Zenteria อาณาจักรมนตรา มายาแห่งหมอก

-

เขียนโดย Dark_Shinigami

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.53 น.

  11 มายา
  1 วิจารณ์
  13.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ผู้ชักใย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มายาที่ 7 ผู้ชักใย

 

ทันทีที่อาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียนมหาเวทเดินเข้ามาภายในห้องโถง ทุกคนภายในห้องก็หยุดพูดคุย ความเงียบเข้าปกคลุมทันที ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายชราที่เข้าไปคุยเสียงเบากับอังเดรที่ใจกลางห้อง หลังจากนั้นไม่นานนักชายชราในชุดยาวกรอมเท้าสีขาวสะอาดก็หันกลับมาพร้อมที่จะอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนฟัง

“ผู้บุกรุกที่เพียรเจาะเกราะเวทเข้ามานั้น คือตุ๊กตาชักใย”ชายชราเริ่มขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย“ข้ารู้ดี ว่ามีผู้ไม่รู้ว่ามันนั้นคือสิ่งใด และข้านั้นไม่คิดปิดบัง”

“ตุ๊กตาชักใย คือ สิ่งสร้างจากเวทโบราณ’ตุ๊กตากล’ เวทต้องห้ามที่สมควรจะเสื่อมหายไปเมื่อนานมาแล้ว ในคราปกตินั้น ตุ๊กตาจะมีจุดอ่อนอยู่ตรงจุดหัวใจ เรียกขานกันว่าคอร์ หากคอร์ปริแตก ตุ๊กตาตัวนั้นย่อมตายลง แต่จากที่อาจารย์อังเดรได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ข้าฟังแล้วนั้น ตัวที่คงอยู่หน้ารั้วโรงเรียนนั้นมิสามารถถูกทำลายได้ เนื่องจากมันหามีคอร์ไม่”รูเนลัส ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดแห่งอาเวริอัสเอ่ย น้ำเสียงชราภาพนั้นหนักแน่นและจริงจัง

“แต่การจะปล่อยปละละเลยนั้นคงเป็นไปมิได้ คงต้องให้ผู้ใดสักคนตามหาคอร์ของมัน ที่ถูกซ่อนไว้ที่ใดสักแห่ง”รูเนลัสเว้นช่วง ซึ่งนั่นก็ทำให้อาจารย์คนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา

“จะตามหาด้วยวิธีไหนหรอครับ?”

“ไม่ว่าตุ๊กตาชักใยหรือเผ่าพันธุ์ใดย่อมมีไอมนตราแตกต่างกัน ในตำรานั้นมีเวทบทหนึ่งสามารถตามร่องรอยไอมนตราได้ หากแต่ผู้ร่ายจักไม่สามารถเคลื่อนกายออกจากวงเวทได้และต้องมีผู้ร่วมมืออีกหลายคน ดังนั้นจึงต้องแบ่งเป็นสองกลุ่มเพื่อตามหา กลุ่มหนึ่งนั้นร่วมร่ายเวท ในขณะที่อีกกลุ่มนั้นออกไปตามหาที่ภายนอกเขตโรงเรียน”รูเนลัสแจกแจง ก่อนจะหันไปหาอังเดร “เกราะเวทสามารถคงได้นานสุดเท่าใด?”

“ถ้าหากผมคนเดียวคงได้ไม่เกินห้าชั่วโมงครับ แต่ถ้ามีคนสนับสนุนสักสองสามคนอาจจะยืดได้จนถึงสิบสองชั่วโมงครับ ถ้ามากกว่านั้นก็ยืดได้นานออกไป แต่สภาพร่างกายจะรับภาระไหวมั้ยนั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ”อังเดรเอ่ยเสียงเครียด เพราะการสนับสนุนเวทนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องสังกัดเวทธาตุเดียวกันแล้ว ยังต้องมีพลังเวทในระดับเดียวกัน รวมถึงต้องคอยประคองถ่ายโอนพลังเวทในปริมาณที่สม่ำเสมอ ซึ่งต้องใช้สมาธิมหาศาล ยิ่งตัวชายหนุ่มนั้นสังกัดธาตุรองอย่างสายฟ้า ยิ่งทำให้หลายๆอย่างยากมากขึ้น

“ถ้าเช่นนั้น เปลี่ยนป้องกันเป็นกักขัง สามารถทำได้หรือไม่ อาจารย์อังเดร?”รูเนลัสถาม

“ได้ครับ แต่คงต้องมีผู้ลงผนึกอีกหนึ่งหรือสองคนครับ”

รูเนลัสลูบเคราครุ่นคิด ในการจะร่ายเวทบทเดียวกันที่ต้องการคนเกื้อหนุนนั้น ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับคนสนับสนุนเวท ชายชราหันไปทางหัวหน้าอาจารย์ผู้ดูแลเอกสาร เธอมีเส้นผมสีแดงเข้มจนเกือบดำซอยสั้นจะต้นคอ แต่ปอยผมทั้งสองข้างนั้นยาวระเนินอกอิ่ม

 “อาจารย์เซร่า ต้นผลึกเอโมสเฟียร์*”หญิงสาวพยักหน้า ก่อนเธอจะเอื้อมมือจับจี้สร้อยคอ “ต้นผลึกเอโมสเฟียร์ รีลีส”

แท่งอัญมณีสีใสทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นบนมือของเซร่า ทันทีที่เธอถ่ายโอนพลังเวทใส่ลงไปเล็กน้อย แสงเรืองรองสีทองอ่อนๆก็ส่องสว่างจากผลึกสีใสนั้น ฉายขึ้นเหนือผลึกเป็นตัวอักษรประกายละเอียดสีทองเป็นชื่อของอังเดร พาลอฟ ธาตุที่สังกัดและระดับพลังเวทต่อท้ายว่าซีบุนด์ – อัลโต

“ธาตุสายฟ้า ระดับซีบุนด์ – อัลโต โฟกัส”คราวนี้รายชื่อปรากฏขึ้นเรียงกันอย่างเป็นระเบียบห้าชื่อรวมชื่อของอังเดรและหนึ่งในนั้นมีชื่อของเด็กสาวปีหนึ่งอย่างเมย์เดีย แอสเทอเรียรวมอยู่ด้วย

“เรียกพวกเขามา เราจะทำการกักขังก่อนเริ่มที่เหลือ”

 

 

ภายในห้องนั่งเล่นปราการเหมันต์ยังคงมีเสียงพูดคุยดังเป็นระยะๆ ไม่ให้ห้องเงียบเหงาเกินไป รวมทั้งอาจารย์สาวร่างเล็กวิชาการปกครองควบตำแหน่งผู้ดูแลปราการ นาลินย่า ที่เป็นกันเองและคุยหยอกล้อกับพวกเขา ใจดีเหมือนอย่างในห้องเรียน  แต่เสียงนั้นก็เงียบลงเมื่ออาจารย์อีกท่านเดินเข้ามาขัดจังหวะ

“เมย์เดีย แอสเทอเรีย อาจารย์ใหญ่ต้องการพบด่วนที่หอประชุม ตามมากับครูด้วย”

“เอ๋ ข้าหรอคะ?”เมย์เดียชี้ตัวเองเบาๆ ดวงตาสีน้ำตาลทองฉายแววงุนงง เธอว่าเธอไม่ได้ไปทำอะไรเดือดร้อนใครเข้านะ

“ไปทำอะไรเข้าล่ะ ยัยแรงช้างสาร”เมฟิสแขวะพลางถองศอกเข้าใส่เชิงหยอกล้อเล่น แต่เมย์เดียก็ส่งสายตามาประมาณว่าไม่เล่นด้วยก่อนจะเดินตามอาจารย์คนที่ว่าออกไป ทำให้เจ้าตัวจ๋อยไปทันตาเห็น

“หยอกสาวไม่ถูกเวลาก็งี้ล่ะนะ เมฟิส”ซาครอสแซวเล่น ใบหน้านั้นอมยิ้มขำ ทำให้เมฟิสงอนแก้มป่องไป ส่วนเฟเรสก็แอบหัวเราะในใจเงียบๆกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ก่อนเขาจะเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

ท้องฟ้าด้านนอกนั้นยังคงมีม่านสีขุ่นขวางกั้น แต่ด้วยความที่ปราการเหมันต์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกและหน้าต่างบานนี้ก็หันไปทางเดียวกัน ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าโรงเรียนได้

ป่านนี้...มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ ไม่ว่าจะที่แห่งนี้หรือต่างแดน...

 

 

ภายในตัวเมืองนอกเขตของเกราะเวทนั้น การต่อสู้นั้นสร้างความเสียหายให้แก่บริเวณตลาด แผงตั้งร้านต่างๆระเนระนาด ข้าวของต่างๆกระจัดกระจายเละเทะ คนส่วนมากได้หลบเข้าไปอยู่ภายในตัวร้านที่ส่วนมากสร้างจากหินแกร่ง

บนพื้นอิฐที่ปูเป็นถนนมีร่างหกร่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทั้งหกร่างนั้นเป็นเจ้าของชุดลูกไม้โทนฟ้าขาว ชี้ชัดว่าฝ่ายใดที่กำลังได้เปรียบอยู่ แถมสถานการณ์ในตอนนี้คงจะเรียกว่าการต่อสู้ไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นการเผชิญหน้าแบบสองต่อห้าคน!

สักพักเสียงเอะอะก็ดังมาจากบริเวณใกล้เคียง ทั้งเสียงตะโกนเร่งและเสียงเกราะเหล็กที่กระทบกัน ทำให้เพชฌฆาตโลหิตคนหนึ่งพูดขึ้นมา“ทหารยามกำลังมา”

สิ้นคำพูดก็เหมือนทำลายความสงบที่มีเมื่อครู่ เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มโรมรันเข้าหากันอีกครั้งหนึ่ง เด็กสาวหนุ่มเจ้าของตัวเลข VII เสกลูกไฟขึ้นมาแล้วเขวี้ยงกระจายไปทั่วทิศทาง

เพชฌฆาตโลหิตที่ถือมืดคู่นั้นกระโดดหลบจากรัศมีของลูกไฟร้อนผ่าว ก่อนเขาจะพุ่งเข้าไปเสือกแทงปลิดชีพอีกฝ่ายที่กำลังจะส่งลูกไฟออกมาอีกระลอก ขณะที่ชุดดำอีกคนตวัดสายโซ่รัดคอเด็กสาวคนสุดท้าย ร่างเล็กดิ้นพราดจากการขาดอากาศหายใจ ก่อนจะแน่นิ่งไป

“จัดการตุ๊กตาชักใยแปดตัวเรียบร้อย กำลังจะตามตัวเอโอน่า ซิกฟิลด์”เสียงทื่อเอ่ยลอยๆราวกับรายงานเรื่องราวให้ใครบางคนรับรู้

‘ดีมาก แต่คงไม่ต้อง ท่านจ้าวบอกว่าท่านรับแขก ทางนั้นคงไม่ต้องเป็นห่วง ถอนกำลังกลับมาได้เลย’เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นภายในหัวของพวกเขา เหล่าเพชฌฆาตโลหิตทั้งห้าเพียงขานรับก่อนจะพากันกระโดดขึ้นหลังคาลับสายตาไป พร้อมๆกันกับนายทหารยามประจำเมืองที่ค่อยๆกรูเข้ามาภายในอาณาเขตที่เคยมีการต่อสู้เกิดขึ้น สถานที่ที่เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณและความเสียหาย

 

 

“ถ้าอย่างที่อธิบายไป ทำได้รึเปล่า?”อังเดรถามเด็กสาวหลังจากที่เขาอธิบายขั้นตอนทั้งหมดแล้ว เนื่องจากเมย์เดียเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในขณะที่คนอื่นๆนั้นเป็นอาจารย์ เธอพยักหน้าลงทำให้เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวไหวน้อยๆ

“ได้ค่ะ”

“โอเค งั้นผมรบกวนอาจารย์ที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไปด้วยนะครับ อาจารย์อาธีน่ารบกวนด้วยครับ”อังเดรหันไปทางอาจารย์สาว เธอมีหูเรียวยาวบ่งบอกถึงพงษ์พันธุ์แห่งเอลฟ์

“รับทราบค่ะ”เธอขานรับ มือเรียวยกขึ้นทั้งสองข้าง โดยข้างขวานั้นถือคทาด้ามยาวอยู่ ริมฝีปากขมุบขมิบพึมพำบทเวท วงเวทสีเทาอ่อนปรากฏขึ้นขนานกับกำแพงเบื้องหน้าพวกเขาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสองเมตร ใจกลางนั้นเป็นกลุ่มหมอกขมุกขมัว

“มนตราสายหมอก – มิสท์ มิเรอร์” ส่วนที่เคยเป็นหมอกทึบกระจ่างออกส่องให้เห็นภาพบริเวณหน้าโรงเรียนแถบประตูรั้วสีทองคำ ที่มีก้อนสีดำเละๆระบุไม่ได้ว่าเป็นอะไรพยายามทำลายเกราะมนตรา ภาพสยดสยองเบื้องหน้าทำให้หลายๆคนในที่นั้นมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ไม่รู้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นต้องการสิ่งใด แต่เราคงต้องจับตัวมาไว้ให้ได้เสียก่อน อาจารย์อังเดรลงมือเลย”รูเนลัสเอ่ยขณะลูบเครายาวของตัวเอง ชายหนุ่มผมสีบลอนด์พยักหน้าก่อนจะหันมาทางผู้สนับสนุนของตนเองในตอนนี้

“พอเกราะเวทย์สลายออก ทุกคนช่วยกันลงผนึกเลยนะครับ”เขาสบตากับดวงตาอีกสี่คู่ที่เหลือก่อนจะนับถอยหลัง

“สาม สอง หนึ่ง!”สิ้นเสียงอังเดรที่ถอนไม้เท้าออกจากพื้น วงเวทย์ที่เรืองรองจางลงพร้อมๆกับเกราะเวทย์ด้านนอกที่แตกหายไปจากที่เห็นได้จากกระจกมนตราของอาจารย์สาว แทนที่ด้วยเสียงพึมพำบทเวทของสี่คนที่เหลือ วงเวทขนาดใหญ่กว่าเดิมเกือบสองเท่าปรากฏขึ้นแทนที่ รอบกายของร่างตอตะโกมีม่านสี่เหลี่ยมโปร่งแสงสีเหลืองทองล้อมทั้งหกทิศ ด้านทั้งหกค่อยๆประกบเข้าหากันช้าๆ แต่ยังไม่ทันที่จะประกบได้ดี จู่ๆก็มีคลื่นบางอย่างกระแทกม่านแสงทั้งหกกระจายออกจากภายใน!

วงเวทที่เพิ่งสร้างเลือนหายไป พร้อมกับเจ้าของบทเวทที่ถูกแรงสะท้อนดีดจนบางต้องถอยไปหลายก้าวเพื่อทรงตัว บางคนล้มลงไปกองอยู่บนพื้นเพราะตั้งตัวไม่ทัน

“เกิดอะไรขึ้น!!”

“เวทสะท้อนกลับครับ มีคนเข้าแทรกแซงทำลายกรงขัง!”หนึ่งในอาจารย์ที่เป็นผู้สนับสนุนตอบด้วยน้ำเสียงตระหนก

“บ้าน่า! การจะทำแบบนั้นได้ต้องมีระดับพลังเวทสูงมากเลยนะ!”อังเดรเองก็ตกใจตามๆกันไป เขาเองก็ไม่ได้อยากจะหลงตัวเอง แต่พลังเวทเขาและอีกสี่คนนั้นก็ถือว่ามีระดับที่สูงมากแล้ว การที่เจอคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าถือเป็นโชคร้ายจริงๆ

ทุกสายตาจับจ้องไปทางภาพที่ฉายอยู่บนกำแพง ร่างดำปี๋เมื่อครู่นั้นค่อยๆคืนสภาพเดิม เป็นเด็กสาวผมสีโอโรสยาว ใบหน้านั้นไร้หน้ากากต่างจากก่อนหน้าเผยให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวเจ้าของนามเอโอน่า ซิกฟิลด์ แต่ก็ใช่ว่าจะมีใครในที่นี่ที่รู้จักชื่อของเธอ

– ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าจับลูกน้องแสนน่ารักของข้าไปได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ ข้าไม่คิดจริงๆว่าจะมีคนที่สามารถสร้างเกราะได้แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ที่นี่ด้วย คราวนี้ข้าคงรามือไปก่อน – น้ำเสียงของอิสตรีดังขึ้นไปทั่วบริเวณโรงเรียน เสียงนั้นสุขุมทั้งคลอด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบา

– ตอนแรกข้าเพียงแค่ต้องการพบปะคนผู้หนึ่งที่ตอนนี้อยู่ในรั้วโรงเรียนแห่งนี้เท่านั้น แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไหวตัวทันเสียก่อน เลยเกิดความอึกทึกครึกโครมขนาดนี้ แถมพอพ้นมาได้ พวกท่านก็ดันสร้างเกราะคุ้มครอง เรื่องเลยเป็นอย่างที่ทุกท่านเห็น เผอิญลูกน้องข้าเป็นพวกดื้อด้านซะด้วย ตรงส่วนนี้ต้องขออภัยด้วยจริงๆ – แม้คำพูดนั้นจะแสดงความเสียใจ หากน้ำเสียงกลับตรงกันข้าม พูดให้ถูกคือฟังดูเยาะเย้ยเสียมากกว่า – แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมออกมาเจรจาเงียบๆดีๆ เอาแต่หลบอยู่ด้านในแบบนั้น ข้าคงต้องฝากข้อความด้วยวิธีการนี้แทนล่ะนะ –

บรรยากาศภายในหอประชุมเงียบกริบ ไม่มีใครตอบกลับอะไร เพราะรู้ว่าการสื่อสารแบบนี้ อีกฝ่ายไม่สามารถได้ยินอะไรที่พวกเขาพูดไปอยู่แล้ว

– พวกข้าจะมารับร่างของ’ฮาเดลิส’อย่างแน่นอน จงระวังตัวไว้ให้ดี เชื้อสายของฮาเดลิสเอ๋ย – ประโยคทิ้งท้ายก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบไป พร้อมกับร่างหน้าประตูที่หายไปด้วย เนื้อหาในประโยคสร้างความตกใจไปทั่วบริเวณ เมื่อนามของจ้าวปิศาจถูกเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดฝัน จ้าวปิศาจที่ควรจะถูกผนึกไปตลอดกาล แต่ตอนนี้กลับมีคนที่ต้องการจะปลุกขึ้นมาอย่างงั้นหรือ? แล้วยังจะคำว่าเชื้อสาย มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

 

 

พวกเฟเรสที่นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นนั้นได้ยินเสียงที่แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนเช่นกัน หลายคนในห้องถึงกับสะดุ้งเมื่อนามของจ้าวปิศาจถูกเอ่ยถึง

เฟเรสขมวดคิ้วเข้ามากันน้อยๆ เมื่อเรื่องราวที่เขาคิดว่าวุ่นวายอยู่แล้วดูวุ่นวายยิ่งกว่าเก่า ดวงตาสีไพลินกันสบกับอีกสองคู่ ดูท่าในครั้งนี้พวกเขาจะมีมือที่สองมือที่สามเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างไม่คาดฝันเสียแล้ว

“เสียงเมื่อกี้นี้มันอะไรกันน่ะ?!”คาริน่าถามทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก เป็นที่รู้กันไปทั่วว่านักทำนายทุกตระกูลในมิติแห่งนี้นั้นชิงชังจ้าวปิศาจและตระกูลผู้กล้ามากเพียงใด สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ครั้งสงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน น้ำเสียงของเธอจึงแสดงถึงความตกใจและความขยาดอย่างปิดไม่มิด

“ใจเย็นลงก่อนนะจ๊ะ อาจารย์ว่าเรื่องนี้เดี๋ยวทางอาจารย์ใหญ่จะแจ้งให้กระจ่างอีกที”นาลินย่าเอ่ยพลางยิ้มแห้งๆ “สักพักน่าจะมีประกาศกลับสู่สภาวะปกติแล้วล่ะจ้ะ”

ไม่ทันขาดคำเสียงประกาศนั้นก็ดังขึ้นอย่างที่นาลินย่าบอก

– ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ขอให้กลับสู่สภาวะปกติ คาบเรียนจะเริ่มอีกทีในวันมะรืนนี้ ระหว่างนี้ขอให้นักเรียนทุกคนพักผ่อนกันตามอัธยาศัยค่ะ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้น ขอให้เข้าใจโดยทั่วกันว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นนะคะ –

“อะไรกัน ก็ไม่มีบอกอะไรอยู่ดี ถึงจะพอเดาๆได้อยู่ก็เถอะนะ”คาริน่าบ่นอุบอิบตามนิสัย ใบหน้านั้นมุ่ยลงอย่างไม่ค่อยพอใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ อาจารย์”

โดยไม่รีรอให้อาจารย์สาวตอบเจ้าตัวก็เดินไปกดแจกันกุหลาบสีฟ้าแล้วเดินกลับไปยังห้องของตนโดยมีเอลิน่าที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป “ด..เดี๋ยวสิ คารินจัง! ข..ขอตัวก่อนนะคะ”

นาลินย่าลอบถอนหายใจเบาๆกับท่าทีของนักเรียนของเธอ ถึงเธอจะเข้าใจว่านักทำนายนั้นมีปมตรงนี้ แต่ไม่คิดเหมือนกันว่าปฏิกิริยาต่อต้านจะรุนแรงขนาดนี้

เฟเรสมองไปพลางพิจารณาเหตุการณ์ไปพลาง หลังจากที่เห็นว่าหลายๆคนในห้องพากันแยกย้าย เขาก็ขอตัวกลับห้องมาพร้อมกับพวกซาครอสบ้าง เพราะสงสัยเขาต้องคุยกับท่านอาของเขาอย่างจริงจังเสียแล้ว

“ซาครอส ข้าต้องคุยกับท่านอา เจ้าไปอยู่ห้องเมฟิสก่อน”เฟเรสเอ่ยเรียบๆ ใบหน้านั้นนิ่งเฉย แต่นัยน์ตาสีไพลินนั้นวาวด้วยความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

“อืม เสร็จแล้วก็มาเคาะห้องแล้วกัน”ซาครอสตอบกลับ แต่ก่อนที่เขาจะผละไปหาเมฟิสที่เดินขนาบคุยกับโนเอลอยู่นั้นก็หันกลับมาทางเฟเรส

“อย่าเครียดให้มันมากนักล่ะ”

เฟเรสพยักหน้ารับคำ แต่ก็เพียงผ่านๆเท่านั้น เพราะยังไงในหัวของเขาก็ยังมีความคิดมากมายแล่นไปมาเต็มไปหมด ท่าทางของเขาทำให้ซาครอสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินจากไป

เด็กหนุ่มผมดำปิดประตูห้องตามหลังพร้อมกางเวทย์อาณาเขต – ซาวด์ชีลด์ – ล้อมรอบห้องอีกครั้ง มือหนาคว้าสมุดบันทึกเล่มเก่านั้นมาถือไว้ด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ ราวกับมันช่วยสงบสติอารมณ์ของเขาได้อย่างไรอย่างนั้น

เฟเรสเรียกผลึกเลโฟร์**มาไว้ในมือก่อนจะจ้องมันราวกับจะเจาะให้ทะลุ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะใช้มันนักเพราะมันกินพลังเวทหนัก แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้ ถ้าไม่คุยตัวต่อตัวอาของเขาคงยากที่จะปริปากบอกอะไรอย่างตรงไปตรงมา

เขาถ่ายพลังเวทใส่ผลึกสีสวยในมือ มันเรืองแสงวูบหนึ่ง ก่อนจะฉายภาพของชายหนุ่มดูวัยราวๆสามสิบต้นๆ เขามีผมและดวงตาสีเดียวกับเฟเรส สายตาที่ส่งผ่านมานั้นบ่งบอกถึงคำถามที่อีกฝ่ายมีได้ไม่ยาก เฟเรสสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดปากพูด

“ท่านอา ผมมีเรื่องอยากจะถาม”

+++++++++

*ผลึกเอโมสเฟียร์ เป็นวิทยาการเวทมนต์ ใช้ในการวัดระดับพลังเวท แบ่งเป็นทั้งหมดสิบขั้นคร่าว ไล่จากน้อยไปมาก คือ ไอนส์ สไวย์ ดราย เฟียร์ ฟุนด์ เซคส์ ซีบุนด์ อัคก์ นอยน์ ซินน์ ซึ่งคนส่วนมากจะอยู่ในระกับเฟียร์และฟุนด์ ส่วนในระดับปลีกย่อยจะแบ่งเป็นสามช่วงคือ บาโค เมดิโอ อัลโต ต้นผลึกนั้นคือแหล่งรวบรวมข้อมูลของผลึกเอโมสเฟียร์ โดยจะมีรายการบันทึกชื่อและระดับพลังเวทอยู่ในความทรงจำของผลึก

**ผลึกเลโฟร์ ผลึกสีม่วงโปร่ง วิทยาการเวทมนต์อีกอย่างหนึ่ง ใช้ในการสื่อสารในทันทีเปรียบได้กับโทรศัพท์ในยุคปัจจุบัน อำนวยความสะดวกเรื่องความรวดเร็วในการสื่อสารทางไกล มีราคาสูงมากจนคนธรรมดาไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ และในการใช้แต่ละครั้งสิ้นเปลืองพลังเวทของทั้งผู้รับและผู้ส่ง จึงไม่เป็นที่นิยมนัก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา