ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

144)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

==============================================

 

 

 

      ...ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปราวกับสายลมที่เปลี่ยนทิศอย่างกะทันหันที่สุด ศกุนตลาจำเป็นต้องตัดสินใจบางอย่างด้วยตัวเอง...หญิงสาวปล่อย หรือพูดตรงๆก็ผลักออกญาเฒ่าผู้เป็นตัวประกันอย่างออกญาศรีธรรมราชให้กลับไปยังหมู่ขุนนางที่ยืนออกันอยู่อย่างไม่ใยดี จนทุกคนถึงกับอ้าปากค้างอย่างงงงวยเพราะเธอพึ่งจะสละอำนาจการต่อรองระดับสูงสุดทิ้งอย่างไม่ใยดี แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ทันพูดอะไร หญิงสาวปริศนาผู้นี้ก็เก็บปืนพร้อมกับพูดเป็นเชิงสั่งการเรียบๆทันที

 

       " เหตุการณ์เกินที่พวกเรา---หมายถึงพวกข้าคาดคะเนไว้ ท่านออกญาศรีธรรมราช ได้โปรดสั่งการให้ทหารทุกนายถอนกำลังและเตรียมการอพยพถอยทัพตามที่ไอ้---หัวหน้าของข้าแนะนำเถอะ "

 

       " อ อะไรนะ?! "  ในขณะที่ขุนทหารระดับบัญชาการคนอื่นๆต้องทวนคำอย่างตามไม่ทัน กลับเป็นอดีตตัวประกันสดๆร้อนๆอย่างออกญาศรีธรรมราชผู้เฒ่า รวมถึงสมัครพรรคพวกของเขาที่หันกลับมาพร้อมกับถามอย่างเป็นการเป็นงานที่สุดว่า

 

       " เกิดเหตุอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ? แม่หญิง "

 

       ' แทนที่จะหันกลับไปด่าหรือโมโหเพราะถูกจับเป็นตัวประกัน แต่กลับหันไปถามเหตุผลแทน...เฮ้ยๆๆ เรื่องนี้มันชักทะแม่งๆเกินไปแล้วนะ '  ทุกคนที่เห็นท่าทีที่เกินคาดของออกญาผู้มีระดับเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดีถึงกับได้แต่กระพริบตาปริบๆอย่างพูดไม่ออก ในขณะที่หญิงสาวผู้บุกรุกเงียบไปเล็กน้อยราวกับฟัง เสียง อะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจได้ยินได้ ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหลับตาลงพร้อมกับตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนเดียวตามแบบฉบับของเธออีกครั้ง

 

       " กองทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญา...ไพร่พลโยธาม้าศึก รวมไปถึงปืนใหญ่ชักลากพรั่งพร้อมบริบูรณ์ กำลังเดินทางตรงมายังราชบุรีแห่งนี้...ด้วยความเร็วในการเดินทัพเมื่อเทียบกับระยะทาง ทัพหลวงที่ว่านี่คงจะเดินทางมาสมทบกับทัพหน้าของแม่ทัพมังฆ้องนรธาในเวลาไม่ถึงชั่วหม้อข้าวเดือดแน่ "

 

       " เฮ้ยๆๆๆ ถ้านี่คือการล้อเล่นก็ล้อเล่นได้เกินเลยเกินไปแล้วนะ "  หนึ่งในขุนพลหนุ่มใต้อาณัติของออกญาศรีธรรมราชร้องออกมาอย่างที่ใจตัวเองและคนอื่นๆคิด เพราะคำพูดที่จริงจังที่ออกมาจากปากหญิงสาวแทบจะหาความน่าเชื่อถือไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...แต่ออกญาเฒ่ายกมือเป็นสัญญาณให้นายทหารคนนั้นหุบปากก่อนจะถามหญิงสาวอีกครั้ง

 

       " แน่แท้แก่ใจนะ? แม่หญิง "

 

       " ข้าเอาหัวเป็นประกันได้...โคลบี้ ออลลี่ เก็บกล้องส่องทางไกลได้แล้ว แล้วไปที่ม้า พวกเจ้ารีบไปสมทบกับอุษาที่จุดนัดพบที่ ๒...เอ่อ ไม่สิ ที่ ๓ นี่นา...เฮ้อ แผนของไอ้บ้านั่นมันก็ซับซ้อนจนจำแทบไม่ได้เลยเนี่ย "  ประโยคหลังเธอบ่นเบาๆกับตัวเอง ในขณะที่เด็กหนุ่มรูปร่างโย่งที่น่าจะเป็นคู่แฝดทั้งสองคนที่เวลานี้ยังคงใช้กล้องส่องทางไกลโลหะมองไปที่สถานการณ์ศึกอยู่หันกลับมามองพร้อมกับร้องออกมาพร้อมกันว่า

 

       " เอ๋? ขออยู่ต่ออีกนิดไม่ได้เหรอ ? "

 

       " ข้าพูดเพราะไม่อยากให้เจ้ามาเกะกะ และเพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้าเอง...เผื่อข้าต้องยิงคนพวกนี้เพื่อฝ่าออกไปจะได้หมดห่วง "  

 

         คำพูดที่จริงจังจนไม่น่าจะเป็นการพูดล้อเล่นของหญิงสาวทำให้ทุกคนหันขวับมามอง ในขณะที่เด็กหนุ่มโคลบี้ ออลลี่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะเผ่นผลุงลงจากเชิงเทินและปะปนกับฝูงชนหายไปอย่างรวดเร็วสุดที่ใครก็ตามจะหยุดได้ ...ในขณะที่ออกญาเฒ่าไม่สนใจ เขาถามเบาๆอีกครั้งว่า

 

       " พอจะทราบไหมว่าทัพหลวงที่ว่านั่นเป็นกลศึกของพวกพม่าหรือเปล่า? "

 

       " อืมมม "  หญิงสาวเอียงคอคิดเล็กน้อยก่อนจะหลับตาส่ายหน้าอีกครั้ง  " ...ถ้าหากมันเป็นกลศึกก็ไม่สมควรจะนำทหารและอาวุธยุทธภัณฑ์มาแทบจะทั้งหมดทัพหลวงเช่นนี้ หรือถ้าเป็นกลศึกจริงๆปริมาณขนาดนั้นก็เพียงพอจะทำให้เมืองราชบุรีราพนาสูรได้ในชั่วอึดใจเดียว...ทางที่ประเสริฐท่านควรจะรักษากำลังพลแลช้างม้าไว้ และไปสมทบกับทัพอโยธยาที่รอท่าอยู่ที่สุพรรณบุรีจะดีกว่านะเจ้าคะ "

 

       " พวกเรามีเวลาเหลืออีกประมาณกี่มื้อกี่เพลากัน? "

 

         หญิงสาวเหลือบมองพร้อมกับครางต่ำๆในลำคอย่างเริ่มรำคาญ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังใจเย็นพอจะตอบกลับมาเรียบๆอีกครั้งว่่า

 

       " ถ้าหากยังสามารถเล่นไปตามแผนของ ก---แผนของพวกข้าได้ ข้าอาจจะยื้อให้พวกท่านได้ประมาณ ๒-๓ ชั่วยาม ไม่อาจเกินนี้ไปได้แน่ "

 

       " กระชั้นชิดเหลือเกิน... "  ออกญาศรีธรรมราชครางออกมาพร้อมกับทำสีหน้าหนักอึ้ง เพราะการให้ทหารทุกคนอพยพย้ายเมืองจากสภาพพร้อมรบเช่นนี้ในเวลาเพียงเท่านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย...ไม่นับเรื่องปืนใหญ่ที่ยังคงจุกช่องเชิงเทินและดินปืนที่ยังเหลืออีกเพียบเพราะคำสั่งรักษาเมือง...

 

 

      ...ถ้าหากอพยพเทครัวเฉพาะทหาร แล้วเหลืออาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านี้ไว้ ก็ไม่ต่างจากมอบแก้วแหวนเงินทองอันมีค่าอนันต์ไว้ให้ศัตรูเลยแม้แต่น้อย...

 

 

       " ถ้าเช่นนั้นข้าขอลา "  อยู่ๆหญิงสาวก็โบกมือพร้อมพูดลาห้วนๆ ก่อนจะทำท่าจะเดินออกไป ทำเอาทุกคนถึงกับร้องเสียงหลงทันที

 

       " ฮ เฮ้ย! ประเดี๋ยวเซ่! "

 

       " เฮ้อ น่ารำคาญจริง ข้าหมดหน้าที่แล้ว อย่าให้ข้าต้องยิงใครเพื่อฝ่าออกไปเลยน่า "

 

         ออกญาศรีธรรมราชไม่สนใจคำขู่ที่มาพร้อมกับจิตคุกคามเย็นๆ เขาก้าวเข้ามาพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

       " จะมีหนทางผ่อนหนักเป็นเบา หรือมีแผนการใดที่ดีกว่าการอพยพไปเฉยๆบ้างหรือไม่ แม่หญิง "

 

       " ดูเหมือนท่านจะเข้าใจผิดนะ ท่านออกญา...หน้าข้าเวลานี้เหมือนพวกจิตสาธารณะที่ชอบช่วยเหลือผู้คนเอาบุญนักหรือ...พวกท่านจะฉิบหายตายโหงหรือเป็นตายร้ายดีอย่างไรมันเกี่ยวกับข้าตรงไหน? "  

 

         คำพูดที่ไม่ต่างจากมะนาวหน้าแล้งที่ออกมาจากปากหญิงสาวทำให้ทุกคนอ้าปากพะงาบๆอย่างพูดไม่ออกอีกครั้ง แต่ออกญาเฒ่าไม่ลดละความพยายาม เพราะเขาพูดต่ออีกครั้ง

 

       " ถือว่าสร้างกุศลเอาก็ได้ ช่วยคิดเสียหน่อยเถอะว่าถ้าเป็นท่าน---หัวหน้าของเจ้าทั้ง ๒ คนนั่น พวกเขาจะใช้แผนการอะไรในการช่วยพวกข้าในสถานกาณ์เช่นนี้ "

 

       ' หืม? จะบอกว่าถ้าเป็นไกรกับสินจะทำอย่างไรอย่างนั้นหรือ? เอ... ' 

 

         หญิงสาวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้ง และดูเหมือนเธอเองก็จะรู้ความคิดของจอมขุนนางเฒ่า เพราะเธอเหลือบมองปืนใหญ่ที่เรียงรายตามช่องเชิงเทินทอดยาวไปตลอดกำแพงเมือง ก่อนที่ในที่สุดเธอจะพูดเป็นเชิงแนะนำเรียบๆว่า

 

       " ...ถ้าหากท่านเริ่มถอนกำลังตั้งแต่เวลานี้ ท่านน่าจะนำปืนใหญ่แลกระสุนดินดำไปด้วยได้ประมาณ ๓ ใน ๔ หรืออย่างน้อยๆก็กึ่งหนึ่ง...ปืนใหญ่ที่เหลือที่ไม่อาจจะเอาไปได้ก็เห็นจะต้องงให้ระเบิดทิ้งเสียหรือฝังดินไว้ก็แล้วแต่ท่านเห็นควร...ดินปืนแลข้าวหญ้าเสบียงที่เกินกำลังจะเอาไปก็ให้เผาทิ้งเสีย...เพียงเท่านี้ก็ไม่เหลืออะไรให้ทัพพม่าได้ใช้สอยเป็นประโยชน์แล้ว"

 

       " ป เป็นแผนการที่ดีนี่...ในเวลาเช่นนี้เราคงไม่มีทางเลือกมากนัก...เฮ้ย! พวกเจ้า! ทำตามที่นางบอก รีบไปป่าวประกาศให้ทหารทุกคนรับรู้ เราจะอพยพเทครัวไปสุพรรณบุรี! "

 

       " ประเดี๋ยวสิโว้ย!! "  ในที่สุด ชายร่างท้วมวัยกลางคนผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ ขุนทหารผู้มีอำนาจสิทธื์ขาดสูงสุดในราชบุรีแห่งนี้ด้วยอำนาจที่ได้รับพระราชทานมาอย่างออกญารัตนาธิเบศร์ก็หมดความอดทนลง พร้อมกับที่เขาเห็นช่องว่างพอจะเอ่ยแทรกขึ้นมาได้ เขาจึงอาศัยช่องที่ทุกคนเงียบตวาดลั่นอย่างเดือดดาลที่สุดทันที

 

       " หา? "  สายตาของทุกคนที่หันมามองอย่างเสื่อมศรัทธาพร้อมกับน้ำเสียงที่กึ่งเฉยชากึ่งเอือมระอาทำให้โทสะของออกญาผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ยิ่งเดือดดาลจนเส้นเลือดในขมับถึงกับเต้นตุบๆอย่างน่ากลัว...เขาใช้มือซ้ายชูพระแสงดาบฝักทองประดับอัญมณีอร่ามอันเป็นพระแสงดาบพระราชทานขึ้นสูงเหนือหัวก่อนจะตวาดลั่นอีกครั้ง

 

       " พวกเจ้า! เกินไปแล้วนะ! ข้าคือแม่ทัพผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์! ห้ามมิให้ทุกคนทำตามคำสั่งของผู้ใด ยกเว้นของข้าผู้นี้เพียงคนเดียวเทานั้น!! นี่เป็นคำ--- "

 

        

         ปังงง!

 

 

         กระสุนปืนที่ออกมาจากปืนสับนกที่อยู่ในมือของหญิงสาวปริศนานามว่าศกุนตลาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบลั่นเปรี้ยงใส่พระแสงดาบที่ถูกชูขึ้น ด้วยอำนาจของกระสุนในระยะฉกรรจ์มันทำให้อัญมณีอันประเมินค่าไม่ได้บางส่วนหลุดกระเด็นออกพร้อมกับดาบที่หมุนคว้างหลุดมือไปกองกับพื้นทันที

 

         ในระหว่างที่ทุกคนกำลังอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ศกุนตลาที่ยังคงถือปืนที่มีควันลอยกรุ่นออกมาจากปากกระบอกโยนปืนกระบอกนั้นทิ้งก่อนจะชักกระบอกใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นพร้อมกับพูดเรียบๆว่า

 

       " ท่านออกญาศรีธรรมราช...ถ้าหากเกิด อุบัติเหตุ ที่ทำให้ผู้ถือดาบอาญาสิทธิ์ดับดิ้นไป ผู้ใดจะเป็นผู้ออกคำสั่งในลำดับต่อจากมัน? "

 

       " อ เอ่อ...ถ้านับตามยศและศักดินา ก็คงเป็นข้านี่แหละกระมัง "  ออกญาศรีธรรมราชที่ตกตะลึงไม่แพ้ขุนนางคนอื่นๆตะกุกตะกักครางตอบกลับเบาๆ และเมื่อได้ยิน หญิงสาวก็โคลงหัวพร้อมกับแสร้งถอนหายใจเฮือก

 

       " เฮ้อ...ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้...เนาะ? "

 

       " อ ออกคำสั่ง อพยพเร็วเข้าสิโว้ยยยย!! "

 

         คำสั่งแรกในฐานะของจอมทัพผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ ที่ขุนนางทุกคนต่างรับคำอย่างแข็งขันที่สุดกลับเป็นความทรงจำที่ออกญารัตนาธิเบศร์ผู้นี้ไม่อยากจดจำเลยแม้แต่น้อย...เพราะมันคือคำสั่งทิ้งเมืองราชบุรี แถมยังเป็นคำสั่งที่เขาสั่งอย่างโหยหวนที่สุดจนทุกคนต่างอดสงสารไม่ได้เลยทีเดียว...

 

 

 

      ...ณ ใจกลางทัพอันเป็นส่วนของแม่ทัพพม่าทั้งหลายทั้งปวง...

 

      ...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตการศึก...หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนหัวหงอกขนาดนี้จริงๆ...นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แม่ทัพใหญ่มังฆ้องนรธาที่กองทัพที่มีเขาเป็นผู้บัญชาการอยู่กำลังอยู่ในสภาพเช่นนี้...

 

 

         สภาพของทัพนับพันๆที่รวนเรและใกล้จะแตกพ่ายอยู่รอมร่อเช่นนี้!...

 

 

       " ระยำ! มันมีกันแค่ ๒ คนเองนะ อย่าไปกลัวมันสิวะ! "  จอมทัพวัยค่อนคนตวาดอย่างเดือดดาลอีกครั้งพร้อมกับชักดาบขึ้นมาเป็นเชิงขูู่้ใต้บังคับบัญชาทุกคน แต่ดาบในมือของเขาดูเหมือนจะสร้างความกดดันได้น้อยเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเทียบกับบุรุษบนหลังม้าสองคนที่อวดอ้างตัวเองด้วยธงธวัชของสมเด็จพระเจ้าบาเยงนอง บูรพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพม่า และยิ่งเมื่อกระสุนปืนและลูกธนูน้อยใหญ่ทำอะไรทั้งสองคนไม่ได้ ยิ่งทำให้คำอวดอ้างของพวกมันทั้งสองดูน่าเชื่อถือมากขึ้นจนน่าขนลุกที่สุด!

 

         แม้แต่ในสมองของมังฆ้องนรธา ในชั่วเสี้ยววินาทีนึงเขาก็ยังคิดวูบเลยว่าพวกมันที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างไม่อาจจะหยุดยั้งได้นี่คือสมเด็จพระเจ้าบุเรงนองจริงๆ!

 

        ไม่ถึงเสี้ยววินาที ม้าสีขาวปลอดที่สวมชุดเกราะสีดำของบุรุษแรกผู้ถือธงมยุราพื้นเหลืองก็เข้าปะทะกับกองหน้าของทหารพม่า แต่จะพูดว่า ปะทะ ก็ไม่อาจจะพูดได้อย่างถูกต้องนัก เพราะในหมู่ทหารเลวที่ยืนเป็นกองหน้านั่นไม่มีผู้ใดอาจหาญจับอาวุธต่อต้านผู้ท้าทายที่เข้ามาเพียง ๒ คนเช่นนี้ มันทำให้กองหน้าซึ่งประกอบด้วยทหารเลวจำนวนหลายร้อยคนแตกฮือกระจายออกไปทั้งสองฟากราวกับจอกแหนที่แหวกเป็นทางให้กับเรือไชยไม่มีผิด!

 

       " กองหน้า ผ่าน! "  ท่ามกลางเสียงลมที่พัดผ่านหูของไกรด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากมีลมพายุเป่าอยู่ข้างหู ไกรกัดฟันกระซิบเบาๆอย่างลิงโลด เพราะเขาตัดผ่านกองหน้าไปได้โดยที่ไม่มีการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อสีหมอกทะยานต่อเขาก็ใช้มือที่กุมบังเหียนอยู่แตะที่แผงคอของม้าคู่ใจพร้อมกับก้มลงพูดว่า

 

       " ช้าลงหน่อย สีหมอก เข้าช่วงยากแล้ว "

 

       " ฮี้! "

 

         เหมือนสีหมอกจะเข้าใจภาษาหรือไม่ก็ความต้องการที่เขาพยายามจะสื่อ เพราะจากการควบตะบึงเต็มฝีเท้าอย่างยาวนาน สีหมอกก็ผ่อนฝีเท้าลงอย่างรวดเร็วทว่าไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ทั้งยังไม่มีอาการสะดุดหรืออาการเหนื่อยอ่อนใดๆเลยแม้แต่น้อย ...ผิดกับม้าสีหม่นของอเทตยาที่แม้จะผ่อนฝีเท้าลงตามแต่กล้ามเนื้อขาของมันชักกระตุกวูบและมีเลือดที่เป็นฟองฝอยกระเซ็นออกมาจากจมูกที่หายใจฟืดฟาดอย่างชัดเจนจนไกรที่แม้จะแค่เหลือบมองแว้บๆก็ยังสังเกตเห็นได้ชัดเลยทีเดียว

 

       " อเทตยา! ม้าเธอ! "  แม้จะคิดแผนการทั้งหมดอย่างรอบคอบ แต่ชายหนุ่มกลับลืมคิดถึงกำลังของม้าที่ไม่ใช่สีหมอก...และการไล่ตามสีหมอกที่ห้อเต็มเหยียดก็ไม่มีทางที่ม้าตัวใดที่ไกรรู้จักจะทำได้อย่างแน่นอน

 

       " ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ! "

 

       " ข้าจะบอกให้สีหมอกถอยกลับ! "  ด้วยความเป็นห่วงสตรีผู้มีใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายกับผู้เป็นน้องสาวแท้ๆของเขา ทำให้ไกรคิดตัดสินใจจะหยุดการจู่โจมลงเพียงเท่านี้ แต่เมื่อเขาพูดจบ อเทตยาที่อยู่เบื้องหลังของเขากลับตวาดกลับมาลั่น

 

       " อย่าเจ้าค่ะ! "

 

       " แต่ว่า--- "

 

       " ข้าจัดการเอง! "  อเทตยาตวาดตอบกลับมาอีกครั้งอย่างดื้อรั้น ในขณะเดียวกันกับที่เขาทั้งสองคนเจอการต่อต้านเป็นครั้งแรก โดยทหารม้าเกราะเบาที่มีลักษณะเดียวกับทหารกองลาดตระเวนประมาณ ๒๐ นายซึ่งขยับอาวุธยาวบนหลังม้าในมือพร้อมกับกระตุ้นม้าพุ่งตรงเข้าใส่ไกรทันที

 

         ด้วยความกะทันหันของสถานการณ์ทำให้ไกรต้องเล่นไปตามน้ำ เขาม้วนธงมยุราพื้นเหลืองที่ผูกติดกับง้าวของตัวเองวูบเพื่อไม่ให้ปลายธงเกะกะก่อนจะตวาดด้วยภาษาพม่าสำเนียงเก่าที่เขาขอให้ศกุนตลาฝึกให้อยู่เสียนานดังลั่นว่า

 

 

       " ชนรุ่นหลังผู้เหิมเกริม จงอย่าขวางทางผู้บรรพบุรุษเช่นข้า!! "  

 

 

         เสียงตวาดพร้อมกับจิตระดับจิตสังหารระดับสูงสุดเท่าที่ไกรจะสามารถสร้างได้ ไม่ต่างอะไรกับเข็มเล็กๆนับพันนับหมื่นเล่มที่พุ่งเข้าเสียดแทงผิวหนังนายทหารพม่าผู้หาญกล้าเผชิญหน้าเหล่านั้น เมื่อประกอบกับจิตสังหารของลูกแก้วลูกขวัญและสีหมอกที่ผสมโรงรวมเข้ามาด้วย มันทำให้แม้แต่ม้าศึกที่ถูกฝึกล่อแพนมาแล้วเป็นอย่างดีที่พุ่งเข้าใส่ไกรยังถึงกับหยุดขาของตัวเองจนฝุ่นคลุ้ง ...ในสภาพที่ม้าศึกไม่อาจจะบังคับได้เพียงชั่วเสี้ยววินาที คนระดับไกรที่ถนัดเล่นงานจุดอ่อนของคนอื่นอยู่แล้วก็ไม่พลาดที่จะฉกฉวยโอกาสนั้นทันที

 

 

        ฉัวะ!!

 

 

        เสี้ยววินาทีเดียว ง้าวที่มีลักษณะคล้ายกับง้าวกรีดนภาในมือของไกรก็ตวัดวูบ ตัดหอกยาวในมือของทหารม้าชนชาติพม่าจนขาดเป็น ๒ ท่อนด้วยความคมระดับมีดโกน ก่อนที่เขาจะใช้ส่วนปลายแหลมอีกด้านแทงเข้าเต็มๆหัวไหล่ของนายทหารม้าที่ไร้อาวุธตรงหน้าและส่งเขาตกหลังม้ากระเด็นลงไปคลุกฝุ่นทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ร้องเลยซักแอะเดียว!

 

       " ว เหวอ! "

 

         ในเวลาเช่นนี้ไกรไม่อาจจะหยุดดูผลงานได้ ...หลังของนายทหารม้าคนแรกยังไม่ทันจะตกกระทบพื้น ไกรและสีหมอกก็พุ่งอย่างรวดเร็วราวกับแสงสีขาวหม่นวูบ แถบแสงสีขาวที่พุ่งผ่านทหารพม่าบนหลังม้าอีก ๔ นาย...ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว ทุกคนที่สีหมอกและไกรพุ่งผ่านต่างก็ถูกแทงและกระแทกให้ตกจากหลังม้าพร้อมกับแผลฉกรรจ์ที่ไหล่แทบจะในจุดเดียวกัน อันแสดงให้เห็นถึงความแม่นยำและความสูงส่งของฝีมือที่ต่างกันจนน่าตระหนก!

 

         ถึงแม้ว่าไกรจะลงมือได้อย่างเฉียบขาดและรุนแรง แต่ผลของการลงมือกลับไม่ได้ออกมาอย่างโหดเหี้ยมอย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย เพราะในเสี้ยววินาทีนั้นถ้าหากเป็นคนอื่นคงจะแทงง้าวเข้าจุดสำคัญของอีกฝ่ายและส่งมันลงนรกไปเรียบร้อยแล้วแน่ๆ...แต่ไกรกลับลงมือเพียงแค่ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแถมยังเป็นอาการบาดเจ็บที่แม้จะดูรุนแรงแต่สามารถรักษาพยาบาลให้ฟื้นสภาพได้ ไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นพิการเลยแม้แต่น้อย 

 

         นี่อาจจะเป็นวิถีทางที่โง่เง่าสำหรับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์คาบเกี่ยวกับความเป็นความตาย ระหว่างผู้ที่อยู่ในสงคราม...แต่นี่คือวิถีทางที่ไกรได้เลือกแล้ว...

 

         แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เป็นต้นเหตุให้ผู้คนสิ้นชีวิตไปมากมายหลายคน แต่เขาจะไม่มีวันยอมให้เลือดและชีวิตของผู้คนเปื้อนมือตนเองโดยเด็ดขาด...

 

 

        นี่คือเดิมพันของไกร!

 

 

         วูบ!

 

 

       " อเทตยา?! "  

 

         ในเวลาเดียวกับที่ไกรแทงทหารม้าชาวพม่าคนแรกตกม้าไป อเทตยากลับทำในสิ่งที่ไกรคาดไม่ถึง จากที่เธอตามไกรมาอย่างติดๆ เธอกลับกระตุ้นม้าที่อยู่ในสภาพร่อแร่สุดๆให้พุ่งล้ำหน้าไกรและสีหมอกออกไปจนกระทั่งออกจากอาณาเขตม่านพลังของลูกแก้วลูกขวัญที่คอยปกป้องอยู่ ทำให้ไกรถึงกับร้องเสียงหลงอย่างตกใจที่สุด...และยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อหางตาของเขาเหลือบเห็นปืนสับนกในมือของทหารม้าที่เหลือเกือบทุกคนชี้ไปที่อเทตยาที่ล้ำหน้าออกมา ะวกมันอาจรู้หรืออาจจะไม่รู้ แต่เวลานี้อเทตยาไม่ได้ถูกปกป้องด้วยม่านพลังของสองกุมารีของไกรและแทบจะอยู่ในสภาพไร้การป้องกันตัวโดยสิ้นเชิง

 

         ไม่ทันสิ้นเสียงไกร เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้องเป็นตับ!

 

 

         ปังๆๆๆ!

 

 

         แต่ในเวลาเดียวกับปืนสับนกขนาดเล็กลั่นไก อเทตยากลับกระชากบังเหียนม้าจนม้าของเธอผงะและเชิ่ดหน้าขึ้นจนข้าหน้าทั้งสองตะกุยอากาศ เสี้ยววินาทีต่อมา กระสุนปืนสับนกก็พุ่งเข้าใส่และฝังในส่วนอกของม้าโชคร้ายตัวนี้ทันทีจนม้าที่อาการย่ำแย่อยู่แล้วถึงกับร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เลือดทะลักออกจากปากราวกับทำนบแตก!

 

         แต่อเทตยาไม่ได้มีอาการตกตะลึงใดๆทั้งสิ้น เพราะเธอเป็นผู้บังคับม้าให้พุ่งขึ้นรับกระสุนเอง หญิงสาวอาศัยแรงเหวี่ยงกระโดดจากหลังม้าและหมุนคว้างกลางอากาศราวกับนักยิมนาสติกพร้อมกับที่มือข้างหนึ่งสะบัดธนูประจำกายอย่างธนูวัชระทมิฬให้กางออกเต็มสัดส่วน ไม่ถึงเสี้ยววินาทีขณะที่เธอยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ลูกศรสีดำสนิท ๓ ดอกก็พุ่งใส่กลางกระหม่อมของนายทหารม้าพม่าที่ควบม้าอยู่ตรงหน้าทั้ง ๓ นายอย่างแม่นยำที่สุด!

 

 

         ฉึก! ฉึก! ฉึก!

 

 

         ด้วยการยิงที่เอกอุเพราะยิงได้ในทุกสภาพอริยบท ทั้งยังแม่นยำราวกับร่ายมนต์ นับจากเสียงปืนลั่นถึงปัจจุบันผ่านไปเพียงแค่ไม่ถึง ๒ วินาทีด้วยซ้ำ...นายทหารกล้าทั้ง ๓ สิ้นชีพอย่างปัจจุบันโดยไม่ทันได้ร้องซักแอะพร้อมกับอำนาจธนูที่ผลักพวกมันให้ตกจากหลังม้า...อเทตยาที่กำลังถูกกฎแรงโน้มถ่วงดึงให้ร่วงหล่นก็ร่างหล่นลงมาที่โกลนของหนึ่งในม้าที่ไร้ซึ่งเจ้าของพุ่งสวนเข้ามาราวกับจับวาง พร้อมกับที่อเทตยาไม่ยอมปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปแม้แต่วินาทีเดียว...เพียงบั้นท้ายเธอสัมผัสกับโกลนม้าอย่างมั่นคง ลูกธนูจากธนูวัชระทมิฬในมือก็ถูกส่งออกไปอีก ๓ ดอก เพื่อดับชีพอีก ๓ นายทันที!

 

       " อ อ๊ากกกก! "

 

         หญิงสาวผู้มาด้วยลงมือได้ต่างจากไกรโดยสิ้นเชิง ทุกครั้งที่เธอลงมือ เธอลงมืออย่างเด็ดขาดที่สุด! ลงมือโดยปราศจากการลังเล! ลงมือโดยไม่คิดถึงสถานะของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลยแม้แต่น้อย!...ทุกการลงมือ นอกจากจิตสังหารอันน่าขนพองสยองเกล้าแล้ว เธอยังแผ่ความเกรี้ยวกราดออกมาด้วยอย่างปิดบังไม่มิด!

 

 

         ความเกรี้ยวกราดของชาวชนชาติมอญ...ชาวมอญผู้สูญเสียญาติมิตร สูญสิ้นแผ่นดินเกิด...ด้วยฝีมือของชนชาติศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจจะอยู่ร่วมโลกกันได้!

 

 

         ชนชาติพม่า ทหารพม่าแห่งพระเจ้าอลองพญา ผู้เคยเหยียบย่ำราชอาณาจักรหงสาวดีของเธอจนราพนาสูร! 

 

 

       " ฮ เฮ้ย! ไม่ยึดแผนการเลยนี่หว่า! นี่มันแค้นส่วนตัวชัดๆ มิน่าถึงได้ตะแง้วๆจะตามมาให้ได้ ยัย...โธ่เว้ย! "  ไกรครางออกมาอย่างขัดใจก่อนที่อารมณ์เป็นห่วงจะสั่งให้ไกรกระตุ้นสีหมอกให้พุ่งตามอทเตยาไปติดๆเพื่อให้อเทตยากลับเข้าสู่อาณาเขตของลูกแก้วและลูกขวัญซึ่งกำหนดปริมณฑลไว้เพียงรอบกายของไกรเท่านั้น ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างที่ไม่ได้ประคองง้าวคว้าข้อมือเรียวงามด้านที่ถือคันธนูวัชระของอเทตยาหมั่บพร้อมกับตะโกนดังๆว่า

 

       " อเทตยา! หยุด! "

 

       " อ อ่ะ ท ท่านไกร? "  เหมือนหญิงสาวจะได้สติกลับมาอีกครั้ง เพราะเธอลดจิตสังหารและจิตกราดเกรี้ยวของตัวเองลงจนแทบไม่เหลือก่อนจะหันดวงตาใสแป๋วมาหาไกรจนไกรได้แต่แยกเขี้ยววับ

 

       " ช้าไว้ก่อน อย่าลืมสิว่าเรามีแค่ ๒ คน จะทำอะไรต้องคิดอ่านให้รอบคอบ เพราะเจ้าไม่ยอมยิงพลุสัญญาณต่อทำให้พวกเรือเวนไตยกำหนดที่อยู่ของเราไม่ได้เลยไม่กล้ายิงปืนใหญ่มาต่อ ขืนเป็นแบบนี้เราจะเป็นฝ่ายแย่เอานะ! "  ไกรพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิจนอเทตยาถึงกับสะอึก แต่ช่วงเวลาในสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เธอไม่มีเวลาสำนึกผิดนานนัก...หญิงสาวหรี่ตาก่อนจะส่งลูกธนูสีดำสนิทใส่ทหารพม่าบนหลังม้าอีก ๒ คนที่พุ่งเข้ามาในระยะที่อาจจะสามารถทำอันตรายไกรที่กำลังดุเธอยู่ได้ ก่อนจะล้วงหยิบพลุสัญญาณขึ้นจุดจนเห็นเป็นทางยาวเพื่อกำหนดตำแหน่งของตัวเองให้พวกเรือเวนไตยรู้อีกครั้งจนทำให้ กระสุนปืนใหญ่ปริศนา ถูกระดมยิงอีกครั้ง...ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหันมาหาไกรพร้อมกับก้มลงและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเบาๆว่า

 

       " ข ข้าขอโทษ--- "  

 

         น้ำเสียงที่สั่นสะท้านและท่าทีสำนึกผิดทำให้คนที่ใจอ่อนกับสตรีเพศอยู่แล้วอย่างไกรแทบจะไม่ถือโทษในเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเรียกได้ว่า เล็กๆน้อยๆ ที่พึ่งผ่านไปหมาดๆจนหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะรีบปั้นหน้าขึงขังถึงแม้ว่าจะอยู่ใต้หน้ากากและพยักหน้าให้กับหญิงสาวอีกครั้ง

 

       " อ เอาเถอะ พยายามอยู่ในแผน ยิงระบุตำแหน่งเราเรื่อยๆ ข้าจะฝ่าเข้าไปเท่าที่ทำได้ ถ้าคิดว่าไม่ไหวบอกทันทีแล้วข้าจะถอยทันที เข้าใจนะ? "

 

       " เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ "

 

     ...ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดและไม่อยู่ในแผนการของไกรเกิดขึ้น แต่ถ้าหากมองในภาพรวมเหตุการณนี้กลับได้ผลดีเกินคาด เพราะหลังจากที่ไกรจัดการกับนายทหารคนแรกจนบาดเจ็บ และที่อเทตยาจัดการกับที่เหลืออย่างเด็ดขาดและรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น มันทำให้ทหารกองต่างๆที่รายล้อมอยู่และเห็นชัดคาตาถึงกับต้องตกตะลึงอย่างหวาดหวั่นอีกครั้ง เพราะเพียงสองคนก็ทำให้กองทหารม้าขนาดย่อมๆหนึ่งกองแตกพ่ายได้โดยไม่เสียเลือดซักหยดเดียว!

 

         ธงธวัชตรามยุราพื้นเหลืองที่ถูกกางขึ้นอีกครั้งเวลานี้กลับยิ่งดูน่าหวาดกลัวจนกระทั่งในสายตาของพวกเขาทั้งหมด บุคคลทั้ง ๒ ที่บุกเข้ามานี่ไม่ผิดอะไรกับวิญญาณของบูรพกษัตริยาธิราช พระเจ้าบุเรงนองกะยอดินนรธา ราชันย์ผู้ชนะสิบทิศ เสด็จลงมาเพื่อลงโทษทัณฑ์พวกเขาไม่มีผิดเพี้ยน!

 

         ไม่มีผู้ใดกล้าทำตนเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ที่จะหาญกล้ามาลองปังตออีกต่อไป! 

 

       ' เยี่ยม! พวกมันไม่เหลือจิตใจสู้แล้ว ช่วยทนอีกหน่อยนะ ลูกแก้ว-ลูกขวัญ...แล้วข้าจะเซ่นสรวงสังเวยให้ถึงใจพวกเจ้าเลย '  ไกรซ่อนยิ้มพร้อมกับให้คำมั่นสัญญากับกุมารีทั้งสองที่ทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด แต่ทั้งๆที่เขาอุตส่าห์พูดตามใจเด็กทั้งสองถึงขนาดนี้เด็กทั้งสองกลับไม่มีท่าทียินดีเลยแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม เป็นลูกแก้วที่ลดมือที่สร้างม่านพลังลงและพุ่งลงมานั่งแหมะบนแผงคอของสีหมอกตรงหน้าไกรพร้อมกับพูดอย่างปิดบังความกังวลไว้ไม่มิดว่า

 

       " ท่านพ่อ ท่านไม่รู้สึกเลยเหรอเจ้าคะ? "

 

       " หา? "

 

       " ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไร แต่ข้ารู้สึกแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วล่ะ "

 

       " หา? อะไรของเจ้าเนี่ย ข้างงไปหมดแล้วนะ " 

 

         แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันซักถามอะไรต่อ ที่กำแพงเมืองราชบุรีที่เบื้องหลังก็ปรากฏพลุสัญญาณชนิดที่เหล่ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตใช้ถูกจุดจนพุ่งขึ้นเป็นสาย ก่อนจะระเบิดเป็นพลุสีแดงฉานอย่างน่ากลัวซึ่งทั้งไกรทั้งอเทตยาที่เหลือบกลับไปมองต่างก็เบิกตากว้างอย่างตกใจทันที

 

       ' พลุสัญญาณสีแดง...จากศกุนตลา...เหตุการณ์ไม่ปรกติเกิดขึ้นและให้ถอยกลับงั้นเหรอ?! บ้าน่า เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?! '  ไกรที่เป็นผู้กำหนดสัญลักษณ์และความหมายของสีพลุสัญญาณเองเบิกตากว้างเพราะคิดว่าศกุนตลาทำพลาดและเกิดเรื่องที่ราชบุรี แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่างานที่เขามอบหมายให้ศกุนตลาทำเป็นงานง่ายๆระดับแม้แต่ตัวศกุนตลาเองยังถึงกับบ่นกระปอดกระแปด แถมยังมีออกญาศรีะรรมราชและพวกหนุนหลังอยู่อีกจึงไม่มีโอกาสเกิดความผิดพลาดที่ไม่อาจคาดเดาได้แน่นอน

 

       ' แปลว่าเรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้น...หมายถึงทางเรา ทางทัพพม่างั้นเหรอ?! '

 

       " ท่านไกร! "  เสียงตะโกนของอเทตยาที่ฝ่าสายลมที่อื้ออึงเข้าหูทำให้ไกรได้สติอีกครั้ง...เข้าใช้เวลตัดสินใจชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะสั่งการหญิงสาวอย่างเร่งรีบว่า

 

       " อเทตยา เจ้าแยกและถอยกลับไปก่อน ไปสมทบกับพวกอุษาที่จุดนัดพบ ๓ ...ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้และดำเนินแผนการขั้นต่อไป "

 

       " ต แต่ว่าท่านไกร ข้าสามารถอยู่เพื่อปกป้องท่านได้ "

 

       " อย่าขัดคำสั่งข้าตอนนี้! ยึดตามแผนไว้สิ! "  นำ้เสียงของไกรเกือบจะตวาดทำให้อเทตยาสะดุ้ง แต่ชายหนุ่มอธิบายเพิ่มเบาๆว่า  " ...ข้ามีลูกแก้วลูกขวัญกับสีหมอกอยู่ ไม่มีผู้ใดทำอันตรายข้าได้แน่...รีบไปซะ! "

 

         เมื่อรู้แน่ว่านี่ไม่ใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียง หญิงสาวยิงธนูวัชระในมืออีก ๓ ดอกสุดท้ายเป็นการทิ้งทวน ก่อนจะสะบัดพับธนูวัชระเก็บเพื่อความคล่องตัวในการหลบหนีก่อนจะพูดกับไกรอย่างเป็นห่วงอีกรอบว่า

 

       " รักษาตัวนะเจ้าคะ ท่านไกร...ข้าจะรอท่านที่จุดนัดพบ "  หญิงสาวพูดพร้อมกับเฆี่ยนม้าศึกที่เธอชิงได้จากทหารพม่าที่ถูกเธอสังหารแยกออกจากไกรทันที

 

       " ลูกแก้ว ตามไปคุ้มครองนางจนกว่าจะพ้นระยะธนู แล้วค่อยกลับมาหาข้า "  ไกรตวาดเบาๆ และเมื่อเห็นลูกแก้วหันมาพร้อมกับทำท่าจะขัดขืนเพราะความเป็นห่วงไกร เขาก็ชิงพูดต่อว่า

 

       " นี่เป็นคำสั่งของพ่อ...ไปเดี๋ยวนี้! "

 

       " เจ้าค่ะ "

 

 

         วูบบบ!

 

 

         ทันทีที่ลูกแก้วหายไป ม่านพลังที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองไกรจากอาวุธระยะไกลก็อ่อนลงอย่างชัดเจนเพราะเหลือแค่ลูกขวัญที่ปกป้องเขาอยู่คนเดียว ประกอบกับกองทัพทหารพม่าที่มีการเปลี่ยนแปลงแปลกๆทำให้ไกรตัดสินใจจะถอยบ้างโดยจะล่าถอยไปอีกทาง แต่เหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง

 

 

         ครืนนน!

 

 

         จิตสังหารระดับที่ทำให้ไกรที่ขนาดมีม่านพลังและศาสตราต่างๆคุ้มครองอยู่ยังถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนที่เขาจะมองไปที่ต้นตอของจิตสังหารนั่นและพบกับนายทหารม้าวัยค่อนคนที่อยู่ในชุดเกราะหนังระดับทหารชั้นไม่สูงมากที่ขี่ม้าสีหม่นตัวพ่วงพีพุ่งเข้ามาราวกับลูกธนูที่หลุดออกมาจากแหล่ง ที่บั้นท้ายของม้าผูกไว้ด้วยเสาธงธวัชรูปมยุราหรือนกยูงรำแพนบนผืนผ้าสีทองอร่ามซึ่งต่างจากธงมยุราพื้นเหลืองของไกรไปอีกแบบ...ซึ่งดูจากวิถีของม้าแล้วทำให้ไกรรู้ได้ทันทีว่ามันคิดจะพุ่งเข้าใส่ไกรอย่างไม่มีเค้าของความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

 

       " เอาวะ! ทิ้งทวนด้วยไอ้นี่ก็แล้วกัน "  ไกรตัดสินใจแสดงแสนยานุภาพของตัวเองอีกครั้งโดยหวังให้อาณุภาพที่เขาแสดงสร้างความเข็ดขามให้แก่ทัพพม่าจนไม่มีใครกล้าตามซึ่งจะทำให้เขาถอยได้ง่ายยิ่งขึ้น...เมื่อตัดสินใจได้เขาจึงตวัดง้าวในมือพร้อมกับกระตุ้นสีหมอกให้เร่งฝีเท้าอีกครั้ง

 

       " ชนรุ่นหลังผู้เหิมเกริม! จงพ่ายแพ้แก่เรา! "

 

         แต่ทหารบนหลังม้าวัยค่อนคนผู้นั้นกลับไม่เกรงกลัวจิตสังหารของไกรเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาผู้นั้นใช้มือคว้าธงธวัชมยุราบนพื้นสีทองออกมาจากบั้นท้ายม้าพร้อมกับประคองไว้ไม่ต่างจากทวนในมือพร้อมกับตวาดตอบกลับมาเป็นภาษาพม่าดังลั่น

 

       " ถ้าทำได้ก็ลองดูสิโว้ยยย!! "

 

       

         เคร้งงงง!!

 

 

         เสียงของโลหะชั้นสูงปะทะโลหะชั้นสูงไม่แพ้กันดังกังวานแหลมยาวจนทุกจนถึงกับแยกเขี้ยวอย่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ผู้ที่ตกใจทีสุดกลับเป็นตัวของไกรเอง เพราะหลังจากการปะทะที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว มันทำให้เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าชายวัยกลางคนตรงหน้านี่ไม่ใช่หมูที่จะสามารถเคี้ยวได้ง่ายๆ

 

 

         ไม่สิ...ถ้าจะพูดให้ถูก นี่อาจจะเป็นศัตรูที่ตึงมือที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมาเลยก็ได้!

 

        

         แกร๊ก!

 

       

        การปะทะกันในชั่วเสี้ยววินาทีขณะที่ม้าวิ่งสวนกันไป ง้าวกรีดนภาในมือของไกรที่ถูกตีขึ้นด้วยฝีมือของยูกิโอะซังดูเหมือนจะมีภาษีมากกว่าเพราะมีเพียงแค่รอยบิ่นจากการปะทะกันเท่านั้น ในขณะที่เสาธงโลหะที่ถูกใช้ต่างทวนในมือของทหารพม่าผู้นั้นกลับหักสะบั้นลงจนธงธวัชสีทองอร่ามต้องลงไปกองกับพื้นทันที     

 

       " เหอะ! "  ไกรไม่คิดจะอยู่ต่ออีกต่อไป เขาใช้เท้ากระตุ้นสีข้างของสีหมอกเพื่อให้ยอดอาชาเร่งฝีเท้าถึงขั้นสูงสุดเพื่อหลบหนีทันที...ในขณะเดียวกัน นายทหารผู้ใช้ธงเข้าปะทะกับไกรก็ไม่ได้คิดจะลงไปเก็บธงธวัชซึ่งเป็นตราประจำราชวงศ์อลองพญาหรือตราประจำพระองค์ของพระเจ้าอลองพญาเองเลยแม้แต่น้อย...เขาเพียงแค่นั่งบนหลังม้านิ่งพร้อมกับมองเสาธงที่ขาดด้วนไปจากการปะทะกัน...ก่อนที่ในที่สุด เขาจะเงยหน้าและหัวเราะ

 

 

      ...เขาหัวเราะ...หัวเราะดังก้องและยาวนานอย่างถูกอกถูกใจเป็นที่สุด!...

 

 

       " ฮ่าๆๆๆ ...เป็นอย่างที่เจ้าบอกไม่ผิดปาก...เทวีผู้พญากรณ์...นักรบหนุ่มแห่งกองทัพภูติผีปิศาจ...เจ้าทำให้เรา อองไชยะ (พระเจ้าอลองพญา) ผู้นี้สนุกสนานได้อย่างถึงที่สุดจริงๆ ...ฮ่าๆๆๆๆ "

 

 

 

 

 

 .................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา