ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.59K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) ...ตอนที่ ๙...ราชโองการแต่งตั้ง...(๓)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...ไกรถอนหายใจเฮือกเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นและเสมองไปที่บรรยากาศรอบๆแทน เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้ขืนพูดอะไรออกไปก็รังแต่จะย้อนเข้าตัวอยู่ดี แถมยังย้อนเข้าตัวแบบเสี่ยงหัวขาดอีกต่างหาก...ในขณะที่เจ้าฟ้าอุทุมพรเมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไปก็ไม่ได้คิดจะหยอกล้ออะไรต่อ...ทั้งพระองค์และไกรที่บัดนี้กลายเป็นผู้อัญเชิญฉัตรประจำอิสริยยศของพระองค์ต่างก็เงียบลง และเหม่อมองไปที่บรรยากาศของผู้คนในยามค่ำคืนพร้อมกับแย้มพระสรวลออกมาบางๆ...
...ปล่อยให้บรรยากาศที่เงียบสงบและน่ารื่นรมณ์นี้ ไหลผ่านพระวรกายไปอย่างช้าๆ...
ในขณะที่ไกรเอง นอกจากจะดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอแบบนี้แล้ว ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาก็แหลมคมพอจะสังเกตเห็นได้ว่าร้านรวงที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบันเทิงต่างๆที่เปิดในยามค่ำคืน บนเส้นทางกระบวนเสด็จนี้ ต่างก็เป็นห้างร้านที่ถูกตกแต่งจนเป็นที่รู้ตั้งแต่มองครั้งแรกเลยว่าเป็นสัญชาติจีนแบบร้อยทั้งร้อยแน่ๆ...ทั้งหอนางโลม โรงเตี๊ยม...โรงน้ำชา ไปจนถึงโรงฝิ่น ต่างก็ถูกออกแบบโดยสถาปัตยกรรมแบบจีนที่เขาเคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในทั้งสิ้น...ในขณะที่ห้างร้านที่ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมของชาวตะะวันตก แม้จะไม่ถึงกับไม่มีเลย แต่ก็มีน้อยจนแทบจะนับได้ แถมยังเป็นห้างร้านที่ค่อนข้างจะดูเก่ากว่า จนไกรสัญนิษฐานว่าคงจะไม่ได้ก่อตั้งร้านขึ้นในรัชสมัยนี้ หรือรัชสมัยใกล้ๆก่อนหน้านี้แน่
' คงจะเป็นเพราะนโยบายชาตินิยมในรัชสมัยพระเพทราชา...และน่าจะรวมไปถึงการประหารพระยาโกษาฯปาน และพระยาวิชาเยนทร์(คอนสแตนติน ฟอลคอน)...ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับชาติตะวันตกเกิดภาวะชะงักงัน...และหันไปทำการค้ากับจีนเป็นส่วนใหญ่แทนสินะ ' ชายหนุ่มวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ในใจอยู่เงียบๆ ...ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้ง ด้วยกระแสรับสั่งของเจ้าฟ้าอุทุมพร ที่รับสั่งขึ้นเบาๆว่า
" การกระทำของเจ้าในเวลานี้ยิ่งทำให้ข้านึกนิยมชมชอบเจ้ามากขึ้นไปอีก...รู้หรือไม่ ไกร "
" พุทธเจ้าข้า? " ไกรทวนคำอย่างงงๆ ในขณะที่เจ้าฟ้าอุทุมพรแย้มพระสรวลบางๆอีกครั้ง
" เจ้ารู้จักเงียบ...รู้จักดื่มด่ำกับบรรยากาศ โดยไม่สนใจว่าเป็นบรรยากาศเช่นไรก็ตาม...ในยุคสมัยที่ทุกคนจำต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ หาคนที่มีนืสัยอย่างเจ้าได้ยากยิ่งจริงๆนะ "
" ชื่นชมข้าพุทธเจ้าเกินไปแล้วล่ะพุทธเจ้าข้า... "
" เฮ้อ...ถ้าเป็นปกติแล้วข้าคงจะประทานสลา(หมาก) ให้เจ้าซักคำ ๒ คำ...แต่ฟันขาวๆของเจ้าทำให้ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคี้ยวหมาก ซึ่งน่าแปลกสำหรับคนหนุ่มเช่นเจ้านะ ...ว่าก็ว่าเถอะนะ ไกร...เจ้ารู้ไหม? ว่าเจ้าทำให้ข้านึกถึงใคร... "
" ขุนนางหรือนายกองคนใดอย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า? "
" เปล่า...เจ้าทำให้ข้านึกถึงพระเชษฐา...พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ในวัยหนุ่มต่างหากล่ะ "
" ข้าพุทธเจ้ามิบังอาจ! "
" นิสัยเหมือนกันไม่เกี่ยวกับบังอาจหรือมิบังอาจซักหน่อย...แต่เอาเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาคำของข้าไปเก็บคิดอย่างเป็นจริงเป็นจังก็ได้ ถือซะว่าข้าพูดเล่นๆไปก็แล้วกัน "
ไกรเหลือบกลับไปมองที่สมเด็จเจ้าฟ้าแต่เขาก็เห็นอีกฝ่ายได้อย่างไม่ถนัดนักเพราะต้องเพ่งมองผ่านผ่านม่านสิวิกา ทำให้เขาไม่สามารถเดาพระทัยสมเด็จเจ้าฟ้าผู้เป็นถึงอดีตจอมกษัตริย์ผู้นี้ได้เลย...ไอ้ครั้นจะถามต่อก็เกรงว่าจะเป็นการมิบังควร และเขาก็ไม่อยากจะสะสมโทษประหารไปมากกว่านี้ จึงได้แต่ปล่อยให้ดำรัสประหลาดๆนั้นผ่านไป ก่อนที่เขาจะมองไปรอบๆ พร้อมกับเอ่ยเริ่มประโยคสนทนาใหม่อีกครั้ง
" ขอเดชะ...นี่เป็นเส้นทางเสด็จปกติอย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า? "
เจ้าฟ้าอุทุมพรคราง หืม? ออกมาเบาๆ ก่อนที่พระองค์จะหันไปมองบรรยากาศโดยรอบพร้อมกับเลิกพระขนงและสรวลออกมาเบาๆอย่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
" ทำไม? ไม่ชอบเส้นทางที่ออกพระเพชรพิไชยเลือกให้อย่างนั้นหรือ? "
" มันไม่ได้เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบหรอกพุทธเจ้าข้า...เพียงแค่เส้นทางมัน--- "
" ไม่สมพระเกียรติ... " สมเด็จเจ้าฟ้าตรัสต่อประโยคเบาๆอย่างรู้ทัน ก่อนจะยักพระอังสะ(ไหล่) และตรัสตอบคำถามของเด็กหนุ่มผู้อัญเชิญฉัตรของพระองค์เรียบๆ
" ...ที่ข้าตอบได้ก็คือปรกติแล้วถนนสายนี้ไม่ใช่เส้นทางเสด็จหรอก...เจ้าพูดถูกที่ว่าไม่สมพระเกียรติพ่ออยู่หัว แต่เส้นทางที่ทอดผ่านท่าเรือไปถึงเมืองเส้นนี้ เป็นทางที่ลัดที่สุดที่จะไปถึงปากประตูกำแพงพระราชวังได้...ถึงจะบอกว่าข้าให้การพยาบาลพ่ออยู่หัวจ้นพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่พรพวรกายของพระองค์ก็ยังอ่อนแออยู่ ด้วยความที่เครื่องไม้เครื่องมือในล่วมยาข้ามันไม่พร้อม...สถานการณ์ในเวลาเช่นนี้ พระวรกายของพ่ออยู่หัวสำคัญกว่าเกียรติใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเวลานี้ ถนนเส้นไหนก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ "
" จริงเช่นท่านว่า " ไกรรับเบาๆอย่างเห็นด้วย...ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ ว่าพระเจ้าเอกทัศน์คงไม่ได้มีอันตรายถึงแก่พระชนม์ชีพไปจนถึงกระทั่งคราวเสียกรุงทั้งที่๒ ...แต่หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขาเคยอ่่านมันก็ไม่ได้เหมือนกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่เขากำลังเผชิญอยู่นี่ซะทีเดียวทำให้เขาอดกังวลเหมือนกันไม่ได้...
...แต่ว่าก่อนที่ไกรจะพูดอะไรออกมาต่อ อยู่ๆสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรก็ใช้พระหัตถ์ดึงม่านปิดพร้อมกับเงียบไป ทำให้บรรยากาศอึดอัดลงอย่างน่าประหลาด ...เมื่อไกรเหลือบไปมองที่อีกด้าน เขาก็พึ่งได้เห็นกองทหารหรือไม่ก็กรมพระตำรวจหน่วยเล็กๆ ก้มลงคุกเข่าถวายบังคมให้กับกระบวนเสด็จนี้ ทำให้เขาเดาได้อย่างไม่ยากว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรกำลังหลบพระพักตร์พวกกรมพระตำรวจเหล่านี้แน่ๆ...ถึงมันจะดูไม่สมเหตุสมลเลยก็เถอะ...
ไกรเงียบรอจนกระทั่งกระบวนเสด็จห่างออกจากการได้ยินของกรมพระตำรวจหน่วยนั้นมาพอสมควร จึงค่อยๆกราบทูลขึ้นช้าๆ
" พระองค์ทรงแอบเหล่ากรมการตำรวจพวกนั้น? "
สมเด็จเจ้าฟ้าเหลือบพระเนตรมามองเขาเล็กน้อยก่อนจะปัสสาสะเฮือก
" เจ้านี่มันช่างสังเกตเสียจริงนะ "
' โฮ้ย...ไม่จำเป็นต้องเป็นคนช่างสังเกตก็เห็นแล้วขอรับ ' ไกรคิดในใจเล็กน้อย แต่ก็ฉลาดพอจะไม่พูดออกมา ขณะที่เขารอคอยคำตอบของเจ้าฟ้าอุทุมพรอย่างใจเย็น ซึ่งก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่สมเด็จเจ้าฟ้าจะตรัสต่อเรียบๆ
" ...เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดข้าถึงจำต้องละทิ้งอิสริยยศ...อัสริยศักดิ์...จากสมเด็จเจ้าฟ้า ออกผนวชเป็นพระดอกเดื่อ...อาศัยร่มกาสาวพัสตร์เป็นธงใช้แห่งพระอรหันต์กัน? "
' ถ้าจะให้ตอบตามหน้าประวัติศาสตร์และพงศาวดารล่ะก็...ท่านหนีราชภัยจากสมเด็จพระเชษฐาของท่านเองล่ะครับ...แต่จากเหตุการณ์เท่าที่ผ่านมาแล้ว คงไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง? ' ไกรคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะแอบส่ายหน้าเบาๆ...ดูจากระดับความเคารพนับถือของเจ้าฟ้าอุทุมพร ที่มีต่อพระเจ้าเอกทัศน์แล้ว...งานนี้ถ้าขืนพูดออกไป ไอ้แต้มโทษประหารที่สะสมมาท้งหมดมีหวังได้เอาไปแลกเป็นรางวัลโทษประหารๆจริงได้ง่ายๆเลยนะเนี่ย...
เมื่อเห็นว่าไกรเงียบไป สมเด็จเจ้าฟ้าจึงดำริเอาเองว่าอีกฝ่ายไม่รู้คำตอบ จึงตรัสต่อเบาๆว่า
" ...ที่จริงมันก็มีอยู่ ๒ ปัจจัยที่ทำให้ข้าตัดสินใจไปเช่นนั้นนะ...ปัจจัยแรกคือ...ข้ารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับวาจาที่ไพเราะเพราะพริ้ง แต่ทว่ากลวงในของเหล่าขุนนางที่รับใช้ราชสำนัก...ขุนนางที่พร้อมจะกล่าววาจาที่ไร้แก่นสารได้โดยไม่จำเป็นต้องคิดผิดชอบชั่วดีอะไรเลย เพียงเพื่อรักษาตำแหน่งและยศศักดิ์ของตัวเองไว้...มันน่าเบื่อหน่ายสิ้นดีว่าไหม ไกร? "
" ...อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย...สินะครับ? " ไกรเอ่ยออกมาเบาๆอย่างเห็นด้วย
" หืม? เจ้าไปเอาบทกลอนนั่นมาจากไหนกัน? "
' ว...เวร! ' ไกรครางออกมาอย่างห้ามปากไม่อยู่ ก่อนจะนึกโทษและด่าความเผลอเรอของตัวเองทันที เพราะส่วนหนึ่งของบทกลอนที่เขาพูดออกไปเป็นของ เพลงยาวถวายโอวาท ที่จอมกวี สุนทรภู่ ประพันธ์ขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์...ซึ่งถ้าให้พูดแบบง่ายๆก็คือ เขาพึ่งจะพูดในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนเลยนั่นเอง
แต่ก่อนที่สมเด็จเจ้าฟ้าจะได้ทันจับสังเกตอะไรไปได้มากกว่านี้ ไกรก็สติแข็งพอจะรีบพูดกลบเกลื่อนไปได้อย่างรวดเร็วว่า
" ข้าพุทธเจ้าเป็นคนแต่งเองน่ะพุทธเจ้าข้า "
" หืม? " เจ้าฟ้าอุทุมพรครางเบาๆอย่างไม่ติดพระทัยสงสัยอะไร...หรือถ้าสงสัย...พระองค์ก็เก็บกริยาไว้ได้อย่างมิดชิดจนไม่อาจจะจับสังเกตอะไรได้เลยทีเดียว ก่อนที่พระองค์จะตรัสต่อไปเบาๆว่า
" ไพเราะดีนะ ถึงกลอนสุภาพ(กลอนแปด) จะไม่เป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้เท่าไหร่ก็เถอะ...แต่ถ้าแต่งกลอนได้เพราะเช่นนี้ ระดับเจ้าก็น่าจะแต่งโคลงหรือกาพย์ที่เป็นที่นิยมได้ไม่ยากเช่นกัน "
" ป...เป็นแค่การหาอะไรทำยามว่างเท่านั้นน่ะพุทธเจ้าข้า...ข้าไม่ได้คิดเอาดีด้านนี้แต่อย่างใด " ไกรรีบบอกกลับไปเบาๆ ก่อนจะนึกกราบขอโทษสุนทรภู่ที่เขาพึ่งจะแอบอ้างขโมยผลงานมาแบบหน้าด้านๆเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีว่า
" แล้ว...อีกปัจจัยล่ะพุทธเจ้าข้า? "
" หึๆๆ...อีกปัจจัยก็คือ...ถ้าหากข้ายังดำรงยศเจ้าฟ้า และยังอยู่ในราชสำนักล่ะก็...แผ่นดินอยุธยาอันพึ่งจะได้พบกับความร่มเย็นนี้ จะได้ลุกเป็นไฟอีกครานึงแน่! "
...............................................
" อืม...แปลก... " ท่านผู้เฒ่าที่บัดนี้อยู่ในชุดของขุนทหารแบบเดียวกับชุดจางวางหัวหน้าทหารล้อมวังของพระเพชรพิไชยและนั่งอยู่บนหลังม้าตัวพ่วงพีที่กำลังควบเหยาะๆอยู่ โดยขัดสุดยอดดาบอาถรรพ์ประจำตัวอย่างดาบฟ้าฟื้นสะพายไว้กลางหลัง ซึ่งเพราะรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างอะไรจากดาบเก่าๆทั่วไป จึงไม่เป็นที่สะดุดตาอยู่แล้ว ...เขาขยับผ้าสีเข้มขึ้นปิดปากเพื่อพรางใบหน้าของตนเองเล็กน้อย ก่อนจะใช้ดวงตาที่คมราวกับดวงตาเหยี่ยวกวาดมองไปที่บรรยากาศรอบๆอย่างไม่ไว้วางใจพร้อมขมวดคิ้วและอดครางออกมาเบาๆไม่ได้
" หืม? อะไรหรือขอรับ ท่านออกญา? " พระเพชรพิไชย ขุนพลเฒ่าเจ้ากรมทหารล้อมวังที่เวลานี้ชักม้าตีคู่มากับเขาเอ่ยถามเบาๆอย่างอยากรู้อยากเห็น ทำให้ชายหนุ่มฉายาท่านผู้เฒ่าเหลือบมามองเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดตอบกลับไปเบาๆ
" เลิกเรียกข้าว่าท่านออกญาเสียทีเถอะ...ก็ข้าบอกไปแล้วว่าข้าอยู่นอกราชการนานแล้ว "
" แล้วจะให้ข้าเรียกท่านว่าอะไรดีล่ะขอรับ? "
คำถามที่ถามกลับมาโดยทันทีของอีกฝ่ายทำให้ท่านผู้เฒ่าอ้าปากเหมือนกับอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ชั่วครู่หนึ่งเขาก็เลือกที่จะหุบปากลงพร้อมกับยิ้มแค่นๆ
" เออ! จะเรียกข้าว่าท่านออกญา หรืออะไรมันก็เรื่องของเจ้าล่ะกัน ถือว่าข้าพลาดเอง "
" ฮ่ะๆๆ ยังพร้อมที่จะเปิดเผยนามจริงของท่านอีอย่างนั้นหรือขอรับ? " ออกพระเพชรพิไชยว่าพลางกลั้นหัวเราะเบาๆ ...ขนาดเขาที่เคยรับราชการขึ้นตรงและใกล้ชิดออกญาตรงหน้ามากกว่าใครๆมาร่วมสิบปีก่อนที่อีกฝ่ายจะทูลลาออกจากราชการและหายตัวไป เขาก็ยังไม่มีโอกาสแม้แต่ได้รู้หรือได้ยินชื่อจริงของออกญาปริศนาผู้นี้เลยจริงๆ
" ไม่รู้จักนามจริงข้าจะเป็นคุณกับเจ้ามากกว่า เชื่อข้าเถอะ "
" ก็ที่ข้าอายุยืนมาจนถึงบัดนี้ก็เป็นเพราะข้าไม่ใช่พวกชอบสอดรู้นี่แหละ "
" ฮ่าๆๆๆ จริงแท้...ข้านิยมชมชอบเจ้าเพราะเรื่องนี้แหละ " ท่านผู้เฒ่าอดีตเจ้าพระยาจักรีฯหัวเราะดังๆอย่างชอบใจ
แต่ก่อนที่จะพระเพชรพิไชยจะได้ทันตอบว่าอะไร ชายหนุ่ม(ที่อาจจะหนุ่มไปตลอดกาล) อดีตออกญาที่อยู่ข้างๆเขาก็ตวัดมือไปจับที่ด้ามดาบอาถรรพ์ประจำตัววูบด้วยความเร็วที่แทบมองไม่ทัน ก่อนจะชักดาบออกมาจากฝักถึงครึ่งนึงอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังบาดหูพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งกระฉูดวูบ! จนม้าของพระเพชรพิไชยและนายทหารคนอื่นๆที่วิ่งเหยาะๆอยู่โดยรอบถึงกับตื่นตกใจจนแตกฮือออก ถึงขั้นสะบัดทหารบางนายตกจากหลังเลยทีเดียว ในขณะที่ออกพระเพชรพิไชยผู้เป็นทหารที่เจนศึกก็รั้งเชือกหนังอันเป็นบังเหียนม้าไว้อย่างแรงจนเชือกแทบจะบาดลึกเข้าไปในฝ่ามือเพื่อบังคับม้าให้หยุดตื่นและกันไม่ให้ตัวเองถูกสะบัดตก ก่อนจะรีบร้องถามออกญาตรงหน้าทันที
" ท่านออกญา?!! "
ครืนนนนนนนนนนนนนนนนน !!!
พระเพชรพิไชยเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีแม้แต่เต้าเมฆฝนแท้ๆ แต่กลับเกิดเสียงฟ้าร้องสะเทือนขึ้นมา ก่อนจะรีบยกมือห้ามอดีตออกญาจักรีหนุ่มผู้ครอบครองดาบอาถรรพ์ต้นเหตุนั้นและละล่ำละลักพูดจนลิ้นแทบจะพันกันว่า
" ท่านออกญา!! ได้โปรดหยุดก่อนเถอะ เรากำลังอยู่ในกระบวนเสด็จของพ่ออยู่หัว และก็อยู่ในเขตที่มีผู้อาศัยอยู่นะขอรับ!! "
ท่านผู้เฒ่าอดีตสมุหนายกใช้ใบหน้าที่เหี้ยมเกรียมจนน่ากลัว และดวงตาที่รูม่านตาเบิกกว้างถึงที่สุด เพ่งมองไปบนหลังคาบ้านช่องและสถานเริงรมณ์ต่างๆโดยที่แทบไม่ได้สนใจพระเพชรพิไชยที่ร้องห้ามสุดเสียงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ...เขาอยู่ในท่าที่ชักดาบฟ้าฟื้นออกมาจากฝักครึ่งนึงอยู่เกือบนาที ก่อนที่ในที่สุดเขาจะคำรามในลำคอต่ำๆ พร้อมกับกระแทกดาบอาถรรพ์ในการครอบครองลงสู่ฝักจนเกิดเสียงดังลั่น และกัดฟันพูดเบาๆราวกับพูดกับตัวเองขึ้นว่า
" ชิ...เลือกที่จะหนีในจังหวะสุดท้ายอย่างนั้นรึ?! "
...พระเพชรพิไชยเหลือบไปมองท้องฟ้าที่บัดนี้เงียบสงบราบคาบลงไปแล้ว ทันทีที่ดาบในมือของออกญาตรงหน้ากลับคืนสู่ฝัก ก่อนจะลอบถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก...เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งบนหลังม้านิ่งและเอาแต่เพ่งมองบนหลังคาร้านรวงและบ้านต่างๆอยู่อย่างไม่สนใจใคร เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้นเบาๆว่า...
" ท่านออกญา...เมื่อครู่นี้คือ? "
" พระเพชรพิไชย?...อ้อ...เปล่าหรอก แต่ข้าสำคัญผิดอะไรนิดหน่อยน่ะ " แต่คำตอบที่ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนกับไม่มีเหตุการณ์อะไรที่น่าหวาดเสียวเกิดขึ้นเลยของออกญาตรงหน้า ทำเอาพระเพชรพิไชยถึงกับแทบอ้าปากค้าง
" ...ส...สำคัญผิด?! "
ท่านออกญาจักรีนอกราชการตรงหน้าเหลือบไปเขม้นมองบนหลังคาของหอโคมเขียวอันเป็นตึกใหญ่โตที่สูงถึง ๓ ชั้นที่ไกลออกไป ก่อนทีจะพ่นลมหายใจยาวเหยียดและฝืนแสยะยิ้มออกมาช้าๆ
" เออ...แค่สำคัญผิด...ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้! "
...ที่ไกลออกไป...เหนือเหลี่ยมมุมที่ลับตาของหลังคาหอโคมเขียวที่ท่านผู้เฒ่าเพ่งสายตามามองเมื่อครู่นี้หมาดๆ...
" อ...ไอ้...ไอ้โง่เอ๊ย! คิดทำอะไรโง่ๆพรรค์นี้วะ?! จ...เจ้าเกือบจะทำให้พวกเราตายกันหมด! " ชายหนุ่มรูปร่างล่ำสันในชุดรัดกุมสีดำสนิทและปิดบังหน้าตาไว้ด้วยผ้าโพกหัวรีบละล่ำละลักพูดขึ้นพร้อมกับกระชากคอเสื้อชายร่างเล็กที่อยู่ในชุดคล้ายๆกันตรงหน้าขึ้นเขย่าไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ชายร่างเล็กที่ถูกเขย่าคออยู่ถึงกับมือไม้อ่อนจนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้ตอบใดๆทั้งสิ้น...ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมาถึงกับเบิกโพลงเต็มที่ราวกับเจอผีหลอกไม่มีผิดเพี้ยน
" ท...ทั้งๆที่ตอนอยู่ในฝักก็เป็นแค่ดาบเก่าๆธรรมดาๆเท่านั้น แต่นี่...ขนาดชักออกมาแค่ครึ่งเดียวแท้ๆ...น...นั่นมันดาบอาถรรพ์อะไรกัน?! " ชายอีกคนที่ฟังจากน้ำเสียงน่าจะล่วงเลยวัยกลางคนมามากแล้ว ในชุดรัดกุมปิดบังหน้าตาอีกคนถึงกับลงไปนอนแผ่สองสลึงอยู่กับหลังคา ก่อนจะพูดพลางหอบหายใจเบาๆราวกับพึ่งออกกำลังกายมาอย่างหนัก พร้อมกับยันกายลุกขึ้นแอบมองดูชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดาบอาถรรพ์อันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้งอย่างยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ท่ามกลางเหล่าคนที่อยู่ในท่าทีตื่นตระหนกจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...ผู้ที่ควบคุมสติได้ดีที่สุดกลับเป็นหญิงสาวร่างบางในชุดรัดรูปสีดำสนิท...ถึงแม้ว่าเธอจะต้องกุมมือไว้ไม่ให้สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นสิ่งเดียวที่โผล่ผ่านผ้าคลุมหน้าออกมาของเธอก็ยังคงเปล่งประกายเจิดจ้าในความมืดด้วยความเคียดแค้นชิงชัง...ในที่สุดเธอก็ค่อยๆพูดผ่านกรามที่กัดแน่นออกมาเบาๆว่า
" จากพลังที่พวกเราได้เห็นคาตาเช่นนี้...ไม่ผิดแน่!...มันและผู้ติดตามหนุ่มอีกคนนี่แหละ ที่เป็นคนสังหารนากามูระ พี่น้องและสหายศึกของพวกเราแน่นอน!! "
" ท่าน--- "
" อย่าเอ่ยชื่อข้า เจ้าโง่!! " หญิงสาวปรายสายตาพร้อมกับเอ่ยดุด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ก่อนจะลูบมือไปมาช้าๆอย่างครุ่นคิด และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพูดขึ้นเรียบๆ
" เราลงมือที่นี่ไม่ได้...นอกจากจะโจ้งแจ้งเกินไปแล้ว เรายังประเมินข้อมูลความสามารถของอีกผิดพลาดอย่างร้ายแรงด้วย...ขืนลงมือไปตรงๆอย่างที่เจ้าหมายจะทำเมื่อครู่ ป่านนี้คงได้ลงนรกกันหมดแล้วแน่ๆ! "
" ถ้าอย่างนั้น? "
ดวงตาของหญิงสาวส่องประกายวาววับต้องแสงดาวในความมืดอีกครั้งพร้อมกับพูดขึ้นอย่างราบเรียบจนน่าขนลุกทันที
" ...พวกเจ้า...กลับไปในที่และหน้ากากที่พวกเจ้าใช้ปลอมอยู่ตามเดิม...ส่วนข้าจะกลับเข้าราชฐาน...ไปสมทบกับพวกพ้องของข้าที่รอท่าอยู่...ข้าจะจัดการพวกมันที่นั่น...ล้างอายให้แก่นากามูระ พี่น้องของพวกเราเอง! "
...........................................
...ย้อนกลับมาที่ไกรที่บัดนี้กำลังทำหน้าที่เป็นผู้อัญเชิญฉัตรประจำพระองค์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรอยู่ เหลือบขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เมื่อครู่นี้พึงจะส่งเสียงคำรามลั่นไปครืนใหญ่ แต่บัดนี้กลับสงบลงอย่างราบคาบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างผิดสังเกต ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับปลอบใจตัวเองว่าคงคิดมากไปเอง ก่อนที่จะเพ่งความสนใจไปที่พระดำรัสสุดท้ายที่เจ้าฟ้าอุทุมพรดำรัสค้างไว้ และทูลถามขึ้นเบาๆ...
" แผ่นดินลุกเป็นไฟ...เชียวหรือพุทธเจ้าข้า? "
" คิดว่าข้าพูดเกินจริงอย่างนั้นหรือ? "
" ข้าพุทธเจ้ามิบังอาจ "
" ข้าพึ่งบอกไปไม่ใช่รึอย่างไรว่าข้าไม่ชอบคำพูดเสนาะหูที่ไร้แก่นสารน่ะ...เจ้าพูดในสิ่งที่ใจเจ้าคิดมาเถอะ ข้าไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรหรอก "
" พุทธเจ้าข้า...ข้าฯว่าพระองค์พูดเกินจริงไปมากโขเลยพระพุทธเจ้าข้า! "
ถึงจะพึ่งตรัสออกไปด้วยพระองค์เองแท้ๆว่าให้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกมาเลย แต่พอโดนสวนเข้าแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ พระองค์ก็ถึงกับแทบจะเอียงตกสิวิกา ก่อนจะสรวลออกมาเสียงดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจจนน้ำพระเนตรถึงกับเล็ดออกมาทันที
" เออ! ข้ายอมหัวจิตหัวใจเจ้าเลยว่ะ ไกรเอ๊ย! " ก่อนพระองค์จะยกหัตถ์ขึ้นเช็ดอัสสุชล และตรัสต่อเรียบๆ
" ข้ามิได้พูดเกินจริง...แต่เจ้าก็รู้ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองก่อนหน้านี้มันเป็นเช่นไร...หลังจากที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเสด็จสวรรคตอย่างปัจจุบัน ทำให้ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯวังหน้าว่างลง...ต่อมาเมื่อพระราชบิดาพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศอวยยศข้าขึ้นเป็นวังหน้าก่อนพระองค์จะสิ้นพระชนม์...ฮ่าๆๆๆๆ เจ้ารู้ไหมว่าเวลานั้นในราชสำนักโคตรจะโกลาหลเลย...เพราะนั่นเป็นการอวยยศที่ผิดราชประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลอย่างมหันต์ที่สุด...ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อความผิดเดียวของพระเชษฐาข้า คือการเป็นโรคเรื้อนเท่านั้นยิ่งแล้วใหญ่ ...ที่หนักที่สุดก็เป็นพวกเหล่าขุนนางนี่สิ "
" พระองค์หมายถึง... "
" ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ...ถึงเหล่าขุนนางที่สนับสนุนราชโองการของพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศจะมีอยู่มาก แต่ขุนนางที่สนับสนุนพระเชษฐา พ่ออยู่หัวเอกทัศน์เองก็มีอยู่ไม่น้อย...ถึงพระเชษฐาเราจะแสดงชัดแล้วว่าไม่คิดจะขัดพระบรมราชโองการของพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศ แต่เจ้าคิดว่าหลังสิ้นบุญพ่ออยู่หัวแล้ว บ้านเมืองที่พึ่งจะฟื้นตัวจะเป็นอย่างไร "
" ล...เละเห็นๆแน่พุทธเจ้าข้า "
เจ้าฟ้าเอกทัศน์เลิกพระขนงเล็กน้อยกับคำพูดที่แปลกหูของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆอย่างยอมรับ
" เหล่าขุนนางที่สนับสนุนพระเชษฐาพวกนั้นคิดจะทำการเอาเองโดยพลการ ...เตรียมการซ่องสุมผู้คนช้างม้า หวังก่อการกบฏช่วงชิงราชบัลลังก์ กว่าพระเชษฐาจะทรงทราบเรื่องก็เกือบจะเวลาสุดท้ายก่อนก่อการพอดี ...ภายใต้คำปรึกษาของสมเด็จพระพี่นางพินทวดี เชษฐภคินีของพวกเรา...แผนการที่เหนือความคาดหมายนี้จึงได้เกิดขึ้นมา "
" แผนการ?...ย...อยากบอกนะว่า?! "
" ใช่อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ แผนการที่ให้ข้าถวายราชสมบัติให้แก่พ่ออยู่หัว และออกผนวช...ตัดตัวเองออกจากวังวนของสิทธิแห่งบัลลังก์โดยสิ้นเชิงนี้เป็นพระดำริของพระพี่นาง...ซึ่งนอกจากจะเป็นการถวายสิทธิที่เป็นของพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์โดยชอบธรรมคืนให้แก่พระองค์แล้ว ยังทำให้ข้าได้พบความสงบสุขที่ข้าปรารถนามานานอีก..ทั้งยังทำให้บ้านเมืองสงบสุขมาได้กว่าขวบปีนับแต่ที่พระองค์ครองราชบัลลังก์มา...และพูดได้เลยว่าสงบสุขที่สุดในรอบหลายสิบขวบปีเลยทีเดียว... "
' อ...เอาจริงดิ?! บ...แบบนี้มันยกเมฆกันหนักยิ่งกว่าหนังฝรั่งหลายๆเรื่องที่เราเคยดูรวมกันอีกนะเฮ้ย!! '
" ฮ่าๆๆๆๆ ข้าล่ะชอบใจสีหน้าราวกับเห็นผีของเจ้าเสียจริงนะ " เจ้าฟ้าเอกทัศน์สรวลกึกก้องอีกครั้งอย่างชอบพระทัย ในขณะที่ไกรรีบทูลถามขึ้นทันที
" ท...ที่พระองค์ดำรัส...เป็นความสัตย์จริงอย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า?! "
" เป็น นิทาน ที่สนุกดีใช่ไหมล่ะ? "
" หา?!! ตกลงยังไงกันแน่เนี่ย? " ไกรอุทานอีกครั้งอย่างเริ่มตามไม่ทัน ในขณะที่เจ้าฟ้าอุทุมพรสรวลจนน้ำพระเนตรไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น แกล้งปล่อยให้ไกรทำหน้าสงสัยใคร่รู้จนแทบคลั่งต่อไป ก่อนที่พระองค์จะผินพระพักตร์ไปด้านหน้าก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆอีกครั้ง
" น่าเสียดายนะที่เราเดินทางมาในยามวิกาลเช่นนี้นะ "
" พุทธเจ้าข้า? "
" เพราะถ้าเป็นตอนกลางวัน...ที่ที่เรากำลังจะเข้าไป จะสวยงามราวกับสวรรค์ชั้นฟ้าเลยทีเดียวเชียวล่ะ ไกรเอ๊ย! "
ไกรขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขาหันไปมองที่จุดเดียวกับที่สมเด็จเจ้าฟ้าทอดพระเนตรอยู่ ก่อนที่ดวงตาสีสนิมเหล็กของเข้าจะเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
...กำแพงสีขาวสะอาดอีกหนึ่งชั้น...
...กระบวนเสด็จ เคลื่อนมาถึงกำแพงราชฐานฝ่ายหน้าแล้ว...
........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ