ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
142)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ณ เชิงเทิน กำแพงเมืองราชบุรี...เมือง ที่กลายเป็นปราการหน้าด่านที่ถูกข้าศึกจู่โจม ในช่วงเวลาที่กระชั้นชิดที่สุด...
" พวกมึง! เร่งเอาปืนใหญ่จุกช่องเชิงเทิน นำกระสุนแลดินดำออกมาเตรียมให้พร้อม อย่ามัวชักช้ายืดยาดสิวะ! พวกข้าศึกมันมาถึงหน้าประตูเมืองแล้วนะโว้ย! " เสียงตะโกนโหวกเหวกของชายรูปร่างออกท้วมเล็กน้อยที่เวลานี้อยู่ภายในชุดเกราะสีเงินวาวที่ใหม่เอี่ยมอ่องชนิดน่าจะพึ่งนำมาใส่แบบสดๆร้อนๆ พร้อมกับที่ในมือของชายผู้ตะโกนโหวกเหวกนั้นกวัดแกว่งดาบสีทองอร่ามที่ประดับอัญมณีอย่างงดงาม...ดาบ...ที่มีอำนาจสูงที่สุดในกองทัพแห่งนี้...
...พระแสงดาบอาญาสิทธื์...
ทำให้เดาได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ว่าผู้ที่กำลังครอบครองพระแสงดาบเล่มนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น...แต่เป็นจอมทัพผู้ขันอาสา...พระยารัตนาธิเบศร์...
ท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกแข่งกับเสียงทำงานที่ดังเซ็งแซ่จนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ในฐานะ ทหารเลว ที่เวลานี้ทำงานจนเหงื่อชุ่มโชกราวกับอาบน้ำและกำลังแบกลังดินดำขึ้นเชิงเทินหันมากระซิบกระซาบกันเบาๆว่า
" เฮ้อ พึ่งมาเตรียมการเอาเวลานี้ คงจะทันหรอก "
" แปลกใจชะมัด พม่ามันก็บุกมาช้ากว่าที่ท่านออกญาเพชรบุรีคิดตั้งเกือบสัปดาห์ ไหงยังดูฉุกละหุกอย่างนี้วะ? "
" ก็ตอนที่พวกพม่ายังไม่โผล่มาก็เอาแต่ประชุมกันโดยไม่มีอะไรคืบหน้าเลย...ถ้าเป็นที่เพชรบุรีที่เราล่าถอยมา ป่านนี้ท่านเรืองได้ดีดพวกท่านๆเหล่านี้กระเด็นออกจากสารบบแม่ทัพไปตั้งนานแล้ว "
" เออ ต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ...คิดๆแล้วก็ยิ่งคิดถึงท่านเรือง ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ "
" เฮ้อ...ถ้าหากไม่มีอะไรระดับปาฏิหาริย์เข้ามาแทรกกลาง ราชบุรีคงเห็นจะชะตาเมืองขาด ไม่มีโอกาสเห็นตะวันวันรุ่งพรุ่งนี้เป็นแน่ว่ะ "
...เสียงกระซิบกระซาบที่บ่งบอกถึงความไม่เชื่อในตัวของผู้บังคับบัญชา ไม่เชื่อในการแผนป้องกัน ไม่ได้มาจากแค่กลุ่มของพวกเขา แต่มาจากเหล่าทหารคเลวหลายต่อหลายกลุ่ม ที่แม้่จะทำงานไปด้วยตามคำสั่งแต่ก็ยังจับกลุ่มนินทาถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอีกไม่ช้าไม่นานนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ขวัญกำลังใจในกองทัพแทบจะดิ่งลงเหว...สภาพทัพดูซังกะตายไร้ซึ่งความฮึกเหิมจนแม้่แต่กลุ่มคนประหลาดๆที่กำลังเดินเข้ามาสัมผัสได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้พลังพิเศษใดๆเลยแม้แต่น้อย
" แบบนี้...จะแย่เอานา " สิน หลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตาก รองแม่ทัพแห่งกองทัพภูติพรายที่เวลานี้อยู่ภายใต้หน้ากากโขนรูปร่างแปลกๆสีขาวตุ่นๆและผ้าคลุมขาดๆที่คลุมมาถึงหัวอดครางออกมาเบาๆอย่างคนที่ผ่านศึกสงครามมาแล้วไม่ได้ ในขณะที่เมื่อได้ยิน ไกรที่เวลานี้อยู่ภายใต้หน้ากากที่มีลักษณะคล้ายกับของสินแต่มีสีดำสนิทก็หัวเราะลอดหน้ากากออกมาเบาๆทันที
" เหนื่อยหน่อยนะ ท่านสิน "
" อย่าพูดชื่อข้าสิขอรับ! อย่าลืมสิว่าเราแฝงตัวเข้ามานะ " สินร้องห้ามเสียงหลงจนกระทั่งโคลี้และออลลี่ที่เวลานี้เอาหน้ากากตัวอะไรก็ไม่รู้มาสวมหัวเราะออกมา
" ใช่ๆ ไกร อย่างที่ท่านสินบอกนั่นแหละ อย่าเรียกกันด้วยชื่อจริงสิ! "
" ก็พวกแกพึ่งเรียกออกมาเต็มปากเต็มคำเลยไม่ใช่รึไงล่ะฟะ! "
" เฮ้อ...ล่มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเลย " แม้แต่ศกุนตลาที่ว่าปากหนักชนิดง้างให้ตายก็ไม่ยอมเปิดง่ายๆยังถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างหนักใจจนอเทตยาที่เดินอยู่ๆข้างๆถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
" เอาล่ะๆ เข้าโหมดจริงจังล่ะนะ " ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มเร่งฝีเท้า...จะเพราะพวกเขาทั้งหมดปกปิดจิตคุกคามได้ดีกว่าปรกติ หรือเพราะความหล่ะหลวมของเวรยาม หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ มันทำให้กว่าทหารรักษาเมืองราชบุรีจะรู้ตัว พวกเขาก็แทบจะมาถึงจุดรวมตัวของพวกแม่ทัพชั้นบัญชาการบนเชิงเทินเสียแล้ว
" หยุด! พวกเจ้าทั้งหมดเป็นใคร?! เข้ามาที่นี่ทำไม! " เสียงตวาดของทหารเวรยามรักษาการพร้อมกับกลุ่มทหารยามที่กรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ทำให้ไกรหันซ้ายหันขวาก่อนจะครางออกมาเบาๆว่า
" คงจะมาได้เต็มที่ถึงตรงนี้ซะล่ะมั้ง "
" ได้ถึงขนาดนี้ก็ดีจนน่าวิตกแทนพวกมันแล้วขอรับ...ถ้าหากไม่ใช่เราแต่เป็นสายของพม่ามาแทน ป่านนี้หัวของแม่ทัพคงได้ปลิวไปหลายหัวแล้ว " สินโคลงหัวดิกๆ ก่อนที่การสนทนาของพวกเขาจะถูกขัดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงตวาดของทหารยามที่เริ่มไม่เป็นมิตรขึ้นเรื่อยๆ จนไกรถอนหายใจเฮือกก่อนจะอ้าปากอีกครั้ง แต่กแล้วเขาก็ชะงักกึกก่อนจะหันมาหาสินช้าๆ
" เออว่ะ ถึงตรงนี้เราควรตอบว่าอะไรฟะเนี่ย? ลืมคิดไปเลย "
" ห หา?! ท่านจะบอกว่าคิดแผนบ้าๆไปได้ไกลถึงขนาดนั้นแต่ดันลืมคิดเรื่องคำแก้ตัวอย่างนี้หรือขอรับ?! " สินหันขวับมาร้องเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง และก่อนที่พวกเขาจะหาคำแก้ตัวที่เหมาะสมได้ โคลบี้และออลลี่ที่ดูจะกระตือรือร้นกับทุกๆสิ่งที่พวกเขาเห็นก็แข่งกันยกมือราวกับแย่งกันตอบ ก่อนที่โคลัมบัสแฝดผู้พี่จะตะโกนลั่นว่า
" มาเที่ยวเล่นขอรับ! "
" เฮ้ย! "
๕ นาทีต่อมา...
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากคำตอบที่ว่า มาเที่ยวเล่น หลุดออกมาจากปากของกลุ่มคนที่ทั้งสวมหน้ากากแปลกทั้งคลุมผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง พวกเขาทั้งหมดจึงถูกอัปเปหิมาอยู่ในตารางที่ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆจากไม่้ไผ่ที่มีลักษณะเป็นคุกอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ ซึ่งหลังจากที่ไกรต้องห้ามไม่ให้ทั้งสิน ทั้งศกุนตลากระทืบทั้งโคลบี้และออลลี่ให้หยอดน้ำเข้าต้มข้อหาทำเสียเรื่องตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเรื่อง พวกเขาก็มานั่งจับกลุ่่มคุยกัน ท่ามกลางกองทัพที่ถูกจัดเตรียมเพื่อสู้ศึกขนานใหญ่ที่สุด
" คราวนี้จะเอาอย่างไรกันต่อล่ะขอรับ? " สินที่เวลานี้ยังคงใช้สายตาคาดโทษมองไปที่คู่แฝดตัวปัญหาวิบวับอย่างไม่พอใจเปิดประเด็นขึ้นเบาๆ ในขณะที่เมื่อได้ยิน ไกรที่เวลานี้กำลังจัดเศษฟางแห้งให้เหมาะแก่การนอนโคลงหัวก่อนจะตอบกลับมาอย่างง่ายๆว่า
" ก็ยังไม่ต้องทำอะไร "
" หา? "
" ไม่สิ จะพูดให้ถูก ตอนนี้จะให้ทำอะไรก็คงทำไม่ได้มากกว่า ก็ถูกขังคุกขี้ไก่แบบนี้อยู่นี่เนอะ "
" ถ้าเช่นนั้นข้าขออนุญาตจัดการกับไอ้เด็กบ้าสองคนนี่ " ศกุนตลายกมือขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงจังจนโคลบี้และออลลี่ต้องถอยกรูดไปอยู่ที่มุมที่ไกลที่สุด ซึ่งไกรที่กำลังนอนเอกเขนกหลับตาลงบนกองหญ้าแห้งหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะครางออกมาช้าๆอีกครั้งว่า
" ไม่อนุญาต "
" ขอให้ทบทวนคำสั่งอีกทีเถอะเจ้าค่ะ "
" นี่ๆ ศกุนตลา จะล้อเล่นก็เอาพอหอมปากหอมคอดีกว่าน่า โคลบี้กับออลลี่กลัวเธอจริงๆแล้วนะ "
" ข้าตอนนี้เหมือนคนกำลังล้อเล่นอยู่อย่างนั้นเหรอ? "
ไกรทำเป็นไม่สนใจคำขอยำใหญ่พวกตัวปัญหาที่ออกมาจากปากของมือฉมังปืนสาวสายเลือดพม่า เขาหันมาหาสินอีกครั้งพร้อมกับพูดเบาๆว่า
" นั่งลงก่อนเถอะ ท่านสิน "
" ท่านไกร? "
" ทำตัวตามสบาย คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกันนะ "
" ถึงจะเป็นหัวหน้า แต่ถ้ายังกวนไม่เลิกข้าก็ชกเอาได้เหมือนกันนะขอรับ " คำพูดเรียบๆของสินที่ไม่แน่ใจว่าล้อเล่นหรือจริงจังกันแน่ทำให้ไกรรีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรงพร้อมกับรีบพูดอย่างจริงจังก่อนที่อาจจะเสี่ยงโดนหมัดตรงเข้าให้ว่า
" พูดตรงๆนะท่านสิน ถึงสถานการณ์ตอนนี้จะผิดคาดไปบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับพอรับได้ และที่ข้าพูดว่าให้นั่งลงก่อนน่ะ ข้าพูดจริงๆ ตอนนี้เราทำได้แค่รอเท่านั้น " คำพูดของไกรเรียกความสนใจของทุกคนได้อย่างชะงัด เพราะนอกจากโคลบี้และออลลี่ที่ยังไม่กล้าเข้ามาร่วมวง ทั้งสิน ศกุนตลาและอเทตยาต่างก็ล้อมเข้ามาทันที
" นี่อยู่ในแผนเช่นกันหรือ ท่านไกร? " คราวนี้แม้แต่อเทตยาที่แต่ไหนแต่ไรเชื่อใจไกรอยู่แล้วยังถามขึ้นเบาๆอย่างไม่ค่อยคาดหวังเท่าไหร่จนไกรหัวเราะเบาๆอีกครั้ง
" ไอ้เรื่องโดนจับนี่น่ะไม่อยู่ในแผนหรอก แต่คนที่อยู่ในแผนน่ะ กำลังมาโน่นแล้วไง "
" หา? " ทุกคนร้องออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองทางที่ไกรชี้ให้ดู ซึ่งเขาก็ได้พบกับชายที่อายุเข้าสู่วัยชราจากรอยยับย่นบนใบหน้าและผมที่ขาวโพลน ที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะรบของแม่ทัพระดับสูง พร้อมกับทหารบริวารอีกหลายสิบคนที่เดินเข้ามาโดยมีจุดหมายมาที่คุกแห่งนี้อย่างเร่งรีบที่สุด
" นั่นมัน? "
" หึๆๆ...ปล่อยให้รอตั้งนาน ในที่สุดก็มากันได้เสียทีนะ " ไกรหลับตาลงและหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนและเดินมาชิดลูกกรงไม้ที่คุมขังเขาอยู่ เพื่อเผชิญหน้ากับชายชราในชุดเกราะรบที่เดินเข้ามาทันทีจนทำให้ชายชราและบริวารเหล่านั้นชะงักกึก...พร้อมกับที่ผู้นำกลุ่มชราจะขมวดคิ้วอันขาวโพลนนั้นอย่างงุนงง
" รู้...อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ ว่าพวกเราจะมาหาท่าน "
" แน่นอนสิ ก็ข้ากำลังรอท่านอยู่นี่ "
" ค คนพวกนี้... " สินที่ชักตามไม่ทันเดินเข้ามาด้านหลังไกรพร้อมกับสะกิดเบาๆเพื่อให้ไกรอธิบายเพิ่มเติมมากกว่านี้โดยไม่ลืมที่จะไม่เรียกชื่อจริงของไกร ซึ่งไกรก็กอดอกหัวเราะหึๆอีกครั้ง ก่อนจะหันมาหาสินช้าๆพร้อมกับครางออกมาเบาๆ
" นั่นสิ...ไอ้พวกนี้ใครฟะ? "
" ถ้าไม่รู้จักก็อย่าทำท่าเหมือนเข้าใจทุกอย่างอย่างนี้สิเฟ้ย!! " ทุกคนที่อยู่ในห้องขังโวยลั่นไม่เว้นแม้แต่ศกุนตลาที่ถึงกับน๊อตหลุดชั่วคราว คราวนี้ทุกคนชักอยากจะชกไกรแทนชกโคลบี้แล้ว
" ข้าคือเจ้าพระยาศรีธรรมราชชาติเดโชไชยฯ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช " ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ชายชราในชุดเกราะผู้นั้นก็แนะนำตัวเองอย่างหนักแน่น ทำให้ทุกคนชะงักกึกไปอีกครั้ง เพราะเขาพึ่งรู้ตัวว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเจ้าพระยานาหมื่นผู้มีศักดิ์เทียบเท่าเจ้าพระยาสุรสีห์ผู้ครองพิษณุโลก ขุนนางผู้ครองเมืองชั้นเอกฝ่ายใต้อยู่ ...และก่อนที่ไกรหรือคนอื่นๆจะได้ทันว่าอะไร ออกญาศรีธรรมราชผู้เฒ่าก็พูดต่อช้าๆว่า
" พวกท่าน คนใดคนหนึ่งคือท่านไกร ออกญาพิทักษ์ราชภักดีแห่งหน่วยคเณศร์เสียงา...ส่วนอีกคนก็คงจะเป็นท่านสิน หลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตาก...ใช่ไหม? "
เฮือก!
" ร รู้ได้อย่างไรอ่ะ?! " ไม่โคลัมบัสก็ออเรลลาน่า คนใดคนนึงหลุดปากร้องออกมาดังลั่นก่อนจะถูกศกุนตลาเอาผ้าอุดปากจนตาเหลือก ส่วนไกรกับสินรีบตะโกนเพื่อกลบเสียงจนเสียงหลง
" ไม่ใช่! "
" ข้าและคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลังข้าคือคนที่รอดมาจากเพชรบุรี พวกเราร่วมรบกับท่านออกญาเพชรบุรีเรืองก่อนที่เพชรบุรีจะแตก...พวกเรารอดชีวิตมาได้เพราะท่านเรืองอยู่ถ่วงเวลาให้เราหนี...เราเป็นหนี้บุญคุณเขา " ออกญาศรีธรรมราชพูดอย่างเป็นการเป็นงาน ก่อนที่ไกรภายใต้หน้ากากสีดำสนิทจะพูดเรียบๆว่า
" แล้วทำไมท่านถึงได้คิดว่าข้าคือไกรหรือสินล่ะขอรับ? ท่านออกญา "
" ท่านเรืองพูดถึงเรื่องของท่านไกรและท่านสินให้ฟังเสมอๆ เขาว่าพวกท่านเป็นสหายที่พึ่งพาได้มากที่สุดในโลกใบนี้ "
" พอได้ยินแบบนี้ชักปลื้มจนอยากจะยิ้มออกมาเลยแฮะ " สินครางออกมาเบาจนทำให้ไกรพยักหน้าเห็นด้วยหงึ่กๆ ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวและรีบกระแอมพร้อมพูดต่อว่า
" ข้าอาจจะใช่หรือไม่ใช่คนที่ท่านว่า ประเด็นก็คือท่านมาหาข้าทำไมกันล่ะขอรับ? ท่านออกญา "
" ท่านก็เห็นแล้ว...ราชบุรีในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเมืองท่รอวันแตกพ่าย แม่้แต่พ่ออยู่หัวยังมีราชโองการเทครัวชาวบ้านหรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปยังสุพรรณบุรีแล้ว ทหารที่เหลืออยู่ต่างก็อยู่ในสภาพเสียขวัญ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงมิเกินชั่วหม่้อข้าวเดือด เมืองๆนี้ก็คงถึงกาลพินาศแตกดับเป็นแน่ "
" แล้วอย่างไร? " ไกรถามเรียบๆต่ออีกครั้งจนทำให้พวกที่ยืนอยู่ด้านหลังออกญาศรีธรรมราชเริ่่มขยับตัวอย่างอึดอัดกับบรรยากาศ แต่ออกญาศรีธรรมราชก็ยังใจเย็นพูดต่ออีกครั้ง
" ข้าอยากจะขอแรงพวกท่าน...ช่วยเป็นแม่ทัพในการศึกครานี้ด้วยเถอะนะขอรับ "
" แล้วข้าจะได้่อะไรล่ะ? "
" จ เจ้า! " ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังออกญาเฒ่าร้องออกมาอย่างเริ่มเหลืออดในความนิ่งราวกับหินหน้าหลุมศพไม่ยอมยินดียินร้ายอะไรของชายหนุ่มภายใต้หน้ากากสีดำตรงหน้า แต่ออกญานครศรีธรรมราชยกมือขึ้นห้ามและให้ทุกคนเงียบไว้
" ท่านจะไม่ได้อะไรเลย... "
ก่อนที่ใครจะได้ทันว่าอะไรต่อหรือก่อนที่ใครจะคาดคิด ออกญาศรีธรรมราชก็ทรุดลงคุกเข่าและก้มหัวลงจนกระทั่งหน้าผากติดพื้น...ไม่มีใครคาดคิดว่าออกญานาหมื่นผู้อยู่ในระดับเดียวกับอัครมหาเสนาบดีผู้อยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าขุนนางทั้งมวลจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้...และก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว นายทหารที่ติดตามมาด้วยก็คุกเข่าและก้มลงในท่าเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน
" พ พวกท่าน... "
" พวกเรารู้ดีว่าพวกเราไร้ซึ่งพลังที่จะสามารถทำในสิ่งที่พวกเราขอร้องให้พวกท่านทำได้...เพราะฉะนั้น เราไม่มีอะไรจะให้ท่าน ท่านจะไม่ได้อะไร...นอกจากคำขอร้อง...ขอร้องล่ะขอรับ ท่านไกร ท่านสิน...ทุกท่าน...ช่วยทำให้พวกเราชนะศึกนี้ทีเถอะขอรับ "
จากวินาที...เปลี่ยนเป็นนาที...ก่อนที่ในที่สุด ผู้ที่เริ่มพูดคนแรกจะเป็นไกร...เขาทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเขาถอดหน้ากากของตัวเองออกจนเผยให้เห็นใบหน้าจริง ก่อนที่เขาจะพูดเรียบๆว่า
" ท่านออกญา...ไขดาลคุกนี่ออกเถอะ "
แกร๊ก!
เมื่อไกรและทุกคนออกมาจากกรงขังได้ ไกรเข้ามาประคองออกญาเฒ่าให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" ท่านออกญา ขอให้ท่านเข้าใจให้ตรงกันกับพวกเราเสียก่อนนะ "
" ข ขอรับ? "
" พวกท่านไม่ได้ช่วยข้า ข้าจะออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ และนับแต่นี้ไปจนสิ้นศึกวันนี้ ท่านและทหารของท่านต้องทำตามคำสุ่งข้าโดยไม่มีคำถามอะไรทั้งสิ้น... "
" ท...ท่าน "
" นี่...สิน อเทตยา ศกุนตลา...อ้อ พวกเจ้าด้วยโคลบี้ ออลลี่...พวกเจ้าคิดหรือเปล่าว่าไอ้กองทัพพม่าที่อยู่ด้านนอกกำแพงนั่นมันขัดหูขัดตาไปหน่อยเหรอ? "
" ขัดหูขัดตาเนี่ยนะ? " ศกุนตลาโคลงหัวพร้อมกับทวนคำเบาๆ ในขณะที่สินถึงกับเกาหัวแกรกๆ
" เฮ้อ เล่นพูดชื่อจริงออกมาเช่นนี้จะลำบากใส่หน้ากากทำไมล่ะเนี่ย แต่เอาเถอะ หวังว่าท่านจะยังคงอยู่ในแผนการนะขอรับ " สินครางออกมาเบาๆเพื่อเตือนสติ จนทำให้ไกรหัวเราะเบาๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น
" งั้นก็ถือว่านี่คือแผนในแผนอีกที ก่อนจะเริ่มแผนหลักก็แล้วกัน...เอ่อ พูดเองยังงงเองเลยวุ้ย เอาเป็นว่าเข้าใจกันนะ ศกุนตลา ส่งข่าวบอกพวกเราที่รอท่าอยู่ว่าเราอาจจะไปถึงจุดนัดพบช้านิดหน่อย แต่ยึดแผนเดิมไว้ "
" เข้าใจล่ะ " ศกุนตลารับคำก่อนจะผิวปากเพื่อเรียกนกกาตัวย่อมๆที่บินมาจากไหนก็ไม่รู้ลงมาหาก่อนจะเริ่มต้่นเขียนข้อความลงกระดาษตามคำสั่งของไกรอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเธอเหลือบไปเห็นไกรกำลังยื่นมือไปขอพับผ้าอะไรบางอย่างจากโคลบี้ เธอก็ถึงกับชะงักมือพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" แน่ใจแล้วเหรอว่าถึงเวลาต้องใช่้มันแล้ว ไกร "
" ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ "
" แบบนี้มีหวังได้ตกนรกกันทั้งหมดแน่ "
" อ้อ แล้วก็เรียกสีหมอกกับม้าและอาวุธของพวกเรามาด้วย งานนี้คงต้องเปลี่ยนจากการแฝงตัวเป็นใช้ของหนักเล่นกันแล้วล่ะ "
" ป แปลว่า...พวกท่านจะช่วยเราอย่างนั้นสินะขอรับ?! ท่านไกร " ออกญาศรีธรรมราชร้องออกมาอย่างเริ่มต่ามไม่ทัน แต่ไกรยกมือห้ามพร้อมกับพูดเรียบๆโดยแฝงจิตคุกคามมากับน้ำเสียงด้วยอย่างชัดเจนว่า
" ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านออกญา โปรดเข้าใจใหม่เสียด่้วย...ว่าข้าไม่ใช่ไกร ไม่ใช่ทหารอโยธยา ไม่ได้ทำเพื่ออโยธยา...และข้าก็ไม่ได้คิดจะช่วยท่าน แค่พวกทหารพม่ามันรู้สึกขวางหูขวางตาเท่านั้น "
" น นี่พวกเจ้า! บังอาจ! "
" อย่าเสียมารยาทต่อพวกเขา ปลัดเมือง! " ออกญาศรีธรรมราชหันกลับมาตวาดชายหนุ่มที่เป็นข้าราชการคนสนิทที่อยู่ด้านหลังเขาลั่น ก่อนจะหันกลับมาหาไกรพร้อมกับฝืนยิ้มและถามเบาๆว่า
" ถ้าท่านไม่ใช่ท่านไกร ไม่ใช่ทหารอโยธยา...แล้ว...พวกเราสมควรจะเรียกท่านว่าอะไรกันล่ะขอรับ? "
คำถามของออกญาเฒ่าทำให้ไกรหันกลับไปมองทุกๆคนที่กำลังเตรียมตัวกันอยู่ โดยที่คนสุดท้ายคือสินที่ยืนอยู่ข้างๆเขา ซึ่งสินที่มองมาอยู่ก่อนแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆอย่างรู้แกวทันที
" แหม่ ปูมาซะขนาดนี้ ท่านก็บอกไปตามใจท่านเถอะ ท่านไกร "
" เออ! เอาก็เอาฟะ! " ไกรพูดขำๆพร้อมกับหันกลับมาหาออกญาศรีธรรมราชเฒ่า และพูดด้วยเสียงดังฟังชัดที่สุด
" เราคือกองทัพแห่งภูติพราย...ที่จะมาช่วยไอ้ออกญาเพชรบุรี ไอ้ท่านเรืองของพวกท่านยังไงล่ะ! "
......................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ