ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

87)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

        จิ้บๆๆๆ

 

        เสียงของเหล่านกที่ร้องประสานเสียงกัน และแสงแดดอุ่นๆที่ค่อยๆสาดเข้ามาทำให้ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับที่คิ้วที่ขมวดน้อยๆของเขายิ่งมุานขมวดเข้าไปใหญ่ทันที

 

      " บ้านสวน? "

 

        ต่อให้ยังงงงวยและจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ในวินาทีแรกที่เขาเห็นภาพของทิวทํศน์รอบๆ ซึ่งเป็นสวนขนาดใหญ่โดยที่เขานอนอยู่บนศาลาเล็กๆที่ปลูกอยู่ติดท่าน้ำ ในขณะที่ตัวบ้านอันเป็นเรือนไทยที่ถูกสร้างแบบไม้ปนอิฐเก่าๆถูกปลูกอยู่ไกลออกไปด้านหลัง...ต่อให้ไม่ได้กลับไปนานเกือบปี แต่เขาก็รู้แน่ว่าที่นี่คือบ้านสวนต่างจังหวัดของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายของครูมืดผู้เป็นพ่อของเขาแน่นอน

 

      " อ้าว? ตื่นแล้วหรือ ไกร "

 

        เสียงหวานใสของหญิงสาวที่มานั่งอยู่ข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบทำให้ไกรสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกทันทีเมื่อเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ที่ริมศาลาน้อยๆอีกด้านหนึ่งคือหญิงสาวในชุดผ้าไหมไทยชั้นสูงพร้อมกับเครื่องประดับอันงดงาม...ซึ่งถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาพบเห็นสตรีผู้นี้ แต่เสียงอันหวานใสที่คุ้นหูและความรู้สึกมันบอกเขาทันที่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือ อรัญญิกาเทวี...เทพีสาวผู้สถิตอยู่ในแหวนของเขาที่มอบไว้ให้อนาสตาเซียแน่นอน

 

      " ท่านอรัญญิกาเทวี? "

 

      " จ้า...พี่สาวเอง...ดีใจนะเนี่ยที่นายจำฉันได้ "

 

      " ที่นี่ที่ไหนครับ? "

 

      " มันก็ดูเหมือนบ้านสวนของทางฝ่ายญาติป๊านายนี่? "

 

      " ท่านอรัญญิกา... "

 

        เสียงที่เข้มขึ้นอันแสดงว่าไม่มีอารมณ์เล่นด้วยของไกรทำให้เทวีสาวปิดปากหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะกระแอมไอเบาๆพร้อมกับปรับน้ำเสียงให้จริงจังและพูดขึ้นอีกครั้งว่า

 

      " ไกร...ฟังให้ดีนะ... "

 

      " ครับ? "

 

        ใบหน้างดงามที่เคร่งลงของอรัญญิกาเทวีทำให้ไกรขยับอีกครั้งอย่างเตรียมตัวรับเรื่องที่ไม่คาดคิด ในขณะที่อรัญญิกาเทวีถอนหายใจพร้อมกับหลับตาลง ก่อนจะลืมตากลมโตอีกครั้งพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ชายหนุ่มช้าๆ

 

      " ไกร... "

 

      " ค...ครับ "

 

      " นาย...อยู่ในความฝันระดับชั้นที่ ๓ ในระดับนี้จะมีผลต่อจิตใต้สำนึกด้วย...และระวังไว้นะ ถ้าหากนายตายในความฝันชั้นนี้ นายจะไม่ตื่น แต่จะตกลงไปในฝันชั้น Limbo ซึ่งจะติดอยู่ตลอดกาลเลยนะเออ! "

 

      " ... " 

 

      " แหน่ะ! ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่องั้นลองใช้ Totem ทดสอบดูสิเอ้า! "

 

      " หน้าตาผมตอนนี้เหมือนมีอารมณ์เล่นด้วยไหมครับ? "

 

      " คิกๆๆ น่าๆ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง ไม่เห็นต้องทำหน้ายังนั้นเลย ขมวดคิ้วอย่างนั้นประเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก โธ่... "

 

        น้ำเสียงที่ไม่ได้มีเค้าของความสำนึกผิดเลยของเทพีสาวที่นั่งเอกเขนกอยู่นั้นทำให้ไกรได้แต่ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหันไปมองรอบๆอีกครั้งพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

      " ถ้าคิดในแง่วิทยาศาสตร์ เมื่อรวมกับที่ผมจำได้ว่าวินาทีสุดท้ายตอนยังมีสติผมยังไม่ตาย...แสดงว่าตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่สินะครับ? "

 

      " แหม..แสนรู้จริงๆ...ใช่แล้วล่ะ เสริมในแง่พุทธศาสนาอีกนิดคือฝันของนายในเวลานี้เรียกว่า เทพสังหรณ์  หรือฝันในช่วงเคลิ้มๆที่เทวาอารักษ์ซึ่งในที่นี้คือฉันเองเป็นผู้ดลบันดาลขึ้นมาน่ะ "

 

      " ฝันเทพสังหรณ์?...เดี๋ยวสิครับ แปลว่าที่นี่ท่านเป็นผู้สร้างขึ้น แล้วท่านจะสร้างฝันนี้เพื่ออะไรกันล่ะ? "

 

      " ก็ต้องมาเตี๊ยมกันก่อนไง "

 

      " ต...เตี๊ยม? "

 

      " ช่าย...ก็ต้องเตี๊ยมกันไว้ก่อนสิ...เพราะหลังจากที่นายตื่น นายคงยุ่งหัวหมุนจนไม่มีเวลาให้พี่สาวคนนี้แน่ๆ "

 

        ไกรกระพริบตาปริบๆ ...เขาถอนหายใจเฮือกและก้มหน้าลงพร้อมกับนึกย้อนไป ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงต้องเงยหน้าพร้อมกับหันไปมองอรัญญิกาเทวีทันที 

 

      " ท่านอรัญญิกา...เมื่อตอนนั้นท่านทำอะไรกับผม? ทั้งๆที่ท่านเป็นผู้บอกเองว่าท่านไม่อาจจะแทรกแซงเหตุการณ์ที่ดำเนินไปได้...แต่ถ้าเวลานั้นถ้าหากท่านไม่มาช่วย ผมคงจะดับไปแล้ว...ท่านทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านแทรกแซงเหตุการณ์และผิดต่อกฎที่ท่านยึดมั่นถือมั่นไว้น่ะสิ "

 

      " โถ...นี่ฉันพึ่งช่วยชีวิตนายนะ ใจคอจะไม่ขอบอกขอบใจกันเลยจริงๆเหรอ? นอกจากไม่ขอบคุณแล้วยังบ่นเป็นลุงแก่ๆอีก "

 

      " นี่ผมกำลังจริงจังนะครับ! "

 

      " ฮ่ะ? "  เสียงที่ดังขึ้นของไกรทำให้เทพีสาวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วลงอย่างเริ่มไม่ชอบใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เธอจะได้ทันพูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาใกล้และชิงพูดต่ออีกครั้งว่า

 

      " ท่านอรัญญิกา...ที่ผมพูดเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าผมคิดจะว่ากล่าวหรือตำหนิท่าน...แต่ผมไม่อยากให้ท่านต้องมาลำบากเพราะผม ท่านทำเพื่อผมมามากแล้ว ถ้าหากท่านต้องมาถูกตำหนิเพราะผม ต้องมาเป็นอะไรไปเพราะผม...ผมคงไม่อาจจะให้อภัยตัวเองแน่ "

 

      " ... "

 

      " ท่านอรัญญิกา? "

 

      " ด...เดี๋ยว "

 

      " หา? "

 

      " ข...ขอเวลานอกแป้ป ...ย...หยุดยิ้มไม่ได้ " 

 

        ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอรัญญิกาเทวีถอยห่างออกไปพร้อมกับปิดปากและเบือนหน้าหนี เธอก้มหน้าลงราวกับพยายามสะกดอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้หลุดออกมา ซึ่งต้องใช้เวลาตั้งอึดใจใหญ่ๆกว่าจะข่มยิ้มและหน้าที่ขึ้นสีเลือดฝาดนั้นให้กลับเป็นปกติได้...ก่อนที่อรัญญิกาเทวีจะสูดลมหายใจลึกและหันกลับมาหาไกรด้วยแววตาเหมือนจะเคืองอะไรไกรทันที

 

      " ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วว่าปล่อยให้นายดับๆไปซะอาจจะดีกว่าก็ได้...โธ่เอ้ย...ปล่อยนายไปอย่างนี้มันเรื่องผิดพลาดชัดๆ "

 

      " อ่าว เฮ้ย...พูดด้วยดีๆมาโกรธอะไรกันละเนี่ย "

 

      " เฮ้อ...เอาเถอะ...ไอ้เรื่องแบบนี้ไว้รอนายโดนเวรกรรมตามทันนายก็รู้เองแหละ ส่วนไอ้เรื่องที่ฉันเดือดร้อนน่ะไม่ต้องกังวลหรอก เพราะที่ฉันทำน่ะไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของเทวสมาคมของฉัน...ไม่สิ จะว่าไม่ผิดกฎก็ไม่ได้ แค่ทำในสิ่งที่กฎไม่ได้ระบุไว้มากกว่า "

 

      " ห...หา? "

 

        อรัญญิกาเทวีหันสายตากลมโตทว่าคมปลาบตวัดใส่ไกรเล็กน้อยเหมือนยังค้างคาใจอะไรอยู่ ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกอย่างถอนฉิวพร้อมกับรินชาที่วางอยู่ใส่จอกจีนลายครามเล็กๆและยกขึ้นดื่ม ก่อนจะพูดต่อช้าๆว่า

 

      " สิ่งที่ฉันทำเรียกว่าการฟื้นความจำน่ะ แบบเคยไหมที่อยู่ๆ นายก็นึกอะไรบางอย่างที่เคยลืมสนิทไปแล้วในตอนเด็กๆขึ้นมาได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ชนิดจำได้แบบฉากต่อฉากราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลยน่ะ... "

 

      " อย่าบอกนะว่า? "

 

      " น่านล่ะ เทพอย่างเราบางองค์พอว่างมากหรือเสียนิสัยมากๆก็จะลงมาแกล้งพวกมนุษย์บาปหนาอย่างพวกนายเล่น แต่ฉันบวกเงื่อนไขเพิ่มเติมไปเล็กน้อย เงื่อนไขที่ว่าสิ่งที่นายนึกขึ้นได้นั้นจะเป็นพระเวทย์คาถาที่ส่งผลด้านพุทธคุณที่รุนแรงที่สุดที่นายเคยท่องหรือจำได้ เพราะงั้นอย่าเป็นห่วงไปเลย ฉันเอาตัวรอดได้น่า ...แต่บอกตามตรงนะ ตอนแรกฉันก็หวังแค่ว่าให้นายนึกถึงบทสวดมนต์ง่ายๆอย่างอิติปิโส หัวใจพระเจ้าห้าพระองค์ หรืออย่างสิ้นหวังสุดก็คงจะนะโมตัสสะ เพื่อถ่วงเวลาให้คนที่มีพลังสมน้ำสมเนื้ออย่างศรี---หมายถึงท่านผู้เฒ่านั่นแหละดาบฟ้าฟื้นของเขามาช่วย...ใคร้...มันจะไปนึกว่านายจะสามารถสวดมนต์ระดับคาถาชินบัญชรได้ "

 

      " ผมเคยฟังครูมืดสวดเวลาอยู่ห้องพระตอนเด็กๆอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่เป็นเด็กที่อยากเอาชนะ บวกกับเห็นครูมืดสวดแล้วรู้สึกขลังดี เลยขอให้พ่อสอนจนกระทั่งท่องจำได้อย่างขึ้นใจ...แต่พอโตเป็นวัยรุ่น ระยะเวลาและเรื่องราวต่างๆทำให้ผมลืมเรื่องนี้ และคาถาชินบัญชรนี้ไปจนหมดสิ้น...พึ่งมานึกได้ก็เพราะความช่วยเหลือของท่านนี่แหละ...แต่...เท่ากับว่า "

 

      " ใช่แล้วเจ้าค่ะ...ยินดีต้อนรับสู่ปัญหาปริทรรศน์ของเวลาและ Butterfly effect จ้า "

 

      " เวรแท้ๆ "

 

      " ใจเย็นน่า...ถ้านับจากสิ่งที่นายทำจนถึงบัดนี้ เรื่องคาถานี่น่ะมันเรื่องจิ้บๆ เพราะถ้าหากว่ากันตามตำนานจริงๆแล้ว ท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เองก็ไม่ได้อ้างชื่อว่าท่านเป็นผู้ประพันธ์ ท่านเป็นเพียงผู้ที่นำมาปรับปรุงเล็กน้อยและทำให้แพร่หลายเท่านั้น แต่คนสมัยนี้คิดเองเออเองทั้งเพว่าท่านเป็นผู้ประพันธ์...พระเวทคาถาบทนี้มีมานานนมแล้ว เพียงแต่กำลังสูญหายไปตามกาลเวลา และไม่มีผู้ใดสามารถสวดได้อย่างครบถ้วนแบบนายมาเกือบร้อยปีแล้ว...รวมถึงคาถาบทเล็กๆสั้นๆอย่างบทสวดขออโหสิกรรมบทหลังนั่นด้วย...ไกร...สำหรับพระยาเพชรบุรีผู้แตกฉานเรื่องพระเวทคาถา นายกลายเป็นเสมือนไอด้อลของเขาไปแล้ว "

 

      " ฟังดูโคตรโมเอะ แต่ทำไมรู้สึกไม่ค่อยดีใจเลยก็ไม่รู้แฮะ "

 

      " แหงแซะ เพราะทันทีที่นายฟื้นขึ้น ทั้งเขาและทุกคนที่รู้ข่าวนี้จะต้องมาปวารณาตัวขอเป็นศิษย์นายแน่ๆ "

 

      " ม...ไม่เอาเฟ้ย! "

 

      " คิกๆๆ "  เทพีสาวยกชาขึ้นจิบพร้อมกับหัวเราะเบาๆอย่างไม่ค่อยทุกข์ค่อยร้อน ราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง พร้อมกับพูดต่ออีกครั้งว่า

 

      " ก็นั่นแหละที่ฉันต้องมาเตี๊ยมกับนาย เพราะถ้าขืนนายสอนคาถาชินบัญชรที่ควรจะสูญหายไปแล้วนี้กับใครซักคนในอดีตนี้ มันก็จะกลายเป็นว่านายเป็นผู้ค้นพบคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สูญหาย แทนที่จะเป็นสมเด็จโต...และนั่นจะส่งผลสองประการ คือนอกจากนรกจะกินกบาลนายแล้ว นายก็จะทำให้ประวัติศาสตร์ที่พยายามสร้างมาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง "

 

      " ท่าน...จะบอกผมว่าห้ามผมใช้คาถาบทนี้อีกเด็ดขาดสินะครับ? "

 

      " ตรงกันข้ามเลย...นายมีสมบัติอันล้ำค่าอยู่เช่นนี้ เรื่องอะไรนายจะต้องทิ้งไปอย่างเสียเปล่าล่ะ ...ฉันอยากให้นายไม่ลืมเลือน และภาวนาคาถาบทนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะคาถาบทนี้จะอัญเชิญพระอรหันต์ทั้ง ๒๘ พระองค์ลงมาคุ้มครอง เป็นดั่งตาข่ายเพชร...เป็นดั่ง ลูกกรง ของพระชินเจ้า (พระพุทธเจ้า) ตามชื่อของพระเวทคาถา...ชินบัญชร (ซึ่กรงของพระชินเจ้า) ...ซึ่งจะทำให้นายแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายในด้านไสยเวทย์มนต์ดำทั้งปวงได้ ดีกว่าเครื่องรางของขลังใดๆในโลกนี้จะสามารถทำได้เสียอีก...แต่ว่านะไกร...รับปากกับฉัน ว่านายจะไม่สอนพระเวทบทนี้กับใคร ไม่ว่าจะใครก็ตาม...การสวดภาวนาก็ขอให้สวดภาวนาในใจ หรือออกเสียงให้น้อยที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถครูพักลักจำ หรือถอดความคาถาจากปากของนายได้...หากนายต้องมีอันเป็นไป ต้องตายตกลง พระเวทนี้ก็ต้องสูญหายไปพร้อมกับนาย...จนกระทั่งในที่สุด เมื่อกาลเวลาผ่านไป...เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คาถานี้จะถูกค้นพบและถูกเผยแพร่ด้วยผู้ที่มีคุณสมบัติที่คู่ควร...อริยสงฆ์อย่างขรัวโต...ตามอย่างที่มันควรจะเป็น...นายสามารถรับปากกับฉันในเรื่องนี้ได้ไหม? "

 

      " ผม...รับปากครับ "

 

      " คิกๆ ดีมาก "

 

        ไกรตอบกลับมาอย่างแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ เพราะต่อให้อรัญญิกาเทวีไม่บอก เขาก็ไม่คิดจะเปิดเผยคาถาอันเป็นดั่งแสงสว่างที่ทำลายไสยเวทย์มนต์ดำต่างๆได้อย่างหมดจดนี้กับผู้ใดเด็ดขาดอยู่แล้ว...ในขณะที่เทพีสาวยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและมานั่งข้างๆไกร ซึ่งชายหนุ่มก็ขยับเล็กน้อยเพื่อเว้นช่องว่าง แต่อรัญญิกาเทวีกลับใช้แขนเล็กบางของเธอกอดแขนเขาไว้และดึงเข้ามาใกล้อย่างไม่ยอมให้หนี พร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อยและหรี่ตาลงมองตาเขาอย่างมีเลศนัยจนไกรต้องกระพริบตาปริบๆอย่างอึดอัดทันที

 

      " ท่านอรัญญิกา... "

 

      " แล้วก็อีกข้อนึง...เด็กน้อย...พี่สาวคนนี้มีเรื่องจะขอร้องนายอีกเรื่องนึง "

 

      " ??? "

 

      " เรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น อย่าโทษตัวเองเลยนะ ไกร... "

 

        คำพูดของเทพีสาวราวกับพุ่งเป็นสายเข้าไปแทงใจดำของไกรอยางถนัดถนี่จนไกรถึงกับหน้าเจือนลงพร้อมกับหลบตาวิบวับรู้ทันของเทพีสาวทันที

 

     ...ใช่แล้ว...เขาปิดบังสายตาอันแหลมคมของเทวีสาวไม่ได้จริงๆ...ต่อให้โดยรวมแล้วแผนการของเขาจะประสบผลสำเร็จ แต่นั่นก็เพราะความช่วยเหลือของอรัญญิกาเทวีทั้งหมด...ถ้าหากไม่ได้ท่านมาช่วยฟื้นความทรงจำจนกระทั่งเขาสามารถท่องบทสวดคาถาชินบัญชรที่เคยลืมเลือนไปแล้วได้ และใช้พระเวทคาถานี้พิชิตเจ้าจอมเพ็งได้อย่างราบคาบ เขาคงจะถูกเจ้าจอมผู้ครอบครองพลังอันน่าขนลุกนั่นสังหารไปแล้ว...

 

     ...ทั้งหมดทั้งมวลเป็นความผิดของเขาทั้งหมด...ทั้งๆที่เขาค่อนขอดฝั่งตรงข้ามว่าประมาทจนกระทั่งถูกเขาตลบหลังได้ แต่เขาเองกลับตกอยู่ในความประมาท ความหยิ่งทรนงที่เชื่อ ยึดมั่นถือมั่นในแผนการของตนจนกระทั่งเขาเกือบจะต้องตายไปอย่างง่ายๆแล้ว...

 

     ...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้แล้วว่าเขาเป็นเพียงแค่หมากตัวเล็กๆเท่านั้น ไม่ได้มีอภิสิทธิ์พิเศษใดๆทั้งสิ้น...และเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่อยู่สูงจนเกินเอื้อมแล้ว...ต่อให้แผนการล้ำเลิศแค่ไหนก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง...

 

        โป๊ก! 

 

        ระหว่างที่ไกรกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจอย่างเหม่อลอยและแทบไม่รู้ตัวนั้นเอง...มะเหงกเล็กๆของเทพีสาวก็บรรจงเขกเข้ากลางหัวของชายหนุ่มที่ไม่ได้ทันตั้งตัว จนเขาถึงกับต้องอุทานออกมาเบาๆทันที

 

      " อ...โอ้ย! ท่านอรัญญิกา "

 

      " ก็พึ่งบอกอยู่นี่ว่าอย่าโทษตัวเอง...ทำหน้าแบบนี้คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่านายคิดอะไรอยู่! "  น้ำเสียงดุอย่างรู้ทันของอรัญญิกาเทวีทำให้ไกรหลบตาอย่างจำนนต่อถ้อยคำ ในขณะที่อรัญญิกาเทวีที่เวลานี้ยังกอดแขนเขาแน่นอยู่ทำปากเชิดน้อยๆอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก พร้อมกับปล่อยแขนเขาโดยเปลี่ยนมายืนตรงหน้าไกรอย่างช้าๆ

 

      " ไกร...นายไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆทั้งสิ้น...แค่ทำตัวเหมือนที่เคยทำก็พอแล้ว นายน่ะไม่ได้อยู่ยั้งยืนยงถึงทุกวันนี้เพราะนายหล่อลากไส้ เก่งกาจทะลุฟ้า หรือมีพลังอำนาจที่ที่เหนือกว่าผู้คน...แต่ที่นายสามารถยืนรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ เพราะแผนการอันไม่มีผู้ใดคาดคิดที่ออกมาจากมันสมองของนายต่างหาก...แผนการที่ซับซ้อนจนไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้และการยืดหยุ่น พลิกไปตามสถานการณ์นี่แหละ ที่เป็นจุดเด่นที่สุดของนาย... "

 

      " แต่ว่าแผนการที่ผมเพียรคิดขึ้นมานั่น...เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของเจ้าจอมเพ็ง...มันก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิงเลยไม่ใช่รึไงล่ะครับ?...ถ้าหากผมไม่บังเอิญสามารถท่องพระเวทคาถาชั้นสูงสุดนั่นได้...ผลร้ายคงไม่จบแค่ผมเหนื่อย หมดแรงจนสลบไปเช่นนี้แน่ๆ ...ทั้งหมดทั้งมวลนั่นเป็นเพราะผมไร้พลัง...หากผมมีพลังมากกว่านี้ ผมคง--- "  ไกรพูดเรียบๆพร้อมกับก้มลงมองมือของตนเอง...และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างนั้นเอง ทำให้ระหว่างที่ไกรพูด มีพลังอันไม่น่าไว้วางใจบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวของเขาด้วย แต่ก่อนที่กระแสพลังนั้นจะได้แผ่ออกมามากไปกว่านี้ อรัญญิกาเทวีก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของชายหนุ่มจนหัวคลอนเพื่อปลุกสติเขาทันที

 

      " นี่...พี่สาวจะบอกอะไรบางอย่างให้นะ ไกร " 

 

      " ค...ครับ? "

 

      " ...หงส์น่ะ จะสง่างามที่สุดเมื่อลอยฟ่องอยู่บนผืนน้ำ พอหงส์ขึ้นมาบนบกก็เดินเงอะงะไม่ต่างอะไรจากเป็ดอยู่ดี...นายน่ะเก่งที่สุดในแผนการอันแยบยล...หากนายละทิ้งความสามารถที่เป็นพรสวรรค์นี้ของนายไป นายก็จะไม่ต่างอะไรจากหงส์ที่พยายามจะเดินบนบก...ซึ่งนอกจากเป็นการฝืนธรรมชาติของนายแล้ว...นายก็คงไปได้ไม่ไกลอีกด้วย "

 

      " แปลว่าต่อให้ผมไร้พลังในการต่อกร ท่านก็จะบอกว่าดีแล้วอย่างนั้นหรือ? "  ไกรพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างเก็บความรู้สึก ในขณะที่อรัญญิกาเทวียิ้มพรายอย่างน่ารักพร้อมกับก้มลงมาจนหน้าเกือบจะชิดหน้าของชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะถือวิสาสะใช้แขนเล็กบางของเธอโอบคอไกรที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา