ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)

9.0

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.

  15 ตอน
  3 วิจารณ์
  25.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตอนที่ 4 เงื่อนไข 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

4

 เงื่อนไข

 

            ภายในห้องทำงานสีขาวสะอาดตาสว่างจ้าด้วยแสงไฟนีออนที่สาดส่องเพื่อช่วยอำนวยความสะอวดในการมองเห็นให้หมอหนุ่ม ซึ่งกำลังรวบรวมเก็บเอกสารและงานต่างๆ ที่เขาเข้ามาทำตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนเช้าตรู่ของเช้าวันใหม่

            ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บ่งบอกว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้า ก่อนจะนึกไปถึงหญิงสาวที่เขาบอกให้เธอรออยู่ที่โรงแรมแล้วเขาจะไปรับในเช้านี้ ‘หวังว่าป่านนี้เธอคงจะตื่นนอนแล้วนะ’ วิทยาพึมพำเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยอาการเมื่อยขบตามร่างกาย ขณะกำลังจะก้าวเท้าออกมาจากโต๊ะทำงานนั้น เสียงประตูที่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงทำให้เขาต้องหันไปมอง

            “เห้ย! ไอ้หมอ แกมาทำอะไรที่นี่วะ” ก้องเกียรติร้องทักด้วยความตกใจเมื่อเห็นเพื่อนรักอยู่ในห้องทำงาน

            “อ้าว ฉันก็มาทำงานน่ะสิ” วิทยามองหน้าคนที่ผลักประตูเข้ามาอย่างรู้สึกเอือมระอา ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งตามเดิม เพราะดูท่าเพื่อนของเขาคนนี้คงไม่ยอมให้เขาจากไปแต่โดยดีแน่ๆ ถ้าไม่ได้คำตอบที่อีกฝ่ายพอใจ

            ก้องเกียรติเป็นหนึ่งในผู้บริหารของโรงพยาบาลแห่งนี้ และมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินที่พ่วงด้วยตำแหน่งหลานรักของผู้อำนวยการอีกด้วย ทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่เมืองนอก แม้จะเรียนคนละคณะหรือคนละสายงาน แต่ก็ยังคงความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างเหนียวแน่น จนกระทั่งเรียนจบก้องเกียรติที่มีงานในตำแหน่งบริหารรออยู่แล้วนั้น ก็ชวนวิทยาให้มาทำงานด้วยกันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และก็ไม่ผิดหวังด้วยวิทยามีทั้งความรู้และความสามารถทางการแพทย์ที่ช่วยให้โรงพยาบาลแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังและมีศักยภาพมากขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่ถึงปีเท่านั้นที่ได้หมอหนุ่มไฟแรงคนนี้เข้ามาเป็นแพทย์ประจำ

            “นี่แกอย่าบอกนะ ว่าแกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน” ก้องเกียรติชี้มือหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด

            “ถ้าฉันบอกว่าใช่ แล้วแกจะทำไม” วิทยาบอกเสียงเรียบทำท่าไม่สะทกสะท้านใดๆ เมื่อถูกคนเป็นเพื่อนจับได้ว่าเขาหนีเจ้าสาวในคืนเข้าหอเพื่อมาทำงาน

            “ไอ้หมอบ้า! แกออกมาจากห้องหอได้ยังไงห๊า” คนฟังร้องลั่นด้วยความตกใจเป็นครั้งที่สอง

            “ก็เดินออกมาน่ะสิ ฉันมีขา แกไม่เห็นหรือไอ้คุณผู้จัดการ” คนตอบยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

            “อย่ากวนประสาทน่า... ไอ้หมอ แกบอกฉันมาดีๆ ดีกว่า ว่าแกทิ้งเจ้าสาวแสนสวยผิวขาวจั๊วน่าลูบไล้กกกอดแบบนั้นออกมาได้ยังไง ถ้าเป็นฉันนะ ป่านนี้คงชวนเธอเล่นผีผ้าห่มยันเที่ยงแน่ๆ” ก้องเกียรติเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงเจ้าสาวของเพื่อนรักที่เขาเองต้องยอมรับเลยว่าเธอช่างสวยไม่มีที่ติจริงๆ

            “ไอ้ทะลึ่ง แกพูดอะไรของแกวะ” วิทยาทำเสียงขึ้นจมูกนึกไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ 

            “ไม่ทะลึ่งหรอก ฉันพูดเลยนะหมอวิท เจ้าสาวของแกน่ะ สวยหยาดฟ้ามาดินจริงๆ หนุ่มๆ ในงานงี้มองกันตาละห้อยอิจฉาแกกันทั้งนั้นแหละ” คนพูดทำท่าเคลิบเคลิ้มเสียจนน่าหมั่นไส้ จนคนมองอดไม่ได้ต้องหันมาทำตาขวางอย่างนึกขัดใจที่คนเป็นเพื่อนเริ่มเห็นด้วยกับคลุมถุงชนของเขา

            “จะอิจฉากันทำไมวะ ต่อให้สวยหยาดฟ้ามาจากไหนแต่ถ้าไม่ใช่คนที่ตัวเองรัก ยังไงมันก็ไม่มีความสุขอยู่ดีนั่นแหละน่ะ” วิทยาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนเหมือนคนสิ้นหวังปลงตก

            “เฮ้อ... ฉันเข้าใจแกนะ แล้วนี่แกคิดจะทำยังไงต่อไปวะ” ก้องเกียรติเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง เดินไปตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เขาเองเป็นคนที่อีกฝ่ายไว้ใจยอมปริปากเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังจนหมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับหมอหนุ่มคนนี้ เขาได้รับรู้และได้รับฟังจากปากของเจ้าตัวมาทั้งหมด บางเรื่องเขาก็ให้คำปรึกษาได้ บางเรื่องเขาก็จนปัญญาอย่างเช่น เรื่องการตัดใจจากคนรักเก่า หรือการทำใจให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก ซึ่งเขาเองก็ได้แต่ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างกันไปแบบนี้

            “ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่ภาวนาขอให้ครบกำหนดไวๆ ฉันจะได้เป็นอิสระสักที” หมอหนุ่มพูดออกมาลอยๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากให้วันเวลาผ่านไปเร็วๆ อย่างที่ปากว่าเท่านั้น

            “แกคิดว่าแกจะทำแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ หมอวิท” ก้องเกียรติถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะจากที่เขาสังเกตดูผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยินดีปรีดากันขนาดนั้น แถมยังมีธุรกิจครอบครัวร่วมกันอีก เขายังนึกไม่ออกเลยว่า เพื่อนของเขาจะหย่าร้างและตัดขาดกับอีกฝ่ายได้ยังไง

            “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ในเมื่อต่างก็ไม่ได้รักกัน ที่แต่งงานกันก็เพราะผู้ใหญ่บังคับ แล้วแบบนี้จะอยู่กันไปเพื่ออะไร พอถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปไม่ดีกว่าเหรอ” วิทยาบอกเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านคนเป็นเพื่อนไปที่ประตู

            “แกพักผ่อนบ้างนะเพื่อน เป็นห่วงว่ะ” ก้องเกียรติร้องบอกเมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังจะออกจากห้องไป

            “อืม... ขอบใจ ฉันไปก่อนละ” หมอหนุ่มตอบรับคำห่วงใย พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มบางๆ ให้กับคนที่กำลังเดินตามเขาออกมาจากห้องด้วย จากนั้นทั้งสองเพื่อนรักก็แยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

 

            ห้องสวีตชั้นบนสุดของโรงแรมชื่อดังใจกลางเมือง ที่ใครหลายคนกำลังคิดว่าคู่บ่าวสาวที่ส่งตัวเข้าหอไปเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้นคงได้ดื่มด่ำกับน้ำผึ้งพระจันทร์อันแสนหวานอย่างมีความสุขเหมือนกับคู่แต่งงานคู่อื่นๆ ที่ต่างก็ซาบซึ้งตราตรึงกับคืนเข้าหอของตัวเอง แต่คงไม่ใช่กับบ่าวสาวคู่นี้ เพราะคนเป็นเจ้าบ่าวหนีออกไปจากห้องหอทันทีที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทิ้งให้เจ้าสาวนอนเฝ้าหอแต่เพียงผู้เดียว และนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต่างก็พอใจ

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้หญิงสาวที่กำลังหวีผมอยู่หน้ากระจกต้องหันไปมอง เมื่อคิดว่าคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูนั้นเป็นชายหนุ่มที่ทิ้งเธอไปเมื่อคืน หัวใจดวงน้อยก็เต้นโครมครามขึ้นมาจนต้องใช้มือกดไว้เพราะกลัวว่ามันจะกระโดดออกมานอกอก หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมสติของตัวเองที่ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไมนักหนา กับแค่ผู้ชายเย็นชาคนหนึ่งเท่านั้น

            “ใครคะ” อรณิชาถามเพื่อความแน่ใจ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพนักงานของโรงแรมที่มาส่งอาหารเช้าหรือเปล่า 

            “ผมเอง” คนที่อยู่อีกฝั่งของประตูร้องบอกเสียงเรียบ หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูให้เขา แล้วรีบเดินเลี่ยงออกไปห่างๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง

            “ทานข้าวหรือยัง” วิทยาถาม พลางมองสำรวจหญิงสาวที่ยืนหันหลังให้เขาเหมือนจะบ่งบอกว่าเธอไม่ต้องการเสวนาใดๆ ด้วย การแต่งตัวของเธอทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอสวมใส่เสื้อผ้าง่ายๆ ที่ดูน่ารักทะมัดทะแมงไม่หวานไม่เปรี้ยวไม่หวือหวา แค่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีซีดที่นิยม เท่านั้นเธอก็ดูดีและปราดเปรียวจนน่ามองไปอีกแบบ เพราะเมื่อวานเขาพบเธอในชุดหรูหรางดงามซึ่งแตกต่างจากชุดที่เธอสวมใส่ในวันนี้อย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็อดยอมรับในใจไม่ได้ว่าเธอแต่งตัวได้ถูกใจเขามาก โดยเฉพาะใบหน้าที่เขาเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใดๆ ให้ต้องรำคาญตาเลยสักนิด

            “ยังค่ะ” หญิงสาวตอบโดยไม่หันกลับมามองคนถาม เธอจึงไม่เห็นแววตาชื่นชมและรอยยิ้มพอใจของชายหนุ่มที่ยืนสำรวจเธออยู่ข้างหลัง

            “คุณเสร็จธุระหรือยังล่ะ จะลงไปทานข้างล่างหรือจะสั่งขึ้นมาข้างบน” ชายหนุ่มถามทีเดียวสองคำถามด้วยไม่อยากจะเสียเวลาให้มาก เพราะตอนนี้เขาอยากกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนเต็มทนแล้ว

            “เสร็จแล้วค่ะ ลงไปทานข้างล่างก็ได้” น้ำเสียงที่ดูห่างเหินของหญิงสาวทำให้หมอหนุ่มนึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างประหลาด เขาจึงใช้น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับไป

            “งั้นก็เชิญ” ว่าจบร่างสูงก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่รอหญิงสาวที่กำลังก้าวตามเขาออกมาด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด อรณิชาอดจะค้อนให้เขาไม่ได้เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ที่กำลังพาเธอกับเขาลงไปข้างล่าง ‘คนอะไรเย็นชาไร้ความรู้สึกชะมัด เนี่ยน่ะเหรอ หมอหนุ่มจิตใจดีเป็นมิตรกับทุกคน ชิ! แอบจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้’ หญิงสาวแอบด่าว่าชายหนุ่มอยู่ในใจ

            “ถึงจะไม่พูดออกมา แต่ผมก็รู้นะว่าคุณกำลังด่าผมอยู่น่ะ” จู่ๆ ชายหนุ่มข้างกายก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่งผลให้คนที่กำลังทำอย่างที่เขาพูดนั้นต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วสวนเขากลับไปทันควัน

            “อะไรล่ะ ฉันไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ประสาทหรือเปล่าคุณน่ะ”

            “ฮึ จะด่าว่าใครในใจน่ะ หัดเก็บสายตาและอาการบ้างก็ดีนะ เพราะถ้าเป็นคนอื่น คุณคงไม่ได้มายืนเถียงฉอดๆ แบบนี้หรอก” สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม ประตูลิฟต์ก็เปิดออกทันทีเพราะถึงชั้นที่ต้องการแล้ว วิทยาก้าวออกมาจากลิฟต์แล้วตรงไปที่ห้องอาหารของโรงแรมทันที โดยไม่สนใจหญิงสาวที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขามาติดๆ พร้อมกับได้ยินเสียงจิ๊ปากเบาๆ ดังแว่วมาเป็นระยะเมื่อเธอเดินตามเขาไม่ทัน

 

            หลังจากรับประทานอาหารเช้าภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มสาวก็ออกมาจากที่นั่นทันที และตอนนี้ทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ในรถที่มีชายหนุ่มเป็นคนขับ สายตาคมเหลือบมองหญิงสาวข้างกายเป็นระยะด้วยอยากรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าเขากำลังจะพาเธอไปไหน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขารู้สึกง่วงและเพลียมาก เลยคิดจะชวนหญิงสาวคุยเพื่อคลายความง่วงงุนที่เริ่มครอบคลุมมากขึ้นทุกที

            “อายุเท่าไร” วิทยาพูดขึ้นมาเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

            คำถามของชายหนุ่มทำให้คนที่นั่งชิดติดประตูอีกฝั่งหันมามองหน้าเขาอย่างงงๆ

            “ถามทำไมคะ”

            “ก็จะได้แน่ใจว่าผมกับคุณแม่ไม่ได้พรากผู้เยาว์ไงล่ะ” หมอหนุ่มบอกโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปบนถนนเบื้องหน้า

            “ฉันจะถือว่านี่เป็นคำชม ขอบคุณนะคะที่ว่าฉันหน้าอ่อนใสดูอ่อนกว่าวัย” หญิงสาวเชิดหน้าบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเขา

            “เปล่า... ผมดูจากสรีระและรูปร่างของคุณต่างหาก” ชายหนุ่มตอกย้ำคำพูดด้วยการหันมามองเธอจากศีรษะจรดปลายเท้าและหยุดนิดหนึ่งตรงหน้าอก จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าตามเดิมพลางนึกในใจว่า ‘ผู้หญิงอะไรไม่มีส่วนดึงดูดเย้ายวนเลยสักนิด’

            “นี่คุณ!” อรณิชาแหวใส่ทันทีเมื่อรู้ว่าสายตาของเขาจ้องมองตรงไหนบนร่างกายของเธอ

            “ว่าไง อายุเท่าไรแล้ว” วิทยายังคงถามย้ำโดยไม่สนใจอาการควันออกหูของหญิงสาวข้างกาย

            “ฉันเลยคำว่าผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะมาหลายปีแล้วย่ะ แต่ก็ไม่มากเท่ากับคุณหรอก”

            “ทำไม... คุณจะบอกว่าผมแก่อย่างนั้นเหรอ” คนทำหน้าที่ขับรถเริ่มไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ ที่เธอพูดเหมือนว่าเขาแก่

            “หรือไม่จริงล่ะ อย่างน้อยคุณก็แก่กว่าฉันหลายปีเลยหละ ฉันมั่นใจ” หญิงสาวเริ่มยียวนมากขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทีเหมือนพยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเองอยู่

            “นี่! ระวังเถอะ จะได้สามีแก่ๆ แบบผม” วิทยาบอกอย่างนึกฉุน เขาไม่น่าชวนเธอคุยให้ต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียแบบนี้เลยจริงๆ

            “ฮึ!ไม่มีทาง เพราะฉันกับนนท์ เรารุ่นเดียวกัน” ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอประชดเขากลับไปแบบนั้น แต่กว่าจะรู้ตัวก็ทำให้คนฟังคิดไปไกลเสียแล้ว

            “อ๋อ นี่จะบอกว่ามันเป็นสามีคุณแล้วงั้นสิ” ชายหนุ่มโพร่งขึ้นมาอย่างนึกโมโห ดวงตาคมเหลือบมองมือบางของหญิงสาวที่ถือม้วนกระดาษสีขาวผูกโบว์สีชมพูนั้นไว้อย่างหวงแหน แค่คิดว่าเธอเป็นของคนอื่นทำไมเขาต้องรู้สึกไม่พอใจมากขนาดนี้ด้วยนะ

            “ก็แล้วแต่คุณจะคิด” หญิงสาวบอกเสียงแข็งด้วยไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ในเมื่อหลุดปากไปแบบนั้นแล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย อย่างน้อยเขาจะได้ไม่มายุ่งกับเธอ เพราะคิดว่าเธอมีเจ้าของอยู่ก่อนแล้ว

            “นี่พ่อแม่คุณจะรู้หรือเปล่าเนี่ย ว่าคุณเป็นเด็กใจแตกแบบนี้น่ะ” วิทยาปรายตามองหญิงสาวและยิ้มหยันอย่างนึกชิงชังในความประพฤติของเธอ

            “ฉันใจแตกยังไงไม่ทราบ” อรณิชาหันควับมามองเขาทันทีด้วยความกรุ่นโกรธ

            “ก็ริรักในวัยเรียน ชิงสุกก่อนห่าม...” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ หญิงสาวที่ถูกตำหนิก็ตะโกนลั่นขึ้นมาทันที

            “คุณวิทยา!”

            “ทำไม ผมพูดอะไรผิดงั้นเหรอ” ชายหนุ่มยังคงตีหน้านิ่ง ไม่สะทกสะท้านกับอาการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงของหญิงสาวข้างกาย

            “ถึงฉันจะริรักในวัยเรียน หรือชิงสุกก่อนห่าม แต่ฉันก็ไม่เคยลักกินขโมยกิน หรืออยากจะแย่งชิงของรักของคนอื่นเหมือนกับคนแถวนี้ก็แล้วกัน” ด้วยความโกรธจัดทำให้หญิงสาวยกข้อสันนิษฐานของตัวเองขึ้นมาพูด เมื่อนึกถึงสายตาที่ชายหนุ่มใช้มองผู้หญิงสวยๆ คนนั้นตอนอยู่หน้างานเลี้ยง เธอมั่นใจกว่าครึ่งว่าไม่ได้เข้าใจผิด และจากคำพูดของเธอทำให้คนที่กำลังขับรถอยู่หักพวงมาลัยจอดเข้าข้างทางทันทีอย่างกระทันหันจนเธอหน้าขมำ

            “โอ๊ย!” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะถูกชายหนุ่มคว้าข้อมือบางขึ้นมาแล้วดึงเธอเข้าไปใกล้

            “คุณหมายความว่ายังไง” วิทยาถามเสียงรอดไรฟันด้วยความโมโหที่หญิงสาวว่าเขาลักกินขโมยกินและคิดจะแย่งชิงของรักของคนอื่นอีกด้วย

            “ฉันไม่รู้!” ใบหน้าสวยสะบัดพรืดหันไปทางอื่นเมื่อชายหนุ่มก้มลงมาใกล้จนแทบสัมผัสลมหายใจได้

            “ไม่รู้แล้วพูดออกมาได้ยังไง” คนโมโหกัดฟันกรอดด้วยพยายามระงับอารมณ์ที่เดือดพร่านอยู่ในอก เพราะถ้าสิ่งที่เธอพูดมันหมายถึงเขากับแพรวาละก็ นั่นเท่ากับว่าเธอกำลังดูถูกแพรวาว่าเป็นผู้หญิงหลายใจ ซึ่งทำให้เขายอมไม่ได้เด็ดขาด

            “ฉันก็พูดในสิ่งที่เห็นไงล่ะ สายตาที่คุณมองผู้หญิงสวยๆ คนนั้น มันฟ้องชัดเจนทีเดียวว่าคุณหลงรักเมียชาวบ้านเขาน่ะ” ด้วยความเหลืออดและรู้สึกเจ็บแขนที่ถูกชายหนุ่มบีบแรงๆ เธอจึงพลั้งปากพูดในสิ่งที่เหมือนทำร้ายจิตใจของเขาที่สุดออกไป

            “อรณิชา!” วิทยาตวาดลั่น เพื่อหวังให้หญิงสาวยอมสงบปากสงบคำไม่พ่นวาจายั่วโมโหเขาแบบนี้อีก

            “ทำไม... ฮึ แทงใจดำคุณล่ะสิ” น้ำเสียงเย้ยหยันของหญิงสาวทำให้ความอดทนของหมอหนุ่มหมดลงทันทีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มือแกร่งกระชากคนตัวเล็กเข้ามาในวงแขนทันทีโดยไม่ให้เธอตั้งตัว แล้วก้มลงกระแทกริมฝีปากหยักสวยปิดทับเรียวปากบางนุ่มนิ่มของเธออย่างดุดัน

            “อื้อ!...” ร่างบางพยายามดิ้นรนผลักไสพร้อมทั้งรัวกำปั้นน้อยๆ ทุบตีไปที่ไหล่กว้างของคนตัวใหญ่ที่ใช้กำลังช่วงชิงจูบแรกของเธออย่างไม่ปราณี ฟันคมๆ ของเขาขบเม้มจนได้รสเลือดจางๆ จากเรียวปากนุ่มของเธอ ความเจ็บปวดจากรสจูบที่รุนแรงทำให้หญิงสาวแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งเจ็บทั้งแค้นใจที่ไม่สามารถต้านทานเขาได้ ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาอุ่นรินไหลลงมาที่พวงแก้มสวย เมื่อสัมผัสได้ถึงหยดน้ำใสๆ ที่ไหลมากระทบกับริมฝีปากของเขา ชายหนุ่มจึงได้สติแล้วรีบผละออกทันทีเหมือนเธอเป็นของร้อน

            “ผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรที่คุณจะพูดถึงเธอในลักษณะแบบนี้ จำเอาไว้” เสียงเข้มบอกเตือนอย่างจริงจัง และหันไปสนใจกับหน้าที่ของตัวเองโดยไม่หันมามองหญิงสาวข้างกายเลยสักนิด แม้จะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังแว่วมาเป็นระยะก็ตาม ‘นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย ปกติเขาเป็นคนใจเย็นและควบคุมตัวเองได้ดีกว่านี้ ไม่คิดเลยว่าแค่คำพูดของเธอจะทำให้เขาเดือดพร่านจนขาดสติแล้วใช้กำลังลงโทษเธอด้วยวิธีแบบนี้ได้’ วิทยาคิดในใจอย่างสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง

            “ฉันจะกลับบ้าน กรุณาไปส่งฉันที่บ้านด้วย” อรณิชากัดฟันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น

            “บ้านน่ะได้กลับแน่ คุณจะกลับเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนนี้คุณต้องไปกับผมก่อน อย่างอแงเป็นเด็กหน่อยเลยน่า พอร้องไห้หน่อยก็จะกลับบ้านไปฟ้องแม่” วิทยาบอกเสียงเรียบติดจะรำคาญอยู่ในที เพราะไม่อยากให้เธอจับได้ว่าเขารู้สึกหวั่นไหวกับน้ำตาของเธอ

            “ฉันไม่ใช่เด็ก!” หญิงสาวกระแทกเสียงเขียวทั้งที่ยังสะอื้น

            “งั้นก็ควรมีเหตุผลบ้าง... ตอนนี้คุณควรเชื่อฟังผมในฐานะที่ผมเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ” วิทยาพูดขณะเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านที่เป็นเรือนหอของเขากับเธอ ซึ่งคุณนายกมลวรรณมารดาของเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันแต่งงานสำหรับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด เขาไม่ได้ต้องการหรืออยากได้อะไรนอกเหนือไปจากทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ และตอนนี้เขาก็ได้มันมาแล้วครึ่งหนึ่ง

            “เช็ดน้ำตาให้เรียบร้อยแล้วรีบตามลงไปด้วย” หมอหนุ่มหันมาบอกหญิงสาวข้างกายเมื่อเขาจอดรถเรียบร้อยแล้ว และเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงปั้นปึงนิ่งงัน ทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาจึงเอ่ยกำชับเธออีก

            “อย่าเล่นสงครามประสาทกับผมด้วยการนั่งประท้วงอยู่ในรถแบบนี้ เพราะคุณไม่ใช่เด็ก” ว่าจบร่างสูงก็ก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองคนที่กำลังกระฟัดกระเฟียดด่าทอเขาอยู่ในรถเลยสักนิด

            “หน๊อย... ไอ้หมอบ้า ไอ้หมอผีดิบ ฉันจะฟ้องคุณพ่อ” อรณิชาตะโกนด่าหมอหนุ่มหลังจากเห็นเขาเดินเข้าบ้านไปแล้ว มือบางล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับคราบน้ำตาบนใบหน้าสวย พลางมองสำรวจบริเวณบ้านอย่างนึกชื่นชมในความสวยงามแม้จะดูเหมือนใหม่ราวกับยังไม่เคยมีใครเข้าอยู่มาก่อน และเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าบ้านหลังนี้อาจจะดูเล็กไปสักหน่อยสำหรับเจ้าแม่ร้านเพชรอย่างคุณนายกมลวรรณ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าคงเป็นรสนิยมของแต่ละคนที่เธอไม่สามารถวิจารณ์ได้

            อรณิชานั่งเตรียมใจสักพัก เพราะเธอคิดว่าตอนนี้คุณนายกมลวรรณและญาติพี่น้องของเขาคงนั่งอยู่ข้างในเพื่อรอต้อนรับสะใภ้อย่างเธออยู่ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปด้วยอาการตื่นเต้นเล็กน้อย

 

            สองเท้าบอบบางพาเธอมาหยุดยืนภายในห้องรับแขกที่ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวเพียงลำพังและเอนหลังไปกับพนักพิงในท่าผ่อนคลาย ดวงตาคมที่จ้องมองเธออย่างดุดันเมื่อครู่ปิดสนิทเหมือนกับว่ากำลังพักผ่อน ในมือข้างขวามีแว่นสายตาที่เขาถอดมาถือไว้ ความรู้สึกแวบหนึ่งเธออยากรู้เหลือเกินว่าดวงตาคมที่ไร้กรอบแว่นใสๆ นั้น จะทำให้เธอใจเต้นได้เท่ากับตอนสวมแว่นหรือเปล่า

            หญิงสาวแอบสำรวจใบหน้าหล่อเหลาของเขาเงียบๆ เพราะมีบางอย่างสะดุดใจทำให้เธอจ้องมองเขาราวกับต้องมนต์สะกด ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวเกลี้ยงเกลาเหมือนผู้หญิง คิ้วหนาคมเข้มรับกับจมูกโด่งคมสันที่งดงามราวกับรูปปั้นชั้นเอก ริมฝีปากหยักสวยได้รูปที่เธอได้สัมผัสมันมาแล้วเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เธอทั้งเขินอายและเสียน้ำตาในเวลาเดียวกัน

            “คุณหนูอร” ความคิดของหญิงสาวหยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหู

            สาวใช้ที่พ่วงด้วยตำแหน่งพี่เลี้ยงจากบ้านเรือนไทยนามว่าชื่นร้องเรียกนายสาวที่แสนรักพร้อมทั้งกระโดดเข้าไปกอดด้วยความดีใจและคิดถึง เธอได้รับคำสั่งให้ตามมาดูแลรับใช้นายสาวที่นี่ ซึ่งเธอก็ตอบรับด้วยความยินดีเพราะจะได้อยู่ใกล้ชิดหญิงสาวที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ

            “พี่ชื่น มาได้ยังไงคะเนี่ย” อรณิชาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัยพร้อมกับกอดตอบสาวใช้คนสนิทด้วยความดีใจไม่แพ้กัน

            “พี่มารอคุณหนูตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ” ชื่นตอบยิ้มๆ เธอเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานโดยขนข้าวของทั้งของเธอและคนเป็นเจ้านายมาด้วย

            เสียงทักทายของสองสาวต่างวัยทำให้ชายหนุ่มที่เกือบจะเคลิ้มหลับเพราะความเหนื่อยล้าต้องสะดุ้งตื่นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย ‘นี่เขาเกือบจะเผลอหลับไปเลยหรือไงนะเนี่ย’ วิทยาคิดในใจก่อนจะสะบัดศีรษะสองสามทีเพื่อเรียกสติ ก่อนจะยกแว่นตาในมือขึ้นสวมใส่แล้วส่งเสียงกะแอมกะไอเป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกตัวแล้ว

            “สวัสดีค่ะคุณหมอ เดี๋ยวชื่นไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้นะคะ” สาวใช้หันมายกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของบ้าน

            “สวัสดีครับ” หมอหนุ่มรับไหว้เพราะคิดว่าสาวใช้ตรงหน้าคงไม่ได้แก่ไปกว่าเขามากมายนัก อย่างมากคงแค่ปีสองปี ก่อนจะพยักหน้าเป็นการรับรู้ในสิ่งที่เธอบอก

            เขาไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไรแม้ว่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกก็ตามกับสาวใช้คนนี้ เพราะก่อนจะเดินทางมาที่นี่มารดาของเขาได้โทรมาบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีสาวใช้จากบ้านของหญิงสาวที่เป็นพี่เลี้ยงของเธอด้วยกับสาวใช้อีกคนที่มาจากบ้านของเขาเอง ซึ่งทั้งสองคนนี้จะมาช่วยดูแลรับใช้เขากับภรรยาที่นี่

            “นั่งสิ” วิทยาบอกหญิงสาวที่ยังยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงหน้า

            “เอ่อ... แล้วคุณกมลวรรณล่ะคะ” อรณิชาถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นติดจะเกรงใจเล็กน้อย เมื่อต้องถามหาผู้ใหญ่ที่เธอคิดว่าเธอควรต้องไปเคารพท่านก่อนจะทำสิ่งอื่นใด

            “ท่านก็อยู่ที่บ้านของท่านน่ะสิ จะอยู่อะไรที่นี่ล่ะ” หมอหนุ่มตอบเรียบๆ ปลายเสียงติดจะรำคาญเล็กน้อย

            “อ้าว...” คนไม่รู้เรื่องเตรียมจะซักถามข้อข้องใจ แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากคนถือตัวว่าเป็นเจ้าของบ้านก็ขัดขึ้นมาก่อน

            “ที่บ้านหลังนี้คุณต้องอยู่กับผมสองคน ในฐานะสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ชัดเจนไหม มีอะไรข้องใจอีกหรือเปล่า” วิทยาบอกพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อแก้กระหาย ก่อนจะหันไปถามสาวใช้ที่เข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆ กับนายสาวของเธอ

            “อีกคนไปไหน” ชายหนุ่มหมายถึงสาวใช้อีกคนที่คุณแม่ของเขาส่งให้มาอยู่ด้วย

            “ออกไปซื้อของมาทำอาหารกลางวันค่ะ” ชื่นตอบด้วยท่าทีนอบน้อม

            “รู้จักกันแล้วใช่ไหม” คนเป็นเจ้าของบ้านยังคงถามต่อ

            “ค่ะ”

            “ดี มีงานอะไรก็แบ่งๆ กันทำ อยู่ด้วยกันพึ่งพากันแบบพี่ๆ น้องๆ อย่าให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นในบ้านนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมจะไล่ออกโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น” วิทยาบอกเสียงเข้มเป็นเชิงขู่กลายๆ และเขาก็จะทำอย่างที่พูดจริงๆ หากมีคนไม่เชื่อฟังหรือฝ่าฝืนคำสั่งของเขา

            “ค่ะคุณหมอ” สาวใช้ก้มหน้าตอบด้วยอาการเกร็งน้อยๆ พลางหันไปมองสบตากับนายสาวอย่างนึกเกรงกลัวต่อชายหนุ่มเจ้าของบ้าน แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าหมอหนุ่มเป็นคนที่นอกจากจะหล่อเหลาแล้วยังเป็นคนใจดีมีเมตตา สุขุมนุ่มนวล แต่ตอนนี้เธอชักไม่แน่ใจกับคำชื่นชมเหล่านั้นเสียแล้ว

            “คุณอรณิชาตามผมขึ้นไปข้างบนด้วย” น้ำเสียงเย็นเยือกออกคำสั่งกับภรรยาในนาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าไปที่บันไดทันที โดยไม่สนใจคนที่ยังนั่งมึนงงอยู่ข้างหลัง

            “ไปเถอะค่ะคุณหนู เดี๋ยวคุณหมอรอนานแล้วจะโดนดุค่ะ” ชื่นบอกนายสาวที่ยังนั่งทำท่าอิดออดไม่ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปง่ายๆ

            “พี่ชื่นไปกับอรหน่อยสิคะ” เสียงหวานออดอ้อนคนเป็นพี่เลี้ยงอย่างน่าสงสาร เธอรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มเจ้าของบ้านขึ้นมาจับใจ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาใช้กำลังพรากจูบแรกของเธอไปอย่างง่ายดายนั้นมันทำให้เธอไม่อยากเข้าใกล้เขาอีก

            “ไปค่ะ เดี๋ยวพี่ชื่นขึ้นไปส่งที่หน้าห้องก็แล้วกัน ส่วนกระดาษนี่ให้พี่เก็บไว้ให้ก่อนดีกว่า” ว่าจบคนเป็นพี่เลี้ยงก็ดึงม้วนกระดาษในมือของนายสาวมาถือไว้ ก่อนจะประคับประคองให้เธอลุกขึ้นแล้วพาไปบนห้องที่ชายหนุ่มขึ้นไปรออยู่ก่อนแล้ว

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

^_^

 

สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่

http://ookbeetunwalai.s3.amazonaws.com/files/member/7177/1914408155-member.jpg ...หรือ... เสน่หาทาสซาตาน

 

 

หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง 

E-mail : oilza24@hotmail.com

โทร/ไลน์ : 094-4942566

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา