ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

86)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

    ...เส้นทางปูอิฐแดง...ที่เชื่อมเส้นทางระหว่างหมู่พระตำหนักหลัก...ไปถึงพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์...

 

       พรึ่บ! 

 

       ม้าศึกตัวพ่วงพีสามตัวที่ถูกควบและเฆี่ยนให้วิ่งด้วยคว่ามเร็วเต็มฝีเท้าของท่านผู้เฒ่าหัวหน้าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต...อนาสตาเซียผู้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง และมือฉมังธนูนามว่าอเทตยาต่างก็พุ่งผ่านไปราวกับถูกควบไปกับสายลม แต่ในความรู้สึกของทั้งสาม...ช่วงเวลาที่ผ่านไปแต่ละวินาทีช่างเชื่องช้าราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่มีผิดเพี้ยน...ยิ่งเมื่อทุกคนเก่งกาจพอจะสามารถสัมผัสถึง ลมเพลมพัด อันน่าขนพองสยองเกล้าที่มาจากทิศทางของพระที่นั่งท้ายสระได้อย่างชัดเจนยิ่งทำให้พวกเขาทั้ง ๓ ยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่...

 

     " ไม่ทันแน่... "

 

     " อย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้สิ! ประเดี๋ยวก็กัดลิ้นหรอก!! "

 

     " เราช่วยท่านไกรไม่ทันแน่! "

 

     " อเทตยา! "

 

     " ข้าเป็นมือฉมังธนู! เป็นสายจู่โจมระยะไกล! ข้าฝึกที่จะจับสัมผัสจากระยะไกลตั้งแต่ข้ายังเล็ก...แต่เวลานี้ข้ากลับสัมัสถึงจิตของท่านไกรไม่ได้ด้วยซ้ำ...ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้ข้ายังรับรู้ถึงจิตที่แข็งแกร่งของเขาที่ต่อต้านอยู่แท้ๆ...นั่นแปลได้อย่างเดียวคือเวลานี้ท่านไกรบาดเจ็บสาหัส หรือไม่--- "

 

     " ภารกิจของเราไมได้ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของไกร แต่เป็นพระชนม์ชีพของพระบรมชั้นสูงทั้งสาม...ไกรเป็นผู้เสนอแผนนี้เองและเป็นผู้ที่แบกรับความเสี่ยงเอง "  แต่เสียงอันราบเรียบไร้ความรู้สึกของท่านผู้เฒ่าผู้เวลานี้ควบม้านำอยู่ด้านหน้าทำให้ทั้งอนาสตาเซียและอเทตยาที่ทำท่าจะฮึ่มๆใส่กันถึงกับต้องหันไปจองเขม็งพร้อมกับตะโกนพร้อมกันทันที

 

     " ท่านพ่อ!/ผู้เฒ่า! "

 

     " ...ข้าไม่ได้สอนเจ้าให้โตเป็นดรุณีน้อยนะ...เจ้าเป็นมือสังหาร! อนาสตาเซีย!...ส่วนเจ้าก็เป็นถึงอดีตอุปนิกขิตแห่งมอญ อเทตยา...พวกเจ้าน่าจะรับรู้ความเสี่ยงในงานเช่นนี้ดีอยู่แล้ว! "

 

       ท่าทีเคร่งเครียดของท่านผู้เฒ่าที่หันหน้ากลับมามองพร้อมกับตวาดดังลั่นทำให้อนาสตาเซียได้แต่ต้องเงียบไปอย่างจำนนต่อถ้อยคำโดยไม่อาจเถียงอะไรได้ ในขณะที่อเทตยาที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวของไกรมากกว่าถึงกับตาลุกวาวใส่อย่างไม่เกรงกลัว แต่เมื่อเธอจะอ้าปากเพื่อเถียงอะไรออกมาอีกครั้ง ...อยู่ๆ จิตอันเป็นลมเพลมพัดอันน่าขนลุกที่ลอยเอื่อยๆมาตามสายลมก็ถูกอัพเกรดหรือเพิ่มพลังขึ้นอย่างกะทันหันจนกลายเป็นพลังอันน่าหวาดสยองที่สุดจนกระทั่งม้าศึกทั้งสามตัวที่พุ่งเข้าใส่ทิศทางที่จิตนั้นถึงกับต้องสะบัดเริ่ดพร้อมกับหยุดอย่างกะทันหันจนตัวโก่ง ในขณะที่ผู้ขี่ทั้งสามก็ต้องรั้งบังเหียนม้าไว้จนเชือกหนังบาดลึกเข้าเนื้อเพื่อหยุดไม่ให้ตัวเองต้องตกจากหลังม้าทันที!

 

     " บ...บ้าเอ้ย! "

 

       หลังจากตั้งตัวได้ ทั้งสามพยายามจะเฆี่ยนบั้นท้ายม้าเพื่อสั่งให้มันวิ่งต่อ แต่สัญชาตญาณสัตว์เดรัจฉานของม้ากลับมีอำนาจเหนือกว่าความเจ็บจนมันไม่ยอมเดินหน้าเลยแม้แต่ก้าวเดียว นั่นทำให้ทั้งสามต้องหันไปมองหน้ากันเองทันที

 

     " กระแสนั่น "

 

     " เราคงต้องวิ่งกันไปเองแล้ว "  ท่านผู้เฒ่าผู้ควบคุมสติได้ดีที่สุดรีบลงจากหลังม้าพร้อมกับกระชับดาบฟ้าฟื้นในมือขึ้นและเตรียมวิ่งต่อทันที แต่อยู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นแหวนสีเงินบนนิ้วโป้งของลูกสาวบุญธรรมของเขาที่ส่องประกายวูบ ก่อนที่กระแสพลังอันน่าขนลุกที่ลอยออกมาจากทิศพระที่นั่งท้ายสระจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอีกครั้ง 

 

     " อ...อะไรกัน?! "

 

    ...เพราะกระแสพลังอันน่าขนลุกนั้นกำลังถูกพลังอันเต็มไปด้วยพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ข่มจนไมเหลือความน่าขนลุกใดๆอีกต่อไป...แต่นั่นยิ่งทำให้ท่านผู้เฒ่ายิ่งงวยงงเป็นไก่ตาแตกเข้าไปใหญ่...เพราะขนาดเขาผู้เชื่อว่าผ่านโลกมามาก และผ่านผู้ที่ครอบครองอำนาจพุทธคุณมาไม่ใช่น้อยๆยังไม่เคยพบกับพลังพุทธานุภาพที่มีอำนาจความศักดิ์สิทธิ์สูงระดับนี้เลยด้วยซ้ำ!

 

     " ท่านพ่อ/ท่านผู้เฒ่า! "

 

     " อเทตยา...เจ้าเป็นสายโจมตีระยะไกล...รายงานมาซิ "  ท่านผู้เฒ่าออกคำสั่งออกมาห้วนๆอย่างเคยชิน ซึ่งทำให้อเทตยาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ในเวลาเช่นนี้เธอมีทางเลือกไม่มากนัก...หญิงสาวรั้งบังเหียนชักม้าให้สงบพร้อมกับหลับตาลงและลดจิตของตนเองลงจนแทบสัมผัสไม่ได้ เพื่อเปิดความเฉียบคมในสัมผัสของตนให้มากที่สุด ก่อนที่ในที่สุดเธอจะพูดออกมาเบาๆว่า

 

     " พ...พลังที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้กำลังค่อยๆสลายกระแสไสยเวทย์อันน่าขนลุกนั่น...ข้าเชื่อว่าสัมผัสข้าไม่ผิด...แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าพลังบ้าอะไรกันที่สามารถสลายไสยเวทย์มนต์ดำอันน่าขนลุกจนไม่อาจเป็นของมนุษย์นั่นได้...นี่...นี่ไม่ใช่พลังที่ข้าเคยพบมาก่อน "

 

     " พุทธานุภาพ... "

 

     " ท่านผู้เฒ่า? "

 

     " ช่างเถอะ...ไม่ว่าพลังนี้จะเป็นอะไร...แต่ถ้าพลังนี้กำลังกำราบพลังอาถรรพ์ของไสยเวทย์มนต์ดำ ก็เป็นเหมือนกับการช่วยเรากลายๆ...แต่ถึงอย่างไรก็ไว้ใจอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น...พวกเราก็ต้องรีบไปดูด้วยตาตัวเองแล้ว! "

 

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

 

       ย้อนกลับมาที่พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์อีกครั้ง

 

     " อ...อั่ค! "  ท่านเรือง หรืออดีตออกญาเพชรบุรีผู้เมื่อไม่นานมานี้พึ่งถูกดาบสดายุอันเป็นดาบประจำมือของไกรที่ถูกสร้างขึ้นจากโลหะอย่างเหล็กสังขวานรซึ่งมีความเป็นปฏิปักษ์กับโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มหัวเขาอยู่อย่างเหล็กน้ำพี้จนกระทั่งบาดเจ็บสาหัสและสิ้นสติไปอย่างยาวนานค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับกระอักเลือดสีคล้ำที่มีลักษณะคล้ายเลือดเสียออกมาคำโต ก่อนจะครางออกมาเบาๆและค่อยๆก้มลงมองบาดแผลที่เวลานี้กำลังค่อยๆสมานตัวอยู่อย่างหยาบๆด้วยวิชาสายคงกระพันของเขา แต่ก็สมานตัวได้อย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกินจนเขาไม่สามารถขยับตัวอะไรได้เลย เขาจึงได้แต่พลุกตัวนอนหงายขึ้นเพื่อพยายามจะให้ดวงตาที่ยังคงพร่าเลือนอยู่ของเขาเห็นเหตุการณ์รอบตัวให้ได้มากที่สุด...แต่สิ่งที่ปรากฏผ่านคลองจักษุทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างงงงวยทันที

 

     " อ...อะไรกันเนี่ย? "

 

       ถ้าหากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย เขาคงจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขายังคงไม่ได้สติและกำลังฝันอยู่แน่ๆ เพราะภาพที่เขาเห็นคือภาพของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือท่านไกรผู้เป็นนายแห่งหน่วยคเณศร์เสียงาของเขากำลังร่ายมนต์หรือบทสวดบางอย่างที่แม้แต่จอมขมังเวทย์และผู้ที่คลุกคลีอยู่กับอรรถคาถาอย่างเขายังไม่รู้จัก แต่ที่เขารู้แน่ๆเลยก็คือ อำนาจของบทสวดที่ไกรกำลังสวดอยู่นั้นทรงไปด้วยอำนาจด้านพุทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นหรือเคยพบเจอมา...และกำลังกดดันพลังอันอาถรรพ์ของเจ้าจอมเพ็งที่อยู่ตรงหน้าจนเจ้าจอมเพ็งต้องกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับทรุดลงไปงอก่องอขิงกับพื้นเลยทีเดียว!

 

     " อ้อ...ฟื้นแล้วหรือ...อดีตออกญาเพชรบุรี...เจ้านี่อึดราวกับสัตว์เดรัจฉานเลยนะ "

 

     " สมเด็จพระพี่นาง?---ว---เหวอ!! "  อดีตออกญาเพชรบุรีถึงกับร้องลั่นทันทีเมื่อหันมาหาสมเด็จพระพี่นางพินทวดี แต่สิ่งที่เขาเห็นคือดาบสดายุสีเงินวาวที่พาดอยู่บนพระเพลา(ตัก) ของสมเด็จท่านที่ประทับอยู่ใกล้ๆพร้อมกับรีบกระเถิบกายหนีทั้งๆที่ร่างกายยังไม่สมบรณ์พร้อมแท้ๆ จนสมเด็จพระพี่นางถึงกับต้องหรี่เนตรพร้อมกับขมวดขนงค์อย่างหงุดหงิดพระทัย แต่พระองค์ก็เข้าพระทัยพร้อมกับหยิบดาบสีเงินวาวของไกรที่เคยเข้าไปฝังอยู่ในตัวของออกญาเพชรบุรีจนกลัวฝังใจออกไปวางอีกด้านหนึ่งพร้อมกับตรัสต่อเรียบๆว่า

 

     " เมื่อแรกเห็นเจ้าถูกดาบเล่มนี้แทงจนทะลุ ข้าคิดแทบจะเต็มสิบส่วนว่าดาบเล่มนี้คงส่งเจ้าไปยมโลกแน่...น่าแปลกจริงๆที่เจ้ารอดมาได้ "

 

       ดำรัสของพระพี่นางทำให้เรืองก้มลงมองบาดแผลของตนอย่างพินิจอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและทรุดลงไปนอนอีกครั้ง พร้อมกับพยายามยกมือบังคมทูลพร้อมกับทูลตอบอย่างเหนื่อยๆว่า

 

     " ถ้าหากดาบแทงเข้าตรงจุดสำคัญ ข้าพุทธเจ้าคงดับไปตั้งแต่แรกแล้ว...แต่ช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้าย ดูเหมือนสินที่สิงสู่ด้วยวิญญาณร้ายนั่นจะต่อต้านการควบคุมและเบี่ยงวิถีดาบในพริบตาจนดาบเลี่ยงจุดตายเพียงเล็กน้อย และดาบก็ถูกสร้างมาอย่างไร้ที่ติจนคมกริบราวกับมีดโกน ทำให้บาดแผลเรียบและง่ายต่อการสมาน...เฮ้อ เรื่องของข้าพุทธเจ้าน่ะช่างเถอะ...ว่าแต่ระหว่างที่ข้าพุทธเจ้าสิ้นสติไป มันไปอย่างไรมาอย่างไรถึงได้มาถึงเหตุการณ์เช่นนี้ได้ล่ะพุทธเจ้าข้า? "

 

     " ข้าก็อยากจะถามเจ้าอยู่เช่นกัน...เจ้าเป็นผู้ที่เดินในสายไสยเวทย์เช่นกันนี่? "

 

       คำตรัสของสมเด็จพระพี่นางทำให้เรืองหันกลับไปมองเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ที่เวลานี้กำลังประนมมือและหลับตาลงพร้อมกับท่องอรรถคาถาที่เป็นภาษาบาลีอันยาวเหยียดอย่างไม่หยุด พร้อมกับพยายามเงี่ยหูฟังและถอดคำออกมา เพราะเขาเองก็เจนจบในด้านภาษาบาลีไม่แพ้ใคร แต่เมื่อถอดความออกมานั่นทำให้เขายิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ทันที

 

     " ที่ไม่ใช่คาถา...หรือบทสวดที่ข้าพุทธเจ้าเคยได้ยินมาก่อน...ทว่ามีบางท่อนบางคำที่คลับคล้ายคลับคลากับบทสวดโบราณอันทรงพุทธานุภาพที่สาปสูญ ที่ตำนานว่ามีต้นกำเนิดที่อาณาจักรล้านนา...บทสวดของท่านไกรกำลังสร้างตาข่ายเพชรอันแน่นหนาจนวิญญาณเถื่อนอันชั่วร้ายใดๆไม่สามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้...แม้แต่ลูกแก้ว-ลูกขวัญ กุมารีอันเป็นวิญญาณอาถรรพ์ที่มีฤทธิ์แก่กล้าที่สุด หรือทรพาที่ถูกสร้างมาด้วยพุทธานุภาพเอง ถ้าหากยังอยู่ที่นี่ก็คงไม่อาจจะทนทาน หรือฝ่าเข้ามาได้ด้วยซ้ำ... "

 

     " แต่เหล่าวิญญาณสัมภเวสีเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ ถึงแม้จะฝาเข้ามาไม่ได้แต่ก็ยังคงอยู่...ถ้าหากมองภาพรวม สถานการณ์ก็ไม่ได้พลิกผันไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย...เพราะทันทีที่บทสวดประหลาดของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯจบลง พวกมันก็จะตรงเข้าไปขย้ำเขา หรือที่ร้ายที่สุด ดีไม่ดีจะรวมถึงเจ้าและข้าด้วยอยู่ดี... "

 

     " ไม่หรอกพุทธเจ้าข้า "

 

     " ? "

 

     " ...ถ้าหากข้าพุทธเจ้าเดาไม่ผิด...บทสวดนี้ไม่ได้มีอำนาจอยู่เพียงเท่านี้แน่ "

 

     " เจ้า...หมายความว่าอย่างไร? "

 

     " นั่นปะไรพุทธเจ้าข้า...เริ่มแล้ว ... "

 

       คำทูลของอดีตพระยาราชบุรีทำให้สมเด็จพระพี่นางต้องผินพระพักตร์ไปมองที่ไกรที่เวลานี้ยืนมั่นและกำลังสวดบทสวดในน้ำเสียงที่ราบเรียบและจังหวะสม่ำเสมอซึ่งไม่ต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย  แต่กลับกัน ที่เปลี่ยนไปกลับกลายเป็นเหล่าวิญญาณสัมภเวสีอันน่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ ที่ชะงักและแน่นิ่งไปราวกับรูปปั้นที่ถูกแขวนค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่ร่างอันทุพลภาพและน่าเกลียดน่ากลัวเหล่านั้นจะค่อยๆกะเทาะและแตกร้าวอย่างช้าๆราวกับดักแด้ที่ค่อยๆแตกออกเพื่อลอกคราบกลายเป็นผีเสื้อ ก่อนที่ในที่สุดร่างทั้งร่างจะแตกออกจนเหลือเพียงดวงวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์ที่สุด ที่ค่อยๆลอยขึ้นไปจนทะลุพระที่นั่งแห่งนี้ไปอย่างช้าๆ ทีละตนๆ...ราวกับหิ่งห้อย หรือโคมโลยที่ถูกปล่อยขึ้นจากขุมนรกอเวจี และค่อยๆลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

 

    ...เป็นภาพผ่านคลองพระเนตรที่สวยงามจนแม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่อาจจะละสายพระเนตรจากภาพตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย...

 

     " น...นี่มัน? "

 

     " วิญญาณสัมภเวสีผีตายโหงที่ถูกผูกและฉุดรั้งไว้ด้วยไสยเวทย์มนต์ดำที่ข้าคิดว่าไร้ทางเยียวยาไปแล้ว กลับได้รับการช่วยเหลือจากบทสวดของท่านไกร ตัดสายโซ่พันธนาการที่ผูกไว้ด้วบบาปจนสิ้น เบิกดวงตาที่มืดบอดนั้นด้วยแสงแห่งพุทธานุภาพ...วิญญาณที่น่าสงสารเหล่านั้นกำลังไปสู่สุตติ ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า ตามกฎแห่งวัฏสงสารอันเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้แล้ว "

 

     " ไม่! ไม่ๆๆๆ ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด! ไม่มีคาถาใดที่สามารถปลดปล่อยเหล่าวิญญาณนับร้อยที่ผูกด้วยพันธะแห่งข้าได้ ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ ข้าไม่ยนยอมพร้อมใจ!! "  จะได้ยินคำพูดของอดีตพระยาเพชรบุรีหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่เจ้าจอมเพ็งผู้ควบคุมและกำลังใช้พลังชั้นสูงก็กำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับทรุดลงไปและรีดเร้นพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างเพื่อหยุดยั้งการ ไปสู่สุคติ ของเหล่าวิญญาณใต้อาณัติเหล่านั้น แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะวิญญาณทุกดวงต่างก็ค่อยๆทยอยไปสู่สุคติโดยที่ไม่มีท่าทีจะเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างเธอเลย...เมื่อรู้แน่ว่าทำอะไรไม่ได้ เธอจึงเลือดเข้าตาพร้อมกับหันกลับมาหาไกรพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อย่างประสงค์ร้ายโดยหมายจะหยุดบทสวดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มทันที...แต่เกราะกำบังที่ไม่อาจมองเห็นได้ ที่ถักทอขึ้นราวกับตาข่ายเพชรอันร้อนแรงจนผู้ที่เต็มไปด้วยจิตมุ่งร้ายและเดรัจฉานวิชาอย่างเธอไม่อาจฝ่าเข้าไปใกล้ตัวอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เธอทำได้จึงเป็นแค่การกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งและโกรธแค้นทันที

 

     " ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ! ข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ!! "

 

     " จบแล้ว... "  

 

       พร้อมๆกับเสียงครางเบาๆของเรือง...ไกรที่ประนมมือและหลับตาท่องบทสวดอยู่นั้นก็ค่อยๆเปิดดวงตาที่ฉายด้วยแววที่สงบราวกับน้ำที่นอนนิ่งอยู่ในบ่อนั้นขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้เจ้าจอมแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ที่เวลานี้นอนงอก่องอขิงอยู่กับพื้นอย่างเจ็บปวดทรมาน เพราะ ของ ต่างๆที่เธอร่ำเรียนและสั่งสมมากำลังถูกบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยพุทธานุภาพนี้ ถอน ออกไปจนในเวลานี้เธอกลับกลายเป็นอิสตรีธรรมดาๆที่แทบไม่เหลือพิษภัยใดๆกับใครอีกต่อไปแล้ว

 

     "                ...อิจเจวะมันโต           สุคุตโต สุรักโข

                    ชินานุภาเวนะ                 ชิตุปัททะโว

                    ธัมมานุภาเวนะ               ชิตาริสังโฆ

                    สังฆานุภาเวนะ               ชิตันตะราโย

                    สัทธัมมานุภาวะปาลิโต      จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ....  "

 

                  ( ...อีกเวทมนต์ ดลคาถา     ที่มวลข้าประฌมกร 

                     เล่าเรียนเพียรว่าวอน        อนุสรณ์ตลอดมา       

                     เป็นคุณคุ้มครองดี            อย่าให้มีซึ่งโรคา 

                     เป็นคุณช่วยรักษา            สรรพภัยไม่แผ้วพาน

                     อานุภาพพระชินะ            อุปัทวะอย่ารู้หาญ 

                     ห่างไกลไม่ระราน            ประสบงานสวัสดี 

                     อานุภาพพระธรรมมะ        ให้ชำนะความอัปรีย์ 

                     ห่างไกลคนใจผี              กาลกิณีไม่กล้ำกราย

                     อานุภาพพระสังฆะ           ให้ชำนะอันตราย 

                     ไม่เห็นคนใจร้าย              ไม่มั่นหมายมาราวี 

                     อานุภาพพระสัทธรรม        ทุกเช้าค่ำรักษาศรี 

                     จำรัสจำเริญดี                  ร่มพระศรีชินบัญชรฯ .... )

 

 

     " ...ม...ไม่...ข้า...ข้าไม่---ยินยอม พร้อมใจ--- "  จากเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ค่อยๆบางและเบาลงจนกลายเป็นเสียงครางรวยริน ขาดห้วงอย่างเหนื่อยอ่อนที่เบาไม่เกินเสียงกระซิบ...เธอค่อยๆเงยหน้าที่เวลานี้กลับกลายมาเป็นใบหน้าของสตรีผู้งดงามทว่าร่วงโรยราวกับแก่ขึ้นจากเดิมไปเกือบสิบปีขึ้น ก่อนจะใช้มือเรียวบางอันสั่นเทานั้นจับที่ชายเสื้อของชายหนุ่มตรงหน้าที่เป็นฉลองพระองค์ของพระเจ้าเอกทัศน์ที่เวลานี้ขาดวิ่นไปแล้วพร้อมกับยังคงครางไปมาอย่างไม่ยอมรับ...ในขณะที่แววตาของไกรสงบนิ่งและไร้ซึ่งแววของความอาฆาตเคียดแค้น หรือกระแสที่คิดจะห้ำหั่นหรือประหัตประหารกันแบบเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม แววตาสีสนิมเหล็กนั้นกลับเต็มไปด้วยความการุณ ความเมตตาสงสาร ก่อนที่ไกรจะยื่นฝ่ามือของตนเข้าไปปิดดวงตากลมโตที่อ่อนระโหยนั้นอย่างช้าๆ

 

     " พักเถอะ...ท่านเจ้าจอมเพ็ง...ทุกอย่างจบลงแล้ว...ท่านไม่จำเป็นต้องดิ้นรนใดๆอีกต่อไปแล้ว    ...กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง อะสัญจิจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม . (...กรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโปรดยกโทษให้เป็นอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย--...) "

 

       สิ้นคำขออโหสิกรรมของไกร ดวงตาทีเบิกโพลงของเจ้าจอมมารดาเพ็งก็ค่อยๆปรือลงอย่างช้าๆ ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะหลุดลอยไป ทว่าเป็นการหลุดลอยไปอย่างเป็นสุขจนกระทั่งเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่จะล้มลงไปนั้น ทุกคนต่างก็ได้เห็นุมมริมฝีปากอวบอิ่มนั้นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่ต่างจากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อแรกเริ่มไปโดยสิ้นเชิง...เป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่บริสุทธิ์และงดงามจนทุกคนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว

 

     " จ...เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ? "

 

       ตุบ!

 

     " ไกร?! "  สมเด็จเจ้าฟ้า พระพี่นางพินทวดีร้องตรัสออกมาอย่างตกพระทัยทันที เมื่อเห็นไกรทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง แต่พระองค์ก็เบาพระทัยได้เล็กน้อยเมื่อเรืองที่ยังคงนอนนิ่งเพื่อให้ร่างกายที่ยังคงสาหัสทำการฟื้นฟูตัวเองอยู่จะยกหัวขึ้นพร้อมกับกราบทูลเบาๆว่า

 

     " โปรดอย่ากังวลพระทัยไปเลย สมเด็จท่าน...เขาแค่ใช้พลังกายทั้งหมดทั้งสิ้นไปแล้วจนกระทั่งร่างกายสุดฝืนและสลบไปเท่านั้น... "

 

     " เฮ้อ...ถ้าเป็นอย่างเจ้าว่า...ข้าก็สบา--- "

 

     " ปณิธานแห่งพี่ข้าที่ไม่เสร็จ ข้าขอสืบต่อเอง! ตายซะเถอะ!! ไกร! "  

 

        โดยที่ไม่มีใครคาดคิด เจ้าจอมแมนผู้เป็นน้องสาวของเจ้าจอมเพ็งที่ถูกเจ้าจอมผู้พี่ปัดกระเด็นจนเข้าใจว่าออกจากการต่อสู้ไปแล้วนั้นจะพุ่งจากมุมมืดเข้าใส่ไกรที่ในเวลานี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะป้องกันตัวได้โดยสิ้นเชิง...ปิ่นปักผมอันแหลมคมที่อยู่ในมือส่องประกายสีเขียวเข้มวูบอันแสดงให้เห็นว่าฉาบด้วยพิษร้ายแรงพุ่งหมายโถมแทงเข้าใส่ชายหนุ่มที่นอนหลับตาอยู่ในพริบตาเดียว!

 

     " ไกร!/ท่านไกร!! "

 

       เคร้ง! ฉัวะ! 

 

       แต่ก่อนที่ปิ่นปักผมเคลือบยาพิษอันน่าจะเป็นเขี้ยวเล็บสุดท้ายของเจ้าจอมแมนจะเข้าปักกลางหน้าอกของไกรเพียงไม่ถึงองคุลี...ดาบสัมพาที...ดาบสีตะกั่วที่ถูกตีขึ้นจากสัตตโลหะตลอดทั้งเล่มของไกร ที่ถูกวางทิ้งไว้ก็พุ่งเข้ามาอยู่ในมือของสิน พร้อมกับที่สินจะใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมด ฝืนพุ่งเข้าปัดปิ่นปักผมเล่มนั้นทิ้ง ก่อนที่จะตวัดดาบในมือเพื่อฟันเข้าที่แขนเรียวยาวของเจ้าจอมผู้นั้นจนเรียกโลหิตสีแดงสดให้พุ่งออกมา พร้อมกับที่สินจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อดีดเท้าเตะเจ้าจอมร่างบางอย่างเต็มแรงจนลอยละลิ่วเป็นว่าวป่านขาดในชั่วพริบตา!

 

     " ก...กรี๊ด! "

 

     " ส...สิน? "

 

     " เฮ้อ...อย่างกับตกอยู่ในฝันร้ายในคืนที่ธาตุไปปกติ...เพราะอย่างนี้ข้าถึงได้ทำใจชื่นชอบไอ้พวกเล่นไสยเวทย์มนต์ดำเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ...อย่าถือกันนะ ท่านเรือง "  หลังจากใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่รีดเร้นออกมาจนหมดสิ้นแล้ว สินก็ทิ้งดาบสัมพาทีในมือที่คอยดูดพลังกายของเขาไปไม่ต่างจากดาบอีกเล่มลงกับพื้นพร้อมทั้งทรุดลงไปกับพื้นอย่างหมดแรง และหันมาหาเรืองที่ยังนอนแบ่บอยู่พร้อมกับพูดเบาๆทันที...ในขณะที่เรืองอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะอดหัวเราะออกมาเบาๆทั้งๆที่ยังเจ็บบาดแผลอยู่ไม่ได้

 

     " ฮ่ะๆ...ต่อให้เจ้าช่วยท่านไกรไว้ ข้าก็ยังไม่ลืมเรื่องที่เจ้าแทงข้าข้างหลังไปหรอกนะ "

 

       ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน พร้อมกับหลุดหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายทันที ซึ่งทั้งสองก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะมาหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้จักกาลเทศะได้เลย...ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงอย่างสมเด็จพระพี่นางยิ่งแล้วใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังไม่อาจจะกลั้นหัวเราะของตนได้อยู่ดี...

 

    ...เพราะพวกเขา พึ่งรอดจากสถานการณ์ที่ทุกๆคนควรจะตายไปทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างปาฏิหาริย์ที่สุดแล้ว...

 

       กึก! 

 

       ก่อนที่พวกเขาทั้งสอง หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจะได้ทันตรัสอะไรต่อ ประตูใหญ่ด้านหน้าพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์แห่งนี้ก็ค่อยๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับที่หญิงสาวสองนางผู้เป็นหนึ่งในห่วยคเณศร์เสียงาเช่นเดียวกับพวกเขาจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับตั้งศาสตราวุธในมือขึ้นด้วยท่าเตรียมพร้อมที่สุดเพื่อเตรียมรับสถานการณ์อันไม่คาดคิด พร้อมกับชายหนุ่มอีกหนึ่งคนที่เดินเข้ามาพร้อมทั้งสั่งการเรียบๆทันที

 

     " อนาสตาเซีย สำรวจผู้รอดชีวิตคนอื่นๆนอกจากพวกเรา ...อเทตยา เจ้าไปดูไกร...เปิดหูเปิดตาไว้ให้ดี...ถึงจะดูเรียบร้อยแราบคาบหมดสิ้นแล้ว แต่ก็อาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้อีก "

 

     " รับทราบเจ้าค่ะ!...ท่านพ่อ/ผู้เฒ่า "

 

     " ท่านผู้เฒ่า? "  คำเรียกขานของหญิงสาวทั้งสองทำให้สินและเรืองเลิกคิ้วพร้อมกับมองหน้ากันเองอย่างงงงวยจับต้นชนปลายไม่ถูกทันที แต่ทั้งสองยังไม่ทันได้ถามอะไร ชายหนุ่มผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาหาสมเด็จพระพี่นางที่เวลานี้ค่อยๆประทับลุกยืนขึ้นอย่างรักษาท่าทีพร้อมกับก้มลงถวายบังคมพร้อมกับกราบบังคมทูลเบาๆทันที

 

     " สมเด็จเจ้าฟ้า...ข้าพุทธเจ้าและไกรดำเนินแผนการอย่างไม่รัดกุม เป็นปฐมเหตุให้พระองค์ต้องตกอยู่ในภยันอันตรายอย่างไร้ข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้น...ข้าพุทธเจ้าสมควรได้รับโทษทัณฑ์ตามราชประเพณีทั้งปวง "

 

       คำกราบบังคมทูลน้อมรับความผิดของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้สมเด็จพระพี่นางเหลือบเนตรคมปลาบลงมามองเล็กน้อย ก่อนพระองค์จะตรัสถามออกมาเรียบๆว่า

 

     " พระบรมฯทั้งสองเล่า? "

 

     " หากไม่นับว่าต่างก็เปียกปอนและเต็มไปด้วยความปริวิตกจนไม่เป็นอันทำอะไร...สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และสมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตรต่างก็ไม่ได้รับภยันอันตรายใดๆเลยทั้งสิ้นพุทธเจ้าข้า "

 

     " หึ! จริงเช่นเจ้าว่า...ทำให้ข้าและพระบรมอีก ๒ พระองค์ตกอยู่ในภยันอันตราย...จนบีบให้ข้าต้องใช้กำลังโยนพระบรมฯทั้งสองพระองค์จากหน้าต่างบรรพพระที่นั่งลงสระแก้วเพื่อหลบหนีเภทภัย...มันน่าทวนด้วยหลายเสียให้หลังขาดทั้งครูทั้งลูกศิษย์จริงๆ "

 

     " อ...เอ่อ...ปกติแล้วที่ท่านตรัสออกมาควรจะเป็นคำตรัสเพื่ออภัยโทษนะพุทธเจ้าข้า "

 

     " อย่างนั้นก็พิศดูที่เจ้ากับศิษย์เอกของเจ้าอย่างเด็กไกรนั่นทำเสียเละนี่ แล้วคิดเอาเองก็แล้วกันว่าควรให้อภัยไหม?! "

 

     " ...อ...เอ่อ...แหม...ถึงจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดไปบ้าง แต่อย่างน้อยทุกอยางก็บรรลุซึ่งผลลัพธ์อย่างที่พวกเราคาดหวังไว้ทุกประการนี่พุทธเจ้าข้า...เอ่อ ถึงจะขลุกขลักไปบ้าง...แต่เวลานี้ข้าพุทธเจ้าสามารถบอกได้อย่างเต็มปากแล้วว่า ทุกอย่างจบลงแล้วพุทธเจ้าข้า "

 

     " แค่กๆ! "

 

       พรึ่บ! 

 

       เสียงไอแห้งๆของเจ้าจอมแมน...เจ้าจอมผู้น้องและผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มมือสังหารเถื่อนบรรลัยกัลป์ และดีไม่ดีอาจจะเป็นสมาชิกระดับสูงชั้นบัญชาการ  ที่เวลานี้หมดสิ้นเรี่ยวแรงจนต้องนอนชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นโดยเองหัวเกยกับตั่งไม้ที่วางอยู่ ทำให้ทุกคนหันขวับกลับไปมอง ในขณะที่มือฉมังธนูสาวผู้เคยเป็นพรรคพวกเดียวกับกลุ่มบรรลัยกัลป์ แต่ถูกทรยศหักหลังและเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดถึงสะบัดคันธนูขึ้นพร้อมกับพาดลูกธนูสีดำสนิทของเธอจนสุดหล้า ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนไม่อาจจะประมาณได้ทันที

 

     " หยุดมือ! อเทตยา! "  เสียงของท่านผู้เฒ่าที่ตวาดดังลั่นทำให้หญิงสาวชะงักกึก พร้อมกับกัดฟันกรอดทันที ในขณะที่ดวงตาอันขุ่นไปด้วยแรงแค้นยังคงจับจ้องไปที่ร่างบางของเข้าจอมสาวผู้นั่งนิ่งไม่ต่างอะไรกับเป้าธนูชั้นเลิศ ปากของเธอก็ตวาดออกมาเรียบๆทันที

 

     " มัน...และ ท่านหญิง (เจ้าจอมมารดาเพ็ง) ของมันพยายามจะสังหารข้า...และเกือบจะทำสำเร็จด้วย...และที่สำคัญที่สุดคือพวกมันทรยศต่อความเชื่อใจของข้า...ขอล่ะ ท่านผู้เฒ่า! พวกนางจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มันกระทำ!! "

 

     " มันจบแล้ว อเทตยา...นางและกลุ่มของพวกนางไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อต้านพวกเราได้อีกต่อไปแล้ว...พวกนางจะต้องได้รับผลกรรมที่นางก่อไว้กับเจ้าและคนอื่นๆแน่ แต่ไม่ใช่แบบนี้...พวกนางอาจจะยังมีข้อมูลที่พวกเราต้องการในการสืบหาต้นตอของพวกนางอยู่...ลดธนูลงซะ "

 

     " ก...กรอด! "

 

     " ช้าไว้...อเทตยา...ฟังที่ท่านพ่อข้าพูดเถอะ "  อนาสตาเซียที่เห็นท่าไม่ดีจึ่งค่อยๆพูดเพื่อช่วยห้ามปรามอีกคน ทำให้อเทตยากัดฟันกรอดพร้อมกับกระซิบลอดไรฟันเรียบๆทันที

 

     " มันเกือบจะฆ่าข้า...และเกือบจะฆ่าท่านไกรไปแล้ว...ทางเดียวที่มันจะชดใช้ผลกรรมที่ก่อไปคือความตายเท่านั้น! "

 

     " ตรองให้ดี อเทตยา...แม้แต่ไกรที่เจ้ายึดมั่นถือมั่นยังกำราบพวกนางโดยไม่ยอมลงมือสังหารทั้งๆที่จะทำจริงๆก็ทำได้...เจ้าคิดว่าไกรจะรู้สึกดีหรือที่ได้รู้ว่าเจ้าสังหารพวกนางเพื่อเขาน่ะ! "  เสียงตวาดที่เข้มขึ้นของท่านผู้เฒ่า รวมไปถึงการยกชื่อของไกรขึ้นมาอ้าง ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมองอย่างโกรธเคือง ทว่าอย่างน้อยเธอก็กลับคืนสติสัมปชัญญะจนยอมลดธนูประจำมือลง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นด้วยอารมณ์ที่ยังค้างอยู่ทันที

 

     " ถ้าพูดกันขนาดนี้ ก็แล้วแต่ท่านก็แล้วกัน! "

 

     " หึๆ คิดว่านี่มันจบแล้วอย่างนั้นหรือ?! "  เสียงพูดของเจ้าจอมแมนที่นั่งอยู่อย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงและความอันตรายใดๆหลงเหลือยู่เลย ทำให้ทุกคนหันกลับไปให้ความสนใจพร้อมกับที่ท่านผู้เฒ่าจะขยับดาบในมือและเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเรียบๆว่า

 

     " จากเหตุการณ์ที่แวดล้อมอยู่ทั้งหมดนี่...ข้าเชื่อว่าจบแล้วนะ ท่านเจ้าจอมแมน...แผนการของเจ้า...พี่ชายพี่สาวของเจ้า...เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จมื่นศรีสรรักษ์ รวมไปถึงท่านเจ้าจอมเพ็ง...แม้แต่เหล่าทหารมหาดเล็กกบฏที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูกำแพงเขตราชฐาน ต่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเราและสิ้นสภาพการต่อสู้หมดสิ้นแล้ว...กระดานของท่านไม่เหลือหมากให้เล่นแล้ว! "

 

     " แล้วหมากฝั่งของเจ้าล่ะ! ...ท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต "

 

     ' นังนี่...ไม่สิ...แปลว่ากลุ่มบรรลัยกัลป์รู้จักฐานะของเรา? '  ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วพร้อมกับคิดในใจเล็กน้อยก่อนจะพูดเรียบๆต่อว่า

 

     " หมากฝั่งข้า? ท่านต้องการจะสื่ออะไร ท่านเจ้าจอม "

 

       เจ้าจอมแมนยกท่อนแขนอันสั่นเทาข้างที่ถูกดาบสัมพาทีบาดเป็นรอยแผลยาวจนโลหิตสีแดงสดไหลออกมาเป็นสายขึ้นมาดูเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตากลมโตนั้นจะเบนไปหรี่เพ่งไปที่เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หรือไกรที่เวลานี้นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ พร้อมกับพูดเรียบๆทันที

 

     " เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ...ว่าเจ้าสามารถควบคุมเด็กนั่นไปได้ตลอด "

 

     " เด็กนั่น? ไกรอย่างนั้นหรือ? "

 

     " หึๆ...ทานผู้เฒ่าแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ของข้าพูดไว้ไม่มีผิดปาก...ว่าพวกเราไม่อาจจะประเมินพลังของเด็กคนนั้นได้จริงๆ...และถ้าหากยังฝืนดำเนินแผนต่อ เด็กนั่นนี่แหละ ที่จะเป็นผู้ทำลายพวกข้าจนราบคาบ... "

 

     " แหมๆ ถ้าไกรมันตื่นมาได้ยินคงจะปลื้มจนน้ำตาไหลแน่... "

 

     " ไม่ใช่แค่ข้าหรอก...แต่แม้แต่เจ้าเองก็คงจะไม่สามารถประเมินพลังที่แท้จริงของเด็กนั่นได้สินะ? "

 

     " ... "

 

     " เจ้าพระยาหนุ่มผู้นั้นพิเศษกว่าทุกผู้ทุกนามในแผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้...ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหรอพวกข้า ...ทั้งแผนการในหัว และพลังที่แฝงอยู่ในตัวของเด็กนั่น มันเกินกว่าที่สามัญสำนึกพวกเราจะคาดเดาใดๆได้...ด้วยพลังระดับเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีปัญญาเหนี่ยวรั้งคนที่พิเศษระดับเขาไปได้สักกี่มื้อกี่ยามกัน! " 

 

     " เจ้าจอมแมน...ท่านต้องการจะสื่ออะไรกันแน่! "

 

     " หมู่บ้านยุคันตวาตของพวกเจ้าแค่โชคดีที่เจอเขาก่อนพวกข้าเท่านั้น...สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า หมู่บ้าน สำหรับเขาแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากพันธนาการ หรือเปลือกที่คอยฉุดรั้งและกักขังเขาไว้ด้วยคำว่า พวกพ้อง เท่านั้น...แต่อีกมิกี่มื้อกี่เพลาหรอก...ท่านผู้เฒ่า...อีกมิกี่มื้อกี่เพลาหรอกที่เจ้าจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้...สักวันหนึ่ง เมื่อเขาเติบใหญ่...และได้รับรู้ ความจริง ทุกอย่างที่เจ้าปิดบังไว้... "

 

     " ... "

 

     " ...เมื่อเวลานั้นมาถึง...คำว่า พวกพ้อง จอมปลอมที่พวกเจ้าผูกและฉุดรั้งเขาไว้จะปราศจากความหมาย...และเขาจะเติบใหญ่เกินกว่าที่ เปลือก ของพวกเจ้าจะสามารถกักขังเขาได้อีกต่อไป...เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะออกโบยบิน...และกลายเป็นขุมพลังที่สำคัญที่สุดของพวกเรา! "

 

     " ที่ท่านพูดมา...มัน--- "

 

     " ฮ่าๆๆๆ ต่อให้ดิ้นเพียงใดเจ้าก็ไม่อาจหนีอนาคตอันเป็นความจริงนี้พ้นหรอก ผู้เฒ่าแห่งยุคันตวาต! ...เจ้ามีทางเลือกเพียงสองทาง คือปล่อยให้เขาเติบใหญ่จนสามารถย้อนกลับมาทำร้ายหมู่บ้านที่เจ้ารักยิ่งชีพได้...หรือไม่ก็ชิงสังหารเขาเสียในเวลาเช่นนี้ ...เวลาที่เจ้ายังสามารถทำได้...ก่อนที่เขาจะแปรเปลี่ยน...จากสายลมกลายเป็นเพลิงกาฬ...ที่แผดเผายุคสมัยของเจ้าให้เป็นจุล! ...อีกไม่นานหรอก...เมื่อเขารอดจากราตรีนี้ไปได้...กลุ่มยรรลัยกัลป์และท่านผู้เฒ่าของข้าก็รอคอยที่จะต้อนรับเขาแล้ว!! "

 

       ผัวะ! 

 

       ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ายังคงยืนนิ่งอึ้งอย่างสับสนกับคำพูดที่ดังกังวานราวกับเป็นมนต์สะกดจากปากของเจ้าจอมผู้น้องอยู่นั้นเอง...มือสังหารสาวอันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านอย่างอนาสตาเซียก็พุ่งวูบด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ จนมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าจอมผู้นั้น...ก่อนที่ใครจะได้ทันว่าอะไร หมัดที่กแน่นของหญิงสาวก็ชกพรวดเข้าเต็มๆกราม ดับสติสัมปชัญญะและความสามารถในการพูดของเจ้าจอมแมนผู้นี้ลงในทันที

 

     " อ...อนาสตาเซีย?! "

 

     " ป่วยการฟังคำพูดที่ไร้แก่นสารของมัน ท่านพ่อ... "

 

     " แต่ว่า... "

 

     " ก็อย่างที่ท่านบอกออกไปแล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ... "  อนาสตาเซียสะบัดมือเรียวบางด้านที่ชกเจ้าจอมสาวเข้าเต็มๆเล็กน้อยเพื่อคลายความเจ็บปวด ก่อนจะหันมายิ้มจนเห็นไรฟันพร้อมกับพูดเบาๆอีกครั้ง

 

     " ...อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่มาถึง...แต่สำหรับปัจจุบัน พวกเราชนะแล้ว... "

 

       คำพูดของผู้เป็นลูกสาวบุญธรรมช่วยปัดเป่าความสับสนให้ออกไปจากหัวของท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต...ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกพร้อมกับเหลือบสายตาที่เวลานี้กลับมาเต็มไปด้วยความสุขุมภีรภาพไปมองแสงตะวันที่กำลังเริ่มทอแสงพ้นออกมาจากขอบฟ้ารำไร...พร้อมกับมองไปรอบๆอีกครั้ง...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะผ่อนลมหายใจออกช้าๆ พร้อมกับฝืนยิ้มออกมาบางๆทันที

 

     " จริงของเจ้า...อนาสตาเซีย...อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น...ที่สักคัญที่สุดคือปัจจุบัน พวกเราชนะแล้ว...ค่ำคืนที่ยาวนานนี้...จบลงแล้ว " 

 

 

       แสงตะวันแห่งรุ่งอรุณวันใหม่ ที่ค่อยๆทอประกาย เปลี่ยนท้องฟ้าสีดำสนิทราวกับผืนน้ำแห่งยมโลกให้สว่างไสวและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาขึ้น และขับไล่อาเพศอาถรรพ์ที่ครอบคลุมพระบรมมหาราชวังที่เกือบจะล่มสลายไปในราตรีเดียวนี้ ให้คลายความน่าหวาดกลัวออกไปอย่างช้าๆ...แม้ว่าสิ่งที่หลงเหลือมาจากราตรีที่อาจจะยาวนานที่สุดในชีวิตของใครหลายๆคนจะเต็มไปด้วยเศษซากความเสียหายและความสูญเสีย ของทั้งสถานที่ ชีวิต และจิตใจของทุกๆฝ่าย ที่บางสิ่งบางอย่างคงไม่อาจจะฟื้นฟูให้กลับมาเป็นเช่นดังเดิมได้อีกต่อไป...แต่เวลาก็ยังคงเดินต่อ...และวันใหม่อันงดงามก็จะปรากฏขึ้นหลังจากค่ำคืนอันยาวนานเสมอ...และสิ่งนี้...เป็นสัจธรรมที่จะคงอยู่ไปตลอดกาล...

 

 

     ...วิกาลคลั่ง...ราตรีแห่งเลือดและความโกลาหล ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน...สิ้นสุดลงแล้ว...

 

 

 

 

 

 ........................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา