ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)

9.0

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.

  15 ตอน
  3 วิจารณ์
  25.87K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่ 1 กลับบ้าน 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

1

กลับบ้าน

 

            ภายในบ้านหลังใหญ่ของเจ้าแม่วงการค้าเพชรทองชื่อดัง คุณนายกมลวรรณ เดชาวัฒนสกุล พร้อมด้วยบุตรสาว บุตรเขย และหลานสาวตัวน้อยวัยสองขวบ ทั้งหมดกำลังนั่งพักผ่อนพูดคุยกันอยู่ภายในห้องรับแขกด้วยบรรยากาศที่มีแต่รอยยิ้มเสียงหัวเราะ และมีความสุขไปกับหนูน้อยสมาชิกใหม่นามว่า ทิชา ที่นั่งเล่นอยู่กับพื้นโดยมีพี่เลี้ยงคอยหยิบจับของเล่นหลากสีสันส่งให้อย่างสนุกสนาน

            รถแท็กซี่สีสวยสะอาดตาจอดเทียบหน้าประตูรั้วอัลลอยของบ้านหลังใหญ่ที่แสนอบอุ่น นายแพทย์วิทยา เดชาวัฒนสกุล หมอหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงโปร่งหล่อเหลาขาวตี๋ดีกรีนายแพทย์ใหญ่มาดนุ่มนวลก้าวลงมาจากรถด้วยท่วงท่าที่สง่างาม เขาจากบ้านอันแสนอบอุ่นหลังนี้ไปด้วยภาระหน้าที่และหัวใจอันหนักอึ้งในตอนนั้น บัดนี้เขากลับมาด้วยหัวใจที่เข้มแข็งขึ้น พร้อมกับความสามารถที่มากล้นด้วยประสบการณ์และความชำนาญในสายการแพทย์ที่ตัวเองถนัด

            ตลอดทางที่เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้าน เขาได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงของบุคคลหลายคนดังแว่วมาเป็นระยะ ซึ่งเขาจำได้ดีว่า เสียงหนึ่งในนั้นก็คือมารดาของเขา แค่ได้ยินคนเป็นแม่หัวเราะแบบนี้เขาก็พลอยยิ้มตามไปด้วย และทันทีที่เท้าแกร่งก้าวเข้ามาภายในห้องรับแขกที่เป็นต้นเสียงแห่งความสุขนั้น ทุกอย่างก็หยุดลงทันทีเหมือนกับปิดสวิตซ์ได้

            “สวัสดีครับทุกคน”

            “ตาวิท/พี่วิท” สองแม่ลูกร้องเรียกผู้มาใหม่ด้วยความตกใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน

            “สวัสดีครับคุณแม่” หมอหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ามารดา ก่อนจะพนมมือก้มกราบที่ตักของท่านด้วยความรักและคิดถึง

            “สวัสดีลูก แม่คิดถึงลูกมากนะวิท” คุณนายกมลวรรณรั้งตัวบุตรชายขึ้นมานั่งเคียงข้างพร้อมกับโอบกอดด้วยความห่วงหาจนสุดหัวใจ

            “ผมก็คิดถึงคุณแม่มากครับ”

            “สวัสดีค่ะพี่วิท/สวัสดีครับหมอวิท” สองสามีภรรยาทักทายผู้มีศักดิ์เป็นพี่ด้วยความรู้สึกยินดี ในขณะที่คนเป็นน้องสาวจ้องมองพี่ชายของตัวเองอย่างนึกภาคภูมิใจ วันและเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้พี่ชายของเธอหล่อเหลาน้อยลงเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับมีความสง่างามราวเทพบุตรจนเธออึ้งไปนานทีเดียว

            “ครับน้องมล คุณกร สบายดีนะครับ” วิทยาผละจากอกอบอุ่นของมารดา แล้วหันไปถามน้องสาวกับน้องเขยด้วยรอยยิ้มเต็มวงหน้า

            “พวกเราสบายดีค่ะพี่วิท” พิชามลตอบพี่ชายเสียงสดใส

            “ผมต้องขอบคุณคุณกรมากนะครับ ที่ทำให้น้องสาวกับคุณแม่ของผมมีรอยยิ้มและมีความสุขแบบนี้”

            “ผมว่าต้องขอบคุณหนูน้อยคนนี้มากกว่าครับ” ทินกรบอกด้วยรอยยิ้มขณะก้มตัวลงไปอุ้มบุตรสาวสุดที่รักอันเป็นดวงใจของทุกคนขึ้นมานั่งบนตักแกร่ง เพื่อเป็นการแนะนำให้คนเป็นลุงได้รู้จักหลานสาวตัวน้อยที่น่ารักของเขา

            “สวัสดีครับหลานลุง ขอลุงอุ้มหน่อยได้ไหมครับ” วิทยามองเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดู พร้อมทั้งสาวเท้าเข้าไปหาเหมือนกับว่ามีแรงดึงดูด

            ทินกรส่งตัวบุตรสาวให้กับวิทยาเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน หนูน้อยทิชาตบมือแปะๆ หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขเพราะถูกผู้เป็นลุงหอมแก้มยุ้ยๆ นั้นไปฟอดใหญ่

            “นางฟ้าตัวน้อยของลุงชื่ออะไรครับ” วิทยาถามหนูน้อยบนตักแกร่งพลางหันไปมองหน้าน้องสาวกับน้องเขยยิ้มๆ

            “ทิชาค่ะ พี่วิท” พิชามลตอบพี่ชายด้วยรอยยิ้มสดใสไม่ต่างจากบุตรสาวของตัวเองที่กำลังยิ้มร่าส่งเสียงอ้อแอ้เหมือนกำลังร่วมวงสนทนาด้วยยังไงยังงั้น

            “อืม... ชื่อเหมาะและก็คล้องจองกับพ่อแม่ด้วย” คนเป็นพี่ว่าพลางหันไปส่งยิ้มให้น้องสาวกับน้องเขยด้วยความรู้สึกพอใจกับชื่อของหลานสาว

            “เอ... ทำไมทิชาถึงดูไม่ตื่นกลัวกับพี่เลยล่ะครับ” วิทยาถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วเด็กในวัยนี้น่าจะมีความตื่นกลัวกับคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย นอกจากจะไม่ยอมให้อุ้มง่ายๆ แล้ว ยังร้องไห้งอแงอีกด้วย แต่หนูทิชาคนนี้กลับหัวเราะคิกคักยิ้มหวานให้ตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ

            “ก็พวกเราเอารูปของพี่วิทแทบจะทุกๆ อิริยาบถมาให้ทิชาดูแล้วบอกเขาว่าเป็นคุณลุง พอดูทุกวันเข้าก็เลยคุ้นหน้าน่ะค่ะ” พิชามลเป็นคนอธิบายให้พี่ชายได้รับรู้ถึงความฉลาดและหัวไวของบุตรสาว

            “หลานลุงความจำดีนะเนี่ย ไหนขอลุงหอมแก้มให้ชื่นใจหน่อยสิ คนเก่งของลุง” ว่าจบหมอหนุ่มก็ก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของหลานสาวทั้งสองข้างอย่างนึกมันเขี้ยว หนูน้อยทิชาได้แต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ มือป้อมๆ น้อยๆ พยายามไขว่คว้าจับแว่นตาของผู้เป็นลุงด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับของแปลกที่ไม่ได้พบเจอบ่อยนัก

            “แล้ววิทมายังไงเนี่ยลูก ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน แม่จะได้ให้รถที่บ้านเราไปรับ” คุณนายกมลวรรณเอ่ยขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายของตัวเองกลับมาอย่างกะทันหันโดยไม่ได้บอกกล่าวกันล่วงหน้าให้ได้รับรู้มาก่อน

            “ผมมาแท็กซี่น่ะครับคุณแม่”

            “น่าจะโทรมาบอกสักหน่อย ผมจะได้ไปรอรับที่สนามบิน” ทินกรบอกอย่างมีน้ำใจ

            “ขอบคุณครับคุณกร พอดีเมื่อคืนผมลงเครื่องมาก็ดึกมากแล้วเลยนั่งแท็กซี่ไปนอนที่คอนโดก่อน แล้วค่อยมาที่นี่ตอนสายๆ จะดีกว่า จะได้ไม่เป็นการรบกวนทุกคนด้วย” วิทยาอธิบายให้คนที่มีศักดิ์เป็นน้องเขยได้เข้าใจ

            “รบกวนอะไรกันครับหมอวิท พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับ” ทินกรกล่าวพลางส่งยิ้มและสบตากับทุกคนในห้องอย่างอบอุ่น

            “ครับ ยังไงผมต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับที่คุณกรดูแลคุณแม่และน้องสาวของผมเป็นอย่างดี”

            “มันเป็นหน้าที่ที่ผมทำด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งครับ” คนเป็นเขยรับคำน้ำเสียงหนักแน่นเรียกรอยยิ้มปลื้มปิติของทุกคนที่มีให้แก่กันด้วยความซาบซึ้ง

            “กลับมาคราวนี้ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วใช่ไหมลูก” คนเป็นแม่หันไปถามบุตรชายด้วยความกังวล เพราะกลัวว่าลูกชายสุดที่รักจะต้องเดินทางไปไหนไกลๆ อีก

            “ครับคุณแม่ ต่อไปนี้ผมต้องทำงานตอบแทนทุนของทางโรงพยาบาลที่ส่งผมไปศึกษาเพิ่มเติมมาน่ะครับ”

            “ดีลูก... แม่น่ะไม่อยากให้ใครต้องพลัดพรากไปไหนไกลๆ อีกแล้ว ทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเหลือเกินลูก” คุณนายกมลวรรณพูดอย่างรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกที่หนักอึ้งมาหลายปี ซึ่งในช่วงที่บุตรชายคนโตไปศึกษาต่อนั้น นางทั้งคิดถึงและเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ

            “งั้นวันนี้เราชวนบ้านพี่ธีร์กับยัยแพรมาทานข้าวเย็นกันนะคะคุณแม่ พักนี้ไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วย” พิชามลเสนอความคิดด้วยความดีใจ อยากให้ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที

            “อืม... แม่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ แล้ววิทล่ะ ว่ายังไงลูก” สิ้นคำพูดของคนเป็นแม่ ทั้งหมดต่างก็รอลุ้นคำตอบของหมอหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ เพราะทุกคนรู้ดีว่า ความรักในอดีตสร้างความเจ็บปวดให้เขาสาหัสขนาดไหน แล้วเขาจะพร้อมหรือยังหากต้องเผชิญกับหญิงสาวที่เขาเคยรัก และเคยคิดจะครอบครองเมื่อหลายปีก่อน

            “ผมยังไงก็ได้ครับคุณแม่ งั้นผมขอตัวเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนนะครับ” วิทยามีสีหน้าเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะไม่อยากให้ใครต้องไม่สบายใจ เขาจึงขอหลบหน้าไปข้างบนสักพักจะดีกว่า

            “ตาวิท... ลูก...”

            “ผมไม่เป็นไรครับ” ว่าจบก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วอุ้มหนูน้อยทิชาไปส่งคืนให้กับน้องสาว

            “พี่วิท... เอ่อ... มลขอโทษนะคะหากทำให้พี่วิทไม่สบายใจ” พิชามลพูดด้วยความรู้สึกผิด พลางอ้าแขนรับตัวบุตรสาวมากอดไว้บนตักของตัวเอง

            “พี่ไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นอีกแล้วครับ น้องมลสบายใจได้”

            “พี่วิท... ลืมได้แล้วหรือคะ”

            “พี่ไม่ได้ลืม แต่พี่เก็บไว้ในใจจนลึกที่สุดต่างหาก” วิทยาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วก้าวขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ ทิ้งให้ทุกคนที่นั่งอยู่เบื้องหลังมองตากันไปมาด้วยความรู้สึกสงสารชายหนุ่มยิ่งนัก การจะลืมคนที่ตัวเองเคยรักนับว่ายากแล้ว แต่การเก็บคนรักเก่าเอาไว้ในหัวใจให้ลึกที่สุดนั้นคงยากและเจ็บปวดยิ่งกว่า 

            “คุณแม่คะ มลสงสารพี่วิทจังเลยค่ะ” พิชามลพูดขึ้นขณะมองตามพี่ชายเมื่อเห็นเขาเดินลับตาไปแล้ว

            “แสดงว่าวันเวลาและระยะทางไม่ได้ทำให้ความรักที่หมอวิทมีต่อคุณแพรลดเลือนลงไปเลยหรือยังไงนะ” ทินกรเปรยออกมาเบาๆ แต่ก็ทำให้ทั้งภรรยาและแม่ยายที่นั่งคิดเรื่องเดียวกันอยู่ได้ยินชัดเจน

            “เฮ้อ... นั่นสิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เมื่อไหร่ลูกชายของแม่จะมีความสุขสักทีก็ไม่รู้” คุณนายกมลวรรณถอนหายใจหนักๆ ออกมาด้วยความรู้สึกกังวลถึงบุตรชายคนโตที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง แต่กลับไม่สมหวังในเรื่องของความรัก ‘นี่แหละน้า... ที่เขาเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต’ 

            “เอ... หรือแม่จะลองคุยกับคุณสินชัยเพื่อนของแม่ดีนะ” จู่ๆ คนเป็นแม่ก็พูดออกมาลอยๆ เหมือนขอความเห็นจากคนที่ได้ยิน

            “ใครหรือคะคุณแม่” พิชามลหันไปมองหน้าสามีอย่างครุ่นคิดขณะเอ่ยถามมารดา แขนเรียวปล่อยตัวหนูน้อยทิชาให้ลงไปนั่งเล่นของเล่นกับพี่เลี้ยงตามเดิม

            “ก็คุณลุงสินชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสินกมลที่แม่ไปร่วมลงทุนกับเขาเมื่อสองปีก่อนนั่นไง” นางนึกถึงเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่เป็นหมอใหญ่ของโรงพยาบาลชื่อดัง ซึ่งมีทั้งความสามารถและชื่อเสียง จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนฝ่ายนั้นเข้ามาชวนก่อตั้งโรงพยาบาลเอกชนด้วยกัน ตอนนั้นนางตอบตกลงเพราะคิดว่าการมีโรงพยาบาลเป็นของตัวเองก็เป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดของบุตรชายคนโตด้วยเหมือนกัน และจะเป็นการดีไม่น้อยหากได้นายแพทย์ใหญ่ผู้มากประสบการณ์เป็นผู้เบิกทางให้

            “อ๋อ... ผมจำได้แล้วครับคุณแม่ นายแพทย์สินชัย วรโชติ” คนเป็นเขยนึกขึ้นได้ เพราะวันที่แม่ยายไปตกลงทำสัญญากับฝ่ายนั้น เขาเองก็ไปด้วย และยังร่วมเป็นพยานในเอกสารหลายๆ ฉบับในฐานะทนายความประจำตัวให้แม่ยายอีกด้วย

            “ใช่แล้ว... คนนั้นแหละลูก”

            “แล้วยังไงหรือคะคุณแม่” บุตรสาวคนเล็กยังคงไม่เข้าใจในสิ่งมารดาต้องการจะสื่อ

            “คุณสินน่ะ เขามีลูกสาวคนเดียว และเขาเคยพูดกับแม่เป็นเชิงทีเล่นทีจริงว่า อยากได้พี่วิทของเราไปเป็นลูกเขย” คนเป็นแม่บอกบุตรสาวและบุตรเขยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่น

            “อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่...” พิชามลอ้าปากค้างเว้นวรรคคำพูดไว้ในเชิงที่เข้าใจตรงกัน

            “ใช่ลูก... แม่คิดแบบนั้น” รอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่นนั้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้อาวุโสเพื่อยืนยันความตั้งใจ

            “เอ่อ... แต่หมอวิทเขาจะยอมหรือครับคุณแม่” คำพูดของบุตรเขยทำให้รอยยิ้มของแม่สื่อที่คิดจะจับคู่ให้ลูกชายคนโตหุบฉับลงทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวล พลางนึกไปถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่นางให้ความรักและเคารพมาโดยตลอดซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นญาติเกี่ยวดองกันแล้ว

            “เฮ้อ... แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันลูก เย็นนี้แม่ว่าจะลองขอคำปรึกษาจากคุณหญิงเพ็ญพักตร์อีกทีดีกว่า รายนั้นเขามีความคิดที่เด็ดขาดกว่าแม่”

            “ก็ดีค่ะคุณแม่ คุณป้าเพ็ญท่านทั้งเด็ดขาดและรอบคอบ ดูอย่างพวกเราสิคะ ตอนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเมื่อตอนนั้น ก็ได้คุณป้าเพ็ญนี่แหละจัดการให้จนพวกเรามีวันนี้” พิชามลนึกถึงเรื่องราวความรักของเธอและสามีกับคู่ของธีรพัฒน์และแพรวาเพื่อนรักของเธอที่กว่าจะลงเอยกันได้ ก็ทำเอาคุณหญิงเพ็ญพักตร์กับคุณแม่ของเธอเป็นลมกันไปหลายตลบ

            “แต่หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ผิดตัว ผิดฝาผิดคู่กันอีกนะครับ” ทินกรพูดล้อเลียนยิ้มๆ เพราะแต่ก่อนคุณป้าของเขากับคุณแม่ยายก็เคยจับคู่ให้พวกเขาสลับกันมาแล้ว

            “แหม่... คราวนี้มีคู่เดียวคงไม่มีผิดฝาแล้วล่ะจ้ะ” คุณนายกมลวรรณพูดเหมือนประชดประชันใส่บุตรเขยอย่างมั่นใจ ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มไปตามๆ กัน รวมถึงหนูน้อยทิชาด้วย ที่ส่งเสียงคิกคักเหมือนกับเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน ทำให้ห้องรับแขกเกิดเสียงแห่งความสุขขึ้นมาอีกครั้ง

 

            ณ อาคารคีตาพิพัฒน์ ซึ่งเป็นทั้งชื่อบริษัทและที่ตั้งของสำนักงานรับออกแบบชื่อดังที่มากทั้งความสามารถและประสบการณ์ที่สะสมมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น จวบจนปัจจุบันที่การบริหารสานต่อมาถึงรุ่นลูก ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวอย่าง นนท์ประวิธ คีตาพิพัฒน์ หรือ นนท์ ชายหนุ่มที่มีทั้งความหล่อเหลาเจ้าคารม แถมยังมาพร้อมกับความสามารถทางการศึกษาที่โดดเด่นกว่าใครด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และด้วยความเด่นดังนี้เอง ชายหนุ่มจึงเป็นที่หลงใหลหมายปองของสาวๆ มากมาย แต่เขาก็มีใจเดียวที่รักมั่นคงต่อเพื่อนสาวคนสนิทที่เรียนคณะเดียวกันมาตลอด ซึ่งปัจจุบันความสัมพันธ์ได้พัฒนาจากเพื่อนกลายมาเป็นคนรัก ที่สำคัญเขายังชวนเธอและเพื่อนอีกคนที่สนิทกันให้มาทำงานที่บริษัทของเขาอีกด้วย

            อรณิชา วรโชติ หรือ อร หญิงสาวผู้มีใบหน้าขาวใสดูอ่อนกว่าวัย ประกอบกับบุคลิกที่ช่างพูดช่างเจรจาไม่มีจริตเจ้ามารยาเหมือนสาวๆ สมัยใหม่ ทำให้สาวสวยวัย 28 ปีคนนี้ ดูน่ารักสดใสและซุกซนเหมือนเด็กในวัยแรกรุ่นทีเดียว เธอมีทั้งความสวยความน่ารัก อัธยาศัยดี และยังมีดีกรีถึงเกียรตินิยมอันดับ 2ติดตัวมาอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะได้ตำแหน่งมัณฑนากรสาวมือหนึ่งของบริษัทออกแบบชื่อดังมาครอบครอง ซึ่งบริษัทที่เธอทำงานอยู่นั้นเป็นของเพื่อนชายคนสนิทที่เธอเพิ่งเริ่มคบหาดูใจในฐานะคนรักได้ไม่นานอีกด้วย

            “ยัยอร เที่ยงแล้วไปกินข้าวกันเถอะ” กรรณิการ์ชะเง้อคอเรียกเพื่อนสาวข้ามฉากกั้นโต๊ะทำงานมา เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งจมอยู่กับงานออกแบบของลูกค้ารายใหญ่บนโต๊ะตั้งแต่เช้าจนไม่สนใจใคร แม้แต่กาแฟที่อยู่ในแก้วก็ยังดื่มไม่หมดด้วยซ้ำ

            กรรณิการ์ หรือ ก้อยเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของนนท์ประวิธและอรณิชา ซึ่งทั้งสามคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด หลังจากเรียนจบเพื่อนรักทั้งสองก็ชวนให้เธอมาทำงานด้วยกันที่บริษัทออกแบบแห่งนี้ ซึ่งเธอก็ยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ทำงานกับเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนจนกระทั่งจบการศึกษา และยังได้มาทำงานด้วยกันแบบนี้อีก ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นไปด้วย

            “อ้าว เที่ยงแล้วเหรอก้อย รอแป๊ปนะ อรขอเคลียร์ตรงนี้อีกนิดนึง” อรณิชาหันไปมองเพื่อนที่โผล่หน้ามาเพียงแว๊บๆ เท่านั้น ก่อนจะก็ก้มลงสนใจกับงานตรงหน้าต่อ เธออยากเคลียร์จุดสำคัญที่เธอกำลังคิดได้ให้เสร็จก่อน เพราะตอนนี้สมองเธอกำลังแล่นดีทีเดียว

            “โอเค งั้นก้อยไปห้องน้ำก่อนนะ”

            “จ้ะ...”

            หลังจากเพื่อนสาวขอตัวไปเข้าห้องน้ำระหว่างรอเธอเคลียร์งาน อรณิชาก็รีบก้มหน้าก้มตาขีดเขียนไอเดียที่กำลังวิ่งเข้ามาในหัวสมองอย่างใจจดใจจ่อจนไม่ได้มองชายหนุ่มที่มายืนอยู่ตรงหน้าและจ้องมองเธออยู่เป็นเวลากว่าห้านาทีแล้ว

            “นี่... คุณมัณฑนากรที่น่ารัก ขยันทำงานแบบนี้ สิ้นปีมีหวังนนท์จ่ายโบนัสอ่วมแน่ๆ” นนท์ประวิธเอ่ยแซวพร้อมกับส่งยิ้มที่สาวใดได้เห็นเป็นต้องละลายให้กับเพื่อนสาวที่ตอนนี้เธอกลายมาเป็นคนรักของเขาไปแล้ว

            “อ้าวนนท์ อรคิดว่านนท์จะไปทานข้าวกับลูกค้าซะอีก” คนที่เอาแต่ก้มหน้าทำงานเงยขึ้นมาพบกับรอยยิ้มละลายใจเข้าพอดี ทำให้ใบหน้าขาวใสที่ไร้เครื่องสำอางมีสีระเรื่อขึ้นมาอีกนิด เธอยอมรับว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี ยิ่งตอนเวลาเขายิ้มแทบจะทำให้สาวๆ ละลายลงไปกองกับพื้นได้เลยทีเดียว แต่น้อยคนนักที่จะเห็นเขายิ้มแบบนี้ ดูเหมือนจะมีแต่เธอเท่านั้นที่มักจะได้รับรอยยิ้มจากเขาเสมอ

            “พอดีลูกค้าเขาโทรมาเลื่อนนัดน่ะ นนท์เลยว่าง” ชายหนุ่มบอก พลางหันไปมองโต๊ะข้างๆ ที่เป็นของเพื่อนสนิทอีกคนของเขา เมื่อไม่พบหญิงสาวเจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่ตรงนั้นเขาจึงเอ่ยถาม

            “แล้วนี่ก้อยไปไหน”

            “ไปห้องน้ำน่ะจ้ะ เดี๋ยวคงมา” เสียงหวานตอบไปโดยไม่เงยหน้าจากงานบนโต๊ะที่เธอลงมือขีดเขียนอยู่ตลอดเวลา

            “วางปากกาดินสอลงได้แล้วที่รัก งานของนนท์ไม่ได้เร่งขนาดนั้นสักหน่อย” คนที่มีตำแหน่งเป็นทั้งเจ้านาย เพื่อนสนิทและคนรัก บอกแกมบังคับขณะยื่นมือหนาเข้าไปหยิกแก้มใสเบาๆ อย่างนึกมันเขี้ยวในความขยันจนดื้อของเธอ

            “นนท์น่ะ อย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันดูไม่ดีกับตัวนนท์นะ” หญิงสาวดุอย่างไม่จริงจังนัก เธอห่วงภาพลักษณ์ของเขาเสมอ ในเวลาที่อยู่บริษัท เธอกับเขาเสมือนเป็นเจ้านายกับลูกน้อง เธอไม่อยากให้ใครๆ มองว่าเธอใช้ความสนิทสนมมาเป็นเส้นสายในการทำงานที่ประสบความสำเร็จของเธอ

            “แล้วเมื่อไหร่จะเชื่อฟังกันบ้างล่ะครับ” นอกจากเขาจะไม่ฟังเสียงดุตักเตือนของเธอแล้ว เขายังหยอกล้อเธอด้วยการยื่นมือเข้าไปหยิบปลายผมที่ยาวคลุมแผ่นหลังบอบบางมาปัดป่ายที่แก้มนวลๆ นั่นอีกด้วย

            “ฮื้อ... นนท์ก็อย่าแกล้งสิคะ อีกนิดนึงจะเสร็จแล้วค่ะ” อรณิชาส่งเสียงรำคาญเล็กๆ ให้คนตรงหน้าหยุดแกล้งเธอ เพราะอยากเร่งทำงานให้เสร็จจะได้ไปหาอะไรกินสักที ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วด้วย

            ท่าทีหยอกล้อของหนุ่มสาวตรงหน้าทำให้คนที่ไปเข้าห้องน้ำและกำลังเดินกลับมาเห็นภาพนั้นพอดี เท้าบางหยุดชะงักแล้วหลบวูบเข้ามุมกำแพงห้องทันทีด้วยความตั้งใจ ก่อนจะค่อยๆ พิงแผ่นหลังกับผนังสูงนั้นเพื่อฟังคนทั้งสองพูดคุยกัน เธอรู้ว่าสองคนนั้นกำลังคบกันในฐานะอะไร เธอรู้ว่าระหว่างเราสามคนมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และความเปลี่ยนแปลงนั้นมันทำให้เธอต้องเจ็บปวด แต่เธอก็ยินดีและเต็มใจที่จะยอมรับมัน กรรณิการ์แหงนเงยหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วงนั้นกลับกลืนลงไปที่เดิม ในเมื่อเธอรักเขาเธอย่อมไม่หวังสิ่งใดนอกจากยินดีที่เห็นเขามีความสุข

            “อ้าวนนท์ นึกว่าไม่อยู่ซะอีก” กรรณิการ์เอ่ยทักชายหนุ่มหลังจากหลบมุมเพื่อทำใจจนเป็นปกติแล้ว

            “อืม... พอดีลูกค้าเลื่อนนัดน่ะ” นนท์ประวิธหันมาบอกเพื่อนสนิทอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา

            “งั้นเดี๋ยวเราไปกินข้าวด้วยกันนะ” คนมาใหม่เอ่ยชวนยิ้มๆ

            “ก็เนี่ย รอคุณมัณฑนากรมือหนึ่งที่ไม่รู้จะขูดเลือดขูดโบนัสกับนนท์ไปถึงไหน ดูสิ ทำงานไม่ยอมขยับเลย” เจ้าของบริษัทเอ่ยล้อเลียนประชดประชันคนขยันอย่างอารมณ์ดี

            “จ้าๆ เสร็จแล้วจ้ะ แหม่... หวงจังนะ โบนัสเนี่ย” อรณิชาเหน็บแนมเล็กๆ กลับไป ขณะหมุนเก้าอี้ออกจากโต๊ะทำงานเพื่อลุกขึ้นยืน

            “ก็ต้องหวงสิครับ นั่นน่ะ เงินทุนเพื่ออนาคตครอบครัวของเราเลยนะครับ” พอได้จังหวะนนท์ประวิธก็หยอดคำหวานใส่แฟนสาวทันที โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดของเขาทำให้หญิงสาวอีกคนที่ได้ยินรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย

            “เราไปกันเถอะก้อย เจ้านายของเราชักจะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว” อรณิชาหัวเราะคิกคักกับคำหยอดของชายหนุ่ม ก่อนจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันไปจูงมือเพื่อนรักให้เดินไปด้วยกัน

            “อะ... อือๆ” กรรณิการ์ตื่นจากภวังค์แห่งความเจ็บหันมาอือออกับเพื่อนสาว ขณะสาวเท้าตามแรงฉุดดึงอย่างมึนงงเล็กน้อย

            นนท์ประวิธมองสองสาวที่เดินจูงมือกันเดินนำหน้าเขาออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบก้าวเท้าฉับๆ ตามไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข เพราะคิดว่าอรณิชาคงเขินอายที่เขาพูดกับเธอถึงเรื่องอนาคตของเขาและเธอที่จะมีร่วมกัน

 

            ศาลาริมน้ำที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ทั้งน้อยใหญ่ดูเงียบสงบสบายตาเหมาะแก่การพักผ่อน ร่างสูงของชายหนุ่มที่จากบ้านไปนานกำลังยืนชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติพลางสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดไปอึดใจใหญ่ๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เขาแสนคิดถึง

            หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกับทุกคนและเล่นกับหลานสาวตัวน้อยที่เริ่มติดเขาแจจนต้องอยู่เล่นด้วยเป็นนานกว่าหนูน้อยทิชาจะยอมไปนอน ชายหนุ่มจึงกลับขึ้นห้องไปพักผ่อนบ้าง ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเย็นแล้วชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมานั่งพักผ่อนในมุมที่เขาโปรดปรานที่สุดในบ้าน ก็คือที่ศาลาริมน้ำแห่งนี้นั่งเอง

            ขณะที่หมอหนุ่มกำลังซึมซับกับธรรมชาติรอบตัวอยู่นั้น จู่ๆ สายตาคมก็เหลือบไปเห็นหนูน้อยตัวจ้ำม่ำกำลังเดินเตาะแตะมุ่งตรงมาทางนี้ ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเป็นทิชาหลานสาวตัวน้อยของเขา แต่พอเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหากลับพบว่าหนูน้อยคนนี้เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก ยิ่งเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ยิ่งพบว่าหนูน้อยคนนี้ช่างมีใบหน้าที่คุ้นตาจนหัวใจดวงแกร่งกระตุกวาบ

            “ว่าไงหนุ่มน้อย มากับใครครับ” ชายหนุ่มย่อตัวลงใช้เข่าข้างหนึ่งยันกับพื้นไว้เพื่อคุยกับเด็กน้อยที่เขารู้สึกถูกชะตาด้วย หนูน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ชี้มือชี้ไม้เข้าไปในบ้านเหมือนกับจะบอกว่าคนที่มาด้วยนั้นอยู่ในบ้านของเขา ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ เสียงหญิงสาวที่ดูเหมือนกำลังร้องเรียกตามหาใครบางคนอยู่ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองทางต้นเสียงที่ฟังดูคุ้นหู

            “แพทริกอยู่ไหนลูก... แพทริก...” แพรวาตะโกนเรียกลูกชายสุดที่รักที่ไม่รู้เดินหายไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะเธอมัวหยิบนั่นหยิบนี่ลงจากรถตามประสาแม่ลูกอ่อนที่ต้องมีของใช้มากมายสำหรับลูกน้อยในยามออกมาข้างนอกบ้านแบบนี้ แต่แล้วเท้าบอบบางก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าบุตรชายของตัวเองกำลังอยู่กับใคร

            “น้องแพร...” วิทยาครางเรียกชื่อหญิงสาวที่เคยเป็นดวงใจของเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งตกใจ ดีใจ และเสียใจไปพร้อมๆ กัน ขณะที่มือหนาค่อยๆ ปล่อยแขนเล็กป้อมของหนูน้อยที่ทำท่าเหมือนกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเธอด้วยความดีใจ ส่วนเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าตามหนูน้อยเพื่อไปหาเธอด้วยเหมือนกัน

            “พี่วิท...” แพรวาเรียกพี่ชายแสนดีของเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจากความไม่คาดคิดว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ขณะที่หญิงสาวกำลังยืนอึ้งตกตะลึงอยู่นั้น พลันหัวใจดวงน้อยก็ต้องกระตุกวูบเมื่อลูกชายจ้ำม่ำของเธอเดินโซซัดโซเซไปตามทางเดินที่โรยด้วยก้อนหินเหมือนกำลังจะล้ม ด้วยความตกใจที่กลัวลูกน้อยจะเจ็บตัวเธอจึงถลาเข้าไปพร้อมกับคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดไว้แนบอก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่วิทยาก็พุ่งตัวเข้าไปหาหนูน้อยด้วยเหมือนกัน ทำให้สองแม่ลูกตกอยู่ในวงแขนแกร่งของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

            “ไอ้หมอ!แกปล่อยเมียกับลูกของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” ธีรพัฒน์ตะโกนลั่นพร้อมทั้งยกมือขึ้นชี้หน้าคู่ปรับเก่าด้วยความโกรธจัด สองขาแกร่งก้าวฉับๆ ตรงเข้าไปหาบุคคลตรงหน้าทันทีอย่างรวดเร็ว ‘หน๊อย... ไอ้หมอเลว จนป่านนี้มันยังคิดจะงาบเมียเขาอยู่อีก’

            เสียงของธีรพัฒน์ทำให้ทั้งสามคนที่เหมือนกอดกันกลมในสายตาของคนโกรธจัด ต้องสะดุ้งผละออกจากกันด้วยความตกใจ วิทยาเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนเพราะคิดว่าหญิงสาวที่เขาโอบประคองอยู่นั้นคงได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าเป็นแน่ เขาเห็นขาของเธอขูดกับพื้นก้อนหินตอนที่ถลาเข้ามารองรับตัวหนูน้อยเอาไว้

            แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะยืนได้เต็มความสูง หมัดหนักๆ ของคนต้นเสียงที่ทำให้พวกเขาตกใจก็ซัดเข้ามาที่ใบหน้าหล่อเหลาอย่างเต็มแรง

            ผัวะ!...

            “ไอ้หมอสาระเลว! นี่แกยังจ้องจะแย่งเมียคนอื่นเหมือนเดิมเลยนะ” คนใจร้อนตะคอกใส่ไม่ยั้ง เดินดิ่งเข้าไปหาคู่อริ หมายจะซ้ำหมัดหนักๆ ลงไปอีก

            วิทยาที่ไม่ทันตั้งตัวหลังจากโดนหมัดของอีกฝ่ายจนเซถอยหลังไปสองสามก้าว ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นแล้วส่งหมัดของตัวเองสวนกลับไปให้คนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างคุกคาม

            ผัวะ!...

            “แกก็ยังใช้กำลังโดยไม่ฟังเหตุผลเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน ธีรพัฒน์” วิทยาบอกอีกฝ่ายที่ลงไปกองกับพื้นด้วยหมัดของเขาเพื่อหวังจะเตือนสติให้ยั้งคิดและฟังเหตุผลกันบ้าง แต่คนที่กำลังหน้ามืดตามัวเพราะความหึงหวงกลับไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ธีรพัฒน์รีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วย่างสามขุมเข้ามากระชากคอเสื้อหมอหนุ่มหมายจะตะบันลงไปที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นอีกครั้ง

            “หยุดนะคะคุณธีร์!” แพรวาร้องเรียกสามีด้วยความโกรธจนถึงขีดสุด เขาเป็นคนใจร้อนเธอพอจะเข้าใจ แต่สิ่งที่เขาทำเหมือนเป็นการดูถูกเธอและไม่ไว้ใจเธอขนาดนี้ มันเป็นสิ่งที่เธอเสียใจและรับไม่ได้

            “น้องแพร...” ธีรพัฒน์หันไปตามเสียงเรียก เขาตกใจที่เห็นภรรยายืนร้องไห้กอดลูกน้อยที่กำลังแผดเสียงจ้าด้วยความตื่นกลัวกับเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของคนเป็นพ่อ

            “น้องแพรบาดเจ็บ” วิทยาพูดออกมา พร้อมกับสะบัดคอเสื้อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายเพื่อเดินไปหาหญิงสาวที่เขาเห็นว่ามีเลือดไหลซึมลงมาตามขาเรียวสวยจากแผลที่หัวเข่าของเธอ

            เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยประกอบกับเสียงโวยวายดังลั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านรีบวิ่งออกมาดูด้วยอาการตื่นตกใจ เพราะคิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ทินกรรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนของธีรพัฒน์เอาไว้ ส่วนพิชามลหันไปส่งบุตรสาวตัวน้อยให้กับพี่เลี้ยง และเธอก็รีบเข้าไปหาแพรวาทันทีด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นทั้งสองแม่ลูกยืนกอดกันร้องไห้

            “ตาธีร์!นี่มันอะไรกัน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ผู้อาวุโสที่สุดของบ้านร้องถามบุตรชายด้วยใบหน้าบึ้งตึง และยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายและหลานชายที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกมีรอยแตกช้ำมีเลือดไหลซิบๆ ที่มุมปาก

            “ตาวิท เกิดอะไรขึ้นลูก” คุณนายกมลวรรณยกมือทาบอกด้วยอาการตกใจ เมื่อเห็นทั้งลูกและหลานทะเลาะวิวาทกันเหมือนเช่นในอดีต และสาเหตุก็คงหนีไม่พ้นหญิงสาวที่ยืนน้ำตาคลอโอบกอดลูกน้อยเพื่อปลอบโยนนั่นอีกเป็นแน่ ‘ระยะทางและวันเวลาไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ หรือไงนะ ชายหนุ่มทั้งสองถึงยังตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูหัวใจกันไม่จบสิ้น’

            “เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับคุณป้าคุณแม่” วิทยาเป็นฝ่ายตอบคำถาม แล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหาแพรวาเพื่อพาเธอไปทำแผล แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวหญิงสาวก็เจอเสียงของคนหวงเมียขัดขึ้นมาเสียก่อน

            “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยไอ้หมอ และออกไปห่างๆ เมียฉันด้วย” คนขี้หวงตะโกนลั่น รีบสาวเท้าเข้ามาหาคนเป็นภรรยาด้วยอาการร้อนรน เมื่อเห็นเลือดที่ขาของเธอ

            “แกจะอะไรนักหนาวะธีร์ คุณแพรเธอบาดเจ็บไม่เห็นหรือไง” ทินกรพูดขึ้นเพื่อหวังเตือนสติอีกฝ่ายให้ใจเย็น แต่ดูเหมือนคนใจร้อนจะยังดื้อดึงไม่ฟังใคร

            “เห็น!ก็ฉันกำลังจะมาดูอยู่นี่ไง” ธีรพัฒน์บอกแล้วยื่นมือเข้าไปหมายจะรับตัวลูกชายตัวน้อยจากภรรยามาอุ้มไว้แทน แต่ก็ต้องหน้าเสียเพราะภรรยาของเขาสะบัดตัวหนีและขยับออกห่าง

            “อย่ามายุ่งกับแพร... แพทริกไปอยู่กับป้ามลก่อนนะลูก” แพรวากระชากเสียงใส่สามี ก่อนจะส่งตัวบุตรชายในอ้อมกอดให้กับเพื่อนรัก เพราะเธอรู้สึกเจ็บขาหากอุ้มลูกไปด้วยคงจะเดินไม่ถนัดนัก และอาจจะล้มลงไปอีก

            “ไปครับน้องแพร เดี๋ยวพี่จะทำแผลให้” วิทยายื่นแขนให้หญิงสาวจับเพื่อพาเธอเดินเข้าไปในบ้าน

            “ตาธีร์ แกตามฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ปล่อยให้หมอวิทเขาทำแผลให้หนูแพรก่อน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์สั่งเสร็จสรรพก็หันหลังเดินเข้าบ้านทันที ตามด้วยคุณนายกมลวรรณ และทินกรที่รับตัวลูกสาวจากพี่เลี้ยงมาอุ้มไว้ ก่อนจะเดินไปโอบเอวภรรยาที่อุ้มหนูน้อยแพทริกอยู่ให้เดินตามกันเข้าไปในบ้าน

           

            ทั้งหมดพากันเดินเข้ามาภายในห้องรับแขกของบ้านคุณนายกมลวรรณ โดยธีรพัฒน์ตามเข้ามาเป็นคนสุดท้ายด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดเหมือนคนถูกขัดใจ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาพิชามลหมายจะรับลูกน้อยของเขามาอุ้มแต่เจ้าหนูแพทริกกลับส่ายหัวดิกพร้อมทั้งสะบัดตัวดีดดิ้นเวลาเขาจับ สองแขนเล็กๆ ป้อมๆ นั่นก็กอดรัดคนเป็นป้าเอาไว้แน่น เขาจึงเดินไปหาที่นั่งเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน

            “ไงล่ะตาธีร์ รู้จักอายลูกแกบ้างไหม โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นอันธพาลอยู่อีก” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ็ดบุตรชายทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม

            “โถ่... คุณแม่ครับ ก็ไอ้หมอนั่น เอ่อ... หมอวิทมากอดเมียผมทำไมล่ะครับ” ธีรพัฒน์เกือบหลุดปากเรียกคู่อริด้วยคำหยาบ แต่พอเหลือบไปเห็นตาดุๆ ของมารดาเขาจึงรีบแก้คำพูดให้ดูสุภาพขึ้น

            “แล้วแกถามเขาหรือยัง ว่าเขาตั้งใจจะกอดเมียแกหรือเปล่า” คนเป็นแม่ถามกลับไปด้วยความฉุนเฉียว นิสัยไม่ฟังใครของบุตรชายที่ไม่ว่าจะอายุปูนไหนก็แก้ไม่หาย ทำให้นางรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก

            “ไม่ได้ถามครับ” คนผิดก้มหน้าตอบน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย ด้วยสำนึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู ดูสิ ทั้งเมียทั้งลูกพากันงอนเขาไปหมด หนูน้อยแพทริกลูกชายสุดที่รักก็ไม่ยอมให้เขาอุ้มไม่ยอมให้เข้าใกล้เพราะกลัวความโหดร้ายป่าเถื่อนของเขาเมื่อกี้นี้ ส่วนคนเป็นภรรยาก็ไปให้คู่กรณีของเขาทำแผลอย่างหน้าตาเฉย

            “เหอะ!เวรกรรม ลูกฉัน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถอนหายใจออกมาแรงๆ พลางยกมือขึ้นบีบนวดขมับเพื่อระบายความกลัดกลุ้มที่สุมอยู่ในอกอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับลูกชายตัวแสบของนางดี

            “แกไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะนายธีร์ เผื่อจะได้ดับความร้อนรุ่มในใจแกได้บ้าง” ทินกรบอกเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้อีกฝ่ายพูดคุยโดยใช้อารมณ์อีก เพราะดูจากสถานการณ์แล้ว กลับบ้านไปธีรพัฒน์คงต้องเจอศึกหนักเป็นแน่ ดูสิ ทั้งเมียทั้งลูกพากันงอนตุ๊บป่องแบบนี้

            “อือ... ก็ดี งั้นผมขอตัวสักครู่นะครับ” ธีรพัฒน์เห็นด้วยกับคำแนะนำของเพื่อน ก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของห้องรับแขกทันที

            “พี่ขอโทษด้วยนะคะคุณน้อง ที่ตาธีร์มาทำตัวป่าเถื่อนที่นี่และยังทำร้ายหมอวิทอีก” คุณหญิงเพ็ญพักตร์หันมาบอกเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ นางเชื่อว่าบุตรชายของนางเป็นฝ่ายผิดอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นลูกสะใภ้ของนางคงไม่ร้องไห้และไม่ยอมให้คนเป็นสามีเข้าใกล้แบบนี้หรอก

            “ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ น้องเข้าใจ ตาธีร์คงยังไม่ไว้ใจตาวิท เพราะต่างก็รู้ดีว่าทางนี้รักหนูแพรมากแค่ไหน” คุณนายกมลวรรณบอกอย่างนุ่มนวล ด้วยความที่เป็นคนใจเย็นทำให้นางไม่รู้สึกโกรธเคืองอีกฝ่าย ภายในใจนั้นกลับพยายามครุ่นคิดหาทางแก้ไขให้เรื่องนี้คลี่คลายลงในเร็ววัน

            “เฮ้อ... หมอวิทนะ หมอวิท เมื่อไหร่จะทำใจได้สักทีนะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เปรยออกมาอย่างไม่จริงจังนัก

            “คุณพี่คะ น้องว่า... เราจัดการตามแผนที่เราคุยกันไว้ดีกว่าค่ะ จัดการเลย ไม่ต้องรอความพร้อมอะไรแล้ว” จู่ๆ คุณนายกมลวรรณก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพราะก่อนหน้านี้นางได้พูดคุยและปรึกษาหารือกันมาบ้างแล้ว

            “หือ... คุณน้องจะเอาอย่างนั้นเลยหรือคะ” คนให้คำปรึกษาหันมาทวนถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะตอนที่คุยนั้นได้ตกลงกันไว้ว่าจะรอให้เด็กทั้งสองได้ทำความรู้จักและคบหาดูใจกันตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ก่อน แล้วค่อยถึงขั้นให้แต่งงานกัน

            “ค่ะ น้องจะไปทาบทามสู่ขอบุตรสาวของคุณสินชัยพรุ่งนี้เลย หากทางโน้นไม่มีปัญหา เราก็จะจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด” คนเป็นแม่ที่ตั้งใจลิขิตโชคชะตาให้กับบุตรชายอันเป็นที่รักกล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่น พลางเหลือบตาไปมองบุตรสาวและบุตรเขยที่มองหน้ากันด้วยอาการตกใจอย่างคาดไม่ถึง แต่ทั้งสองก็เลือกที่จะนิ่งฟัง เพราะหากผู้ใหญ่ไม่ถามความคิดเห็นเราในฐานะผู้น้อยหรือลูกหลานจะพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ มันเป็นมารยาทที่ใครๆ ต่างก็รู้ดี

            “พี่ว่านะ ปัญหาน่ะ มีแน่นอน คุณน้องเตรียมทำใจเอาไว้ได้เลย... หนุ่มสาวสองคนแต่งงานกันโดยที่ไม่รู้จักกันสักนิด พี่เชื่อว่า... ต่อให้ต้องแต่ง ทั้งสองก็คงไม่เต็มใจนักหรอก” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ออกความเห็นตามความเป็นจริงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้าของคู่แต่งงานที่ถูกคลุมถุงชนแบบนี้

            “น้องคิดว่า ความใกล้ชิดหลังจากแต่งงานแล้ว อาจจะทำให้คนทั้งสองเกิดความรักขึ้นมาได้นะคะคุณพี่”

            “อันนี้ก็ต้องแล้วแต่บางคนบางคู่ด้วยนั่นแหละคุณน้อง” คนออกความเห็นแย้งขึ้นเบาๆ

            “น้องจะขอฝืนใจลูกแค่สองปีค่ะ หลังจากนั้นจะตัดสินใจกันยังไงน้องก็ไม่ห้ามค่ะ” คุณนายกมลวรรณบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเศร้าเล็กน้อย เพราะลึกๆ แล้วนางเองก็ไม่อยากให้ชีวิตคู่ของบุตรชายที่นางตั้งใจลิขิตไว้ต้องพังทลายลง

            “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู ยังไงก็ต้องไปคุยกับฝ่ายหญิงเขาก่อน ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกอย่างตัดใจ เพราะตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการพูดคุยและปรึกษากับอีกฝ่ายถึงสิ่งที่ต้องการ

            “ค่ะ พรุ่งนี้น้องจะรบกวนคุณพี่ไปด้วยกันได้ไหมคะ”

            “ได้สิคะคุณน้อง พี่ยินดี” คนถูกชวนยิ้มกว้างตอบรับด้วยความเต็มใจ

            “ขอบคุณมากค่ะ” เจ้าของบ้านยิ้มตอบด้วยความดีใจและซาบซึ้งที่อีกฝ่ายคอยให้คำแนะนำปรึกษาไม่ขาด

            สิ้นคำพูดของคุณนายกมลวรรณ ธีรพัฒน์ วิทยาและแพรวาก็เดินกลับเข้ามาที่ห้องรับแขกพอดี

            “เป็นยังไงบ้างหนูแพร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยถามลูกสะใภ้ทันทีที่เห็นหน้า ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตไปให้บุตรชายตัวก่อเรื่อง

            “แผลถลอกนิดหน่อยค่ะคุณแม่ ไม่เป็นไรมาก” แพรวาตอบแม่สามี ขณะเดินเข้าหาบุตรชายตัวน้อยที่หลับอยู่บนตักของเพื่อนรัก โดยไม่หันไปมองผู้ชายใจร้ายขี้โวยวายที่คอยมองเธออยู่ตลอดเวลาด้วยความสำนึกผิด

            “วิท...” คุณนายกมลวรรณเรียกบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เหมือนเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

            “เรื่องเข้าใจผิดน่ะครับคุณแม่ พอดีผมเห็นน้องแพทริกกำลังจะล้มผมเลยพุ่งตัวเข้าไปเป็นจังหวะเดียวกับที่น้องแพรก็วิ่งเข้ามาด้วยเหมือนกัน ทั้งหมดเป็นความบังเอิญที่ผมไม่ได้ตั้งใจครับ” วิทยาเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้มารดาและคนอื่นๆ ได้ฟัง ก่อนจะส่งสายตาอบอุ่นไปให้หญิงสาวที่เขาเคยรัก แม้จะมีความเสียใจเจือปนอยู่บ้างแต่แปลกที่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว

            ทั้งหมดนั่งพูดคุยกันอยู่ไม่นานก่อนจะร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมกัน จากนั้นคุณหญิงเพ็ญพักตร์และลูกชายลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานชายตัวน้อยก็พากันกลับบ้าน ดูท่าแล้วบุตรชายของนางจะเจอศึกหนักจากภรรยาคนสวยเป็นแน่ เพราะแม้แต่ตอนนี้แพรวาก็ยังปั้นปึงไม่พูดไม่จาและยังไม่ให้คนเป็นสามีเข้าใกล้อีกด้วย ‘สมน้ำหน้า อยากขี้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือดีนัก คืนนี้เมียไม่ให้เข้าห้องแน่ๆ หึหึ’ คุณหญิงเพ็ญพักตร์คิดด้วยความสะใจในชะตากรรมที่บุตรชายจะได้รับ

            รถยนต์คันหรูจอดเทียบหน้าประตูรั้วของบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ของนายแพทย์ชื่อดังในเวลาใกล้ค่ำเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อรถจอดสนิท อรณิชาปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับแฟนหนุ่ม ตั้งแต่เธอตอบตกลงจะคบหากับเขาในฐานะคนรัก เขาก็มารับมาส่งเธอทุกวันทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น เพราะปกติเธอก็ขับรถไปไหนมาไหนเองอยู่แล้ว แต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเขาที่อยากจะดูแลเธอและได้ใกล้ชิดกันอีกหน่อยเธอจึงไม่ว่าอะไร

            “เดี๋ยวอร... คุยกันก่อนสิ” นนท์ประวิธคว้าข้อมือบางของแฟนสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถลงไป

            “มีอะไรเหรอนนท์” อรณิชาปล่อยมือจากประตูหันมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ

            “เมื่อไหร่เราจะแต่งงานกันสักทีล่ะ นนท์รออรมานานแล้วนะ” น้ำเสียงตัดพ้อออกมาจากปากของชายหนุ่มเจ้าของรถทันทีที่หญิงสาวข้างกายหันมาสบตาเขา

            “อรขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมคะ นนท์ก็รู้ว่าคุณพ่อท่านไม่เห็นด้วยกับการคบกันของเรา” หญิงสาวบอกด้วยความรู้สึกเห็นใจแฟนหนุ่ม แต่ลึกๆ ภายในจิตใจแล้วเธอเองยังไม่คิดกับเขาถึงขั้นแต่งงานเลยด้วยซ้ำ เธอมีความฝันที่จะเรียนต่อและท่องเที่ยวไปรอบโลกอย่างอิสระมากกว่า เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่คบกันมานานทำให้เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธเขาตรงๆ แบบเปิดอก ดังนั้นเรื่องระหว่างเธอกับเขาจึงเหมือนเส้นขนานที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีวันบรรจบกันได้

            “ครับ นนท์รู้ แต่อรจะให้นนท์รอไปถึงเมื่อไหร่ หากคุณพ่อของอรไม่มีวันเปลี่ยนใจมาชอบนนท์ได้ เราก็ต้องคบกันแบบนี้ต่อไปหรืออร”

            “คุณพ่อท่านคงเป็นห่วงเราสองคนน่ะค่ะ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันมานานแต่เราก็ยังไม่เคยคบกันแบบคนรัก ท่านคงอยากให้เราศึกษาดูใจกันไปก่อน” อรณิชาพยายามหว่านล้อมให้อีกฝ่ายใจเย็น แม้ตัวเองจะรู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่เขาเร่งรัดให้เธอแต่งงานด้วย

            “แต่นนท์ร้อนใจ... นนท์สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้น่ะอร เหมือนมีบางอย่างบอกว่าอีกไม่นานอรจะไปเป็นของคนอื่น” นนท์ประวิธพูดด้วยสีหน้าหม่นหมองเหมือนคนกำลังสิ้นหวัง เขารักเธอและขอเธอแต่งงานมาหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอดจนเขารู้สึกกลัวว่าใครจะมาคว้าตัวเธอไปเสียก่อน

            “ฮื้อ... นนท์คิดมากไปแล้วนะ อรก็อยู่กับนนท์ทุกวันแทบจะทั้งวันด้วยซ้ำ ไม่เห็นจะมีคนอื่นที่ไหนมายุ่งวุ่นวายกับอรเลย” หญิงสาวยังคงหว่านล้อมปลอบใจอีกฝ่ายให้คลายความกังวล แม้จะอดขำเล็กๆ ไม่ได้กับลางสังหรณ์ของเขา เธอจะมีคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่คิดจะมองใครนอกจากงานที่เธอรักและความฝันของเธอ

            “ไม่รู้สิ ใจมันหวิวๆ แปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ นนท์ไม่สบายใจเลย” ชายหนุ่มบอกเสียงเศร้า ความรู้สึกท้อแท้และหดหู่ฉายชัดอยู่ในแววตาคมของเขา

            “น่า... ไม่มีอะไรหรอก นนท์ไม่ต้องคิดมากเลย อรก็ยังเป็นอรเหมือนเดิม” อรณิชาแตะฝ่ามือกับลำแขนของเขาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

            “เป็นคนที่นนท์รัก และรักนนท์ด้วยใช่ไหม” นนท์ประวิธทำเสียงเข้มจริงจัง ขณะยกมืออีกข้างขึ้นมาวางทับฝ่ามือบางของเธอเอาไว้เพื่อยืนยันคำพูด

            “แน่นอนค่ะ เอาละ... อย่าคิดมาก พรุ่งนี้เจอกัน” หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยคำว่ารักกับเขา พลางดึงมือกลับมาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะหันไปเปิดประตูแล้วก้าวเท้าลงไปยืนที่ข้างตัวรถ

            “ครับ พรุ่งนี้นนท์มารับนะ” แม้จะผิดหวังที่หญิงสาวไม่เคยพูดคำว่ารักให้เขาได้ยินเลยสักครั้ง แต่เขาก็ยังยินดีที่จะรอฟังคำนั้นจากปากเธอ

            “ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” อรณิชาโบกมือให้ชายหนุ่ม และยืนมองจนรถของเขาแล่นไกลออกไปเธอจึงหมุนตัวเดินเข้าประตูบ้าน หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ ระหว่างเดินเข้าสู่ตัวบ้านด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้าทั้งกายใจ หลายวันมานี้นนท์ประวิธรบเร้าเรื่องแต่งงานกับเธอเหลือเกิน จนเธอไม่รู้จะหาคำใดๆ มาเป็นข้ออ้างปฏิเสธเขาได้อีกแล้ว เห็นทีเธอคงต้องหาเวลาปรับความเข้าใจและบอกความรู้สึกของตัวเองกับเขาตรงๆ จะดีกว่า

            “มีอะไรหรือเปล่า แม่เห็นรถจอดตั้งนานแน่ะกว่าลูกจะลงมา” คุณนายมณีนุชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวเดินเข้ามาใกล้

            “อุ๊ย! คุณแม่ อรตกใจหมดเลย ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะคะ” คนใจลอยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมารดายืนอยู่ที่ซุ้มไม้เลื้อยก่อนถึงตัวบ้าน

            “ก็แม่เห็นรถตานนท์มาจอดหน้าบ้าน แต่ไม่เห็นหนูลงมาสักทีแม่ก็เลยเดินมาดูน่ะ” คนเป็นแม่บอกยิ้มๆ พลางยกมือขึ้นลูบผมของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน

            “เอ่อ... พอดีนนท์ชวนคุยเรื่องงานนิดหน่อยน่ะค่ะคุณแม่” อรณิชายิ้มเจือน เธอไม่ได้อยากโกหกแต่เพราะไม่ต้องการให้เรื่องราวมันวุ่นวายมากไปกว่านี้หากแม่ของเธอรู้ว่านนท์ประวิธขอเธอแต่งงาน รับรองว่างานแต่งงานระหว่างเธอกับเขาจะต้องเกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน ด้วยเพราะมารดาของเธอมีความพอใจในตัวนนท์ประวิธอยู่ก่อนแล้ว

            “อ่อจ้ะ งั้นเรารีบเข้าบ้านกันดีกว่า คุณพ่อรอทานข้าวแล้ว”

            “ค่ะคุณแม่”

            คุณนายมณีนุชจูงมือบุตรสาวเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข นางรู้สึกเป็นปลื้มไม่น้อยที่นนท์ประวิธมาขอคบหาดูใจกับลูกสาวของนางอย่างเปิดเผย แม้จะเป็นเพื่อนกันมานานแต่เขาก็ไม่เคยฉวยโอกาสหรือล่วงเกินบุตรสาวของนางเลยสักครั้ง

            “มีความสุขอะไรนักหนา เห็นยิ้มหน้าบานทั้งแม่ทั้งลูกเชียว” นายแพทย์สินชัยประมุขใหญ่ของบ้านพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่พอใจทันทีที่เห็นคนเป็นภรรยาและบุตรสาวเดินเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้มชอบใจ เพราะเขารู้ดีว่ามันเกิดมาจากอะไร

            “สวัสดีค่ะคุณพ่อ อรคิดถึ๊ง... คิดถึงคุณพ่อที่สุดเลยค่ะ” อรณิชาส่งเสียงหวานรีบปรี่เข้าไปกอดแขนคนเป็นพ่ออย่างเอาใจ เธอรู้ดีว่าท่านไม่ชอบที่เธอคบหากับนนท์ประวิธ ผิดกับมารดาที่ท่านทั้งยินดีและเต็มใจให้เธอคบกับเขาอย่างเปิดเผย

            “ไม่ต้องมาทำเป็นออดอ้อนกับพ่อเลย รถเราก็มีจะให้มันตามรับตามส่งทำไมกัน” คนเป็นพ่อมีท่าทีอ่อนลงเมื่อเจอคำหวานของบุตรสาวอันเป็นที่รัก แต่ยังคงตวัดเสียงดุเล็กๆ อย่างนึกฉุนเมื่อพูดถึงสิ่งที่ขัดใจ

            “โถ่... คุณสิน ไม่เห็นจะต้องโกรธเลยค่ะ เด็กเขาชอบพอกันก็ต้องมีมารับมาส่งกันบ้างเป็นธรรมดา” คุณนายมณีนุชแก้ตัวให้บุตรสาว แต่เหมือนเป็นการเปิดทางกับฝ่ายชายอย่างชัดเจนในสายตาของคนเป็นสามี

            “คุณนุชก็อีกคน ผมเห็นเข้าข้างลูกทุกทีโดยเฉพาะกับเรื่องไอ้นนท์อะไรนั่นน่ะ” นายแพทย์สินชัยต่อว่าภรรยาอย่างไม่จริงจังนัก

            “ลูกก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่คะคุณสิน แค่มารับมาส่งกันแค่นั้นเองค่ะ” คนเป็นภรรยาส่งค้อนวงใหญ่ให้กับสามีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างกายบุตรสาว

            “งั้นอรขอตัวเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บก่อนนะคะ” อรณิชาเห็นท่าไม่ดี รีบหลบออกไปจากตรงนี้ก่อนจะโดนคนเป็นพ่อต่อว่าตักเตือนเรื่องของนนท์ประวิธอีก เพราะเธอฟังเกือบทุกวันจนแทบจะจำได้ ว่าท่านทั้งไม่ชอบ ไม่พอใจ และไม่เห็นด้วยกับการคบกันระหว่างเธอกับแฟนหนุ่ม

            “จ้ะลูก แล้วรีบลงมานะ ได้เวลาทานข้าวแล้ว” คุณนายมณีนุชรีบเอ่ยอนุญาตเพื่อปกป้องลูกสาวสุดที่รักไม่ให้โดนคนเป็นพ่อต่อว่ามากไปกว่านี้

            “ค่ะคุณแม่ เดี๋ยวอรมานะคะคุณพ่อ” เจ้าหญิงเพียงคนเดียวของบ้านหันไปหอมแก้มคนเป็นแม่เพื่อขอบคุณที่รู้ใจ และอีกฟอดใหญ่ให้กับพ่อของเธอเป็นการเอาใจ ก่อนจะลุกแล้วเดินขึ้นข้างบนไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข ครอบครัวของเธอมีกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก เธอได้รับทั้งความรักความอบอุ่นจากบุพการีอย่างมากล้นจนเธอรู้สึกว่าเธอโชคดีกว่าใครๆ ที่มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

^_^

 

สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่

www.chalawanhunsa.com หรือ

www.nongoil.com  

 

หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง 

E-mail : oilza24@hotmail.com

โทร/ไลน์ : 094-4942566

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา