Zenteria อาณาจักรมนตรา มายาแห่งหมอก

-

เขียนโดย Dark_Shinigami

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.53 น.

  11 มายา
  1 วิจารณ์
  13.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ค้นหา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มายาที่ 9 ค้นหา

ดวงจันทร์สีทองงดงามขึ้นลอยเด่นมอบแสงสว่างประกายทองรางๆ ไปทั่วบริเวณ อาบย้อมสวนหย่อมรอบๆ ด้วยแสงสีอุ่น เฟเรสมองภาพรอบๆ หอขณะที่นั่งอยู่บนรั้วระเบียงเล็กๆ ของห้องพักเขาอย่างน่าหวาดเสียว สายลมเย็นพัดเอื่อยจนเส้นผมสีดำของเขาไหวน้อยๆ แต่เหมือนความสวยงามและอากาศดีๆ ของมันจะไม่ทำให้เขาผ่อนคลายลง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีเรื่องมากมายให้ต้องคิดเกินกว่าธรรมชาติจะช่วยให้เขาคลายความตึงเครียดลงได้

ดวงตาสีน้ำเงินหรี่มองดวงจันทร์เบื้องบนอย่างครุ่นคิด อีกใจหนึ่งก็นึกถึงทางบ้านที่กำลังวุ่นวายกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่อยากให้การมาที่นี่สูญเปล่า ไม่อยากจะกลับไปเพียงเพื่อนั่งมองอยู่เฉยๆ ไม่เกี่ยวกับคำร้องขอของคาลัน ไม่เกี่ยวกับอำนาจอันน่าไขว่คว้า แต่เป็นเพียงความ‘อยากรู้’ถึงสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นเสียมากกว่า เหมือนมีบางอย่างบอกเขาว่าให้ค้นหา‘ความจริง’อยู่ที่นี่ต่อไป

เด็กหนุ่มเบือนหน้าไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะอ่านหนังสือ มันชี้บอกเวลาห้าทุ่มกว่า อีกไม่นานที่เขาจะต้องออกไปเพื่อค้นหาเบาะแสภายในโรงเรียนแห่งนี้ เขาละสายตาแล้วมองเลยไปยังซาครอสที่นอนหลับอยู่ ถึงเจ้าของเรือนผมสีส้มจะเอ่ยไว้ว่าเขาสามารถหาทางกลับมาที่นี่ได้ แต่ตัวเฟเรสเองไม่ได้คิดเช่นนั้น หากการหนีออกมามันง่าย พวกเขาคงไม่ต้องกังวลที่จะกลับไปแล้วถูกขังอยู่แต่ในบ้าน

“เฟเรส”เสียงเรียกจากด้านขวาทำให้เขาหันไปมอง เมฟิสที่ออกมาที่ระเบียงเหมือนกันเป็นเจ้าของเสียงนั้น ทั้งเด็กหนุ่มผมสีเปลือกไม้และตัวเฟเรสเองต่างอยู่ในชุดสีเข้มและค่อนข้างรัดกุมเพื่อความสะดวกในการหลบหลีกสายตาผู้คน “ซาครอสหลับไปแล้วหรอ?”

“อืม พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”เฟเรสเอ่ยตอบ “มันฝากถามมาว่าเจ้าจะฝากอะไรกลับบ้านมั้ย?”

เมฟิสชะงักกึกไป ใบหน้านั้นเรียบตึง ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ดวงตาสีมรกตฉายชัดถึงความเจ็บปวดที่ถูกซ่อนมาได้สักพักหนึ่งเมื่อเขาต้องคิดถึงครอบครัวของเขา ครอบครัวที่เหลือเพียงเขาและแม่ ไม่ใช่เหตุการณ์ทางบ้านเหมือนเมื่อเช้าที่เด็กหนุ่มพอจะผลักความเศร้าให้หายลึกไปในจิตใจได้

“อ..อืม... เดี๋ยวข้าฝากผลึกเลตรากลับไปให้ท่านแม่ดีกว่า ขอเวลาแปปนะ”ว่าแล้วเจ้าตัวก็หายกลับเข้าไปในห้อง ร่างสูงมองตามก่อนจะกลับมามองจันทราที่เฉิดฉายอยู่กลางฟ้า

“ท่านแม่อย่างงั้นหรอ...”เฟเรสพึมพำ เสียงนั้นเจือด้วยความอ้างว้าง เพราะเป็นที่รู้โดยทั่วกันในตระกูลว่าแม่ของเขานั้นเป็นหญิงนิรนามที่ตายไปตั้งแต่เขาเกิด และพ่อของเขาเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เวลาผ่านไปไม่นานนัก เมฟิสก็เดินกลับออกมาพร้อมกับผลึกเลตราสีเขียวอ่อนในมือและซองจดหมายสีขาวสะอาดในมืออีกข้าง เด็กหนุ่มนำผลึกหย่อนลงในซองจดหมายที่ว่า ปิดผนึกมันและโยนข้ามระเบียงมาให้เฟเรส  จึงถึงคราวของร่างโปร่งที่จะกลับเข้าไปในห้องเพื่อวางซองจดหมายรวมกับกองสัมภาระของซาครอส

เฟเรสมองนาฬิกาอีกครั้งเมื่อเดินออก ห้าทุ่มสี่สิบกว่าที่แสดงบนหน้าปัดบอกเขาว่าเลยเวลาเริ่มกำหนดการมาสักพักแล้ว เขาเลยออกไปพร้อมกับบอกเมฟิสว่าได้เวลาแล้ว

“โชคดีนะ”เมฟิสบอกเขาก่อนจะกระโดดลงจากระเบียงไป ดวงตาสีใบไม้พราวระยับด้วยความตื่นเต้นบางๆ ราวกับพยายามกลบความเศร้าหมองก่อนหน้า

เฟเรสเองก็กระโดดตามเมฟิสลงไปติดๆ และก่อนจะถึงพื้นไม่นานเด็กหนุ่มทั้งสองก็ร่ายเวทลอยตัว – โฟลท – หนึ่งในเวทนอกสารระบบเพื่อช่วยพยุงพวกเขาไม่ให้โหม่งโลกตายเสียก่อน ทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น ทั้งสองก็ออกตัวกันไปคนละทางเนื่องจากปราการเหมันต์นั้นตั้งอยู่ทางทิศใต้ ทำให้หอประชุมอยู่ทางด้านหน้าและหอคิมหันต์อยู่เยื้องไปขวามือ

เฟเรสเลือกจะวิ่งเลาะเข้าไปยังสวนหย่อมด้านในโดยอาศัยเงาของต้นไม้และพุ่มไม้พรางตัว เพราะตามที่ซาซีเรียบอกมานั้น ตามรั้วของโรงเรียนนั้นมีนายทหารยามกะดึกคอยเดินตรวจตราตลอดเวลา ต่างจากทหารยามภายในสวนที่มีจำนวนน้อยและกระจายตัวกันพอสมควร

ไม่นานนัก เด็กหนุ่มก็ถึงบริเวณหน้าหอพักของนักเรียนสายต่อสู้หรือหอคิมหันต์ ปราการหินแกร่งสีเทาหม่นตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม ราวชั้นสองของหอพักแตกแขนงออกเป็นอีกสองตัวปราการขนาบปราการหลักซ้ายขวา ยอดปราการเป็นลานเปิดโล่งราวกับปราสาทในยุคกลาง ธงสีแดงขลิบขอบสีทองคำปักเด่นขึ้นมากลางลานที่ยอดหอ สัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และดาบไขว้แทนนามแห่งคิมหันต์ชาตินักรบ ล้อมรอบหอเป็นคูเล็กๆ ตัดขาดพื้นดินเชื่อมด้านนอกกับตัวหอ มีเพียงทางเข้าเดียวคือประตูไม้บานใหญ่กว่าสามเมตรที่ต้องอาศัยกลไกพื้นๆ และสายโซ่ขึงประตูไม้เปิดเป็นสะพานทอดข้ามมา แต่บัดนี้ประตูสะพานตรงหน้านั้นปิดสนิท

เฟเรสมองสำรวจอาคารตรงหน้าจากหลังต้นไม้ด้านหน้าหอ มีเพียงหน้าต่างกระจกโค้งจำนวนหนึ่งที่ปิดสนิทพร้อมกับม่านสีเลือดหมูที่บดบังวิสัยทัศน์จากด้านในที่เป็นทางเข้าอื่นนอกจากประตูใหญ่ แสงไฟเรืองๆ ที่ทะลุผ่านผ้าม่านของหน้าต่างปราการย่อยออกมาบ่งบอกว่ายังมีบางห้องที่ยังคงตื่นอยู่แม้ในยามวิกาล

“เจ้าเป็นใครน่ะ?!”

น้ำเสียงดุดันแต่ไม่ดังมากนั้นทำให้เฟเรสสะดุ้งพร้อมกับหันขวับไปทางต้นเสียง

‘ทำไม...ถึงไม่รู้สึกอะไรเลย!!’

 

 

ทางด้านเมฟิส เขาผ่านเข้าไปในตัวหอประชุมได้ไม่ยากนัก เนื่องจากประตูคู่นั้นไม่ได้ลงกลอนไว้ ทำให้เขาสามารถเนียนเปิดเข้ามาได้สบายๆ แถมด้วยเวรยามที่ไม่มีอยู่โดยรอบทำให้การแอบเข้ามานั้นง่ายขึ้นไปอีก ราวกับว่าภายในนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องหลบซ่อนจากสายตา ไม่มีอะไรที่ใครจะสนใจ

‘รู้สึกเหมือนกับดักอะไรสักอย่างเลยแฮะ...’

ภายในหอประชุมเป็นห้องโถงใหญ่ที่ด้านหน้ามีเวทีที่ไม่สูงมากแต่ค่อนข้างกว้าง แม้จะเป็นห้องทึบไร้หน้าต่าง แต่ด้วยวัสดุของทั้งภายในและภายนอกที่ทำด้วยหินอ่อนทำให้อากาศค่อนข้างเย็นและดูโปร่งสบาย ตามผนังประดับรูปกรอบทองคำอย่างเป็นระเบียบ ทางซ้ายและขวาของเขาเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นลอยที่ล้อมรอบเป็นรูปตัวยู พื้นปูด้วยพรมนุ่มสีกรมท่าไร้ลาย

เมฟิสมองรอบๆ ที่โล่งไร้สิ่งของ ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าในนี้ไม่มีอะไรสมกับความเบาบางของเวรยามจริงๆ จนชวนให้สงสัยว่าทำไมซาครอสถึงเลือกอาคารหรูหลังนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายการค้นหา เด็กหนุ่มเดินขึ้นไปยังชั้นลอยของตัวอาคารแต่ก็เช่นเดียวกันว่าไม่พบอะไร

“เหมือนการมาที่นี่จะเปล่าประโยชน์แฮะ”เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเอ่ยรำพึงกับตนเอง แต่แล้วสายตาเขาก็สะดุดเข้ากับบานประตูสีกลืนกับหินอ่อนทางซ้ายและขวาของเวที

‘ทางเข้าไปหลังเวที... ทำซะเนียนเลยแฮะ’

“เกือบสะเพร่าแล้วมั้ยล่ะเรา”เมฟิสเขกหัวตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปด้านใน แต่ก็ดังคาด ประตูนั้นไม่ขยับแม้แต่นิด

ทั้งที่ประตูหน้าเปิดได้ง่ายดาย ทั้งยังไร้ทหารยามราวกับเชื้อเชิญ แต่กลับลงกลอนประตูที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรยิ่งกว่า

“งานหมูๆ”เมฟิสขยับยิ้ม ก่อนจะล้วงเอาลวดแท่งตรง­ขนาดครึ่งฝ่ามือออกมา ก่อนจะทำการสะเดาะกลอนประตู เด็กหนุ่มง่วนกับมันอยู่สักพักก่อนเสียงดัง กริ๊ก จะทำให้เขายิ้มเผล่

เขาค่อยๆ หมุนลูกบิดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงก่อนจะเข้าไปด้านในโดยไม่ลืมปิดประตูไล่หลัง ภายในนั้นมืดสนิท เมฟิสจึงต้องหยิบของอีกชิ้นที่เขายัดใส่กระเป๋ากางเกงมาด้วย

มันเป็นแท่งผลึกขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อยและมีความหนาไม่มากทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า อีกหนึ่งวิทยาการเวทมนต์ เรแดนท์ อุปกรณ์ที่เมื่อโอนถ่ายพลังเวทจำนวนหนึ่งเข้าไปจะส่องสว่างไม่ต่างจากโคมไฟ

จากแสงสว่างทำให้เมฟิสมองเห็นรายละเอียดต่างๆ ของห้องที่มีขนาดค่อนข้างกว้างและมีทางเดินค่อนข้างกว้างที่อ้อมไปโผล่ที่ประตูอีกฝั่งหนึ่งด้วย

หากดูเผินๆ จะมีเพียงกล่องลังและรูปปั้นต่างๆ ที่ถูกผ้าสีขาวคลุมไว้อย่างเรียบร้อย แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่เข้ามาหาของโดยเฉพาะจึงไม่พลาดประตูลับขนาดพอดีคนหนึ่งลอดที่อยู่ที่พื้น ประตูที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็คงจะมองไม่เห็น ด้วยตำแหน่งที่อยู่ติดผนังทางด้านหลังหอประชุมและมีรูปปั้นตั้งขนาบทั้งสองฝั่งจึงง่ายที่จะมองข้าม

“ลัคกี้แฮะ”นัยน์ตาสีมรกตวาววับด้วยความถูกใจ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไป เปิดประตูลับนั้นขึ้นแล้วค่อยๆ ไต่ลงไป

ด้านล่างเป็นห้องโถงขนาดกว้างพอๆ กับอาณาเขตของตัวหอประชุม มองไปทางซ้ายขวาก็เป็นเพียงห้องใต้ดินทึบห้องหนึ่งที่ไม่มีทางไปต่อ ห้องโถงกว้างขวางที่มีแต่เพียงแสงสลัวของคบเพลิงตามเสาทรงกรีกที่ตั้งอยู่เป็นระยะๆ โครงสร้างที่ดูทึบตันด้วยวัสดุในการสร้างอย่างหินสีเทาหม่น

เด็กหนุ่มเดินสำรวจรอบๆ ห้องให้แน่ใจว่าสายตาเขาไม่ได้พลาดอะไรไป แต่หลังจากเดินไปกว่าครึ่งชั่วโมง สิ่งที่เขาพบก็ยังมีแต่ความว่างเปล่า

“โธ่...ไอ้เราก็นึกว่าจะมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ซะอีก”เมฟิสบ่น สองเท้าพาเดินกลับไปยังบริเวณที่เป็นทางขึ้นก่อนเขาจะต้องตกใจ

ทางขึ้นมันหายไปไหน?!

 

 

“...”เฟเรสเงียบพลางมองคนตรงหน้าที่ดูอายุไล่เลี่ยกันกับเขา ก่อนจะตัดสินใจกล่าวตอบออกไป

“นักเรียนปราการเหมันต์”คำตอบนั้นทำให้อีกฝ่ายสำรวจเขากลับอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามกลับ “ปี1 เฟเรส ฮาเรเซีย?”

เฟเรสพยักหน้าแทนคำตอบ แม้ในใจจะสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวระกลางหลังนั้นรวบหลวมๆพอไม่ให้รุงรัง ดวงตาสีครามฉายประกายความสงสัยเจือจางขัดกับใบหน้าออกไปทางบึ้งตึงของเขา

“เจมิไน ฟาโรเวลล์ ปี2 หัวหน้าหอปราการเหมันต์”คนอายุมากกว่าบอก เมื่อเห็นเฟเรสเลิกคิ้วใส่ เขาจึงขยายความ “คิดว่าเจ้าคงสงสัยว่าข้าเป็นใคร”

“แล้วดึกๆ ดื่นๆ ออกมาทำอะไร”เจมิไนถามพลางขมวดคิ้วทำให้เจ้าตัวดูหงุดหงิดกว่าเดิม น้ำเสียงนั้นไม่เชิงว่าเป็นคำถาม แต่บังคับให้ตอบเสียมากกว่า

“เดินเล่น”เฟเรสตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน หัวสมองแล่นคิดคำตอบสำหรับหลายๆ คำถามที่อาจจะตามมาในไม่ช้า

“เดินเล่น? ตอนนี้?”ตามที่เขาคาดว่ารุ่นพี่หนุ่มจะต้องสงสัยกับเวลาเดินเล่นของเขาเป็นแน่ เจ้าของผมสีนิลจึงยกเหตุผลที่ฟังดูเข้าท่าสำหรับเขาขึ้นมาอ้าง “เงียบสงบดี”

แต่คราวนี้กลับผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายกลับปล่อยเขาไปแล้วโบกมือปัดๆ คล้ายรำคาญ ก่อนจะเดินจากไป “ตามสบาย”

“...”เฟเรสมองตามแผ่นหลังที่ถอนห่างนั้นไปนิ่งๆ นัยน์ตาสีไพลินมองสำรวจอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะเดาจากชุดลำลองที่เจมิไนสวมว่าคงจะมาเดินเล่นเหมือนกับเขา เพราะถ้าอยู่ในหน้าที่คนผมบลอนด์คงต้องสวมเครื่องแบบนักศึกษา ไม่ใช่เสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงขายาวเช่นนี้

เด็กหนุ่มส่ายหัวปลงๆ ไม่คิดว่าคำโกหกของเขาจะแนบเนียนเพราะดันตรงกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่พอดี แต่เพื่อความปลอดภัยเฟเรสจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงเป้าหมายเหมือนกับเขาเพียงหยุดแวะชมอาคารของหอคิมหันต์เท่านั้น

“เฮ้ เฟเรส”เดินไปได้สักพักก็มีเสียงเรียกราวกับกระซิบดังขึ้นทางด้านซ้ายของเขา จากทางด้านในสวนหลังพุ่มดอกไม้สีอ่อน เสียงนั้นคุ้นหูทำให้เฟเรสหันไป ก่อนจะพบว่าเมฟิสนั่นเองที่เรียกเขาเมื่อครู่

“เสร็จแล้ว?”เฟเรสเลิกคิ้วพร้อมคำถาม เมฟิสยิ้มร่ากลับ “แน่นอน ที่นั่นก็แค่ห้องประชุมธรรมดานั่นแหละ ยิ่งไม่มีงานอะไร โล่งและเงียบยิ่งกว่าป่าช้าซะอีก”

“แล้วเจ้าสำรวจหอคิมหันต์เสร็จแล้วหรอถึงมาเดินเล่นแบบนี้น่ะ?”

“ยัง โดนคนเจอเข้า”

“โห ระดับเจ้าอ่ะนะ พูดจริงป่ะเนี่ย??”เมฟิสถามต่อด้วยสีหน้าขบขัน เฟเรสที่ถูกแซวจึงอดที่จะมุ่ยหน้าลงไม่ได้

“ข้าไปต่อล่ะ”เฟเรสตัดบท แต่พอทำท่าเหมือนจะเดินจากไป เด็กหนุ่มผมสีไม้ก็จับไหล่เขารั้งไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อนดิ ถึงจะไม่เจออะไรในหอประชุม แต่ข้าก็เจออะไรน่าสนใจด้วยล่ะ”

“ตามมาๆ”เฟเรสเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างว่าง่าย เมฟิสเดินนำเขาเข้าไปยังพุ่มไม้ลึก ลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนเขาจำได้ว่าจะมาถึงเขตของน้ำพุนิทราที่อยู่ใจกลางอาณาเขตโรงเรียนที่เขาเคยมาเมื่อไม่กี่คืนก่อน เขตหวงห้ามของเหล่านักเรียนที่เกือบทุกคนไม่รู้ว่าภายในนั้นมีอะไร เพราะทางเข้าที่เป็นกลไกลับและผู้เฝ้าอย่างเหล่านิมฟ์ที่หลายคนเพียงได้ยินเสียงก็เผ่นแน่บแล้ว

ยิ่งเดินเข้ามาต้นไม้ยิ่งรกครึ้มดังเช่นครั้งแรก จะต่างกันก็เพียงดวงจันทร์ที่ทอแสงคนละสีและเพื่อนร่วมทางที่หายไปสองคน

“เจ้าจะพาข้าไปไหนกันแน่ เมฟิส”เฟเรสเอ่ยถาม น้ำเสียงเรียบนั้นปนไปด้วยความสงสัยเล็กๆ แต่คนที่ถูกถามกลับไม่ตอบ เอาแต่เดินจ้ำนำหน้าไป เฟเรสที่อยู่ด้านหลังมองไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ไหล่ที่ตึงเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขาถามก็บอกเขาได้ว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างที่ผิดปกติ

“เมฟิส!”น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นเล็กน้อย มือหนาคว้าไหล่ของคนที่ตัวสูงกว่าเขาเล็กน้อย แต่มือนั้นก็ถูกสะบัดออก ท่ามกลางความตกใจของเด็กหนุ่มตาสีน้ำเงิน

“ข้าอุตส่าห์หวังว่าท่านจะตามมาเงียบๆ แท้ๆ”น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไป ไม่ใช่เสียงของน้องชายที่คุ้นเคย ทำให้เฟเรสผงะถอยหลังมาสองสามก้าวเพื่อเว้นระยะห่าง

“แต่ไม่เป็นไร เรามาถึงที่หมายกันแล้ว”ร่างนั้นเอ่ยพร้อมหันหลังกลับมา ใบหน้านั้นแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของชายวัยกลางคน รอยแผลบากยาวตั้งแต่หน้าผากด้านขวาพาดผ่านจมูกจรดริมฝีปากซ้าย ร่างที่เคยสูงกว่าเขาเพียงเล็กน้อย บัดนี้ก็สูงใหญ่ขึ้นใกล้สองเมตรจนเขาที่สูงร้อยเจ็ดสิบกว่าดูเตี้ยไป

เฟเรสเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่เคยเห็นเวทมนต์บทใดที่สามารถเปลี่ยนรูปกายและน้ำเสียงเป็นผู้อื่นได้มาก่อน ไม่ว่าจะมนตราโบราณหรือเวทแขนงใด...

“มอร์เช่”เด็กหนุ่มตั้งสติก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ พลางวาดมือไปด้านข้าง อาวุธปรากฏขึ้นบนมือตามคำเรียกขาน ดาบเล่มยาวไร้กั่นที่มีสีน้ำเงินกรมท่าแวววาวทั้งเล่มไปจนถึงคมดาบต่างจากดาบทั่วๆไป ด้ามดาบที่ยาวกว่าดาบปกติค่อนข้างมาก ปลายด้ามเป็นไพลินน้ำงามเม็ดใหญ่เกือบนิ้วห้อยพู่สีน้ำเงินเฉดเดียวกับตัวดาบแต่อ่อนกว่า บริเวณที่ควรเป็นกั่นดาบนั้นมีตรารูปการ์กอยล์กางปีกในวงกลมสลักอยู่

แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาตั้งตัวทัน ร่างบึกบึนนั้นเข้าประชิดด้วยความเร็วผิดกับขนาด สองแขนโอบพลางโถมตัวพาเฟเรสเข้าไปยังหลุมมิติที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังเขาราวกับถูกนัดแนะมา

“ไม่ใช่ที่นี่ หนุ่มน้อย อีกอย่างชีวิตของเจ้า ยังจำเป็นอยู่”ชายวัยกลางคนหัวเราะกรุ้มกริ่ม ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะหายไปจากบริเวณนั้น!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา