โผล่ขึ้นพื้นดินซะเพียบขนาดนั้น ถ้าเธอเป็นผู้นำเวิลด์เจเรนัล เธอจะทำยังไง”
“...ไม่รู้ครับ” พีเกาหัว
“หา!? เธอไม่รู้จริงๆ หรือ?” เหม่ยซิงเลิกคิ้ว
“ไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ขององค์กรต่างๆ ในโลกนี้นี่สักเท่าไหร่ แค่ชีวิตประจำวันก็แย่จะตายอยู่แล้วครับ”
“กะแล้ว คนที่อยู่ Area ระดับ Tech ต่ำไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้จริงๆ ด้วย”
 
เหม่ยซิงส่ายหัวแล้วเริ่มบรรยายหัวข้อ ‘โครงสร้างโลกใบใหม่ ByWorld General หลังสงครามโลกครั้งที่สาม’ ไม่ต่ำกว่าสิบนาที ซึ่งเป็นที่พีพอรู้มาบางแล้ว แต่ก็รับฟังเธอเพื่อมีอะไรขาดตกพร่องไป พอๆ จับใจความสำคัญได้ดังนี้

Area RU หรือรัสเซียในอดีต ทั้งนี้ยังได้จัดตั้งองค์กรย่อยขึ้นมาอีกหนึ่งคือเอ็มแอลเอ (MLA) ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎ์แทนตำรวจ
Area แทนประเทศนั้นๆ เช่น ญี่ปุ่นจะถูกเรียกเป็น Area JP แทน เป็นต้น โดยแต่ละ Area จะมีผู้ว่าการแอเรียที่ล่ะหนึ่งคน มาจากการสรรหาขององค์การเวิลด์เจเรนัล ปกครองรูปประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการคือ ดำเนินต่างๆ เหมือนระบอบประชาธิปไตย แต่เวิลด์เจเรนัลคือผู้ที่อยู่เหนือประชาธิปไตยทั้งปวง
หรืออันดับการพัฒนาเทคโนโลยีของแต่ละ Area ถูกแบ่งออกเป็นสามระดับคือ Tech 1, Tech 2 และ Tech 3 โดยเรียงจากมากไปน้อยตามอันดับ ซึ่ง Area TH ถูกจัดเป็น Tech 3 เป็น Area ที่มีเทคโนโลยีล้าช้าสุด
Safe-Zone) แต่มักเรียกว่าบลูโซน (Blue-Zone) เป็นอาณาเขตที่ถูกรับรองว่าเป็นพื้นปลอดภัย อย่างที่สองคือ อิลลิจิททิเมทโซน (illegitimate-Zone) เรียกสั้นๆ ว่าเยลโล่โซน (Yellow-Zone) เป็นพื้นที่นอกกฎหมายและอยู่นอกเหนือการควบคุมของเอ็มแอลเอ (MLA) เนื่องจากหลายปัจจัยเช่น สภาพพื้นที่และอากาศที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการอาศัยหรือมีรังสีตกค้างบางส่วน แต่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในการดูแลอย่างลับๆ ของเวิลด์เจเรนัลหรือไฮเทคอัพเปอร์ เป็นต้น และสุดท้ายคือแดนเจอร์โซน (Danger-Zone) หรือเรดโซน (Red-Zone) เป็นพื้นที่ๆ มนุษย์แทบอาศัยอยู่ไม่ได้เพราะมีกัมมันตภาพรังสีและระเบิดที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่สาม รวมทั้งสภาพอากาศที่แย่จัดตลอดทั้งปี

 
“แล้ว?” พียังไม่เข้าใจในสิ่งที่เหม่ยซิงสื่อ
“หือ? สมองเธอกลวงหรือไง?” เหม่ยซิงขมวดคิ้ว “ทั้งสนามบินและรอบๆ ถูกกำหนดเป็นพื้นที่สีเหลืองแล้ว มีเอ็มแอลเอกับเวิลด์เจเรนัลบางส่วนคุ้มเจ้าแท่นคริสตัลชายน์ยักษ์อยู่”
“จริงสิครับ แร่คริสตัลชายน์นี่มันเป็นอะไรแน่ครับ?” พีถาม “เห็นหลายคนอย่างได้มันกันจัง”
“รู้แค่ว่ามันกักเก็บพลังงานไว้จำนวนมากแค่นั้นแหละ มีอะไรถามอีกไหม แม่หนุ่มน้อยของฉัน” เหม่ยซิงยื่นหน้าเข้ามา “ตาฉันถามเธอบ้าง...แม่มดน้อยของเธอเป็นใครกัน มีพลังเหนือธรรมชาติแบบนั้นได้ยังไง”
 
พีเหลือบมองดูเรสทียร์ที่อยู่ในสภาวะหลับสนิท ก่อนที่จะเล่าในสิ่งที่เขาเจอมาทั้งหมดตั้งแต่สาวชุดดำลอบมาทำร้ายเขา เหม่ยซิงพยักหน้ารับเป็นระยะๆ และดูแผ่นกระจกบนมือขวาของพีที่ฝังลึกลงไป เมื่อเล่าจบจึงเอ่ยสรุป
 
“แสดงว่ากุญแจดอกสำคัญของบูลเลตไทม์นั่น...คือคนที่มาลอบฆ่าเธอใช่ไหม” เหม่ยซิงให้ความสำคัญกับสาวชุดดำตามที่พีเล่าจนลืมเรื่องของเรสเทียร์
“ใช่ครับ...ว่าจะตามหาอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง”
“แต่โปรแกรมดิออล์โนว์ (The All-Known) ที่เธอว่า...เหมือนเคยผ่านตาอยู่...งืม...” เหม่ยซิงครุ่นคิดสักพักก็เปลี่ยนเรื่อง “หึ...แล้วเธอจะทำยังไงกับชีวิตตัวเองต่อไป ถ้าอยากอยู่ที่นี่...ก็ได้นะ”
“ไม่ดีกว่าครับ แค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว...และมีเรื่องต้องออกไปทำข้างนอกด้วยครับ”
“ทำ?”
“ตามหาเมงุมิ”
“เรื่องนั้น มาคิดดูดีๆ แล้ว...ฉันอาจจะพูดให้ความหวังเธอมากเกินไป” เหม่ยซิงพูดเสียงต่ำ “บางทีลูกประธานนั้นคงไม่มีเทเลพอร์ตหรือไม่ก็เทเลไม่ทัน”
“ไม่เป็นไรครับ...อย่างน้อยๆ ให้มีความหวังบ้างก็ยังดี”
“เธอกับลูกประธานนั้น...เป็นอะไรกัน ฉันสงสัยนัก”
“เพื่อนสมัยเด็กครับ...เป็นเพื่อนคนเดียวที่มีจิ๊กซอล์ความทรงจำที่หายไป...” พีทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาก่อนที่จะตัดสินใจถามหาคนที่ไม่อยู่ “แล้ว...เทเรซ่าล่ะครับ? ตั้งแต่ฟื้นมาไม่เห็น”
“ไปจากที่นี่แล้วล่ะ” เหม่ยซิงว่า “ชีวิตของเธอน่าสงสารอยู่เหมือนกัน เสียดายที่ฉันรู้ช้าไปหน่อย”
“ยังไง?”
“เมื่อก่อนซิสเซอร์เทเรซ่าเคยอยู่ในการดูแลของฉัน...ในฐานะผู้สังเกตการณ์ผู้ใช้พลังจิต แต่กลับไม่รู้เรื่องที่ถูกบังคับเข้าพวกไอริสเลยแม้แต่นิดเดียวและนั่นก็คงเป็นเรื่องที่ฉันหลุดออกจากการเป็นผู้ดูแลเพราะเธอหายตัวไป แค่กๆ” เหม่ยซิงไอ “แค่กๆ คอแห้ง...ล่ะ ชวนคุยมากไปหน่อย ทำแผลเรียบร้อย เธอขึ้นไปหาคนข้างบนได้แล้ว”
 
เหม่ยซิงดันตัวเขาลงจากตื่นแล้วผลักไปทางประตูทางออกห้องนี้และเขาก็กำลังจะออกไป แต่เหม่ยซิงทักซะก่อน
 
“แม่หนุ่มน้อย! เอานี่ให้ด็อกหน้าเหลี่ยมด้วย”
 
‘ด็อกหน้าเหลี่ยม? นี่ตั้งฉายาให้คนอื่นไปทั่วเลยหรือ---‘
 
ยังไม่ทันคิดจบ เหม่ยซิงโยนแท็บแล็ตที่เขาทิ้งไว้บนเตียง แต่มันกลับลอยช้าๆ มากจนเข้ามือพีในอีกห้าวินาทีต่อมา แน่นอนมันทำให้เขาตะลึงเลยมองไปที่เหม่ยซิงที่เอามือซ้ายกุมหน้าตัวเอง เหมือนเรื่องที่ทำเมื่อครู่เป็นเรื่องผิดพลาด เธอเอามือซ้ายขึ้นไปกุมบนหัวแล้วหลับตาแล้วอธิบายสิ่งที่เธอขึ้น
 
“แกรฟวิทีคอนโทรล (Gravity Control) เป็นชื่อที่ตั้งลวกๆ นะ...นี่เป็นพลังจิตที่ฉันได้มาตั้งแต่เกิดเรื่องที่สนามบิน ถ้าแตะของอะไรก็ตามสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ แต่ตอนนี้ยังไม่คล่องเท่าไร ถึงเผลอใช้ขึ้นมาไม่รู้ตัว”
 
‘อ๋อ ที่เธอใช้กับรองเท้าฉันให้กระโดดได้สูงๆ นั่นเอง’
 
“พยายามเข้านะครับ”
“อือ ขอบใจ...ไว้วันหลังที่อุปกรณ์แล็ปพร้อมเมื่อไร ฉันจะตรวจดูมือขวาเธอให้”
“อ่า...ขอบคุณครับ”
 
พีตอบรับไปอย่างงั้น แล้วเดินออกจากห้องไป ทางเหม่ยซิงถอยหายใจสักพักใหญ่แล้วทอดมองเรสเทียร์ที่นอนหลับลึกอยู่บนเตียงริมห้อง
 
◊◊◊
 
[08:30] [28/12/2057]
[Area TH-7 เขตกลาง, Blue Zone, สถาบันวิจัยลับเก่า ชั้นแรก “บ้านเฟียน่า”]
 
“อ่า หวัดดีครับ”
“หนูพี ฟื้นแล้วหรือ ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?” ด็อกเตอร์ซิสถาม
“ชะชะใช่ครับ สะสบายดี”
 
พีมัวแต่ตกใจก็เลยพูดกะตุกะตะ เพราะหลังจากขึ้นลิฟท์ถึงชั้นบนสุดคือบ้านของเฟียน่า พอประตูลิฟท์เปิดก็เจอกับด็อกเตอร์ซิสที่เดินใช้ไม้เท้าข้างขวาที่ได้ยินมาว่าแตกร้าวและดูเหมือนจะอารมณ์ดียืนอยู่ข้างหน้า
 
“ด็อกหน้าเหลี่ยม...”
 
เผลอไปนึกถึงฉายาที่เหม่ยซิงตั้งไว้ มีภาพสุนัขหน้าเหลี่ยมๆ ย่นๆ ซ้อนทับใบหน้าของด็อกเตอร์ซิส
 
“อุอุ หุหุ ฮ่าๆ!!”
 
พีแทบเอามือปิดปากกั้นหัวเราะไว้ไม่ทัน...
 
‘หน้าเหมือนมากจริงๆ’
 
“หนูพีเป็นอะไรหรือ?”
“ปะปะเปล่าครับ”
 
พีรีบวิ่งออกจากลิฟท์ไปข้างหน้าแล้วเปิดประตูตรงหน้าเดินออกไปแล้วรีบปิดทันที
 
‘เกือบไปแล้ว’
 
พีหันไปดูทางที่เพิ่งออกมา เหนือประตูมีเขียนว่า Storage
 
‘อ๋อ ทางลับลงไปสถาบันวิจัยอยู่ในห้องเก็บของนี่เอง
เอ๊ะ...ลืมให้แท็บเล็ต...ด็อกเตอร์นั่นเพิ่งลงลิฟท์ไป งั้นไว้ค่อยให้ที่หลังล่ะกัน’
 
พีโดนลากตรงมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูห้องรับแขก เรสเทียร์เปิดประตูแล้วก็ลากเขาเข้าไป เป็นห้องรับแขก ทางขวามือจะเป็นครัวเล็กๆ ทางซ้ายจะมีโซฟาสามตัว โดยเฟียน่านั่งจดบิลรายการอะไรสักอย่างอยู่และทอมมี่ที่นั่งชิวๆ มีโต๊ะกลาง และทีวีจอแบนขนาดใหญ่ติดผนังที่เปิดเครื่องไว้อยู่ ข้างหน้าซ้ายมือจะเป็นประตูออกไปข้างนอกบ้าน
 
“พีจัง!”
 
ทอมมี่ตะโกนดีใจลั่นห้องเมื่อเห็นเขาก่อนที่จะถาโถมเข้ามาหาจะเข้ามากอด
 
“โฟกัส”
 
เวลารอบข้างช้าลงไปถนัดตา พีเดินเลี่ยงหลบเพื่อนที่ตัวลอยจะกระโดดเข้าหาไปนั่งบนโซฟาใกล้ๆ เฟียน่าแทน พอพลังบลูเลตไทม์หยุดทำงาน หน้าทอมมี่กระแทกกับพื้นเข้าอย่างจังแล้วนอนร้องโอดโอย เฟียน่าเห็นแล้วส่ายหัว
 
“พวกนายนี่มัน...เฮ้อ” เฟียน่าบ่นแล้วเขียนรายการอะไรสักอย่างต่อเหมือนเดิม
“เธอว่ามีเรื่องอะไรคุยกับฉัน” พีเร่งรัดถาม
“พีจัง!”
 
ทอมมี่โผล่มาข้างหลังเข้ามากอดคอเขา พีที่อยู่ในอารมณ์ไม่เล่นด้วยเรียกปืนเอ๊กซ์แทรคออกมาจ่อใต้คางคนกอด ทอมมี่พอรู้ว่าเพื่อนรักของเขาไม่เล่นด้วยเลยถอยออกไปนั่งโซฟาอีกตัวตามเดิม เฟียน่าจะถามเรื่องที่เธอสงสัยมานาน แต่แล้วโซตะที่มาพร้อมกับหุ่นโดรนลูกกลมลอยได้ที่มีชื่อว่าซันเต เดินเปิดประตูเข้ามาซะก่อนในสภาพงัวเงียเพิ่งตื่น
 
“พี่สาวฮะ มีใครมาเอะอะแต่เช้า...พี่ชาย! พี่ชายฟื้นแล้ว!”
 
โซตะร้องดีใจเมื่อเห็นฉันแล้วก็วิ่งมากอด ฉันลูบหัวตอบ
 
“จร๊าจ๊ะ”
 
ในช่วงแรกๆ ที่เขาได้พบกับโซตะหลังฟื้นในห้องพักที่นี่ พีก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเด็กอายุสิบหกคล้ายผู้หญิงไปแล้ว แน่นอนว่าโซตะตกใจมาก เพราะเขาคิดว่าพีตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันที่สนามบินก็ตาม กว่าจะให้ปรับความเข้าใจให้โซตะใหม่ได้ ก็ใช้เวลาทั้งวัน
 
“ตรวจพบวัตถุอันตรายที่ไม่มีลงทะเบียนไว้ครับ นายหญิง” เสียงจากโดรนลูกบอลซันเตที่ลอยอยู่ใกล้ๆ ปืนของพี “ลักษณะคล้ายปืน ให้ผมทำลายทิ้งเลยไหมครับ?”
“ไม่ต้อง” เฟียน่าตอบ “ซันเต มาใกล้ๆ”
 
โดรนลูกบอลนั้นก็บินไปหาเฟียน่าที่ไม่มีผ้าพันแผลทั้งตัวแล้วแถมยังดูสดใสอีกด้วย
 
‘เฮ้ย ตะกี้ยังมีอยู่นี่ว้า เอาออกตอนไหน...
หรือว่าใช้พลังจิตนั่น...ไม่อยากให้โซตะรู้สินะ’
 
พีคิดสักพักหนึ่ง แล้วถามทอมมี่ถึงเรื่องที่เขาทำไว้
 
“นี่ทอมมี่...ท้องแกเป็นไงบ้าง”
“ยังปวดไม่หายเลยครับ เหอะๆ” ทอมมี่หรี่ตาลง “นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว เป็นห่วงผมสินะครับ”
โซตะละจากตัวพีไปหาเฟียน่า“พี่สาวทำอะไรอยู่เหรอฮะ?”
“กำลังเขียนรายการวัตถุดิบอาหารจ๊ะ” เฟียน่าว่า
“หือ? เธอทำอาหารเป็นเหรอ?” พีถาม
“เป็นสิย่ะ...” เฟียน่ามองค้อนด้วยหางตา “เดี๋ยวนายกับทอมมี่ไปซื้อของตามที่ฉันจดที”
“อ่า...ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ...อ๋อเธอบาดเจ็บ---”
 
เฟียน่าทำตาถลึกใส่ แล้วส่งสายตาชี้ทางโซตะ
 
‘เกือบไป...’
 
“พี่สาวฮะ” โซตะพูด “ทำข้าวปั้นแซลม่อนที่เคยกินกับพี่ยูคาริสิฮะ โซตะอยากกินมากเลย ไม่ได้กินนานแล้ว”
 
คำขอร้องของโซตะที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่พีเห็นแววตาตื่นตูมของเฟียน่าที่ราวกับว่าได้ยินเรื่องคอบาดตาย ก่อนที่เธอจะหลับตาลงแล้วลูบหัวโซตะ
 
“แถวนี้มันหาของยากนะ ไว้รอให้พี่เขาหิ้วของจาก Area JP มาให้ดีกว่านะ”
“แล้วเมื่อไรพี่ยูคาริจะมาล่ะฮะ? เห็นพี่สาวบอกจะมาเร็วๆ นี้หลายรอบแล้วนี่ฮะ”
 
เฟียน่าถอนหายใจก่อนที่จะลูบหัวโซตะอีกครั้งแล้วพูดด้วยเสียงที่เบากว่าปกติ
 
“ยูคาริงานเขายุ่งล่ะจ๊ะ เป็นนักดนตรีชื่อดังเลยเป็นแบบนี้ โซตะเป็นเด็กดี...อดทนรอได้ไหม? รอที่จะได้กินข้าวปั้นแซลม่อนพร้อมกัน พี่ว่าเขาต้องมีดีใจมากแน่ๆ ถ้าได้ยินว่าโซตะยอมอดทนรอกินกับพี่เขา”
“ฮะ! โซตะจะเป็นเด็กดี เพราะฉะนั้นต้องอดทนรอพี่ยูคาริมา ถึงจะได้กินพร้อมๆ กันใช่ไหมฮะ?”
“ใช่จ๊ะ”
“แต่พี่เขาจะมาวันไหนล่ะฮะ?”
“เฮ้อ...อีกไม่นานนี่ล่ะจ๊ะ อีกไม่นานหรอก...นี่โซตะ ตื่นมาล้างหน้าอาบน้ำยัง”
“อ่า...ยังเลยฮะ”
“งั้นก็ไปซะสิ”
“ฮะ”
 
‘ยูคาริ!? ใครนะ? แล้วทำไมเวลาเฟียน่าพูด เธอถึงได้ทำหน้าเศร้าๆ แบบนั้น เล่นทำให้ฉันไม่กล้าถามเลยแฮะ’
 
พีคิดตามภาพที่เขาเห็น แล้วโซตะก็ออกจากห้องนี้ไป พีมองไปที่โซเฟียที่รอบๆ ตัวเธอค่อยๆ คืนสภาพตามความเป็นจริง ผ้าพันแผลและสภาพดูมอมแมมกลับมาแล้ว เธอถอนหายใจ พีถือโอกาสถามเลย
 
“เธอไม่อยากให้โซตะรู้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็ใช่นั่นสิ” เฟียน่าพูด “ไม่อยากให้เป็นห่วง...และนายก็อย่าคิดปากโป้งเด็ดขาด”
“แต่เธอก็เก่งนะ ใช้พลังจิตคล่องมาก”
“ไม่รู้สิ เพราะเคยทำได้ก่อนหน้านี้ล่ะมั้ง มันอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่ตอนนี้อยู่ได้นานขนาดไหนก็ไม่รู้”
 
‘เธอก็เก่งจริงๆ นั่นแหละ
เราก็ยังไม่ได้ลองพลังจิตพีทูของตัวเองจริงๆ จังๆ ซะครั้ง
แต่ว่าเธอว่ามีเรื่องคุยกับฉันนิ’
 
“เฟียน่า เธอ---”
 
ตริ๊ง...
 
เสียงเตือนรายการของแท็บเล็ตที่พีถือไว้มือขวา
 
‘มารผจญจริงๆ’
 
พีพลิกขึ้นมาดูหน้าจอ เป็นแท็บสีเหลืองขึ้นเตือนว่า ‘ถึงกำหนดการแถลงของเวิลด์เจเรนัลที่ Area RU
 
“นั่นมันเขียนว่าอะไร” เฟียน่าพยายามยื่นหน้ามาดู แต่เพราะดูกลับหัวอยู่ก็เลยดูไม่ออก
“มันเขียนว่า ถึงกำหนดการแถลงของเวิลด์เจเรนัลที่ Area RU”
“...เวิลด์เจเรนัล Area RU...ศูนย์แม่นี่” เฟียน่าหรี่ตาลง “ช่วยสไลด์ขึ้นจอทีวีหน่อยสิ”
 
‘สไลด์ขึ้นจอทีวี?
อ่า...ทำยังไงหว๊า
เวรล่ะ ไม่เคยใช้ของแบบนี้ด้วย ลองดูล่ะกัน’
 
พีลองยกแท็บเล็ตเล็งใส่ทีวี แล้วสไลด์นิ้วหน้าต่างที่ขึ้นเตือนไปทางนั้น ข้อมูลจากในแท็บเล็ตย้ายไปขึ้นในทีวี
 
‘มั่วถูกด้วยแฮะ’
 
พีโล่งใจเลยทีเดียว
 
“พีจังเป็นอะไรครับ เหงื่อแตกเยอะเชียว” ทอมมี่ถาม
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก”
 
พีถอนหายใจ ไม่รู้ว่าวันนี้ถอนหายใจไม่รู้กี่รอบแล้วและเขาก็หันไปมองทางทีวี เป็นภาพโต๊ะพิธีการที่มีไมค์ตั้งอยู่ ด้านหลังก็เป็นแบคกราวน์ที่มีสัญลักษณ์ของเวิลด์เจเรนัล มีเสียงคนก้องคุยกันอยู่บ้างเหมือนถ่ายทอดสดจากห้องโถงใหญ่
 
‘จะแถลงข่าวอะไรนิ?’
 
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา ก็มีผู้ชายใส่สูทสีดำผอมแห้งหน่อย หน้าตาก็คล้ายคนรัสเซียแถวๆ Area RU ทั่วไปเดินเข้ามาจากทางขวามาตรงแท่งไมค์แล้วกล่าวคำปราศรัย
 
“ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ให้รอนะครับ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน...เนื่องจากท่านเลขานุการเวิลด์เจเรนัล มีภารกิจเร่งด่วนจึงได้ให้กระผมทำหน้าที่แทนครับ”
 
มีเสียงอื้อซ่าจากคนที่อยู่ห้องโถงทันที...คนประกาศรอให้เสียงเบาลงก่อนแล้วกล่าวต่อ
 
“เนื่องจากในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.2057 เมื่อสามวันที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์โจมตีของผู้ก่อการร้ายที่เรียกตนเองว่าไอริส ณ Area TH ที่เจ็ด ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งแร่คริสตัลชายน์ถูกขโมยไปจำนวนหนึ่ง และได้เกิดลำแสงประหลาดสีฟ้าแดงขึ้นสุดขอบฟ้า ณ สนามบินดอนเมือง ทำให้มีปราฎการณ์คล้ายออโรร่าสีฟ้าเกิดขึ้นทั่วโลก ก่อนที่จะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ตามสื่อที่พวกท่านได้เห็น...หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ทั่วโลกได้มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นกับมนุษย์เท่าที่สรุปได้คร่าวๆ ก็คือ มนุษย์เริ่มทำสิ่งแปลกประหลาดจากเมื่อก่อน อย่างเช่น เสกไฟ ควบคุมสนามแม่เหล็ก เปลี่ยนอุณหภูมิด้วยมือ เป็นต้น ซึ่งทางเรายังกล่าวได้ไม่มั่นใจว่า เหตุการณ์ลำแสงประหลาดนั่น อาจจะส่งผลให้พลังจิตในร่างกายมนุษย์เพิ่มพูนขึ้นมหาศาลหรือไม่ แต่สิ่งที่กล่าวมานั้นไม่ได้เกิดขึ้นในบางคน ซึ่งทางเราจะหาสาเหตุต่อไป...และในวันนี้ยังเกิดเหตุประหลาดมีแร่คริสตัลชายน์ขนาดยักษ์ขึ้นมาจากใต้สนามบิน ซึ่งตอนนี้ทางเราได้ประกาศให้บริเวณโดยรอบสนามบินเป็นเยลโล่โซนแล้วเรียบร้อย...”
 
‘เป็นไปตามที่เรสเทียร์บอกทั้งหมดเลยแฮะ’
 
พีแอบดูเรสเทียร์ที่จ้องทีวีไม่กระพริบ ก่อนที่จะฟังความบรรยายบรรทัดสุดท้าย
 
“ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ ทางเวิลด์เจเรนัลได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นทางการ ว่า ณ ขณะนี้มนุษย์อาจจะได้วิฒนาการณ์ไปอีกขั้นหนึ่ง ทางเราขอเรียกมันว่า...พีทูไรซิ่ง (P.P. Rising) ครับ”
 
◊◊◊
 
ในที่สุดก็จบตอนแล้วนะจ๊ะ
จะเป็นยังไงต่อไป ในเมื่อผู้คนต่างเริ่มมีพลังจิต
โลกจะวุ่นวายขนาดไหน?
โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า เมื่อพลังจิตผงาด บทที่ 2 [พลังที่ควบคุมไม่ได้]By Spy442299 & Nattanan Srising

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา