ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) ...ตอนที่ ๙...ราชโองการแต่งตั้ง...(๒)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ



 

 

 

================================================

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่กลุ่มอนาสตาเซียที่พึ่งแยกย้ายกับไกรและสมทบกับกลุ่มของศกุนตลาและสิงห์...

 

        " โห...รอดด้วยวุ้ย... "  คำทักทายแรกที่สิงห์เอ่ยปากทักทายก็ทำเอาอนาสตาเซียถึงกับคิ้วกระตุก...ก่อนจะถอนหายใจเฮือก เพราะเธอก็รู้เส้นกวนโมโหของอีกฝ่ายดี จึงได้แต่ทิ้งตัวลงและถือวิสาสะหยิบถุงหนังบรรจุน้ำสะอาดของสิงห์ขึ้นมาดื่มและพูดเบาๆ

 

        " ท่านพ่อมอบหมายงานใหม่ให้กับพวกเรา "

 

        " ...คายมา "  ศกุนตลาที่ตอนแรกนอนหลับตาเอาสัมภาระหนุนแทนหมอนลืมตาพรึ่บทันที ก่อนจะพูดเบาๆพลางยื่นมือไปที่สิงห์ ในขณะที่สิงห์ก็ส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ ก่อนจะหยิบเหรียญตำลึงยัดใส่มือของอีกฝ่ายไป

 

        " ไม่เคยได้กินอัฐเจ้าซักที ให้นรกสาปเถอะ! "

 

        " ก็เจ้ามันพนันโง่ๆเองนี่...แบบนี้ต่อให้มันอัฐเป็นพันชั่งก็ไม่เหลือหรอหรอก "

 

        " นี่พวกเจ้าพนันขันต่อกันอย่างนั้นเหรอ?! "  อนาสตาเซียร้องดุทันที ในขณะที่สิงห์ยักไหล่ก่อนจะถามต่อเบาๆแทน

 

        " เอ้า!...แล้วท่านผู้เฒ่าจะให้พวกเราไปแหกนรกตกอเวจีที่ไหนอีกล่ะ? "

 

        " ระวังคำพูดเจ้าหน่อย...เจ้ากำลังพูดถึงพ่อข้าอยู่นะ "  อนาสตาเซียเหล่ตามองอย่างคาดโทษ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง และล้วงหยิบเอาป้ายโลหะต้นเหตุนั้นมาให้ทุกคนดูทันที...และเมื่อเห็นป้ายชัดๆ สิงห์ก็หยิบเข้าไปส่องดูใกล้ๆทันที

 

        " อะไรหว่า? ท่านผู้เฒ่ามีคำสั่งเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้านใหม่อยางนั้นเหรอ?...ว่าตามสัตย์จริงข้าชอบสีเดิมที่เป็นสีขาวมากกว่านะ "

 

        " ใช่ซะที่ไหนเล่าเจ้าบ้า! ตราโลหะนั่นไกรมันค้นได้จากศพของไอ้มือสังหารนั่นต่างหากล่ะ! "

 

          คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาศกุนตลาที่นอนแบ่บฟื้นพลังอยู่ ยังถึงกับต้องชันแนนลุกขึ้นมามองอย่างสนใจเลยทีเดียว

 

        " นี่คงไม่ใช่เรื่องตลกจำอวดอีกเรื่องหรอกนะ ท่านอนาสตาเซีย "

 

        " เห็นข้าเป็นพวกเส้นตื้นเหมือนกับไกรหรือสิงห์รึอย่างไร?! ...เมื่อแรกเห็นข้าก็ตกตะลึงอึ้งไปเหมือนกัน...ท่านพ่อต้องการให้พวกเราสืบหาต้นตอของตรานี่ และท่านก็กำชับนักกำชับหนาว่างานนี้อาจจะหนักกว่างานมังจากะเลก็เป็นได้ "

 

          คำเตือนที่ฝากมาทำให้ศกุนตลาและสิงห์ต้องหันไปมองหน้ากัน ก่อนที่สิงห์จะหยิบตรานั้นขึ้นส่องดูกับแสงอาทิตย์เวลาโพล้เพล้นี้อีกครั้งและพูดขึ้นเรียบๆว่า

 

        " พูดก็พูดเถอะ ตรานี่เป็นตราลับที่ไม่ควรจะมีผู้ใดนอกจากเหล่ามือสังหารอย่างพวกเรารู้จักด้วยซ้ำ...เราคงต้องแจ้งเรื่องนี้ให้กับท่านเมืองและเหล่ามือสังหารที่ยังรั้งรออยู่ที่หมู่บ้านให้ทราบทราบ "  

 

        " เราเสียเวลาไม่ได้หรอก...ศกุนตลา เจ้ารีบพักเอาแรงให้ฟื้นคืนกำลังโดยเร็วที่สุด แล้วค่อยใช้เหยี่ยวใต้บัญชาของเจ้าไปแจ้งเรื่อง "

 

         " เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ... "

 

          ' เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ...เนี่ยนะ? '  เสือสมิงสาวนามว่ามายาที่ตั้งแต่กลับมาก็เอาแต่ยืนฟังอย่างเงียบๆ บัดนี้ถึงกับต้องเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหันไปสบตาเสือดำและเสือดาวสมิงนามว่าชีวาและราตรีเหมือนกับจะสื่อสารกันในใจทันที

 

         ...ถึงพวกเธอจะไร้ข้อกังขาในความสามารถของเจ้านายของเธออย่างสิงห์และมือสังหารสาวระดับสูงอีก ๒ คน...แต่งานตรงหน้านี้มันเกินคำว่าเป็นไปไม่ได้ไปแล้ว...การสืบหาต้นตอที่มาของมือสังหารปริศนาโดยมีจุดเชื่อมโยงเป็นเพียงแค่ชิ้นงานโลหะชิ้นเล็กๆชิ้นเดียว...ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ก็เป็นงานงมเข็มในมหาสมุทรชัดๆ!...

 

         ...แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดอะไรออกมา  สิงห์ที่มองมาที่เธออยู่แล้วก็ขยับยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงปรามช้า...เหมือนกับจะบอกว่าไว้ใจพวกเขาเถอะ...

 

         ...ไอ้งานระดับเป็นไปไม่ได้นี่แหละ...งานถนัดของพวกเขาล่ะ...

 

          " นอนพักเอาแรงเสียเถอะ ศกุนตลา...เมื่อเจ้าตื่นขึ้น เราจะไปตะลุยนรกด้วยกัน! "

 

   

 

 

 

 

.............................................

 

 

 

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่เกวียนของท่านผู้เฒ่าและไกร ที่กำลังตามกระบวนเสด็จของพระเจ้าเอกทัศน์ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวงไปติดๆ...

 

        " ...ตื่นได้แล้ว ไกร "  เสียงที่ดังขึ้นอย่างสุขุมและแช่มช้า ปลุกไกรให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลอย่างช้าๆ...เขายกมือเกาผมที่เริ่มยาวและยุ่งเหยิงมากขึ้นของตัวเองพร้อมกับอ้าปากหาวหวอดๆ 

 

        " เช้าแล้วเหรอครับ? "

 

          ท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งสารถีและใช้มือกุมบังเหียนเหล่าวัวที่เทียมเกวียนไว้ เหลือบมามองเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

 

        " อันที่จริงพึ่งค่ำๆด้วยซ้ำ...นี่ ถ้ายังหลับอยู่ก็ช่วยตื่นแบบจริงๆซะทีเถอะ "

 

          คำพูดหยอกล้ออย่างไม่จริงจังอะไรนักของอีกฝ่ายทำให้ไกรต้องส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเรียบเรียงและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดใหม่อีกครั้งพร้อมทั้งหัวเราะออกมาแห้งๆอย่างกระดากอาย

 

        " ให้ตายสิ...ผมไม่เคยเผลอหลับในช่วงเวลานี้มาก่อนเลยนะ "

 

        " ไม่น่าจะเรียกหลับ แต่ควรเรียกว่าสิ้นสติไปเลยมากกว่า...รู้ไหมว่ากระบวนดาบคู่ที่พวกเจ้าที่เป็นชยรุ่นหลังต่อยอดจากวิชาดาบของพวกเรา มันเริ่มน่าใช้น้อยลงทุกทีในความคิดของข้าแล้วนะ "

 

          ไกรได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะมุดหัวลอดม่านออกมาพร้อมกับถามขึ้นเบาๆว่า

 

        " เราถึงไหนแล้วครับ? "

 

        " เรากำลังผ่านกำแพงพระนครน่ะ...ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะอยากเห็นนะ...กำแพงและป้อมปราการที่ปกป้องอโยธยาให้ยืนยงมากว่าหลายร้อยปีน่ะ "  คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ไกรตื่นขึ้นเต็มตา...เขามุดหัวโผล่ออกมาจากตำแหน่งสารถีพร้อมกับเบิกตากว้างเพื่อที่จะเห็นในสิ่งที่คนในยุคปัจจุบัน...คนในยุคของเขาไม่มีทางได้เห็นแน่ๆทันที...กำแพงเมืองอยุธยา!

 

       ...ถัดไปจากคูแม่น้ำที่เป็นปราการธรรมชาติที่กว้างประมาณ ๓ ใน ๔ ของความกว้างมาตราฐานแม่น้ำเจ้าพระยา คือกำแพงเมืองสีขาวมอๆค่อนไปทางเก่าๆ ที่ไม่ได้ตั้งสูงอย่างที่เขาคาดหวังไว้...กำแพงเมืองที่ปกป้องราชอาณาจักรอโยธยาให้อยู่ยั้งยืนยงมากว่า ๔๑๗ ปีกลับสูงเพียงตึก ๒ ชั้นหรืออาจจะสูงกว่านั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...แต่ถึงจะดูเก่าและขาดการบำรุงรักษาเล็กน้อยเพราะปราศจากศึกภายนอกมากกว่าร้อยปี ...แต่บนความเก่าแก่และป้อมๆนี้ กลับเต็มไปด้วยความขลัง...ความน่าเกรงขามที่ไม่อาจจะอธิบายได้ ...บนเชิงเทินก็ถูกประดับประดาไว้ด้วยปืนใหญ่อันทันสมัย จุกช่องเชิงเทินไว้เกือบทุกช่อง ธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงสะบัดรับลมพร้อมด้วยตะเกียงและคบเพลิงที่ถูกจุดอย่างสว่างไสวจนราวกับเป็นกลางวันทีเดียว ...และถ้าไกรสังเกตไม่ผิด เขากำลังได้เห็นเหล่าทหารยามเดินตรวจตราประจำเชิงเทินบนนั้นอย่างหนาแน่นที่สุดเลยทีเดียว...

 

        " หืม?...ดูเจ้าไม่ค่อยจะประทับอกประทับใจเท่าไหร่เลยนะ "  ท่านผู้เฒ่าที่สังเกตเห็นท่าทีของคู่สนทนาจากอนาคตผู้นี้เลยอดถามขึ้นเบาๆไม่ได้...ในขณะที่ไกรหันมายิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองกำแพงเมืองนี้พร้อมกับพูดเบาๆอีกครั้ง

 

        " ...ไม่รู้สิครับ...ผมอธิบายไม่ถูกเกี่ยวกับความรู้สึกในตอนนี้...แต่เท่าที่ผมบอกได้ในตอนนี้คือ...กำแพงนี้มันไม่เตี้ยไปหน่อยสำหรับการรับศึกพม่าอย่างงั้นเหรอ?  "

 

          ท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างผู้ทรงภูมิ ก่อนจะผ่อนบังเหียนเพื่อชลอเกวียนลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของไกรเบาๆ

 

        " ถ้าเป็นสมัยแผ่นดินจีนแตกเป็น ๓ ก๊กล่ะก็ใช่...เมืองต้องการกำแพงทีสูง...แต่เรากำลังพูดถึงกำแพงเมืองที่จะต้องป้องกันห่าปืนใหญ่ที่ระดมยิงเข้ามาในคราที่ข้าศึกประชิดกรุงนะ..ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่ห่าลูกธนูหรือหินที่มาจากเครื่องยิงหิน...แต่เป็นกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงออกมาจากปืนใหญ่ที่ทันสมัยเทียบเท่ากับพวกฝรั่ง...การสร้างกำแพงเมืองให้สูงเสียดฟ้าด้วยกำลังความสามารถของนายช่างก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ถ้าขืนสร้างกำแพงเช่นนี้แล้วเกิดถูกยิงเข้ากลางกำแพงล่ะก็ กำแพงมีหวังได้ถล่มลงมาเป็นแถบๆแน่...กำแพงจำเป็นต้องปรับปรุงให้ก้าวทันกระแสสงครามนะไกร ...อโยธยามีคูน้ำอันเกิดจากแม่น้ำสามสายบรรจบกันเป็นปราการธรรมชาติอยู่แล้ว กำแพงจึงไม่จำเป็นต้องใหญ่มาก แต่ต้องหนาพอเพื่อป้องกันปืนใหญ่ได้ต่างหากล่ะ "

 

        " อย่างนี้นี่เอง "  ไกรพยักหน้ารับเบาๆด้วยแววตาที่เป็นประกายเมื่อเขาได้รับความรู้ใหม่นี้ ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนเข้าสู่ประตูกำแพงที่มีด่านทหารตรวจตราอย่างหนาแน่นพอดู ซึ่งเขาเองก็พอจะเข้าใจได้เพราะเวลานี้เป็นช่วงเริ่มสงคราม...อีกฝ่ายอาจจะส่งสายลับเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ถึงอย่างนั้น กระบวนเสด็จของพระมหากษัตริย์และสมเด็จเจ้าฟ้า ๒ พระองค์ที่เสด็จกลับเข้าพระนครอย่างกะทันหันโดยไม่มีกำหนดการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก็ยังเป็นข้อยกเว้นที่ไม่จำเป็นต้องตรวจตราใดๆอยูดี...

 

       ...ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองสบสายตาสงสัยใคร่รู้ของเหล่าทหารที่ตั้งเป็นเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองอยู่แทบทุกคนก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกยาวเหยียด...ต่อให้พูดอย่างไรก็ตาม แต่เกวียนมอๆที่เทียมวัวสองตัวนี่ ดูยังไงก็ไม่เหมาะที่จะเป็นตัวปิดท้ายกระบวนเสด็จของพ่ออยู่หัวแน่ๆ...

 

        " เราเข้าไปในสภาพเช่นนี้ไม่ได้แน่ๆ...ถ้ายังไม่อยากเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ "  คำพูดเรียบๆของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรหันขวับไปมองทันที

 

        " พูดตามตรงนะครับ โดนด่าก็ยอมล่ะ แต่ผมไม่ยอมขี่ม้าในตอนนี้ หรือในอนาคตอันใกล้นี้แน่! "  ไกรร้องเสียงหลงออกมาอย่างน่าสงสารจนท่านผู้เฒ่าถึงกับอดขำไม่ได้...เห็นได้ชัดเลยว่าการขี่ม้าครั้งแรกยังคงเป็นเรื่องที่จำฝังใจอยู่แน่ๆ

 

        " เจ้าก็รู้ว่าพวกเราใช้เกวียนต่อไม่ได้...มันสะดุดสายตาเกินไป ถึงเจ้าจะเป็นพวกชอบทำตัวเด่นอยู่แล้วก็เถอะ "

 

        " งั้นก็ส่งผมไปรวมๆกับพวกทหารล้อมวังของพระเพชรพิไชยก็ได้ แบบนั้นก็น่าจะพอไม่เป็นที่สะดุดตาได้อยู่นะ "

 

        " ทำอย่างนั้นได้ที่ไหนล่ะ...จริงอยู่ว่าอาจจะไม่สะดุดตาพวกชาวบ้านร้านตลาด แต่เจ้าก็จะไปสะดุดตาพวกเหล่าทหารล้อมวังแทนน่ะสิ เพราะป่านนี้ชื่อของเจ้าก็คงเป็นที่โจษจันในหมู่ทหารเหล่านั้นหมดแล้ว...แล้วถึงเจ้าจะทำตัวกลมกลืนกับยุคนี้มากกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังมีจุดให้จับสังเกตได้อยู่ดี...อยู่ท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารพวกนั้นก็รังแต่เสี่ยงจะทำความแตกเสียเปล่าๆ "  ท่านผู้เฒ่าทำหน้าคิดหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากที่เม้มบางนั้นจะคลี่เป็นรอยยิ้มบางๆออกมาช้าๆ

 

        " เอาเถอะ...ถ้าเจ้ายังดึงดันว่าจะไม่ยอมใช้ม้าแน่ๆ ข้าก็มีอยู่อีกทางนึง "

 

        " ทางนึง? "

 

        " ใช่...ทางนึง...ทางเลือกสุดท้ายของเจ้าคนมากเรื่องอย่างเจ้า... "

 

          ไกรเหลือบมองดูรอยยิ้มที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบตั้งแต่แรกเห็น ก่อนจะฝืนหัวเราะแห้งๆอย่างใจดีสู้เสือพร้อมกับพูดพลางกลั้วหัวเราะแห้งๆนั้นเบาๆทันที

 

        " รู้อะไรไหมครับ...อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะ แต่ผมล่ะโคตรกลัวรอยยิ้มของคุณเลย...ท่านผู้เฒ่า " 

 

 

 

 

 

..........................................

 

 

 

 

 

       ...เพียงไม่กี่นาทีต่อมา...

 

        " แล้วหลังจาที่ท่านออกญาฯจับเจ้าแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ...ก็ส่งเจ้ามาโดยไม่บอกไม่กล่าวใครเลยอย่างนี้นะหรือ? "  สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรที่เวลานี้ถึงกับต้องสังหยุดกระบวนเสด็จ และเลิกม่านวิสูตรของสิวิกา(เสลี่ยงที่มีม่านกั้น) ประจำพระองค์ขึ้นและถามทันทีเมื่อเห็นสภาพของเด็กหนุ่มผู้เคยช่วยชีวิตท่านและพ่ออยู่หัวเอาไว้ ที่เวลานี้อยู่ในสภาพที่เข้าขั้น ดูไม่จืด เลยทีเดียว...

 

       " ข...ขอรับ "

 

      ...เด็กหนุ่มหน้าตาคมสันนามว่าไกรบัดนี้ถูกเปลี่ยนให้กลายสภาพเป็นคนรับใช้ชั้นเลวที่มองผ่านๆแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเปลี่ยนทรงผมใหม่จากผมหยักศกปล่อยยาวเปลี่ยนเป็นหวีเรียบและมัดตึงที่บริเวณท้ายทอยแล้ว  ที่ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาราวกับลูกขุนน้ำขุนนางบัดนี้ถูกสีดำที่ลักษณะคล้ายสีจากถ่านหรืออะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน แต่งแต้มเป็นรอยแผลเป็นและรอยไฝฝีขี้แมลงวันและรอยสักประหลาดๆ จนดูน่าเกลียดลงไปถนัดตาเลยทีเดียว

 

        " ข้าถามจริงๆเถอะนะ... "  เจ้าฟ้าอุทุมพรที่กระพริบเนตรปริบๆอยู่นาน ค่อยๆตรัสขึ้นเบาๆ โดยพยายามห้ามพระองค์ไม่ให้หลุดสรวลออกมา   " ตอนเดินทางเลาะกระบวนเสด็จมาถึงที่นี่...เจ้าไม่กระดากอายบ้างเชียวหรือ? "

 

        " ตอบตามตรงเลยนะพุทธเจ้าข้า...ข้าล่ะอายจนอยากจะเอาหน้าแทรกธรณีหนีหายไปให้พ้นๆอยู่แล้ว "  ไกรทูลตอบด้วยสีหน้าที่แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อแล้ว ทำเอาสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้าสรวลก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ พร้อมๆกับที่เหล่านางกำนัลที่โดยเสด็จตามหลังมาก็ปิดปากหัวเราะพร้อมกับมองหน้ากันเอง ก่อนจะรีบหลบสายตาทันทีที่ไกรหันขวับไปมองอย่างเคืองๆ

 

        " เฮ้อ...ไกรหนอไกร...ภายใต้ความฉลาดหลักแหลมของเจ้า บางครั้งเจ้าก็ซื่ออย่างไม่น่าเชื่อนะ "

 

        " พ...พุทธเจ้าข้า? "

 

        " ข้าว่านะ...เจ้าคงจะโดนท่านออกญาหลอกเข้าแล้วล่ะ "

 

        " ว่าไง---ว่าอย่างไรนะพุทธเจ้าข้า?!! "

 

        " จริงอยู่ว่าเจ้าเป็นที่สะดุดตา ไกร...แต่ข้าว่าทหารล้อมวังของออกพระเพชรพิไชยมีระเบียบมากพอจะไม่ทำอะไรเป็นที่กระโตกกระตาก เพราะอย่างไรพวกนั้นก็เป็นทหารท่านออกพระฝึกฝนมาเองกับมือ...แล้วต่อให้เจ้าจะแฝงตัวอยู่ในกระบวนเสด็จของข้าจริงๆ ลำพังแค่ชุดของเจ้าก็น่าจะพอแล้ว...ไม่เห็นจำเป็นต้องแต่งเติมหน้าตาให้ดูราวกับเป็นพวกคนบ้าใบ้เช่นนี้เลยจริงๆ "

 

        " ตาเฒ่าสารพัดพิษเอ๊ย!---ข...ขออภัยนะพุทธเจ้าข้า "  ไกรสบถลั่นอย่างเดือดดาล ก่อนจะนึกขึ้นได้และรีบหันไปบังคมทูลกับสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้าทันที ในขณะที่เจ้าฟ้าอุทุมพรก็โบกพระหัตถ์เบาๆเป็นเชิงว่าพระองค์ไม่ได้ติดพระทัยอะไร...พระองค์ทรงรอให้ไกรเอาเศษผ้าเช็ดสิ่งแปลกปลอมบนใบหน้าออกอย่างพระทัยเย็น ก่อนจะทรงตรัสขึ้นเบาๆ

 

        " เอ้า...หลังจากเลิกเป็นคนบ้าใบ้แล้ว เจ้าก็มาเป็นผู้อัญเชิญฉัตรให้ข้าก็แล้วกัน "

 

        " ฉัตร? "  ไกรทวนคำเบาๆ ก่อนจะรับเอาฉัตรสีขาวประดับดิ้นทอง ๕ ชั้นมาจากชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งมาถือไว้ ก่อนที่กระบวนเสด็จจะเริ่มเคลื่อนต่ออย่างช้าๆ

 

         " เอ่อ...นี่มัน? "

 

          " หืม...ก็ เบญจปฏลเศวตฉัตร อย่างไรล่ะขอรับ "  ชายหนุ่มผู้ส่งฉัตรนี่ให้เขาตอบกลับมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปต่อแถวที่ท้ายกระบวน แต่พอได้ยินชื่อของฉัตรคันนี้ชัดๆ มือที่ประคองฉัตรก็แทบจะอ่อนยวบเป็นเทียนโดนไฟทันที

 

          ' เบญจปฏลเศวษฉัตร? ...ฉัตรประจำพระอิสริยยศพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นเจ้าฟ้า ไปจนถึงกรมพระราชวังบวรฯวังหน้า...ฉัตรที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นรองเพียงพระมหาเศวษฉัตรของพระมหากษัตริย์เท่านั้นนี่นา?! '

 

          " ...อ...เอ่อ ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดนะพุทธเจ้าข้า... "  เมื่อไกรได้รู้ถึงความสำคัญของฉัตรที่ตัวเองถืออยู่ เขาก็อดพูดขึ้นเบาๆไม่ได้ ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าเลิกพระขนงเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัย

 

         " หืม? "

 

         " ถ...ถ้าข้าพุทธเจ้าเกิดถือ...ฉ...ฉัตรนี่พลาด...ข้าฯจะโดนโทษประหารไหมพุทธเจ้าข้า? "

 

          " อืม...ถ้าตามกฎมณเฑียรบาลแล้วก็น่าจะใช่นะ...โทษประหาร ๗ ชั่วโคตร...แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกนะ "

 

          " ม...ไม่ต้องกังวล? "

 

          " เพราะถ้านับกันจริงๆ ถึงเวลานี้เจ้าน่าจะระวางโทษประหาร ๗ ชั่วโคตรไป ๓-๔ รอบแล้ว...เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป...ถึงจะโดนอีกซักกระทง ผลก็คงต่างจากเดิมไม่มากเท่าไหร่หรอก "

 

           " อาญามิพ้นเกล้า...แบบนี้ไม่ช่วยให้ข้าพุทธเจ้าหายกังวลเลยซักนิดพระพุทธเจ้าข้า!! " 

 

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา