ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.62K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
143)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...ไม่กี่นาทีต่อมา...ณ เชิงเทินที่อยู่สูงสุด...สถานที่ประชุมศึกของเหล่าเสนาธิการแห่งเมืองราชบุรี...
" ท่านออกญารัตนาธิเบศน์ขอรับ พวกทัพพม่ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วขอรับ " ขุนนางระดับสูงหลายคนที่นั่งล้อมวงอยู่เริ่มพูดขึ้นอย่างปิดความกระวนกระวายไว้ไม่มิด เมื่อสายตาที่ยังไม่ได้ฝ้าฟางของพวกเขามองเห็นฝุ่นที่คลุ้งตลบอบอวนอยู่ที่เส้้นขอบฟ้าไกล ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณถึงเหล่าทัพพม่าที่เคลื่อนพยุหกำลังพลและจะมาประชิดขอบกำแพงเมืองในไม่ช้า ในขณะที่เมื่อได้ยิน ออกญารัตนาธิเบศน์ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพผู้กุมพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ก็ถอดหมวกศึกออกมาเพื่อโบกไล่อากาศร้อนออกไป ก่อนที่เขาจะใช้ท่อนแขนปาดเหงื่อพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" ปืนใหญ่ของพวกเราขึ้นจุกเชิงเทินหมดแล้ว พวกเราพร้อมรับมือแล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป "
' ไม่กังวลก็แปลกล่ะ...ขนาดเพชรบุรีของออกญาเพชรบุรีว่าแข็งแกร่งที่สุดยังแตกพ่ายไปแล้ว แล้วพวกเราเป็นใครกันล่ะ ' เมื่อได้ยินคำปลอบใจที่ฟังแล้วไร้ซึ่งความหนักแน่นโดยสิ้นเชิง มันอดไม่ได้ที่หลายๆคนจะคิดอะไรแบบนี้ออกมา ในขณะที่มีบางคนที่พึ่งถูกส่งมาจากอโยธยาและไม่เคยผ่านศึกใหญ่ใดๆมาก่อนกลับมีลักษณะตรงกันข้าม เพราะพวกเขาจับดาบอย่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะแสดงฝีมือและสร้างความดีความชอบ ซึ่งคนเหล่านี้มักจะเป็นพวกแรกๆที่สังเวยชีวิตในการสงครามที่ทุกสิ่งคือความเป็นความตายเช่นนี้
...ในที่สุด ออกญารัตนาธิเบศน์ก็สังเกตถึงสิ่งผิดปรกติบางอย่าง เมื่อเขาเห็นว่ามีขุนนางระดับนายทัพหลายคนไม่อยู่ในการประชุมนี้ และเมื่อเขาถามว่าพวกมันไปไหน หนึ่งในขุนทหารอาวุโสคนนึงก็ให้คำตอบกับนายทัพอย่างเขาว่า...พวกเขาเหล่านั้นกำลังจัดเตรียมกำลังพลเพื่อคุ้มกันให้ชาวบ้านเมืองราชบุรี รวมถึงช้างม้าเสบียงกรังที่เกินความจำเป็นและยังหลงเหลืออยู่ในราชบุรี ให้อพยพไปที่สุพรรณบุรี ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นออกญารัตนาธิเบศน์ก็ถึงกับโมโหจนควันแทบออกหูทันที
" ว่าอย่างไรนะ! กระผมไม่ได้สั่งให้พวกมันแลชาวบ้านอพยพนี่! พวกเรายังสามารถใช้ราชบุรีตั้งรับได้! "
" ถีอว่าเป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้าขอรับ ถ้าทำเช่นนี้ต่อให้ผลของการศึกครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร เราก็ยังมีทุนรอนสามารถสู้ศึกต่อที่สุพรรณบุรีได้ " ขุนทหารเฒ่าผู้มากประสบการณ์กว่า ทั้งยังผ่านการศึกทางหัวเมืองใต้มาแล้วพย่ายามพูดอย่าใจเย็นและรอมชอม แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้จอมทัพแห่งราชบุรีอย่างออกญารัตนาธิเบศน์ใจเย็นลงได้เลยแม้แต่น้อย
" สามหาว! นี่ท่านคิดดูหมิ่นกระผมอย่างนั้นหรือ! "
" เหลวไหลสิ้นดี! ทัพพม่าก็กำลังใกล้เข้ามาแล้ว ท่านยังมีแก่ใจจะมาทะเลาะกับกระผมด้วยเรื่องไร้แก่นสารเช่นนี้หรือ! " นายทหารเฒ่าพูดอย่างเริ่มมีน้ำโห แต่ออกญาผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์ตวาดกลับมาอีกครั้ง
" ไม่เหลวไหลเสียหน่อย! กระผมคือนายทัพผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ มีสิทธิ์เต็มที่ในการบัญชาการทุกผู้ทุกนามในราชบุรีแห่งนี้ พวกมันกำลังขัดคำสั่งกระผม! "
" แล้วถ้าหากกระผมบอกว่าพวกมันทำเพราะคำสั่งของกระผม...ท่านจะทำอะไรกระผมอย่างนั้นหรือ! ท่านแม่ทัพ! "
เหตุการณ์ที่ตึงเครียดขึ้นในหมู่แม่ทัพทำให้ทหารยามที่ยืนเพื่อรักษาความปลอดภัยที่หน้าศาลาที่ประชุมแห่งนี้เหลือบมองก่อนจะลอบถอนหายใจเฮือก
' นี่ขนาดยังไม่ทันได้ตีกับพม่าก็จะฆ่ากันเองตายเสียแล้ว '
...แต่แล้วก่อนที่เหตุการณ์ที่ตึงเครียดจะบานปลายจนไม่อาจจะควบคุมได้มากกว่านี้ เหตุการณ์ประหลาดอีกเหตุการณ์กลับแทรกเข้ามาอย่างไม่มีใครคาดคิดที่สุด...
" ทุกคนอย่าขยับ! ไม่อย่างนั้นข้าเป่าหัวออกญาศรีะรรมราชกระจุยแน่! "
" อะไรนะ?! "
เมื่อทุกคนหันควั่บไปมองที่ต้นเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น พวกเขาก็ได้พบกับขุนนางนาหมื่นอาวุโสผู้อยู่ในระดับเดียวกับอัครมหาเสนาบดี ผู้ครอบครองหัวเมืองชั้นเอกแห่งภาคใต้ ผู้ที่เวลานี้ถูกสตรีนางหนึ่งที่มีหน้ากากยักษ์แสยะยิ้มปิดบังครึ่งใบหน้าคร่ากุมพร้อมกับเอาปืนสับนกขนาดกลางจ่อที่ขมับอยู่ในลักษณะที่น่าหวาดเสียวที่สุด ...ด้วยระดับความสำคัญของออกญาศรีธรรมราช นั่นทำให้ขุนทหารชั้นบัญชาการทุกคนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินทันที!
" ท ท่านออกญาศรีธรรมราช! "
ปัง!
" ก็บอกแล้วอย่างไรว่าอย่าขยับ! " ปืนอีกกระบอกที่ซ่อนอยู่ในมืออีกข้างของหญิงสาวผู้นั้นที่ลั่นขึ้นและส่งกระสุนเข้าใส่ปลายหอกของหนึ่งในทหารยามจนหอกถึงกับกระเด็นหลุดมือทำให้ทุกคนลืมเรื่องขัดแย้งเมื่อครู่ไปชั่วคราวและตื่นตัวเดต็มที่เพื่อรับกับสถานการณ์ตรงหน้าที่น่าจะตึงเครียดกว่าหลายร้อยเท่า ในขณะที่ออกญาศรีธรรมราชผู้เฒ่าที่พึ่งมีกระสุนร้อนๆยิงผ่านหูไปแบบฉิวเฉียดหน้าซีดเผือดและถึงกับตัวสั่นวูบ
' จ จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ? ' ออกญาเฒ่าทำปากขมุบขมิบกระซิบเบาๆจนศกุนตลาลอบโคลงหัวช้าๆ
' ขออภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ แต่เพื่อทำให้ท่านเองหลุดพ้นจากข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับพวกข้า...แต่ต้องขอชมนะเจ้าคะว่าท่านแสดงว่ากลัวได้สมจริงมาก '
' ไม่ได้แสดง! ตูกลัวเจ้าจริงๆโว้ย! '
" ว้าว! พี่ศกุนตลายิงแม่นจริงๆ คราวหน้าพี่ต้องสอนพวกข้ายิงปืนมั่งแล้วนะเนี่ย! " เสียงของเด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากประหลาดๆอีกสองคนที่ร้องอย่างตื่นเต้นทำให้หญิงสาวผู้งดงามที่น่าจะมีนามว่าศกุนตลาถอนหายใจเฮือก
" ก็พึ่งบอกไปว่าอย่าเรียกชื่อข้า เอาเถอะ ใส่กระสุนให้ที ข้าอาจต้องยิงใครอีก " หญิงส่าวหันกลับไปสั่งเด็กหนุ่ม ๒ คนพร้อมกับโยนปืนที่พึ่งถูกยิงไปให้ ในขณะที่คำพูดของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ...ความรู้สึกผลีผลามอยากเข้าไปช่วยออกญาศรีธรรมราชด้วยกำลังถูกลบหายจากหัวไปโดยสิ้นเชิง
" พ พวกแก! พม่าอย่างนั้นหรือ!! " หนึ่งในขุนนางหนุ่มผู้ใจกล้าพอตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดซึ่งเมื่อได้ยินศกุนตลาก็กลอกตาโคลงหัวให้ช้าๆ
" โง่เง่า...มีส่วนไหนของข้าที่เหมือนพม่าบ้างกัน? "
' ทุกส่วนนั่นแหละ! '
" เจ๊จ๋า เจ๊อาจจะลืมไปแล้ว แต่เจ๊น่ะสาวพม่าของแท้เลยล่ะ " หนึ่งในเด็กหนุ่มปริศนาที่ตามหญิงสาวผู้นี้มาด้วยครางดังๆขณะกำลังยัดอะไรบางอย่างใส่ปืนสับนกอยู่ ทำให้ศกุนตลากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะทำตาโตร้องออกมาว่า
" เออ จริงแฮะ ลืมไปเสียสนิทเลย! "
" ไร้สาระสิ้นดี! พวกเจ้าคิดเล่นตลกอะไรกัน!! "
ปัง!
" อ๊ากกกก! "
ปืนอีกกระบอกที่โผล่มาอยู่ในมือของหญิงสาวราวกับเป่ามนต์ลั่นเปรี้ยงส่งกระสุนร้อนๆไประเบิดหูด้านซ้ายของนายทหารหนุ่มผู้ตะโกนตวาดคนนั้นจนทำให้เขาร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวด ในขณะที่ศกุนตลาที่สีหน้าไม่เปลี่ยนซักนิดเดียวพูดเรียบๆอีกครั้งว่า
" ข้าเกลียดอยู่ ๒ สิ่ง...หนึ่งคือคนที่หาว่าข้าไร้สาระ สองคือคนที่หาว่าข้าเป็นตัวตลก...ชีวิตมีค่า อย่าทำผิดพลาดซ้ำสอง...เจ้าโง่! "
น้ำเสียงของศกุนตลาและจิตคุกคามอันเย็นเยียบที่แผ่ออกมาทำให้ทุกคนเงียบกริบอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครคิดว่าหญิงสาวตรงหน้า ล้อเล่น หรือ ไร้สาระ อีกต่อไปแล้ว
...นี่คือสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด ในเวลาที่คาบลูกคาบดอกที่สุดอย่างแน่นอน!...
ทุกคนสามารถมองสถานการณ์ตรงหน้าออก...ไม่ว่าจะโง่เขลาแค่ไหนก็ตาม
...ขอเปลี่ยนเป็น...เกือบทุกคน...
" ว้าว!! สุดยอดดดด! พี่ศกุนตลา สุดยอดดดด!! "
" เฮ้อ...ข้าต้องคิดผิดแน่ๆเลยที่รับปากทำงานนี้...เอาล่ะ ถึงตาของเจ้าออกโรงแล้ว ไกร "
........................................
" แน่ใจนะขอรับว่าไม่ต้องให้ข้ากับคนอื่นๆตามไปด้วย "
" ไม่เอาน่า ท่านสิน ท่านยังมีงานต้องทำนะ ไปคุมให้พวกนั้นทำงานให้เสร็จ งานนี้แค่ข้ากับอเทตยาก็พอแล้ว "
ฮี้!
" เออ แล้วก็ท่านด้วย สีหมอก งานนี้ฝากด้วยนะ " ไกรหันไปยิ้มให้กับม้าแก่สีขาวปลอดที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะรบสำหรับม้าศึกสีดำสนิทเต็มยศที่ตัดกับสีขนจนดูขัดแย้งกันอย่างงดงามที่สุด ในขณะที่ตัวไกรในเวลานี้ก็สวมชุดเกราะสีดำที่ถูกหล่อและสร้างขึ้นโดยฝีมือของนักตีศาสตราระดับสุดยอดอย่างยูกิโอะอย่างครบครันพร้อมกับขัดดาบสดายุไว้ที่ด้านหลัง ในขณะที่มืออีกข้างถืออาวุธยาวที่เรียกว่า จี่ หรือที่ไกรรู้จักในนามง้าวกรีดนภาไว้ เป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมรบเต็มที่แล้ว
' นี่ๆ พวกข้าก็ร่วมรบกับท่านะ ท่านพ่อ ' เสียงของเด็กๆสองตนที่ดังขึ้นในหัวของไกรทำให้ชายหนุ่มโคลงหัวเล็กน้อยก่อนจะครางออกมาเบาๆว่า
" ถ้ามัวแต่ขอบคุณกันทุกคนคงไม่ได้ออกไปพอดี แต่เอาเถอะ งานนี้ฝากด้วยละกันนะ ลูกแก้ว-ลูกขวัญ "
" แต่ว่าท่านไกร ท่านกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพทั้งกองทัพนะขอรับ "
" อย่าห่วงเลย ท่านสิน "
" อเทตยา? "
" ข้าจะปกป้องท่านไกรเอง " อเทตยาที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะสำหรับบุรุษสีดำสนิทจนดูเหมือนหนุ่มน้อยหน้ามนสำทับกับสินเบาๆ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยให้เขาอุ่นใจมากขึ้นเลย แต่สินก็รู้ดีว่าเขาคงเปลี่ยนใจไกรในเวลาเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน เขาจึงได้แต่มองหน้าไกร ก่อนจะฝืนยิ้มและพูดกับไกรอีกครั้งว่า
" ถ้าเช่นนั้นก็โชคดีมีชัย ท่านไกร...ข้าจะรอท่านอยู่ที่จุดนัดพบ มาให้ได้นะขอรับ "
ไกรที่อยู่ในชุดเกราะไม่ได้สวมหมวกเกราะศึก เขาเพียงแค่หันมายิ้มให้กับสินก่อนจะสวมหน้ากากสีดำสนิทของตนเองและควบม้าออกไปทันที
ระหว่างควบม้าออกมาจากราชบุรีโดยที่ตามมาติดๆด้วยหญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดคนเดียวของเขาอย่างอเทตยา ไกรก็เอามือที่สวมถุงมือหนังตบไปที่แถบผ้าที่พับมาอย่างเรียบร้อย ก่อนจะผูกปลายผ้าด้านหนึ่งเข้ากับปลายง้าวของเขาและพันไว้อีกทบ ระหว่างที่เขาครางออกมาเบาๆว่า
" ให้ไอ้โคลบี้กับออลลี่วาดใหม่ตั้งหลายรอบ แถมโดนศกุนตลาด่าเสียอีกไม่นับ หวังว่าจะคุ้มค่านะ เพี้ยง! "
...ไกลออกไป ณ ใจกลางทัพพม่าที่กำลังเดินทัพมา...
" ท่านแม่ทัพมังฆ้อง! ราชบุรีมีความเคลื่อนไหวขอรับ! " เสียงที่ดังมาจากหน่วยสังเกตการณ์ทำให้แม่ทัพมังฆ้องนรธาเลิกคิ้ววูบ ก่อนจะถามกลับไปเรียบๆอย่างต้องการข้อมูลเพิ่มเติมว่า
" พวกทหารราชบุรีออกมากี่พันคน พอจะกะประมาณเอาได้ไหม? "
" ส สองคนขอรับ "
" อะไรนะ? "
" พวกมันออกจากกำแพงเมืองมากันแค่สองคนขอรับ กำลังควบม้าตรงมหาหาพวกเราเลย "
" อะไรของมันวะ? หรือว่ามันจะมาขอยอมแพ้? " หนึ่งในขุนทหารระดับชั้นบัญชาการที่อยู่บนหลังม้าข้างๆมังฆ้องนรธาร้องออมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่อีกคนนึงถือวิสาสะโดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นแม่ทัพอนุญาตก่อนตะโกนสั่งการไปว่า
" อย่าพึ่งผลีผลามทำอะไร! รอดูท่าทีมันไปก่อน! มันมาแค่ ๒ คน ไม่ต้องกลัว "
ทหารทุกคนที่ได้ยินต่างขยับกันอย่างสบายมากขึ้นเพราะคิดว่าพวกราชบุรีน่าจะมาเพื่อเจรจาหรือขอยอมแพ้ เว้นแต่มังฆ้องนรธาผู้เดียวที่ยังคงใช้สายตาจับจ้องไปที่ผู้มาเยือน ๒ คนที่เขาเริ่มเห็นได้ด้วยสายตาของตัวเองก่อนจะขมวดคิ้ววูบ...ถึงตามหลักแล้วเขาก็เริ่มเอนเอียงไปในทางที่คิดว่าราชบุรีจะมาขอยอมแพ้ แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานในฐานะนายทหารผู้ผ่านการศึกมานับไม่ถ้วนกลับกระสากลิ่นถึงสิ่งผิดปรกติ
...สิ่งผิดปรกติอย่างมหาศาล...
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อเทตยาที่ควบม้าตามไกรมาด้วยก็เฆี่ยนม้าตัวเองเพื่อเร่งความเร็วให้มากระหนาบกับสีหมอกของไกร ก่อนที่เธอจะใช้สายตามองลอดผ่านหน้ากากของตนเองมาที่ใบหน้าด้านข้างของไกร จนกระทั่งไกรรู้สึกตัวพร้อมกับหันมาสบสายตาหญิงสาวพร้อมกับเอียงคอช้าๆ
" อะไรเหรอ? "
" คิกๆ เปล่าเจ้าค่ะ " อเทตยาหัวเราะเบาๆ " ข้าเพียงแค่รู้สึกปลาบปลื้มน่ะ เพราะครั้งนี้ข้ามากับท่านไกรกัน ๒ คน...มันทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านไกรฝากชีวิตไว่้ในมือของข้าแล้วจริงๆ "
คำพูดที่กินลึกในความหมายทั้งทางตรงและทางอ้อม บวกกับสายตาที่เบิกกว้างที่เห็นลอดผ่านหน้ากากของหญิงสาวออกมาทำให้สัญชาตญาณของไกรทำงานและเอ่ยเตือนเขาวูบ แต่ถึงอย่างนั้่นไกรก็ยังยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า
" ถ้างั้นก็ถือชีวิตของข้าที่อยู่ในมือของเจ้าดีๆล่ะ อย่าทำตกหายเชียวนะ "
" รับรองว่าจะไม่ทำหายและไม่ปล่อยให้ลุดมือแน่เจ้าค่ะ "
" เอาเถอะ น่่าจะใกล้พอแล้วล่ะ ฝากด้วยนะ อเทตยา "
" เจ้าค่ะ ท่านไกร " หญิงสาวรับคำก่อนจะชลอม้าไปอยู่ด้านหลังอีกครั้ง หญิงสาวหยิบกระบอกโลหะเรียวยาวขึ้นมาก่อนจะจุดพลุขึ้นฟ้าจนเห็นเป็นควันยาวเป็นสาย ก่อนจะระเบิดเป็นพลุสีส้มที่เห็นกันไปทั่ว ในขณะที่ไกรก็สยายผ้าที่พันง้าวของตัวเองออกจนกระทั่งแถบผ้านั้นขยายกลายเป็นธงที่ปลิวไสวไปกับสายลม
แถบธงสีเหลือง ที่วาดไว้ด้วยลวดลายจากหมึกสีดำ...ลวดลายที่มองเห็นได้แม้จากระยะไกล...รูปของนกยูงที่รำแพนหางอย่างงดงามที่สุด!
ธิวธวัสมยุรา(นกยูง)อาจจะไม่คุ้นตาหากอยู่ในยุคปัจจุบันที่ไกรจากมา แต่กับในยุคสงครามและในสายตาของเหล่าทหารพม่าที่จ้องมองมา...มันไม่ต่างจากสิ่งที่น่าพรั่นพรึงที่สุดเท่าที่จะมีผู้ใดคาดฝันได้
...ธวัสมยุราบนพื้นเหลือง...
ตราประจำ
" "
" "
" "
" "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ