Zenteria อาณาจักรมนตรา มายาแห่งหมอก

-

เขียนโดย Dark_Shinigami

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.53 น.

  11 มายา
  1 วิจารณ์
  13.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) จุดมุ่งหมาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
มายาที่ 8 จุดมุ่งหมาย
“ท่านอา ผมมีเรื่องอยากจะถาม”คำพูดแรกที่ส่งไปทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง “ว่ามาสิ”
“ผมอยากรู้ว่าทำไมท่านอาถึงอยากรู้เกี่ยวกับความลับของสายหมอกและอยากได้พลังอำนาจนั้นไปทำอะไร”เฟเรสตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนกับการถาม แต่เป็นการคาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาสีน้ำเงินนั้นฉายแววหนักแน่น
“เจ้ารู้มั้ยว่ามีเรื่องที่ควรรู้และไม่ควรรู้อยู่”คาลัน วาเนซินผู้เป็นอาถามกลับ
“รู้ครับ แต่สาเหตุของการกระทำนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ควรรู้”เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหลบสายตา เขาจ้องตรงไปยังคาลัน ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักอก
“เพื่อปกป้องของสำคัญของอา ของที่เขาให้อาไว้ แต่อาเหมือนจะไม่สามารถรักษามันไว้ได้”
คำตอบนั้นผิดคาดกว่าที่เขาคิด มันดูเรียบง่าย จนไม่น่าจะทำการใหญ่ขนาดเกี่ยวพันกับความมั่นคงของมิติ“ท่านอารู้ว่ามันข้องเกี่ยวกับจ้าวปิศาจ?”
คาลันนิ่งไปสักพักกับประโยคนั้น ใบหน้านั้นขรึมลงจนบรรยากาศนั้นตึงเครียดหนัก
“ไม่รู้”ชายหนุ่มส่ายหัว “อาไม่รู้”
ถึงอาจะพอเดาได้ก็ตาม นั่นคือสิ่งที่คนอายุมากกว่าละไว้ในใจ เขาไม่อยากให้หลานของเขาถลำลงมาลึกกว่าที่ควร  ถึงความจริงบางอย่างที่ไม่ควรรู้ ไม่มีใครควรจะรู้ เว้นเสียแต่ชะตาฟ้ากำหนด...
เฟเรสพยักหน้ากับคำตอบของคาลัน แม้เขาจะแอบเคลือบแคลงใจกับคำพูดของอีกฝ่ายก็ตามที
“อาต้องขอบคุณเจ้ามาก หากเป็นคนอื่นในตระกูลคงไม่ฟังคำขอเห็นแก่ตัวของอาแบบนี้”คาลันเอ่ย ซึ่งนั่นทำให้เฟเรสเผยยิ้มบางเบาให้กับคนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก คนที่เป็นเหมือนพ่อเสียยิ่งกว่าพ่อแท้ๆของเขา
“ผมต่างหากที่จะต้องขอบคุณ หากผมช่วยอะไรได้บ้าง ผมก็จะช่วย”
คำกล่าวนั้นทำให้คาลันยิ้มออกมาบ้าง สำหรับเขาเองแล้วเฟเรสนั้นก็เหมือนดั่งลูกแท้ๆ อีกหนึ่งแก้วตาดวงใจที่เขาไม่อยากจะสูญเสียไป เหมือนนางผู้เป็นที่รักที่ได้จากเขาไปแล้วโดยไม่สามารถรั้งไว้ได้ “อยู่ที่นั่นก็ระวังตัว ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ”
“ครับ ท่านอาก็เช่นกัน”ขณะที่กำลังจะเลิกการติดต่อ เฟเรสก็นึกขึ้นได้ถึงสมุดบันทึกในมือ
“ฟริเซีย..ท่านอารู้จักคนที่ชื่อฟริเซีย โพรทิอุสรึเปล่าครับ?”
คาลันนิ่งไปกับคำถามนั้นสักพักก่อนจะตอบกลับมา “อาไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อของโพรทิอุสในเวลานี้จริงๆ อารู้แค่ตระกูลโพรทิอุสคือตระกูลที่ล่มสลายไปก่อนที่ตระกูลโซเทริสจะได้ขึ้นครองแดนปิศาจ แต่เรื่องของคนที่ชื่อว่าฟริเซียนี่ แม้แต่ในบันทึกตระกูลโพรทิอุสอาก็ยังไม่เคยเห็นเลย”
“ครับ ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มผมดำตอบกลับ ผู้เป็นอาพยักหน้าให้เบาๆ ก่อนภาพฉายนั้นดับลงเมื่อเฟเรสตัดการจ่ายพลังเวท เด็กหนุ่มนั่งปุกลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือ เรื่องต้องให้คิดหายไปเรื่องหนึ่ง เมื่ออาเขายอมตอบดีๆ แม้เขาจะรู้สึกว่ามันไม่หมดก็ตามทีแต่การจะคาดคั้นทุกอย่างในครั้งเดียวนั้นก็ไม่ใช่เรื่อง ดีไม่ดี อาจจะชักใบให้เรือเสียได้
ดวงตาสีน้ำเงินเบือนมาจดจ้องที่บันทึกเล่มเก่าอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ คลี่มันอ่านอีกครั้งในส่วนที่เขาเห็นว่ามันจำเป็นส่วนที่เขาเพิ่งอ่านถึงเมื่อเช้า...
‘มีข่าวลือเล่ากล่าวกันมาว่าร่างของจ้าวปิศาจนั้นถูกรักษาไว้ที่อาเวริอัส โรงเรียนอันยิ่งยง โดยตระกูลของผู้ดูแลโรงเรียนนั้นเป็นผู้รักษามันอย่างระแวดระวัง มิให้สิ่งใดแพร่งพรายออกไป
แต่ภายในก็มีไส้ศึก ล้วงข้อมูลนั้นออกมาสู่ภายนอก แม้เพียงวงแคบก็ตามแต่...
ณ ส่วนลึกสุด ใต้สุดแห่งโรงเรียน สถานที่แห่งความลับที่ตระกูลโอริเนอร์ – ผู้ดูแล – ไม่เคยบอกแก่คนนอกตระกูล ไม่มีผู้ใดที่เคยเข้าถึง ไม่มีผู้ใดรูกระทั่งวิธีย่างกรายเข้าสู่อาณาเขตนั้น
เรียกได้ว่าความลับโดยสมบูรณ์แบบ หากแต่ผู้ใดเป็นผู้มอบหมายอำนาจนั้นให้ตระกูลโอริเนอร์?
ข้าที่รับรู้ข่าวสารมากกว่าผู้ใดก็ยังมิอาจล่วงรู้ถึง สายข่าวชั้นเยี่ยมก็มิอาจล้วงความลับนี้ออกมาได้
ทุกข่าวสารที่เกี่ยวพันกับอำนาจสายหมอกที่ร่ำลือนั้นยากต่อการจะรู้ความจริง ไม่ว่าจะเรื่องราวของจ้าวปิศาจ หรือแม้แต่ผู้กล้าเองก็ตามแต่ ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นที่รู้โดยทั่วกัน ราวกับมีบางฝ่ายปกปิดมันไว้
บางครั้งข้าก็เหนื่อยที่จะต้องตามหาความจริง หากตระกูลไม่มอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้า เพื่อมอบข้อมูลส่งต่อแก่ทายาทแห่งคำทำนาย ทายาทสืบสองตระกูล ข้าก็คงวางมือจากภาระนี้ไปนานแล้ว
มิติแห่งนี้คือมิติแห่งความลับ มิติแห่งมายา ทุกสิ่งที่สำคัญอยู่ภายใต้ม่านหมอกนั้น ที่ที่ไม่มีผู้ใดหยั่งถึง ความลับนั้นจะคลี่คลายออกเมื่อใดกัน? ’
อีกครั้งที่อ่านก็ยังไม่ช่วยอะไรเขามากเท่าไหร่ เพราะส่วนสำคัญที่เขาต้องการในตอนนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา สถานที่กักเก็บร่างผนึก ส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้
 
 
วันรุ่งขึ้นภายในห้องนอนของเฟเรสและซาครอส มีแขกคนที่สามและสี่ก็คือเมฟิสและซาซิเรียที่แอบเข้ามาทางหน้าต่างนั่งร่วมวงอยู่ด้วย รอบๆห้องมีเวทย์อาณาเขต – ซาวด์ชีลด์ – กางไว้เหมือนก่อนหน้า
เฟเรสเล่าสิ่งที่เขาอ่านเจอรวมถึงเรื่องที่เขาคุยกับคาลันให้อีกสามคนที่เหลือฟัง ซึ่งทั้งสามคนก็นั่งฟังเงียบๆ ซึมซับข้อมูลทุกอย่างจนเฟเรสพูดจบ
“คนสำคัญของท่านคาลัน อาจจะเป็นเจ้าของชื่อแชนดร้าที่เจ้าเคยบอกข้าไว้”ซาครอสพูด เด็กหนุ่มเอามือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด “แต่เรื่องนั้นคงเป็นรองสำหรับพวกเรา ตอนนี้คงต้องตามหาซะก่อน ว่าห้องที่เก็บร่างจ้าวปิศาจอยู่ที่ไหน”
“ตามหาเจอแล้วเจ้าจะทำอะไรอย่างงั้นหรอ?”
คำถามที่หลุดออกมาจากปากของเมฟิสทำให้ทุกคนภายในห้องชะงักกึก แต่ก็ไม่นานนัก เมื่อเมฟิสตัดสินใจที่จะพูดต่อ
“เจ้าคงไม่ได้คิดจะปลดผนึกหรอกนะ?” น้ำเสียงนั้นฟังดูแข็งกระด้าง เรื่องนี้มันคาใจเขามาสักพัก ตั้งแต่บางอย่างเริ่มโยงเข้าหาจ้าวปิศาจเมื่อวาน
“ถ้าจำเป็นข้าจะปลดผนึก”เฟเรสเอ่ยเรียบ ในขณะที่ซาซิเรียและซาครอสมองสลับระหว่างทั้งสองฝ่าย
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลทำท่าเหมือนจะโวยแต่เฟเรสก็ขัดขึ้นมา “ถ้าจำเป็น ข้าถึงจะปลดผนึก ระหว่างนั้นข้าจะหาข้อมูลต่อ ข้อมูลมันคงไม่ได้มีแค่นี้”
คำกล่าวนั้นทำให้เมฟิสชะงักไปบ้าง เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ก็หัดพูดให้มันดีๆ สิ ทำข้าอารมณ์ไม่ดีเสียเที่ยวเลย”
“ช่วยไม่ได้ นิสัยข้ามันเป็นแบบนี้”เฟเรสเอ่ยพลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ซาครอสที่เห็นว่าบรรยากาศดีขึ้นก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เรื่องตามหาห้องนั้น คืนนี้ลองแยกย้ายกันไปสำรวจดีมั้ย?”
“ก็ดีนะ/ก็ดีนะคะ”เมฟิสและซาซิเรียตอบ ส่วนเฟเรสนั้นพยักหน้า
“แต่ข้าไม่แนะนำที่อาคารเรียนนะคะ ที่ตึกนั้นตอนกลางคืนจะมีอาจารย์เฝ้าตลอดยันเช้าเลยล่ะค่ะ”เด็กสาวผมทองเสริม “ส่วนภายในหอพักแต่ละหอนี่ คาดว่าไม่มีการจัดเวรยาม จะมีก็แต่บริเวณรอบๆเขตรั้วโรงเรียนที่มีทหารยามเดินเวียนกันอยู่ค่ะ”
ซาครอสเอื้อมมือไปหยิบม้วนกระดาษบนโต๊ะหนังสือของเขาแล้วกางออกกลางวง เผยภาพแผนที่ภายในโรงเรียนแห่งนี้คร่าวๆ ดวงตาสีอำพันกวาดมอง ก่อนเขาจะเริ่มแจกแจง “ซาซิเรียให้ค้นที่หอของตัวเอง ข้าจะค้นที่หอนี้ เฟเรสค้นหอคิมหันต์ ส่วนเมฟิสไปค้นที่หอประชุม คิดว่าไหวกันมั้ย?”
คำถามนั้นไม่ต้องถามก็รู้ว่าต้องการสื่อถึงเมฟิสและเฟเรสที่ได้รับหน้าที่รับผิดชอบในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
“อืม”เฟเรสตอบรับในลำคอ ส่วนเมฟิสนั้นตอบรับด้วยท่าทางมั่นใจเต็มร้อย“ระดับข้าไม่ไหวได้ยังไงล่ะ!”
“โอเคงั้นก็ตามนั้น ต่อไปร..”ซาครอสพูดไม่ทันจบ ผลึกเลโฟร์ที่อยู่ในมือของเฟเรสก็ส่องแสงเรืองออกมา เฟเรสโอนพลังเวทไปยังผลึกดังกล่าว สักพักภาพโปร่งแสงของอาเรสก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านหน้าพวกเขา ใบหน้าออกหวานนั้นดูเคร่งเครียดไม่ต่างจากครั้งก่อน
“อาเรส?”เฟเรสเรียกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย การที่อีกฝ่ายติดต่อมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นคงใช้ผลึกเลตราเหมือนครั้งก่อน
“ข้าขอโทษที่ต้องติดต่อมาไม่ดูเวลาแบบนี้”ชายหนุ่มในภาพโฮโลแกรมเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเขาฟังดูร้อนรน ดวงตาสีอเมทิตส์ฉายแววจริงจังปนเหนื่อยล้า “แต่เรื่องนี้รอไม่ได้จริงๆ”
“มีความเคลื่อนไหวจากทางดาร์กเอลฟ์ พวกมันรุกเข้าทางตอนใต้ของอาณาจักรที่มีการป้องกันเบาบางที่สุด ตอนนี้พวกท่านพ่อส่งกำลังคนออกไปต้านแล้ว คาดว่าถ้าปะทะกันเมื่อไหร่ สงครามคงเกิดอย่างจริงจังต่างจากครั้งก่อนๆ แน่ และเราก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะ...”อาเรสเอ่ยโดยไม่หยุดพัก โดยประโยคสุดท้ายเขาพูดเสียงแผ่วลงจนเหมือนกลืนหายไปในลำคอ แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มผมสีทองนั้นต้องการจะสื่ออะไร
สงครามนั้นมาคู่กับการสูญเสียเสมอ
“ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกท่านอยากให้พวกเจ้ากลับมา เพราะสายข่าวบอกว่าได้ยินข่าวคราวเรื่องการจ้างนักฆ่าจากในตลาดมืด ไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันจะเป็นใคร แต่พวกท่านเกรงว่าไม่พ้นพวกเจ้า โดยเฉพาะเจ้า เฟเรส”ดวงตาสองคู่สบกัน แต่ท้ายที่สุดอาเรสก็ต้องเป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน
“พวกข้ากลับไปก็ได้แต่ถูกขังอยู่ในบ้าน สงครามครั้งนี้ ยังไงพวกท่านก็ไม่ให้พวกเราเข้าร่วม คงได้แค่คอยมองเป็นคนนอกเหมือนทุกครั้ง”เฟเรสเปรยขึ้นเรียบๆ แต่มันก็สื่อความหมายโดยอ้อมของเขาได้เป็นอย่างดี ใบหน้าและนัยน์ตาของเขาฉายแววดื้อดึง เพราะตัวเขานั้นเกลียดการที่ทำอะไรไม่ได้เป็นที่สุด
อาเรสที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “บางครั้ง ข้าก็คิดว่าเจ้านั้นเลือดร้อนและหัวรั้นกว่าเมฟิสนะ เฟเรส”
คำกล่าวนั้นทำให้เมฟิสโวยขึ้นมาเบาๆ ที่ตัวเขาโดยลากไปพาดพิงเสียดื้อๆ ส่วนซาครอสก็ทำเพียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แม้สถานการณ์ที่พวกเขาตกอยู่นั้นจะไม่ชวนขำเลยสักนิด
“พวกเจ้าเองก็คงรู้สึกเหมือนเฟเรสล่ะสิ?”อาเรสมองลูกพี่ลูกน้องของเขาทั้งสามคนอย่างปลงๆ เขาที่เป็นน้องเล็กสุดในบรรดาสี่คนกลับรู้สึกเหมือนตัวเองแก่สุดอย่างไรอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาเลือกทำงานตระกูลที่ต้องคอยเข้าประชุมกับพวกคนใหญ่คนโต ออกไปเจรจากับต่างแดน ต้องคอยระวังทุกการกระทำของตัวเองไม่ให้ส่งผลกระทบของตระกูล มากกว่าทำงานภาคสนามอย่างพวกเฟเรสที่ไม่ต้องสนใจเรื่องภาพลักษณ์อะไรมากกระมัง
“เจ้าไม่น่าถาม คิดว่าไฮเปอร์อย่างข้า ทนที่จะต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้านได้มั้ยล่ะ?”เมฟิสยิ้มแฉ่ง “ให้ข้าอยู่อย่างนั้น ข้าคงได้อาละวาดบ้านแตก ไม่ก็เป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ แล้วเจ้าล่ะ ซาครอส?”
“ข้าคงจะกลับไปสักพัก”ซาครอสตอบ นั่นทำให้อาเรสถึงกับเลิกคิ้ว เพราะเขาไม่นึกว่าซาครอสจะตัดสินใจที่จะกลับมาที่บ้าน ซาครอสยิ้มๆ ก่อนจะขยายความต่อ “อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าจะกลับไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดที่บ้านน่ะ งานเอกสารตระกูลที่เจ้าต้องทำก็เยอะพอแล้วจะรบกวนเจ้าก็ใช่เรื่อง ตอนนี้เบาะแสอะไรก็พอมี ห้องสมุดที่นั่นคงใหญ่พอจะช่วยอะไรได้ ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะกลับไปยังไง แต่พอเจ้าพูดมาแบบนี้ก็เข้าทางข้าพอดี คงใช้เรื่องธุระทางบ้านขอลากลับไปสักพัก”
“จะเอาจริงดิ ซาครอส? เจ้าคิดว่ากลับไป พวกท่านอาจะปล่อยเจ้ากลับมาเรอะ?”เมฟิสถามพลางยกแขนขึ้นเท้าคางบนพนักเก้าอี้ไม้ที่เขานั่งอยู่ ซาครอสเผยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ขึ้น
“ข้าหาทางกลับมาได้น่า ไม่ต้องเป็นห่วง”
“โอเค งั้นตามนั้น เดี๋ยวข้าจะคุยกับพวกท่านพ่อให้ แล้วจะเตรียมคนไปรับเจ้ากลับมาพรุ่งนี้สายๆ นะ ซาครอส เตรียมเก็บกระเป๋ารอไว้ได้เลย”อาเรสสรุป เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ พยักหน้าเจ้าตัวก็ยิ้มก่อนจะตัดสายไป
ซาซิเรียที่นั่งเงียบมาตลอดบทสนทนาในฐานะคนนอกจดจ้องบริเวณที่ภาพฉายนั้นหายไปไม่วางตาด้วยสายตาที่หมองลง ใบหน้าหวานดูขรึมลงต่างจากอารมณ์ร่าเริงตามปกติของเจ้าตัวแวบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นเหมือนเดิม
“ถ้าอย่างนั้น แล้วที่จะไปตรวจสอบกันคืนนี้ล่ะคะ ท่านซาครอส?”สาวเจ้าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะถ้าซาครอสต้องกลับพรุ่งนี้ แสดงว่าเขาก็ต้องไปคุยกับทางอาจารย์ภายในวันนี้และนอนหลับพักผ่อนเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น
“เรื่องนั้น เดี๋ยวค่อยให้เฟเรสและเมฟิสมาตรวจสอบในวันหลังก็ยังได้”ซาครอสบอกสบายๆ ก่อนเด็กหนุ่มจะผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนของเขาที่เขานั่งอยู่พร้อมกับมัดผมสีส้มอ่อนที่เลยบ่าของตนเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวไปคุยกับอาจารย์นาลินย่าก่อนล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน ซาครอส”เฟเรสเรียก ทำให้คนที่กำลังจะเปิดประตูห้องชะงักไปแล้วหันกลับมาหาเขา “ก่อนหน้าที่อาเรสจะติดต่อมา เจ้าเหมือนจะพูดสักเรื่อง?”
“นั่นสินะ...”ซาครอสยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด แต่เหมือนเขาจะนึกในเรื่องที่เขาจะพูดไม่ออกเลยสักนิด “ไว้ข้าคิดออกจะติดต่อมาอีกทีก็แล้วกันนะ”
เฟเรสพยักหน้าแทนคำตอบรับ ซาครอสจึงเดินออกจากห้องและปล่อยให้อีกสามคนนั่งคุยกันต่อไป
 
 
“เวลากำลังจะเริ่มเดินหลังจากหยุดนิ่งมานานหลายร้อยปี”ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวสะอาดเอ่ยขึ้นขณะที่เขาเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง เส้นผมสีทองเหลือบดำนั้นไหวน้อยๆ ตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามาเอื่อยๆ
“ผู้กล้าและจ้าวปิศาจ ครานี้ผู้ใดจักเพลี่ยงพล้ำกัน”เขาทอดมองไปไกลเท่าที่ดวงตาคู่นี้ของเขาจะมองได้ ความเศร้าหมองและความรู้สึกผิดฉายชัดในแววตานั้น “แล้วสงคราม...จะมีเลือดหลั่งรินมากเท่าใดกัน”
“แล้วหากข้าไม่ทำเช่นนั้น...ในตอนนี้มิติแห่งนี้จะเป็นเช่นไรกัน เลือดจะอาบย้อมผืนดินมากเช่นนี้รึเปล่า”คำเอื้อนเอ่ยนั้นมิใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีใครที่สามารถตอบเขาได้ เป็นเพียงการรำพึงรำพันถึงอดีต...และอนาคตอันใกล้
++++++++++++++++
สวีดัด สวัสดีครับ ทุกๆ ท่าน
ขอโทษด้วยจริงๆ ที่คราวนี้ผมหายไปนาน เผอิญว่าเกิดเหตุขัดข้องที่ผมไปลืมไดรฟ์ไว้อีกบ้าน
เลยไม่ได้แตะไฟล์มาครึ่งเดือน ตอนนี้เพิ่งได้คืนมาเมื่อวาน ก็รีบปั่นจนจบตอนมาให้ทันที
อีกไม่นานเรื่องนี้คงมีหน้าคาแรกเตอร์ให้ทุกคนได้รู้รายละเอียดตัวละครคร่าวๆ กัน
เพราะตัวละครเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะ แม้ตัวสำคัญจะมีไม่กี่ตัว
แต่อีกไม่นาน ผมจะเพิ่มความเด่นตัวอื่นๆ เยอะเหมือนกัน 5555
ขอบคุณที่อ่านกันจนถึงตอนนี้ครับผม ^ ^
Killer in the Dark Shadow

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา